Quantcast
Channel: Unlockmen
Viewing all 7730 articles
Browse latest View live

COACH “SPRING 2020”แฟชั่นที่ชวนให้ขบคิดถึงตัวตน แรงบันดาลใจ และสไตล์นอกกรอบที่แตกต่าง

$
0
0

หลังจาก Coach ปล่อยคอลเลกชันหลากเรื่องราวออกมาอย่างต่อเนื่องในปี 2019 และเมื่อเปิดศักราชใหม่ของปี 2020 แบรนด์แฟชั่นสัญชาติอเมริกาก็ยังคงจัดเต็มเหมือนเดิมด้วยการหยิบเรื่องราวอันเต็มไปด้วยแรงบันดาลใจ การเติบโต และความกล้าที่จะออกจากกรอบ ภายใต้บรรยากาศของบ้านเกิดแบรนด์อย่างมหานครนิวยอร์ก

ตัวตนที่แท้จริงของเราคืออะไร ?

เราจะนิยามตัวตนของเราแบบไหน ?

เราจะถ่ายทอดสไตล์ของตัวเองออกมาอย่างไร ?

เมื่อมีบทสนทนาเกี่ยวกับคำว่า ‘ตัวตน’ เราอาจนิยามตัวตนหรือสไตล์ของตัวเองได้หลากหลาย บางเวลาเราอาจเป็นหนุ่มเนิร์ด หรือบางครั้งก็เป็นหนุ่มสตรีต-ฮิปฮอป บางคนเป็นหนุ่มมาดเนี้ยบ หรือเป็นหนุ่มสายสปอร์ตแบบเอ็กซ์ตรีม จากบทสนทนาไม่สิ้นสุดของเรื่องนี้จึงทำให้ Coach เกิดไอเดียเล่าเรื่องราวธรรมชาติของมนุษย์แต่ละคน ตัวตน รวมทั้งจิตวิญญาณผ่านเครื่องแต่งกายคอลเลกชัน Spring 2020 โดยใช้ชื่อแคมเปญว่า ‘Originals Go Their Own Way’ 

สถานที่หรือสิ่งแวดล้อมที่รายล้อมมีส่วนหล่อหลอมตัวตนความเป็นเราในปัจจุบัน ตัวตนของ Coach ที่เติบโตมากับมหานครนิวยอร์กตั้งแต่ปี 1941 จึงเป็นจุดเชื่อมโยงที่ “Stuart Vevers”  ครีเอทีฟไดเรกเตอร์ของแบรนด์เลือกนำชาวนิวยอร์กที่อาศัยอยู่ในเมืองเดียวกันกับแบรนด์มาเล่าเรื่องราวของแคมเปญนี้ แสดงให้เห็นผ่านเครื่องแต่งกายและภาพถ่ายว่าพวกเขาก็ต่างมีตัวตนและมีชีวิตเป็นของตัวเองตามเส้นทางที่ตัวเองเป็นคนเล่าผ่านสไตล์แฟชั่นของ Coach 

เรื่องราวของตัวตนการเดินตามฝันบางคราวอาจต้องออกนอกกรอบของ Coach ถ่ายทอดผ่าน Face of Coach อย่างนักร้องนักแสดงรุ่นเก๋า Jenifer Lopez ที่เป็นตัวแทนถ่ายทอดตัวตนอันมั่นใจของเหล่าสุภาพสตรี ส่วนฝ่ายชายยังคงเป็นนักแสดงผิวสีมากเสน่ห์ Michael B. Jordan ผู้เป็นตัวแทนของชายหนุ่มที่เต็มไปด้วยชีวิตชีวา

เครื่องแต่งกายจากคอลเลกชัน ‘Originals Go Their Own Way’ ประจำฤดูกาล Sring 2020 โดดเด่นด้วยไอเทมหลักอย่างเสื้อคลุมจัดเต็มทั้งเสื้อแจ็กเกตหนังหลากสี โดยเฉพาะสีสันฉูดฉาดเตรียมรับกับความร้อนแรงของแสงแดดฤดูร้อนที่กำลังมาเยือน จึงทำให้ในคอลเลกชันนี้เราสามารถเห็นสีแดง สีส้ม สีชมพู หรือกระทั่งสีเขียวเข้มบนไอเทมหนังของ Coach รวมถึงเครื่องแต่งกาย ready-to-wear ชิ้นอื่น ๆ ที่อัดแน่นด้วยสีสันและเรื่องราว

ไม่เพียงสีสันจัดจ้านที่เข้ามาเติมเต็มความมีชีวิตชีวาของการบอกเล่าตัวตนผ่านเสื้อผ้า สีสุดคลาสสิกที่กลายเป็นตัวแทนของความวินเทจอย่างสีน้ำตาลยังคงจัดอยู่ในคอลเลกชันนี้ด้วยเช่นกัน เสื้อคลุมสีน้ำตาลอ่อนจับคู่กับการแต่งกายสีดำคุมโทน แมตช์แล้วได้ลุคลำลองกึ่งทางการ สมาร์ต เรียบเท่ เต็มเปี่ยมความมั่นใจ

นอกจากเสื้อคลุมทำจากวัสดุหนังจะโดดเด่น อีกไอเทมเสริมที่ Coach ยังภูมิใจนำเสนอคือกระเป๋าสะพายข้างทรงสี่เหลี่ยมรุ่น Hutton ที่มีทั้งสีน้ำตาลและสีสันร้อนแรง หรือจะเป็นกระเป๋า Pacer เป้ใบเล็กทรงวงรีที่เล่นสีเรียบง่ายเหมาะกับทุกสถานการณ์ถือว่าสะดุดตาไม่แพ้กัน

พร้อมสัมผัสความรู้สึกใหม่ ๆ ที่บอกเล่าตัวตนของตัวเองได้อย่างเสรี สนุกสนาน และทรงพลังผ่านเครื่องแต่งกายคอลเลกชัน ‘Originals Go Their Own Way’ ประจำฤดูกาล Spring 2020 ของ Coach ได้แล้วบนเว็บไซต์ coach.com

เพราะสไตล์หรือเรื่องราวของแต่ละคนต่างก็มีองค์ประกอบกับมุมมองที่ต่างกัน ดังนั้นแม้เราจะมีไอเทมแฟชั่นชิ้นเดียวกัน แต่เชื่อเถอะครับว่ามันจะเล่าเรื่องราวของผู้สวมใส่ได้ต่างกันแน่นอน


G-SHOCK x TOKYO MANEKINEKO การเจอกันของเรือนเวลาและตำนานแมวกวักนำโชค

$
0
0

เรื่องความเชื่อ ตำนาน และการเล่าต่อกันมาจากรุ่นสู่รุ่นถือเป็นสิ่งที่มีอยู่ทุกสังคมในโลก ประเทศเล็ก ๆ ที่อยู่บนเกาะอย่างญี่ปุ่นเองก็เช่นกัน พวกเขามีความเชื่อเรื่องโชคลาภ เครื่องรางเสริมโชคที่เหนียวแน่นไม่ต่างจากคนไทย แถมพวกเขายังออกแบบเครื่องรางนำโชคได้หน้าตาน่ารัก จนหลายครอบครัวแม้ไม่ใช่ร้านค้าของญี่ปุ่นยังต้องมีมาเนกิ เนโกะ (Maneki Neko) หรือแมวกวักวางรับแขกอยู่แทบทุกบ้าน 

มาเนกิ เนโกะ หรือที่คนไทยรู้จักกันในชื่อของ ‘แมวกวัก’ เป็นความเชื่อที่อยู่คู่กับชาวญี่ปุ่นมาอย่างยาวนาน คาดว่ามีมาตั้งแต่สมัยเอโดะโดยถูกพบครั้งแรกในศาลเจ้าแห่งหนึ่งในจังหวัดโอซาก้า แต่บางคนก็ฟังมาอีกแบบว่าแมวกวักเริ่มมาจากคุณยายยากจนที่เลี้ยงแมว เธอไม่สามารถหาเงินมาเลี้ยงตัวเองและแมวได้จึงตัดสินใจนำแมวไปปล่อย สุดท้ายคิดถึงแมวมากจนต้องปั้นตุ๊กตาแมวขึ้นมาหนึ่งตัวจนมีคนมาซื้อไปเพราะหน้าตามันน่ารัก ทำให้คุณยายปั้นตุ๊กตาแมวขายอยู่เรื่อย ๆ จนร่ำรวยและสามารถตามหาแมวที่รักกลับบ้าน 

เรื่องราวของแมวกวักญี่ปุ่นมีหลากหลายที่มา ทว่าความแตกต่างนั้นไม่สำคัญเท่าพอรู้ตัวอีกทีเรื่องราวที่ดำเนินมาตั้งแต่ยุคเอโดะก็หยั่งรากลึกในสังคมญี่ปุ่นไปเสียแล้ว ถ้าใครมีโอกาสไปเยือนประเทศนี้จึงมักเห็นหุ่นหรือตุ๊กตาแมวยกแขนข้างหนึ่งตลอด มีหลากสี หลายขนาด มีทั้งแบบตั้งโต๊ะกำลังดี บางตัวก็เล็กจิ๋วเป็นพวงกุญแจ แถมยังพัฒนากลายเป็นของเล่นยอดฮิตอย่างกาชาปองไปอีก ส่วนครั้งนี้แมวกวักญี่ปุ่นแหวกแนวออกมาปรากฏอยู่บนนาฬิกาคอลเลกชันพิเศษของ G-Shock!

เรือนเวลาคอลเลกชันลิมิเตดไม่น่าเชื่อว่าจะมาเจอกับแมวกวักได้ ใช้ชื่อว่า G-SHOCK Limited TOKYO MANEKINEKO ออกแบบโดย BLACKEYEPATCH แบรนด์แฟชั่นชั้นนำจากกรุงโตเกียว โดยในซีรีส์นี้ประกอบด้วยนาฬิกาทั้งหมด 3 เรือน ได้แก่ GA-100 และ DW-5600 สองเรือนที่มีสีสันต่างกัน 

เริ่มกันที่ GA-100 สีดำสนิทแต่งแต้มด้วยสีทองหรูหรากันก่อน เรือนเวลารุ่นนี้ได้รับแรงบันดาลใจจากเหรียญทองคำโคะบัง (Koban) ที่ขึ้นชื่อเรื่องสีทองเหลืองอร่ามไม่เคยจางแม้เวลาผ่านล่วงเลยไปนานแค่ไหนก็ตาม เป็นเหรียญที่แสดงให้เห็นถึงความมั่งคั่งของประเทศญี่ปุ่นในอดีต โดยเหรียญโคะบังอยู่บริเวณตำแหน่งพื้นหลังของหน้าปัด ส่วนขอบก็แต่งแต้มด้วยสีทอง ตลอดจนหน้าปัดเล็กก็มีรูปร่างคล้ายกับหน้าของมาเนกิเนโกะ อัดแน่นเรื่องของโชคด้านเงินทองและความร่ำรวยมาแบบเต็มเปี่ยม 

วัสดุผลิตตัวเรือน สาย และกรอบนาฬิกาของ GA-100 TMN-1A ทำจากเรซิน ขนาด 55 x 51.2 x 16.9 มิลลิเมตร น้ำหนักรวม 72 กรัม ประกอบเข้ากับกระจกมิเนอรัล ทนทานต่อคลื่นแม่เหล็ก แรงสั่นสะเทือน และสามารถลงน้ำลึกได้ 200 เมตร 

ส่วนนาฬิกาอีกสองเรือนจากคอลเลกชัน G-SHOCK Limited TOKYO MANEKINEKO เป็นนาฬิการุ่น DW-5600 สองสีด้วยกัน ได้แก่ สีดำและสีขาว-ชมพู รุ่นสีดำนี้จะมีคอนเซ็ปต์คล้ายกับรุ่น GA-100 ที่ใช้เหรียญโคะบังกับสีทองมาตกแต่ง ส่วนเรือนสีขาว-ชมพูจะมีสีตามแบบแมวกวักเวอร์ชันต้นฉบับที่เราเห็นผ่านตากันอยู่บ่อย ๆ

นอกจากนี้ Casio ยังไม่ลืมเติมรายละเอียดเล็ก ๆ อย่างห่วงสายรัดที่ประทับหน้าตาของมาเนกิ เนโกะ เอาไว้แบบไดคัต เมื่อกดเปิดไฟ LED สีเขียวอมฟ้า หน้าจอจะโชว์รูปของแมวกวักบนจอแสดงผล เป็นลูกเล่นที่หลายคนชื่นชอบ ด้านสเปก ทั้ง 2 เรือนนี้มีขนาดและน้ำหนักเท่ากันอยู่ที่ 48.9 x 42.8 x 13.4 มิลลิเมตร กับอีก 53 กรัม สามารถลงน้ำลึกได้ 200 เมตร

นาฬิกาคอลเลกชันลิมิเตดแมวกวักของ G-Shock ทั้งสามเรือนบรรจุในกล่องเหล็กสีฟ้าที่มีหน้าตาของมาเนกิ เนโกะ ถือก้อนทองประดับด้านข้างเพื่อบ่งบอกรุ่นของนาฬิกา เห็นแล้วชวนให้คิดถึงของเล่นสังกะสีสุดคลาสสิกบ้านเราครั้งวันวาน ที่สำคัญแพ็กเกจแปลกตานี้ยังได้รับการทะนุถนอมอย่างดี ใส่ลงในกล่องกระดาษสีเดียวกันอีกชั้นหนึ่งก่อนจัดส่งถึงมือ นับเป็นความประณีตที่น่าสะสมเป็นอย่างยิ่ง

G-SHOCK Limited TOKYO MANEKINEKO วางจำหน่ายเฉพาะในประเทศญี่ปุ่นและประเทศแถบเอเชีย โดยเรือน GA-100 มีราคาอยู่ที่ 18,700 เยน (ประมาณ 5,270 บาท) ส่วน DW-5600 ราคา 14,300 เยน (ประมาณ 4,030 บาท) 

ถึงแม้นาฬิกาคอลเลกชันนี้จะคู่กับแมวนำโชค แต่ทางแบรนด์ก็ไม่ได้การันตีว่าถ้าใส่แล้วจะดวงเฮงหรือไม่ ก็คงต้องลองพิสูจน์เรื่องนี้กับด้วยตัวเองครับ

 

SOURCE: 1 / 2 / 3

ย้อนฟังตอนนี้ยังทัน รีวิวฉบับรวบรัด 6 อัลบั้มที่คว้ารางวัล “GRAMMY AWARDS 2020”มาครอง

$
0
0

จบไปแล้วเป็นที่เรียบร้อยสำหรับรางวัลอันทรงเกียรติที่จัดเป็นประจำทุกปีอย่าง Grammy Awards โดยปี 2020 นี้ก็เข้าสู่ปีที่ 62 เป็นที่เรียบร้อย และหลังจากประกาศรายชื่อผู้ชนะออกมาครบทุกสาขา กระแสวิพากษ์วิจารณ์ในอินเทอร์เน็ตก็เข้มข้นเลยทีเดียว ซึ่งก็ถือว่าเป็นปกติ (อย่างที่เป็นอยู่ทุกปี) จะให้ UNLOCKMEN ไปชี้ว่าใครเหมาะสมหรือไม่เหมาะสม เกรงว่าทางเราจะไม่มีคุณวุฒิมากพอ

ความน่าสนใจในปีนี้คือการที่ Grammy เริ่มเปิดโอกาสให้มีศิลปินหญิงเข้าชิงเยอะขึ้น รวมไปถึงมีศิลปินหน้าใหม่ ๆ ที่ไม่เคยถูกเสนอชื่อเข้าชิงมาก่อนได้เข้ามามีบทบาทมากขึ้น ไม่ว่าจะถูกใจหรือไม่ถูกใจใคร เรามาดูกันดีกว่าว่า 7 อัลบั้มคุณภาพที่สามารถคว้ารางวัลไปครองในปีนี้มีอะไรบ้าง เผื่อใครยังไม่เคยฟัง จะได้ทำความรู้จัก และตัดสินด้วยตัวคุณเอง

When We All Fall Asleep, Where Do We Go? – Billie Eilish

Best Pop Vocal Album, Album Of The Year

เธอคือหนึ่งในศิลปินตัวเต็งของปีนี้ที่ทำให้ชาวเน็ตถกเถียงกันไม่จบไม่สิ้นมาตั้งแต่ก่อนวันงาน เหตุเพราะเป็นศิลปินหน้าใหม่ที่มีจำนวนชื่อเข้าชิงในหลากหลายสาขามากเป็นประวัติการณ์ และในที่สุดสาวน้อยชาวอเมริกัน วัย 18 ปีคนนี้สามารถคว้าไปได้ถึง 5 สาขา ทั้ง Best Pop Vocal Album, Best New Artist, Record Of The Year, Song Of The Year และใช่ครับรางวัลที่ใหญ่สุดในงานอย่าง Album Of The Year ซึ่งนี่ก็เป็นเพียงอัลบั้มแรกของเธอเท่านั้น!

แต่ถ้าพูดกันถึงในแง่ของงานดนตรี When We All Fall Asleep, Where Do We Go? จัดว่าเป็นอิเล็กทรอนิกส์ป๊อปที่มีเอกลักษณ์มากทีเดียว โดยเฉพาะเสียงเบสในอัลบั้มที่หนักมากจนหลายคนนึกว่าลำโพงตัวเองแตกไปเสียแล้ว (มีทั้งคนที่ชอบมากและเกลียดไปเลย)

เพลงป๊อปแบบฉบับ Billie Eilish เต็มไปด้วยกลิ่นอายความมืดหม่นลึกลับ ขณะเดียวกันก็ฟังง่าย ติดหู และใช้วิธีการเล่าจากมุมมองของคนที่ต้องเผชิญปัญหาเรื่องสุขภาพจิต การค้นหาตัวเอง ความเศร้า ความรักที่ไม่สมหวัง จนไปถึงปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของโลก ไม่แปลกนะครับหากมันจะเข้าถึงคนยุคนี้ได้ง่าย เรียกว่าออกมาถูกที่ถูกเวลาและไปตรงจริตผู้ฟังยุคใหม่ที่กำลังเผชิญปัญหาเหล่านี้พอดิบพอดี

นอกจากฝีมือการเขียนเพลงของ Billie ที่ล้ำหน้าเกินอายุ Finneas พี่ชายผู้ควบตำแหน่งโปรดิวเซอร์ของอัลบั้มนี้ก็จัดว่าเป็นบุคลากรทางดนตรีที่มีฝีมือคนหนึ่ง องค์ประกอบต่าง ๆ ที่หลอมรวมมาเป็นผลงานชุดนี้ ล้วนผ่านกระบวนการคิด ทดลองทำซ้ำ ๆ มาครั้งแล้วครั้งเล่าจากเขา

ซิงเกิลแรกในชีวิตของ Billie Eilish คือเพลง Six Feet Under ในปี 2016 พวกเขาโปรโมตและผลักดันตัวเองมาครั้งแล้วครั้งเล่า ไม่ใช่ว่ามาถึงก็ประสบความสำเร็จเลยอย่างที่ใคร ๆ เข้าใจ บางครั้งนอกจากฝีมือแล้ว ก็อาจจะต้องอาศัยเรื่องของจังหวะและเวลา (โชคช่วยบ้างนิดหน่อย) ไม่ว่าคุณจะชอบอัลบั้มนี้หรือไม่ ขอให้คิดเสียว่าผลรางวัลในครั้งนี้อาจส่งผลดีต่อเด็กรุ่นใหม่ ๆ ที่สนใจจะทำดนตรีตั้งแต่อายุยังน้อย เพราะตอนนี้เธอได้ขึ้นแท่นศิลปินอายุน้อยที่สุดที่คว้าไปได้ถึง 5 รางวัลเป็นที่เรียบร้อยครับ

Ventura – Anderson .Paak

Best R&B Album

ถ้าคุณไม่ใช่สาย R&B คุณอาจจะรู้สึกว่า นาย Anderson .Paak นี่ประสบความสำเร็จไวจริง ๆ ผิดครับ! อัลบั้มแรกของเขาออกมาตั้งแต่ปี 2004 แล้ว แถม Ventura ยังเป็นสตูดิโออัลบั้มลำดับที่ 6 ของเขาแล้วอีกต่างหาก

ในยุคที่เพลง R&B แบบดั้งเดิมเริ่มวิวัฒนาการเข้าหาซาวด์แบบใหม่อย่างเช่นดนตรีอิเล็กทรอนิกส์ Anderson .Paak หนุ่มอเมริกันวัย 33 ปีคนนี้ เลือกนำเอาซาวด์ R&B, Soul และ Funk แบบยุค 70’s มาผสมผสานเข้ากับ Rap แต่ถึงกระนั้นก็ยังสอดแทรกเล็กทรอนิกส์ร่วมสมัยเข้าไปบ้างในบางแทร็ก ทำให้งานเพลงชุดนี้ของเขา สดใส มีชีวิตชีวา หลากหลาย กลมกล่อมในหนึ่งเดียว อีกทั้งเนื้อเพลงที่มีการขมวดปมชีวิตของตัวเองตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน NME ถึงกับยกย่องให้ Ventura เป็นดั่งเทพนิยายที่ถ่ายทอดเรื่องราวของตัวเขาเอง

นอกเหนือจากรางวัล Best R&B Album แล้ว Anderson .Paak ยังคว้ารางวัลสาขาอื่น ๆ อย่าง Best R&B Performance จากเพลง Come Home มาได้อีกต่างหาก ใครที่ยังไม่คุ้นเคยกับผู้ชายคนนี้ หรือกำลังมองหาอัลบั้มโทนสว่าง ๆ ฟังอยู่ Ventura จะเป็นอีกหนึ่งอัลบั้มคุณค่าที่คุณคู่ควรครับ

IGOR – Tyler, The Creator

Best Rap Album

ตั้งแต่ครั้งแรกที่เราได้ฟังอัลบั้มนี้คำว่า ‘Grammy’ ก็วนเวียนอยู่ในหัวเรามาตลอด กว่าจะมาถึงจุดนี้ Tyler, The Creator คือศิลปินที่ผ่านเรื่องราวมากมายมาทั้งดีและร้าย เขาคือหนึ่งในหัวหอกของกลุ่มศิลปินอัลเทอร์เนทีฟ Hiphop/Soul ที่ชื่อว่า Odd Future เพื่อผลักดันศิลปินไร้สังกัด โดยมุ่งหวังให้ทุกคนมีอาชีพที่ยั่งยืน ผลักดันให้ Hiphop สามารถกลมกลืนกับวัฒนธรรมอื่น ๆ ให้ความสำคัญกับกลุ่มคนชายขอบเช่น LGBTQ ให้มีที่ยืนในวงการฮิปฮอป เนื้อเพลงของเขามักจะมีเนื้อหาที่รุนแรง ประชดประชัน หลาย ๆ ครั้งก็ไปสร้างความไม่พอใจให้ใครเขา จนถูกแบนไม่ให้โชว์ในบางประเทศก็เคยมาแล้ว

การเติบโตของเขาปรากฏชัดขึ้นในงานเพลงแต่ละชุด เขาระวังคำพูดมากกว่าเดิม Tyley, The Creator มักจะสร้าง Alter-Ego หรืออีกตัวตนของเขาขึ้นมาเพื่องานแต่ละชุด และ IGOR ก็เป็นอีกหนึ่งคาแรกเตอร์ที่แปลกแยกออกมาอย่างเด่นชัด ก่อนจะปล่อยอัลบั้มนี้เขาได้บอกแฟนเพลงว่าอย่าคาดหวังว่ามันจะเป็นอัลบั้มเพลงแร็ป ได้โปรดตั้งใจฟัง และอย่านำไปเทียบกับอัลบั้มอื่น ๆ ซึ่งนี่ก็เป็นครั้งแรกที่แรปเปอร์หนุ่มคนนี้ เผยด้าน ‘ชีวิตรัก’ ของเขาให้แฟนเพลงได้ฟังอย่างหมดเปลือก ตั้งแต่ต้นจนจบ

IGOR เป็นอัลบั้มฮิปฮอปที่เต็มไปด้วยดนตรี Experimental หลากหลายซาวด์ผสมปนเปจนจะใช้คำว่า ‘แปลก’ ก็ไม่ผิดนัก หากแต่ไม่ใช่แปลกในทางที่ไม่ดี ซึ่งในแต่ละบทเพลงก็แตกต่างกันไป มีทั้งเสียงเปียโน, ซินธิไซเซอร์, กีตาร์, ซาวด์อิเล็กทรอนิกส์ล้ำ ๆ ที่หยิบจับดนตรีหลากหลายแนวตั้งแต่ R&B, Jazz, Dance, Neo-Soul ไปจนถึงดนตรีแบบ MoTown มาผสมกับความเป็น Hiphop เหมือนภาพตัดแปะที่กลายมาเป็นผลงานชั้นยอดสุดแหวกแนว แต่ถึงกระนั้นก็ยังคงความงดงามได้ในทุก ๆ ดีเทล

อัลบั้ม IGOR กลายเป็นผลงานชิ้นแรกของ Tyler, The Creator ที่เปิดตัวอันดับ 1 บนบิลบอร์ดชาร์ต 200 อีกทั้งยังทำให้เขาได้รับรางวัล Grammy ตัวแรกในชีวิตมาครอง

Father of the Bride – Vampire Weeknd

Best Alternative Album

หากคุณเป็นสายอินดี้ ชื่อของ Vampire Weeknd คงจะเป็นที่คุ้นเคยอยู่แล้ว เพราะพวกเขาไม่ใช่หน้าใหม่ในวงการ และเป็นเจ้าของเพลงฮิต A-Punk สำหรับ Father of the Bride ก็เป็นสตูดิโออัลบั้มลำดับ 4 ของพวกเขาที่สมศักดิ์ศรี เพราะไม่ได้ทำเพลงมาตั้งแต่อัลบั้ม 2013 เปิดตัวมาก็ได้รับคะแนนวิจารณ์จากสื่อต่าง ๆ อย่างท่วมท้น (เอาง่าย ๆ ว่าได้ 4 ดาว – 4 ดาวครึ่งจาก) อัดแน่นไปด้วยเพลงคุณภาพมากถึง 18 แทร็ก! แถมยังเปลี่ยนแนวเพลง นิตยสาร Rolling Stone ถึงกับยกย่องว่าเป็นผลงานระดับ Masterpiece ของพวกเขา

เนื้อหาในอัลบั้มนี้ถึงจะค่อนข้างออกไปทางมองโลกในแง่ดี ซาวด์ก็สว่างสดใส แต่เนื้อเพลงซ่อนความขม มีความขุ่นเคืองแฝงอยู่ ความเจ๋งคือเนื้อหาในอัลบั้มนี้ เพราะมันหลากหลายจนเหมือนสารานุกรมเสียมากกว่างานเพลง มีทั้งเรื่อง รักโรแมนติก การเมือง เคราะห์กรรม สิ่งแวดล้อม ความไม่แน่นอน จนไปถึงปรัชญาแห่งความเป็นอิสระ ในแง่ของดนตรี ริฟฟ์กีตาร์ในแต่ละเพลงมีความละมุนละไมและ ‘ติดหู’ อย่างต้านทานไม่ได้ แม้สองอัลบั้มแรกของเขางจะโดดเด่นไปด้วยซาวด์ซินธิไซเซอร์ แต่ Father of The Bride กลับมีความ ‘เป็นธรรมชาติ’ สูง ถึงแม้จะยังได้ยินซาวด์อิเล็กทรอนิกส์อยู่บ้าง สิ่งนั้นก็ไม่ใช่ตัวชูโรงของพวกเขาอีกต่อไป

ดนตรีหลากหลายจากทั่วทุกมุมโลก ตั้งแต่ Folk, R&B, Soul, Baroque Pop, Rock, Art Rock ถูกร้อยเรียงออกมาให้อยู่ในโครงสร้างของเพลงป๊อป มันจึงกลายเป็นอัลบั้มล้ำ ๆ ที่เป็นมิตรกับคนฟังและถูกใจนักวิจารณ์ ใครว่าวงดนตรีที่เคยประสบความสำเร็จในอดีตจะไม่สามารถกลับมารุ่งเรืองได้ใหม่หากหายไปนาน Vampire Weekend ได้พิสูจน์แล้วว่าสิ่งนั้น ไม่เป็นความจริงอย่างแน่นอน

While I’m Livin’ – Tanya Tucker 

Best Country Album

หลังจากที่ปีศิลปินสาวแนว Country-Pop อย่าง Kacey Musgrave ได้รางวัล Album Of The Year ไปเมื่อปีก่อน ปีนี้ก็ถึงตาที่รุ่นใหญ่อย่าง Tanya Tucker จะคว้ามันมาครองบ้าง แม้เธอจะอายุ 61 ปีแล้ว เธอห่างหายจากวงการเพลงไปตั้งแต่ปี 2009 อีกทั้งยังเผชิญหน้ากับปัญหาสุขภาพ จนหมดไฟในการทำเพลงไปนานหลายปี ในที่สุดเธอได้กลับมาอีกครั้งในปี 2019 พร้อมอัลบั้ม While I’m Livin’ ซึ่งเต็มไปด้วยความชุ่มชื่นและเปี่ยมไปด้วยพลัง ความมั่นใจในตัวเองของเธอได้ถ่ายทอดออกมาผ่านทุก ๆ บทเพลง ซึ่งก็ถือว่าเป็นการกลับมาอย่างสมเกียรติ เพราะคว้าไปทั้ง Best Country Album และ Best Country Song จากเพลง Bring My Flowers Now

แฟนเพลงที่กำลังโหยหา Country ดั้งเดิม และกลิ่นอาย Americana อัลบั้มนี้จะไม่ทำให้คุณผิดหวัง เพราะถึงจะไม่อึกทึกครึกโครม แต่เข้มข้นถึงใจ ราวกับเมล็ดกาแฟคั่วสดใหม่ที่ถูกบรรจุลงในภาชนะสุดคลาสสิกก็ไม่ปาน

Social Cues – Cage The Elephant 

Best Rock Album

Social Cues คือสตูดิโออัลบั้มลำดับที่ 5 ของ Cage The Elephant วงอัลเทอร์เนทีฟร็อกอเมริกันที่ทำเพลงกันมาตั้งแต่ปี 2006 และเป็นหัวหอกสำคัญของยุค Post-Punk Revival แห่งยุค 2000 โดย Grammy ครั้งนี้คือตัวที่ 2 แล้ว เพราะพวกเขาเคยได้รางวัลในสาขาเดียวกันจาก Live Album “Unpeeled” เมื่อปี 2017 ความตลกร้ายคือตอนอัลบั้มนี้ออกมาใหม่ ๆ สื่อหลายเจ้าให้คะแนนน้อยมาก แถมยังได้รับวิพากษ์วิจารณ์ในเชิงลบ เนื่องด้วยวงเคยทำเพลงร็อกที่เต็มไปด้วยสีสัน แถมยังมีความห่าม แต่อัลบั้ม Social Cues กลับเต็มไปด้วยความเศร้า ความหม่นหมองและยังค่อนไปด้วยเพลงจังหวะกลาง ๆ อีกต่างหาก เกิดอะไรขึ้นกับวง?

แต่ถ้าหากรู้ที่มาที่ไปของมัน ความขลังของอัลบั้มนี้จะเพิ่มขึ้นอีกเป็นเท่าตัว รู้หรือไม่ว่าเพลงโปรโมตอย่าง Ready To Let Go ถูกเขียนขึ้นเพื่อถ่ายทอดเรื่องราวชีวิตและความรู้สึกของ Matt Shultz กับภรรยาของเขา ทั้งคู่อยู่เคียงคู่กันมายาวนานกว่า 7 ปี ตลอดเวลาคบหาพบความระหองระแหง ดั่งเชือกที่กำลังจะขาดสะบั้น เมื่อเขาทั้งคู่ตัดสินใจไปเที่ยวเมือง Pompeii ด้วยกันเพื่อรักษาความสัมพันธ์นี้ไว้ กลับพบว่าไม่มีสิ่งใดสามารถเยียวยารอยร้าวในครั้งนี้ได้อีกต่อไป พวกเขาจึงตัดสินใจหย่าขาดกันในที่สุด สิ่งนี้ส่งผลให้ Matt ห่างหายจากการทำเพลงไป (อัลบั้มล่าสุดที่ไม่ใช่ Live Album คือปี 2015) และแม้กระทั่งช่วงที่เขายอมกลับมาทำงานอีกครั้ง ระหว่างอัดเสียงในสตูดิโอก็ยังมีหลายครั้งที่ Matt ร้องไห้ถึงขั้นลงไปนอนกองกับพื้น

 

ใครจะไปรู้ว่าความเจ็บปวดในครั้งนั้นจะแปรเปลี่ยนเป็นอีกหนึ่งผลงานคุณภาพที่นำมาซึ่งความสำเร็จทางดนตรีของ Cage The Elephant และ Matt Shultz และถึงแม้เพลงในอัลบั้มจะเศร้าไปนิด แต่มันเป็นผลงานเจ๋ง ๆ และควรค่ากับการฟังมากสำหรับแฟนเพลงอย่างเรา

นอกเหนือจาก 6 อัลบั้มที่เรากล่าวมานี้ คุณสามารถเช็กรายชื่อผู้ชนะในสาขาอื่น ๆ ได้ที่นี่ คลิก ถึงแม้ว่ารางวัลเหล่านี้อาจจะถูกใจหรือไม่ถูกใจใครไปบ้าง แต่ก็เหมือนการฉายสปอตไลต์ไปที่ศิลปินสักคน แม้แค่ชั่วขณะหนึ่งความสว่างของพวกเขาอาจส่งต่อแรงบันดาลใจให้คนรุ่นหลังต่อไป ซึ่งก็นับว่าเป็นเรื่องดี ๆ นะครับ เพราะสุดท้ายแล้วเพลงที่เราชอบนั้น แม้จะไม่ได้รางวัลอะไร หรือไม่เคยได้รับการเสนอชื่อสักรางวัล มันก็เป็นเพลงที่ยอดเยี่ยมในใจเราตลอดไป

Source 

‘BLACK MAMBA’ จากเด็กชาย 1996 NBA DRAFT สู่ตำนาน LAKERS ที่ตามหลัง MAGIC JACSON

$
0
0

ช่วงต้นอาทิตย์ ข่าวรายงานโศกนาฏกรรมชวนช็อก เมื่อข่าวพูดถึงขวัญใจคอบาสอย่าง Kobe Bryant ประสบอุบัติเหตุเฮลิคอปเตอร์ส่วนตัวตก เสียชีวิตทั้งลำที่ คาลาบาซาส นครลอส แองเจลีส รัฐแคลิฟอร์เนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา สะเทือนใจวงการกีฬาทั่วโลก

คนที่ติดตาม NBA ไม่ว่าจะเป็นหน้าใหม่หรือเก่า เราเชื่อว่าชื่อของ Kobe Bryant จะติดอยู่ในทำเนียบตำนานที่ควรรู้จักทั้งในเกมและนอกเกม ชีวิตของเขาไม่ใช่แค่โตมาในฐานะดาวรุ่ง แต่เปลี่ยนยุคของ Lakers ทีมบาสที่กำลังอยู่ในช่วงขาลง และได้รับการ Draft ตัวมาตั้งแต่วัยเพียง 17 ปีเท่านั้น

Kobe Bryant โลดแล่นอยู่ในวงการในฐานะนักเล่นอาชีพถึง 20 ปี คว้าแชมป์ NBA ได้มากถึง 5 สมัยก่อนจะวางมือไปเมื่อปี 2016 หลังจากเราเขียนบทความนำเสนอมุมมองของเขาที่น่าชื่นชมแล้ว ตอนนี้ถึงเวลาที่จะเจาะลงไปให้ลึกอีกนิดว่า เขาเข้ามาสู่วงการนี้ได้อย่างไร ทำไมเขาถึงกลายเป็นไอดอลให้กับนักกีฬาหลายคน

การแลกมือดีประจำทีม LAKERS กับเด็กชายวัย 17

Kobe เด็กชายชาวฟิลาเดเฟียเติบโตมาด้วยพรสวรรค์ด้านกีฬาบาสที่หลายคนกล่าวว่าถอด DNA มาจากพ่อและลุง เพราะทั้งคู่ล้วนเคยเป็นผู้เล่นในระดับ NBA ด้วยกันทั้งคู่ แต่แค่นั้นยังไม่มากเท่ากับความทะเยอทะยานที่อยากก้าวขึ้นไปเป็นตำนาน ซึ่งทำให้เขาหมกมุ่นกับการฝึกซ้อม แบบที่ TheAthletic เขียนบทความถึง Kobe ใน Kobe Bryant loved basketball from every generation and that’s important โดยระบุว่า

“Kobe เห็นสถิติที่ MJ เคยทำได้ในอดีต และเฝ้าคิดกับตัวเองว่า เราทำได้ดีกว่านั้น

ช่วงเข้าวงการของ Kobe ค่อนข้างเร็วกว่านักกีฬาอาชีพหลายคน เพราะหลังจากโด่งดังจากการแข่งขันระดับมัธยมที่พาโรงเรียนชนะจนเข้าสู่การแข่งระดับรัฐ เขาก็ Draft เข้าวงการอาชีพทันที เหมือนสอบเทียบชั้นผ่านแล้วโดดพาสชั้นขึ้นมา

การดราฟต์สำหรับวงการกีฬาคือกระบวนการเลือกผู้เล่นเข้าสู่ทีม แต่ละทีมจะมีสิทธิ์เลือกได้เฉพาะผู้เล่นในรายชื่อกองกลางที่ประกาศว่าจะเข้าสู่ลีกปีนั้นเท่านั้น ทีมใดก็ตามที่ดราฟต์นักกีฬาได้จะได้รับเอกสิทธิ์เซ็นสัญญานำผู้เล่นคนนั้นเข้าสังกัด โดยทีมอื่นๆ หมดสิทธิ์แย่งตัว (แบ่งตามลำดับ 1 ทีม 1 คน) ส่วนลำดับการดราฟต์จะยกสิทธิ์จะให้กับทีมที่มีสถิติแย่ที่สุดในฤดูกาลก่อนคนอื่น

แต่ใช่ว่ามีข้อดีแล้วจะไม่มีข้อเสียเพราะกฎของการดราฟต์เข้าลีก NBA ระบุว่าใครก็ตามที่ลงทะเบียนดราฟต์ไว้แล้วไม่ได้รับเลือกจะไม่มีสิทธิ์เข้ามาลงทะเบียนอีกเป็นหนที่ 2 แปลว่าจะชวดการเซ็นสัญญาที่ได้รับเงินก้อนโตไปแน่นอน

Kobe วัย 17 ไม่กลัวการเสียโอกาสที่หลายคนอาจมองว่าเขายังเด็กกว่าคนอื่น แต่มองเห็นสิ่งที่ไกลกว่านั้นจึงลงทะเบียนไปในปี 1996

ความแพรวพราวของเขาเข้าตา Lakers ที่ต้องการกู้สถานะของทีม เนื่องจากขณะนั้น Lakers ขาดตัวชู้ตวงนอก เขาจึงดีลกับทีม Charlotte Hornest ที่มีสิทธิ์ดราฟต์ลำดับที่ 13 (ตอนนั้น Lakers อยู่ในอันดับที่ 18) ให้ดราฟต์ตัวของ Kobe มาเพื่อแลกกับนักกีฬาอาชีพขวัญใจตัวเด่นของทีม Lakers ตอนนั้นคือ Vlade Divac ผู้เล่น 28 ชาวเซอร์เบียที่ฝีมือการเล่นโดดเด่น การแลกครั้งนี้หลายคนมองว่าเป็นการมองเกมขาดสำหรับ Lakers เพราะจากเงินเดือนที่จ่ายให้ Divac ไป เมื่อ trade ครั้งนี้เขาจะสามารถได้นักกีฬาถึง 2 คน คือ Kobe และ Shaquille O’neil เพื่อกอบกู้ทีมให้แข็งแกร่ง

 

เจ้าของฉายา The Black Mamba

5 ปีของการเฟลแชมป์ NBA นับจากทีมสูญเสีย Majic Johnson ไป  Lakers ได้กลับมาผงาดอีกครั้งเพราะการมาของอสรพิษตำนาน

สาเหตุที่ Kobe ได้รับฉายาว่า The Black Mamaba เพราะเขาเล่นได้รวดเร็ว ทำแต้มเยอะ มากพิษสงเหมือนงูพิษสุดอันตรายแห่งวงการยัดห่วง ตรงกับลักษณะกายภาพของเจ้างูแบล็กแมมบาคืองูพิษที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในแอฟริกา ที่เลื้อยได้ว่องไวถึง 20 กม./ชม. ซึ่งได้รับการจัดอันดับว่าเป็นงูที่ไวที่สุดในโลก

นอกจากนี้คำว่า แมมบา ยังหมายถึง โลงศพสื่อนัยถึงความตายที่มาเยือน เรียกได้ว่าถ้ามีเขาคนนี้ลงสนาม ทีมอื่นก็หมดสิทธิ์ไปต่อ

 

KOBE VS. JORDAN

ไม่ใช่แค่รูปลักษณ์เท่านั้นที่ทำให้ Kobe กลายเป็นคู่เทียบของอดีตตำนานอย่างจอร์แดนผู้กลายเป็นสัญลักษณ์ของวงการบาส แต่ยังมีคนนำสกอร์และพรสวรรค์ของเขามาเทียบกัน มาตรฐานสูงส่งของ MJ จนถึงทุกวันนี้ยังไม่มีใครโค่นลงมาได้ แต่บางคนก็เปรียบเปรยว่า Kobe ทำมันได้ถึง  80%

infographic เปรียบเทียบระหว่าง Kobe กับ Jordan ของ totalprosports.com

ส่วนจอร์แดนเมื่อได้รับข่าวความสูญเสียของคนในวงการที่เขาเปรียบเทียบว่าเป็นเหมือนน้องชายคนเล็กของเขาครั้งนี้ เขาก็ให้สัมภาษณ์ด้วยความรู้สึกโศกซึมลึกว่า

ผมรู้สึกช็อกกับโศกนาฏกรรมในครั้งนี้ของ Kobe และ Gianna ไม่มีคำใดที่จะอธิบายความรู้สึกเจ็บปวดที่มีได้” – Michael Jordan

 

“81 แต้ม” จอมยัดห่วงแต้มสูงสุดลำดับ 2 ของ NBA

ปรากฏการณ์กดคนเดียว 81 แต้มใน 1 เกม แมตช์แข่งระหว่าง Lakers กับ Toronto Raptors ปี 2006 ทำให้เขากลายเป็นนักชู้ตตำนานอันดับ 2 ของ NBA ทันที คะแนนส่วนใหญ่มาจากแต้มถนัดของเขาคือการยิงวงนอก ชู้ต 3 คะแนนที่ทำได้ถึง 7 ครั้ง 21 แต้มที่แม่นเหมือนจับวางครั้งนี้ถือเป็นหนึ่งในมาสเตอร์พีซของชีวิตเขา และนี่คือ 3 นาทีที่บันทึกวินาทีมหัศจรรย์ของ Kobe ไว้

 

REMEMBER BRYANT

สำหรับใครที่อยากรำลึกถึงเขา หากไม่อยากเปิดแมตช์เดิมที่เคยเล่น จะเปิดดูภาพยนตร์เรื่อง Dear Basketball หนังสั้น 5 นาทีด้านล่างดูก็ได้ เนื้อเรื่องเล่าจากจดหมายที่เขาเขียนเพื่อพูดถึงความรักที่มีต่อกีฬาบาสเกตบอล

Black Mamba วีรบุรุษผู้สิ้นอายุขัยในวัย 41 ยังคงเป็นตำนานในใจของเรา และทั้งหมดนี้คือปรากฏการณ์รำลึกที่วงการสื่อทั่วโลกรวมทั้งเราอยากบันทึกไว้เพื่อส่งต่อถึงทุกคนไม่รู้จบ

white and blue UNK jersey

 

SOURCE: 1 / 2 / 3 / 4 

อยากคิดงานง่าย หายใจราบรื่น “นักวิจัยแนะนำให้ปลูกต้นไม้” ปลูกแสนง่าย แถมช่วยชีวิตมากกว่าที่คิด

$
0
0

การเป็นมนุษย์ที่อาศัยอยู่ในเมืองใหญ่เต็มไปด้วยโอกาสดี ๆ ท้าทายศักยภาพ รวมถึงสถานที่แฮงเอาต์พักผ่อน กิน ดื่ม เที่ยวที่ดีต่อใจหลากหลายรูปแบบนั้นเป็นสิ่งที่เราพอใจ แต่บางครั้งการอาศัยอยู่ในเมืองก็ทำให้เราต้องเผชิญกับสภาพอากาศที่เต็มไปด้วยฝุ่น ควันและมลพิษจนทำให้หายใจไม่ราบรื่น และการแข่งขันทางการงานที่สูงก็ทำให้เราทั้งเครียด ทั้งตัน คิดงานไม่ออกขึ้นมาได้ดื้อ ๆ เหมือนกัน

“ปลูกต้นไม้” ไลฟ์สไตล์เท่ ๆ ที่ใคร ๆ ก็ตกหลุมรัก

แต่ใครจะรู้ว่า “การปลูกต้นไม้” เป็นหัวใจสำคัญของการบรรเทาปัญหาหลายอย่างที่เราเผชิญ เพราะ ต้นไม้” คือหนทางที่ง่ายและยั่งยืนที่สุดในการลดปัญหาฝุ่นควัน ไม่เพียงเท่านั้น ต้นไม้ยังมีคุณสมบัติคูล ๆ อีกจำนวนมากที่เราไม่เคยนึกถึงมาก่อน

แต่เพราะงานวิจัยที่เป็นระบบหลายชิ้นนั้นวิจัยและพิสูจน์มาแล้วว่าต้นไม้มีความหมายต่อโลกใบนี้และมนุษย์มากกว่าที่คิด ทั้งช่วยให้มนุษย์รู้สึกผ่อนคลาย เพิ่มความคิดสร้างสรรค์ มีส่วนช่วยในการทำงานของสมองส่วนการรับรู้และความทรงจำ

จึงไม่แปลกเลยที่คนรุ่นใหม่จำนวนมากหันมาปลูกต้นไม้จนกลายเป็นเทรนด์ชิค ๆ ไปทั่วโลก การปลูกต้นไม้จึงไม่ใช่แค่กิจกรรมน่าเบื่ออีกต่อไป แต่เป็นกิจกรรมที่เพิ่มไลฟ์สไตล์เท่ ๆ เพิ่มความสุขให้การตกแต่งห้อง โต๊ะทำงาน แถมยังแชร์ลงโซเชียลมีเดียสร้างสัมพันธ์ในหมู่เพื่อนได้ด้วย

นอกจากนั้นการปลูกต้นไม้ยังพ่วงมากับประโยชน์ดี ๆ สารพัด แถมตอนนี้การปลูกต้นไม้ก็ง่ายแสนง่ายจนใครก็สามารถปลูกได้ไม่ว่าจะที่บ้าน ที่คอนโดมิเนียม หรือแม้แต่ที่ทำงานก็ตาม

ต้นไม้ทำให้ผ่อนคลายและช่วยให้ทำงานดีขึ้น

งานวิจัยจำนวนมากที่บอกกับเราว่า วิธีง่าย ๆ ที่จะลดความตึงเครียด สร้างความรู้สึกผ่อนคลายคือการอยู่กับธรรมชาติ แต่การอยู่กับธรรมชาติไม่ได้หมายความว่าเราต้องบุกป่าฝ่าดงไปอยู่ในป่าลึกเท่านั้น แต่การลงมือปลูกต้นไม้ด้วยตัวเองนั้นก็เป็นอีกหนทางง่าย ๆ ที่เราสามารถลงมือทำได้ตั้งแต่วันนี้

 The Green Infrastructure Research Group จาก University of Melbourne ศึกษาเรื่องพื้นที่สีเขียวที่มีผลต่อประสิทธิภาพการทำงานอย่างจริงจัง พบว่าการได้มองไปในพื้นที่สีเขียวของต้นไม้ อาจจะอยู่ในห้องทำงานหรือการมองต้นไม้จากหน้าต่างห้องทำงาน ก็ช่วยลดความเครียด สร้างอารมณ์ผ่อนคลาย ซึ่งมีความสำคัญช่วยพวกเราทำงานได้ดียิ่งขึ้น

บริษัทยักษ์ใหญ่อย่างเฟซบุ๊กก็ลงทุนสร้างหลังคาขนาดเท่าสนามฟุตบอลหลายสนาม และปลูกต้นไม้ใบหญ้าบนดาดฟ้านั้นเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานให้พนักงานของตัวเอง การปลูกต้นไม้จึงเป็นกิจกรรมที่ช่วยเรื่องความผ่อนคลายและเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานที่ทำได้ง่ายที่สุดจนเราไม่อยากให้ใครต้องพลาดวิธีนี้ไป

สัมพันธ์กับต้นไม้ช่วยพัฒนาความจำระยะสั้น

เชื่อหรือไม่ว่า การปลูกต้นไม้ทำให้คนขี้ลืมมีความจำที่ดีขึ้นได้

เมื่ออากาศที่เต็มไปด้วยฝุ่นทำให้เราหายใจไม่โปร่งโล่งอย่างที่เคย เมื่อการทำงานมีเรื่องชวนเครียดรุมเร้า ความจำที่เคยไหลลื่นของเราก็อาจสะดุดลงเสียอย่างนั้น เราจึงอยากชวนมาลอง “ปลูกต้นไม้” นอกจากต้นไม้จะช่วยบรรเทาปัญหาเรื่องฝุ่นครองเมืองแล้ว การปลูกต้นไม้ยังสัมพันธ์ต่อความจำของเราอย่างไม่น่าเชื่อ

งานวิจัย The Cognitive Benefits of Interacting With Nature ชี้ให้เห็นว่าการที่เราได้ออกไปเดินท่ามกลางธรรมชาติ การได้สัมผัสต้นไม้ การมองต้นไม้นั้นช่วยพัฒนาความจำระยะสั้นของเราเพิ่มขึ้นถึง 20% ใครที่คิดว่าตะบี้ตะบันทำงานในห้องสี่เหลี่ยมอย่างเดียวแล้วทุกอย่างจะเวิร์ก อาจต้องเปลี่ยนความคิดใหม่ ลองพาตัวเองปลูกต้นไม้ เพิ่มกิจกรรมที่สัมพันธ์กับธรรมชาติแล้วลองสังเกตตัวเองดูว่าการได้ละเลียดเวลาไปกับสีเขียวนั้นน่ารื่นรมย์และเพิ่มประสิทธิภาพความจำเพียงใด

ไม่เพียงแค่นั้นงานวิจัยอีกชิ้นที่ทดสอบกับผู้ป่วยที่นอนนอน admit ในโรงพยาบาล พบว่าผู้ป่วยที่มีหน้าต่างเห็นวิวธรรมชาติเห็นต้นไม้จะฟื้นตัวได้เร็วกว่าผู้ป่วยที่นอนอยู่ในห้องทึบ ๆ ที่ไม่เห็นอะไรเลย ก็คงพอจะบอกได้แล้วว่าการมีธรรมชาติอยู่ใกล้ ๆ ตัว การได้ใกล้ชิด ดูแลต้นไม้สักต้นนั้นมีความหมายต่อร่างกายและจิตใจเรามากเพียงใด

Tree Day: อยากคิดงานง่าย หายใจราบรื่น ปลูกต้นไม้เพื่อความยั่งยืนไปพร้อมกัน

การปลูกต้นไม้จึงเป็นทั้งเทรนด์ที่คนรุ่นใหม่ (และคนอีกหลายวัย) ต่างนิยมและหลงรัก ทั้งยังช่วยเพิ่มปริมาณอากาศบริสุทธิ์ให้โลกใบนี้ ที่สำคัญการปลูกต้นไม้ยังช่วยให้เราผ่อนคลาย ทำงานได้ดีขึ้น รวมถึงเพิ่มประสิทธิภาพการจำ สำหรับใครที่ยังไม่เคยปลูกต้นไม้มาก่อนเพราะคิดว่ามันยากเกินไป หรือเหงาเกินไปที่จะเริ่มลงมือปลูกต้นไม้ลำพัง เราชวนขอชวนมาร่วมแคมเปญดี ๆ  Sansiri Tree Day ที่เราจะได้ปลูกต้นไม้ไปพร้อมกัน

กิจกรรมในวันที่ 26 มกราคม ที่ผ่านมา แคมเปญสีเขียวเพื่อโลก เพื่อทุกคนและเพื่อตัวคุณเองจากแสนสิริก็ได้ร่วมรณรงค์ให้ให้ทุกคน ร่วมกันปลูกต้นไม้คนละต้น ซึ่งถือเป็นการต่อยอดที่จะไปถึงเป้าหมายให้ประสบความสำเร็จด้วยการปลูกช่วยกันให้ถึงแสนต้นในอาทิตย์สุดท้ายของเดือนมกราคมของทุกปี โดย Sansiri Tree Day ปีนี้เป็นปีแรก แสนสิริได้เชิญชวนลูกบ้านกว่า 5,000 ครอบครัว ใน 70 โครงการของแสนสิริที่พลัส พร็อพเพอร์ตี้ดูแล รวมถึงคนไทยทั่วประเทศ มาร่วมปลูกต้นไม้พร้อมๆ กันและกิจกรรมพิเศษ Decoupage Planter Workshop ใน 6 โครงการของแสนสิริ เพื่อร่วมสร้างอนาคตที่ยั่งยืนเพื่อวันพรุ่งนี้ของทุกคน

สำหรับใครที่อยากติดตามอัปเดตความสนุกและดูต้นไม้ของเพื่อน ๆ หัวใจสีเขียวจากกิจกรรม Sansiri Tree Day ปลูก “หนึ่ง” ให้ถึง “แสน” สามารถติดตามได้ที่ Facebook: Sansiri PLC, Twitter: SansiriInstagram: sansiriplc และ blog.sansiri

OFF-WHITE x LOUVRE MUSEUM คอลเลกชันสตรีตที่ระลึกถึง 500 ปี หลังการจากไปของ DA VINCI

$
0
0

ถ้าแบรนด์ไฮสตรีตที่มีชื่อเสียงมาก ๆ ในวงการแฟชั่นมาเจอกับพิพิธภัณฑ์ที่มีผู้เข้าชมมากที่สุดในโลกจะเป็นอย่างไร ? เป็นคำถามที่ใครหลายคนต่างอยากจะรู้ว่าแฟชั่นสตรีตที่กลายเป็นเรื่องสมัยใหม่ต้องมาผูกเข้ากับความคลาสสิกของงานศิลปะ สถาปัตยกรรม และเรื่องราวที่มีมานานหลายร้อยปี

ในที่สุดคำถามข้างต้นก็ได้รับคำตอบเมื่อแบรนด์สตรีตแฟชั่นของดีไซเนอร์มากฝีมือ Virgil Abloh อย่าง Off-White ออกคอลเลกชันพิเศษร่วมกับ Louvre Museum สถานที่จัดแสดงและเก็บรักษาผลงานศิลปะอันทรงคุณค่าของโลกมากกว่า 35,000 ชิ้น ที่เปิดให้สาธารณชนเข้าชมตั้งแต่ปี 1793 ทั้งโด่งดังและมีคุณค่ามากที่สุดแห่งหนึ่งของฝรั่งเศส 

แฟชั่นสไตล์สตรีตคอลเลกชันพิเศษจาก Off-White x Louvre Museum เต็มไปด้วยสุนทรีย์แห่งความคลาสสิกที่ไม่คิดว่าจะมาบรรจบกันได้ โดยดีไซเนอร์และเจ้าของแบรนด์ Virgil Abloh เลือกหยิบผลงานศิลปะในพิพิธภัณฑ์ของศิลปินสุดโด่งดังอย่าง Leonardo da Vinci ผู้ได้ฉายาชายจากยุคฟื้นฟูศิลปวิทยา มาเล่าเรื่องบนเครื่องแต่งกาย

“Virgin of the Rocks and The Virgin and Child with Saint Anne” คือผลงานของ Da Vinci ที่ Virgil Abloh เลือกมาอยู่บนเสื้อผ้า “ภาพสีน้ำมันของพระนางพรหมจารีและพระกุมารับนักบุญอันนา” ที่ถูกวาดขึ้นราวช่วงปี 1508 ถูกบรรจงวางอยู่ในคันศรขนาดใหญ่สัญลักษณ์ของ Off-White ส่วนภาพสีน้ำมันอีกชิ้นที่มีชื่อว่า “Virgin of the Rocks” หรือ “พระแม่มารีแห่งภูผา” จากปี 1483-1486 ที่จะประทับอยู่ตรงอกซ้ายของเสื้อฮู้ดแขนยาว ทั้งสองชิ้นคือไอเทมที่ถูกพูดถึงมากที่สุดในคอลเลกชันนี้

ไอเทมเท่ ๆ ที่สร้างสรรค์จากผลงานสุดอมตะของโลกทุกชิ้นจะเป็นเครื่องแต่งกายแบบ Unisex ที่ไม่ว่าใครก็สามารถสวมใส่ได้ โดยคอลเลกชันสุดพิเศษนี้มีวางจำหน่ายในช็อปของ Off-White และบนเว็บไซต์ Off—white.com

 

SOURCE

ทำงานไปเล่นไปให้ผลดี? ผลสำรวจเผยว่าการท่องอินเทอร์เน็ตในเวลางาน ช่วยให้ทำงานดีขึ้น

$
0
0

ผู้ชายแต่ละคนก็คงมีพฤติกรรมการทำงานที่แตกต่างกันไป บ้างชอบมาทำงานเช้าแล้วกลับเร็ว เร่งทำงานที่ได้รับมอบหมายให้สำเร็จลุล่วง เพื่อจะได้เหลือเวลาไปทำเรื่องอื่น ๆ ในชีวิต ในทางกลับกันหนุ่มบางคนเป็นสายชิลที่ชอบมาสายหน่อย แต่ก็ทำงานได้เรื่อย ๆ จะอยู่จนดึกดื่นก็ไม่เกี่ยง เพราะชอบทำงานแบบเนิบช้ามากกว่าเร่งด่วน

แต่ที่แปลกกว่านั้นคือมีมนุษย์ทำงานบางคนชอบทำงานไป ท่องโลกอินเทอร์เน็ตไป ทำงานได้ไม่ถึงสิบนาทีก็กด new tap แวะไปเล่นเฟซบุ๊กอีกห้านาทีค่อยกลับมาทำงานต่อ ไม่รู้ว่าพวกเขาสมาธิสั้นหรือไม่อยากเคร่งเครียดกับงานมากไปกันแน่

ในปี 2002 ทีมนักวิจัยของ The National University of Singapore สันนิษฐานว่าพฤติกรรมการใช้อินเทอร์เน็ตและโซเชียลมีเดียในที่ทำงาน เป็นปัญหาใหญ่ที่อาจส่งผลให้พนักงานทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ

หลังจากนั้นก็มีงานวิจัยชิ้นอื่น ๆ สนับสนุนข้อสันนิษฐานดังกล่าวเช่นกัน ทำให้หลากหลายบริษัทพยายามหาแนวทางป้องกันไม่ให้พนักงานใช้อินเทอร์เน็ตหรือโซเชียลมีเดียระหว่างทำงานมากเกินไป ทั้งตรวจสอบการใช้อินเทอร์เน็ตและกำหนดนโยบายการใช้คอมพิวเตอร์ของบริษัท

การท่องโลกอินเทอร์เน็ตช่วยจัดการกับความเครียดได้?

มีรายงานว่าชาวอเมริกันใช้เวลาประมาณ 10% ของเวลาทำงานไปกับการท่องโลกอินเทอร์เน็ต เล่นโซเชียลมีเดีย ส่งอีเมลหาเพื่อนสนิท และชอปปิงออนไลน์ แต่พฤติกรรมทั้งหมดนี้ไม่ได้สะท้อนว่าพวกเขาขี้เกียจหรือไม่ตั้งใจทำงานแต่อย่างใด

เพราะผลสำรวจเผยว่าพฤติกรรมที่ชอบทำงานพลางท่องโลกอินเทอร์เน็ตพลาง ช่วยให้พนักงานรับมือกับสภาพแวดล้อมการทำงานที่ตึงเครียดและกดดันได้เป็นอย่างดี ซึ่งนั่นอาจทำให้พวกเขาทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นก็ได้

จากการสำรวจนักศึกษามหาวิทยาลัย 258 คน ที่ทำงานอย่างน้อย 20 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ เกี่ยวกับประสบการณ์การทำงานของพวกเขา พบว่าการใช้อินเทอร์เน็ตในที่ทำงานเพื่อจุดประสงค์ส่วนตัว อาจมีผลเชิงบวกต่อพนักงานและมีผลดีต่อการทำงานอย่างไม่น่าเชื่อ

พนักงานที่ใช้เวลาท่องเว็บไซต์และเล่นโซเชียลมีเดียขณะทำงาน ให้ความเห็นว่าพวกเขาพึงพอใจในที่ทำงานและมีแนวโน้มจะลาออกจากงาน น้อยกว่าผู้ที่ไม่ได้ท่องเว็บไซต์หรือเล่นโซเชียลมีเดียขณะทำงานเสียอีก

ผลสำรวจครั้งนี้ยังพิสูจน์ให้เห็นว่าการท่องโลกอินเทอร์เน็ต อาจเป็นวิธีจัดการกับความเครียดที่ดีวิธีหนึ่ง เนื่องจากสังคมออนไลน์มีผลและอาจเชื่อมโยงกับความสัมพันธ์ของพนักงานตลอดจนความพึงพอใจในการทำงาน

การเล่นอินเทอร์เน็ต โซเชียลมีเดีย หรือทำกิจกรรมอื่น ๆ ในเวลา จึงสร้างช่องว่างระหว่างงานกับตัวพนักงาน และช่วยให้พวกเขาฟื้นตัวจากสถานการณ์การทำงานที่เคร่งเครียดได้

แม้จะพูดไม่ได้เต็มปากว่าการท่องโลกอินเทอร์เน็ต โซเชียลมีเดีย และทำกิจกรรมอื่น ๆ (ในเวลางาน) เป็นเรื่องที่เหมาะสมหรือช่วยให้พนักงานทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ แต่เราเชื่อว่าการพักสายตาหรือพักสมองหลังจากทำงานอย่างหนักหน่วง คงช่วยลดความเครียดและทำให้หนุ่ม ๆ ทำงานต่อไปได้อย่างลื่นไหล

ถ้าจะเล่นอินเทอร์เน็ตหรือใช้โซเชียลมีเดียขณะทำงาน ต้องมั่นใจว่าคุณสามารถจัดสรรเวลาทำงานให้สมดุลกับเนื้องานได้ เพราะถ้าหมดเวลาส่วนใหญ่ไปกับเรื่องอื่น ๆ ทีไม่ใช่งาน คุณอาจไม่เหลือเวลาว่างให้ทำงานตามที่ได้รับมอบหมาย

 

COVER SOURCE SOURCE

‘G-SHOCK GM-6900 METAL BEZEL’ ตำนาน THIRD EYE แห่ง 1995 สู่ซีรีส์นาฬิกาโลหะฉลองรอบ 25 ปี

$
0
0

ต้องยอมรับว่า G-SHOCK ของ Casio เป็นอีกแบรนด์นาฬิกาที่โด่งดังไปทั่วโลก และเชื่อว่าหนุ่ม ๆ สายสตรีตหรือผู้ที่ชอบแต่งตัวแบบ casual style คงหลงรักนาฬิกาจากแดนอาทิตย์อุทัยแบรนด์นี้แน่นอน เพราะนอกจากคุณภาพตัวเรือนที่ได้มาตรฐาน ยังมาพร้อมงานดีไซน์เอกลักษณ์และมิกซ์แอนด์แมตช์เข้าได้กับแทบทุกชุดของผู้ชายเรา

ในปี 1995 Casio เคยเปิดตัวนาฬิกา ‘G-SHOCK DW-6900’ ที่นิยมอย่างรวดเร็วและกลายเป็นรุ่นไอคอนิกของแบรนด์ไปโดยปริยาย แถมรุ่นนี้ยังได้รับฉายาว่า “Third Eye” บ่งบอกถึงประสิทธิภาพสามด้านพื้นฐานของการออกแบบนาฬิกา

casio.com

ปี 2020 นี้  Casio G-SHOCK จึงฉลองครบรอบ 25 ปีของนาฬิการุ่น G-SHOCK DW-6900 พร้อมนำโมเดลดังกล่าวมาปรับโฉมและเพิ่มกรอบโลหะสุดเท่แบบใหม่เข้า ภายใต้ชื่อ ‘G-SHOCK GM-6900 Metal Bezel’

ขณะที่แบรนด์นาฬิกาคลาสสิกจำนวนมากนำเสนอกลไกแอนะล็อก แต่ G-SHOCK GM-6900 Metal Bezel รุ่นนี้กลับใช้กลไกแบบดิจิทัล ที่ไม่เพียงช่วยให้อ่านเวลาได้ง่าย หากยังใช้งานหน้าปัดในรูปแบบอื่น ๆ ได้ ที่ไม่ใช่แค่แสดงวันที่หรือเวลาปัจจุบันเท่านั้น

นอกจากนาฬิการุ่นนี้จะใช้หน้าปัดที่ทำจากกระจกเงาสุดแกร่ง ตัวกรอบโลหะยังดีไซน์พื้นผิวแบบด้านมาให้เลือกสามสี ทั้งรุ่น GM6900G-9 (สีทอง), รุ่น GM6900-1 (สีเงิน) และรุ่น GM6900B-4 (สีแดงคาร์ดินัล) ส่วนสายรัดออกแบบมาเป็นสีดำ ให้ดูตัดกันกับตัวเรือนและชูความโดดเด่นของโลหะที่ถูกไล่เฉดสีมาอย่างงดงาม

casio.com

นาฬิกาแต่ละรุ่นในซีรีส์นี้มีขนาดอยู่ที่ 53.9 x 49.7 x 18.6 มิลลิเมตร และมีน้ำหนักประมาณ 96 กรัม ด้วยกรอบโลหะที่ทนทานและแข็งแกร่งทำให้สามารถกันกระแทกและกันน้ำที่ความลึก 200 เมตรได้

มีระบบจับเวลาถอยหลังและจับเวลาแบบ 1/100 วินาที สลับรูปแบบเวลาได้ทั้ง 12 และ 24 ชั่วโมง ทั้งบนหน้าปัดก็ติดตั้งไฟแบ็กไลต์ที่ช่วยให้มองเห็นในความมืดได้อย่างแจ่มชัด

เอกลักษณ์ของรุ่น ‘G-SHOCK DW-6900’ แห่งปี 1995 คือการออกแบบที่เรียบง่าย ราคาย่อมเยา และประสิทธิภาพที่สามารถสวมใส่ขณะทำกิจกรรมกลางแจ้งทุกประเภท หรือแม้แต่สวมใส่ในชีวิตประจำวันก็ตาม

คงต้องบอกว่า ‘G-SHOCK GM-6900 Metal Bezel’ ที่ผลิตมาเพื่อฉลองครบรอบ 25 ปีของ G-SHOCK DW-6900 ก็ถอดแบบเอกลักษณ์และคุณภาพของรุ่นระดับตำนานมาได้อย่างไม่ผิดเพี้ยน

G-SHOCK GM-6900 Metal Bezel มีกำหนดวางจำหน่ายในวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2020 (ในญี่ปุ่นและประเทศอื่น ๆ ในทวีปเอเชีย) รุ่น GM6900G-9 (สีทอง) เปิดตัวที่ราคา $230 หรือราว 7,080 บาท, รุ่น GM6900-1 (สีเงิน) ราคา $180 หรือราว 5,540 บาท ส่วนรุ่น GM6900B-4 (สีแดงคาร์ดินัล) ราคา $220 หรือราว 6,770 บาท

 

COVER SOURCE , SOURCES: 12


SNEAKERS OF THE MONTH: แนะนำ 6 โมเดล AIR FORCE 1 ที่เตรียมวางขายช่วงต้นปีนี้

$
0
0

ยังไม่ทันผ่านเดือนแรกของปี ค่ายรองเท้าทั้งหลายก็เปิดตัวรองเท้าจำนวนมากจนตามซื้อไม่ทัน โดยเฉพาะเดือนมกราคมและกุมภาพันธ์ที่ถือเป็นเดือนของโมเดล Air Force 1 ก็ว่าได้

Nike

Air Force 1 คือรองเท้าคู่แรกของ Nike ที่มาพร้อมกับเทคโนโลยีรองรับแรงกระแทกแบบ AIR เปิดตัวครั้งแรกในปี 1982 ในฐานะรองเท้าบาสเกตบอล ก่อนวัฒนธรรมต่าง ๆ ทำให้มันกลายเป็นรองเท้าโมเดลคลาสสิกที่ผู้คนหลงใหลแม้เวลาจะผ่านมาถึง 38 ปีแล้วก็ตาม และสำหรับหนุ่มที่ชอบโมเดลนี้เป็นพิเศษ SNEAKERS OF THE MOUNT วันนี้จะมาแนะนำ AIR FORCE 1 หลากหลายรุ่นย่อยที่กำลังจะวางขายเร็ว ๆ นี้ มาดูกันมามีคู่ไหนเข้าตากันบ้าง

 

AIR FORCE 1 React D/MS/X

Hypebeast

AF-1 คู่แรกถือเป็นคู่ที่มีคนรอคอยไม่น้อยทีเดียวสำหรับ AIR FORCE 1 React D/MS/X เป็นการผสมรวมระหว่างความเก๋าด้านงานดีไซน์กับเทคโนโลยีรองรับแรงกระแทกยอดนิยมตัวล่าสุดของ Nike อย่าง React ออกมาเป็น AF-1 สีดำ เชือกขาว ที่ตกแต่งด้วยหนังสีน้ำเงินตรงที่ร้อยเชือก ป้ายตรงส่วนรองเท้าและพื้นอินโซลสีน้ำเงินและสีแดง ใครที่กลัวว่าซื้อ AIR FORCE 1 จะเจอพื้นแข็งใส่เดินไม่สบาย หมดกังวลได้เลยสำหรับคู่นี้

 

 AIR FORCE 1 High ‘University Gold’

Sneaker Bar Detroit

ต่อด้วย AIR FORCE 1 High ตัวล่าสุดมาพร้อมอัปเปอร์สีเหลือง University Gold ที่มีแถบคาดสีดำตรงส่วนหุ้มข้อ ในส่วนโลโก้ Swoosh ผสมผสานระหว่างสีขาวและสีดำ รายละเอียดพิเศษเพื่อย้อนกลับจุดต้นกำเนิดของรองเท้าที่เย็บเป็นรูปลูกบาสเกตบอลในส่วน Heel Tap

 

AIR FORCE 1 ‘Paris NBA’

AF-1 ที่ผลิตขึ้นมาเพื่อระลึกถึงการแข่งขัน NBA ฤดูกาลปกติเกมส์แรกในกรุงปารีสระหว่าง Milwaukee Buck กับ Charlotte Hornets เมื่อวันที่ 24 มกราคมที่ผ่านมาเป็น AIR FORCE 1 Low อัปเปอร์หนังสีขาวที่สกรีนว่า PARIS Association NATIONAL DE BASKETBALL ที่ข้างล่างแต่งด้วยเส้นสีธงชาติฝรั่งเศส พร้อมกับป้ายลิ้นใช้เป็นสีขาว-น้ำเงินและ Heeltap มากับกราฟิกลวดลายใหม่ที่มีคำว่า NBA Paris อยู่

 

AIR FORCE 1 ‘Just Don’

Sneaker Bar Detroit

มาถึงคู่ที่ 3 กับ AIR FORCE 1 ‘Just Don’ รองเท้าที่เกิดจากการร่วมมือของ Nike และ Don C ดีไซน์เนอร์ชื่อดังจากชิคาโก้ ออกมาเป็นผลงาน AIR FORCE 1 High มาพร้อมอัปเปอร์หนังสีฟ้าสด ตกแต่งด้วยสีแดงตรงคำว่า Air ตรงข้างพื้นรองเท้า มีแผนปล่อยออกมาต้อนรับสัปดาห์ All-Star ของ NBA ซึ่งจะจัดขึ้นที่ชิคาโก้ในเดือนกุมภาพันธ์นี้

AIR FORCE 1 x SUPREME และ “Para-Noise”

AIR FORCE 1 สองรุ่นย่อยสุดท้ายถือเป็นของแถมที่ยังไม่มีข่าวจะวางขายเร็ว ๆ นี้ แต่เป็นงานคอลแลปส์ AF-1 ที่หนุ่มทั่วโลกรอคอยแน่นอน คู่แรกคือ AIR FORCE 1 x SUPREME การร่วมมือกับค่ายสตรีตชื่อดังที่มีเพียงโลโก้ก็ทำเงินได้ อีกคู่เป็น “Para-Noise” ภาคต่องานคอลแลปส์คู่ที่ 2 กับเจ้าพ่อแฟชั่นเกาหลี G-Dragon ที่เปิดตัวออกมาในปีนี้แน่นอน

ทั้งหมดคือรองเท้า Nike Air Force 1 ที่เราอยากหยิบมาแนะนำสำหรับ 2 เดือนแรกของปีนี้ สำหรับใครที่เป็นแฟนเดนตายของรองเท้าคู่นี้ในปีนี้มีปล่อยออกมาให้ซื้อแบบจุใจแน่นอน

DRIVE: 2020 MERCEDES-BENZ A200 AMG DYNAMIC CBU รุ่นใหญ่กว่าใครใน SEGMENT

$
0
0

สำหรับ Car Guys หรือคนที่ชื่นชอบรถยนต์ เราเชื่อว่ารถยนต์ทุกคันล้วนมีเสน่ห์ มีความสวยงาม และเกิดมาเพื่อตอบโจทย์การใช้งานของใครบางคนเสมอ

วินาทีที่เราได้ยินราคาเปิดตัว 2,490,000 บาท ของ Mercedes-Benz A 200 AMG Dynamic (CBU) ในสมองก็เกิดการประมวลผลเปรียบเทียบกับรถยนต์รุ่นอื่น ๆ ที่มีราคาใกล้เคียงกันทันที ไม่ว่าจะเป็น segment ที่ใหญ่กว่าอย่าง C 220d Avantgarde ตัวเริ่มต้น หรือที่ใกล้เคียงกันอย่าง GLA ที่มีพื้นที่เยอะกว่าค่อนข้างมาก หรือ CLA ที่ได้ความหล่ออารมณ์คูเป้ และอีกมากมายจากหลายแบรนด์ ว่า A-class คันนี้จะมีจุดเด่นอะไรให้หลายคนตัดสินใจเลือกเป็นเจ้าของ

และทันทีที่เราได้ครอบครองมัน ประสบการณ์ที่ได้สัมผัส A 200 AMG Dynamic มา ก็พบว่ามีจุดเด่นที่น่าประทับใจมากมาย ไม่ว่าจะเป็นความสดใหม่ หน้าตาภายนอกและภายในที่ออกแบบได้อย่างโดดเด่น หรูหรา สปอร์ต เทคโนโลยีที่ทันสมัยกว่า และได้รถยนต์นำเข้าทั้งคันไปขับก่อนใคร ซึ่งทั้งหมดเป็นเพียงเหตุผลบางส่วน แต่ก็มากพอที่จะทำให้ใครหลายคนตัดสินใจครอบครองรถคันนี้ได้ไม่ยาก

Mercedes-Benz A-class ถือเป็นรถยนต์ entry level ที่สำคัญของแบรนด์ ไม่ใช่แค่ในบ้านเรา แต่ในตลาดโลกเองก็เช่นกัน มันเป็นรถยนต์ที่สร้างรายได้ให้กับบริษัทแม้ในยุค SUV ครองโลก จึงไม่แปลกที่ค่าย Mercedes-Benz จะลงทุนกับ Segment นี้มากกว่าใคร เพราะมีทั้ง Hatchback, Saloon และ CLA class

โดยใน Mercedes-Benz A-class Generation ที่ 4 ถือเป็นโมเดลโฉมที่หน้าตาดีที่สุดในตระกูล (ถ้าใครจำ Generation 1 – 3 ได้ จะเข้าใจในพัฒนาการด้านนี้ทันที) เพราะได้อานิสงส์จากรุ่นพี่อย่าง CLS ทั้งภายนอกเช่น ไฟหน้า LED High Performance, กระจังหน้า Diamond Grille หรือภายในที่มาพร้อมคอนโซล หน้าจอแสดงผล รวมถึงพวงมาลัยจาก S-class มันจึงมีแต้มต่อเป็นจุดเด่นที่เหนือกว่าในกลุ่ม Sedan segment เดียวกัน

ความสดที่ถูกสร้างบน Platform ใหม่หมดจด ทำให้ A 200 4-door sedan รหัส V177 ได้รับการอัปเกรดทั้งเทคโนโลยี สิ่งอำนวยความสะดวก รวมถึงพละกำลังจากเครื่องยนต์ 1.3-liter turbo รีดแรงม้าได้มากถึง 163 ตัว ที่ 5,500rpm  แรงบิด 250Nm ที่ 1,620 – 4,000rpm ส่งกำลังขับเคลื่อนล้อคู่หน้าด้วยเกียร์ Dual Clutch 7G-DCT ทำความเร็ว 0-100km/h ได้ในเวลาเพียง 8.1 วินาทีเท่านั้น

การขับขี่จริงได้อารมณ์สปอร์ตจากเสียงเครื่องยนต์และการตอบสนองที่เฉียบคมสมกับเป็น AMG Dynamic เสียงเร่งเครื่องเร้าใจ น่าจะถูกใจผู้ชายที่ชอบลากรอบสูง ๆ ได้ไม่ยาก บวกกับ Theme หน้าจอมาตรวัดความเร็วที่มีให้เลือก 4 สไตล์ ช่วยสร้างความสนุกสนานทุกครั้งที่ได้ขับ เป็นส่วนผสมของความหรูหราที่ไม่มากเกินไป และการขับขี่ที่สนุกสนาน กระชากกำลังดี โดยไม่กระแทกกระทั้นจนขาดความสบาย

ภายนอกสวมชุดแต่ง AMG รอบคันพร้อมล้อ AMG 5 ก้านขนาด 18 นิ้ว ยาง Runflat ขนาด 225/45 R18 ช่วงล่างแบบ Lowered Comfort Suspension ที่เตี้ยลงกว่าปกติอีกเล็กน้อย ช่วยสร้างความดุดันให้กับ A 200 ได้ดียิ่งขึ้น พื้นที่ภายในห้องโดยสารขนาด 4,549 x 1,796 x 1,425 มิลลิเมตร รวมถึงที่เก็บสัมภาระด้านท้ายขนาด 420 ลิตร สามารถพับเบาะหลังแบบ 40:20:40 เพิ่มความจุช่วยให้ใส่สัมภาระขนาดใหญ่ได้มากขึ้น ตอบโจทย์การใช้งานในชีวิตประจำวันได้เกือบทุกสถานการณ์

Interior Design ดูจะเป็นจุดขายที่สามารถทำให้ใครหลงรัก A 200 AMG คันนี้ได้ไม่ยาก เพราะมันใช้ design เดียวกับรุ่นพี่อย่าง CLS ชนิดที่ยกมาทั้งแผง ทำให้ ณ วันนี้ มันจึงมีเสน่ห์และทันสมัยยิ่งกว่า C-class หรือคู่แข่งจากค่ายอื่นค่อนข้างมาก ด้วยช่องแอร์แบบ Turbine Airvents พร้อมไฟเรืองแสง หน้าจอมาตรวัดความเร็ว Digital ขนาด 10.25 นิ้ว และ Digital Infotainment ขนาด 10.25 นิ้ว แบบ touchscreen ระบบปฏิบัติการ Multimedia MBUX พกฟังก์ชันต่าง ๆ มาล้น ๆ แบบไม่แพ้ใครใน segment แสดงให้เห็นถึงการเอาใจใส่ในรายละเอียดของ Mercedes-Benz ได้เป็นอย่างดี

การใช้งานจริง แน่นอนว่าในขณะขับขี่จะใช้งาน Touchscreen ไม่สะดวกนัก แต่ Touchpad ดีไซน์ใหม่บริเวณคอนโซลกลางและพวงมาลัย ก็ช่วยให้ใช้งานฟังก์ชันต่าง ๆ ทั้งสองหน้าจอได้อย่างง่ายดาย  การตอบสนองของระบบรวดเร็วแม่นยำถึงขั้นประทับใจเลยทีเดียว

สิ่งที่น่าแปลกใจคือรถยนต์ราคา 2.49 ล้านบาทที่อัดเทคโนโลยีมาขนาดนี้ ในขณะที่เบาะคนขับด้านหน้าเป็นแบบปรับไฟฟ้า มี Memory 3 ตำแหน่ง แต่เบาะฝั่งผู้โดยสารกลับไม่มีระบบไฟฟ้าใด ๆ เป็นแบบ manual ล้วน ๆ ซึ่งใครจะขับไปรับสาวหรือผู้ใหญ่อาจจะลำบากใจเล็กน้อย

Our Verdict:

Mercedes-Benz A 200 AMG Dynamic (CBU) เป็นรถที่น่าสนใจมากในกลุ่ม Compact Sedan เรียกว่าอยู่ในระดับหัวแถวทั้งด้านงานดีไซน์ เทคโนโลยี อารมณ์ ความหรูหรา สมรรถนะ และความปลอดภัย แต่เนื่องจากเป็นโมเดลนำเข้า จึงจำเป็นต้องเปิดราคาที่ค่อนข้างจะมีตัวเลือกให้เปรียบเทียบอยู่บ้าง

แน่นอนว่ามันเป็นรถยนต์ที่ดี มีจุดเด่นมากมายเหนือคู่แข่งใน segment เดียวกัน หรือแม้แต่ segment ที่เหนือกว่าก็ตาม แต่ด้วยราคา 2.49 ล้านบาท ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบกับ C 200d ก็เป็นทางเลือกที่หลายคนต้องหนักใจ และไม่ผิดที่จะเลือกไป segment ที่ใหญ่กว่า แม้ออปชั่นจะลดลงก็ตามที

หรือถ้าคิดจะซื้อ A 200 AMG จริง เราแนะนำให้รอดูราคารุ่นประกอบในประเทศ (CKD) ซึ่งปัจจุบันมีคุณภาพไม่แพ้กัน น่าจะถูกปรับลงมารักษาระยะห่างจาก C-class มากกว่านี้ (น่าจะอยู่ราว 2.1 ล้านบาทเพื่อรักษา positioning ในตลาด)

แต่ถ้าคุณถูกชะตากับ A 200 AMG ต้องการรถ CBU โดยยินดีที่จะจ่ายสูงกว่านิดหน่อย นี่ก็เป็นรถยนต์อีกคันที่คุณควรมีไว้ในครอบครอง

10 ฉากเด็ดจากการ์ตูนสุดป่วน “THE SIMPSONS”ที่มีเหล่าร็อกสตาร์ชื่อดังไปร่วมแจม

$
0
0

“ซิมป์สันคือการ์ตูนพยากรณ์” หากคุณติดตามข่าวสารหรือชอบเสพมุกตลกอเมริกันเป็นชีวิตจิตใจ เชื่อว่าต้องเคยเห็นชาวเน็ตที่แคปเจอร์ภาพเหตุการณ์ต่าง ๆ จากการ์ตูน The Simpsons (เดอะ ซิมป์สัน) ที่ดันเกิดขึ้นจริงในยุคปัจจุบันผ่าน ๆ ตากันมาบ้าง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องทรัมป์ได้ตำแหน่งประธานาธิบดี (ตั้งแต่ปี 2000), ทายผลบอลในอนาคตถูกต้อง หรือเรื่องดิสนีย์ซื้อ 21st Century Fox

เราเองก็ไม่รู้ว่าพวกเขามีญานทิพย์จริง ๆ หรือความบังเอิญ แต่ด้วยความเป็นการ์ตูนซิตคอมเสียดสีสังคมอเมริกัน ซิมป์สันจึงมักหยิบเหตุการณ์สำคัญของประเทศอเมริกา ณ ช่วงเวลานั้น ๆ มาล้อเลียนอยู่เสมอ และแม้จะถือกำเนิดมาตั้งแต่ปี 1989 การ์ตูนเรื่องนี้ก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะปิดตัวลง อยู่ยั้งยืนยงกับช่อง Fox มายันปัจจุบัน

นอกจากเรื่องทำนายอนาคตแล้ว เอกลักษณ์อีกอย่างของซิมป์สันก็คือ ‘Cameo’ หรือนักแสดงรับเชิญที่โผล่เข้ามามีบทบาท เพื่อสร้างสีสันให้เรื่อง (แม้ไม่ได้สลักสำคัญ) แขกรับเชิญแต่ละคนที่โผล่ในซิมป์สันก็ล้วนแล้วแต่เป็นคนดังมากหน้าหลายตาจากทุก ๆ วงการ โดยเฉพาะ ‘ร็อกสตาร์’ ที่อาจจะไม่ได้มาถี่ แต่พอมาทีก็เกิดเสียงฮือฮาที หลายต่อหลายฉากสำคัญกลายเป็นตอนขึ้นหิ้งที่สร้างความประทับใจให้แฟน ๆ หลายคน และนี่คือ 10 ฉากเด็ดที่เดอะซิมป์สันได้เปลี่ยนวงร็อกระดับโลก ให้กลายเป็นเจ้าตัวเหลืองเหมือนพวกเขา!

Queen (2019)

หลังจากภาพยนตร์เรื่อง Bohamian Rhapsody ประสบความสำเร็จไปทั่วบ้านทั่วเมือง ซิมป์สันก็ไม่พลาดที่จะล้อเลียน Freddie Mercury และวง Queen ในตอน The Fat Blue Line (ซีซัน 31 EP 3 ปี 2019) แถมยังทำฉากเลียนแบบเหตุการณ์ครั้งประวัติศาสตร์อย่างคอนเสิร์ต Live Aid อีกด้วย

Aerosmith (1991)

ปี 1991 วง Aerosmith ได้มาร้องเพลง Walk This Way ในซิมป์สันกันยกวงในตอน Flaming Moe’s (ซีซัน 3 EP 10) ซึ่งเป็นฉากตลก ๆ ตอนที่เจ้าของร้าน Flaming Moe’s เรียกสมาชิกวง Aerosmith ให้ขึ้นมาโชว์บนเวที แต่พวกเขาปฏิเสธเพราะตั้งใจจะมาเที่ยวเล่นเฉย ๆ ปรากฎว่าเจ้าของร้านยื่นข้อเสนอว่า ‘ถ้ายอมร้องเพลงจะได้รับ pickled eggs (ไข่ดองน้ำส้มสายชู) ฟรี!’ พวกเขาถึงได้ยอมทำตามอย่างว่าง่าย

The Red Hot Chili Peppers (1993)

Krusty Gets Kancelled (ซีซัน 4 EP 22 ปี 1993) เป็นอีกหนึ่งตอนที่แฟน ๆ ซิมป์สันชื่นชอบเป็นอย่างมาก เพราะไอ้ตัวการ์ตูนที่ล้อเลียน มันโคตรจะเหมือนสมาชิก The Red Hot Chili Peppers ตัวจริงเสียงจริงเลยครับ โดยเฉพาะท่าทางตอนขึ้นไปร้องเพลงบนเวทีกับการใส่กางเกงเดินเหินไปมาเนี่ยแหละที่เรียกเสียงฮาจากผู้ชมได้ถล่มทลาย

Ramones (1993)

ในตอน Rosebud (ซีซัน 5 EP 4 ปี 1993) วง Ramones ถูกเชิญมาร้องเพลง Happy Birthday ให้ Mr. Burns เจ้าของโรงไฟฟ้านิวเคลียร์แห่งเมือง Springfield ตัวละครสำคัญของเดอะซิมป์สัน แต่จบลงที่การล้อเลียนเขาว่า “ไปตายซะ ไอ้แก่ชั่ว” นอกจากหน้าตาและเสื้อผ้าที่ถอดแบบคาแรกเตอร์สมาชิกในวงออกมาเป๊ะ ๆ แล้ว ซาวด์ดนตรียังทำออกมาได้พังก์ฉบับ Ramones สุด ๆ

The Who (2000)

จู่ ๆ วง Hard Rock ยุค 60 ก็กลายเป็นแขกรับเชิญสำคัญให้ซิมป์สันในตอน A Tale of Two Springfields (ซีซัน 12 EP 250) ซึ่งในตอนนั้นก็ก้าวเข้าสู่ ค.ศ. 2000 พอดิบพอดี ใครเป็นแฟนเพลง The Who น่าจะถูกใจ เพราะบทค่อนข้างสำคัญและโดดเด่น แถมยังจบเท่อีกต่างหาก

U2 (1998)

‘U2’s PopMart Tour’ คือการทัวร์คอนเสิร์ตที่ยิ่งใหญ่และยาวนานของวง U2 จนคนเขาบอกว่าหันไปทางไหนปลายยุค 90 ก็เจอแต่ทัวร์นี้ เดอะซิมป์สันจัดให้ นำมายำในโชว์แบบไม่ผิดหวัง จะเป็นอย่างไรเมื่อคุณพ่อ Homer Simpsons ขึ้นมาแจมบนเวที US ด้วยตัวเองเสีย ซึ่งฉากนี้อยู่ในตอนที่ชื่อ “Trash of the Titans” (ซีซัน 9 EP 22 ปี 1998)

R.E.M (2001)

ครั้งหนึ่งวงร็อกระดับโลก (แม้จะยุบไปแล้ว) อย่าง R.E.M ได้มาร้องเพลง It’s the End of the World as We Know It ในแบบฉบับซิมป์สันกันถึงบาร์เล็ก ๆ ในบ้าน Homer ซึ่งเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในตอนที่ชื่อ Homer the Moe (ซีซัน 13 EP 272) ครับ

Metallica (2006)

The Mook, the Chef, the Wife and Her Homer ตอนแรกของซีซัน 18 (ปี 2006) ก็เปิดมาด้วยแขกรับเชิญระดับโลกอย่าง Metallica อภิมหาตำนานเพลงแทรชเมทัล ถึงจะมาแค่สั้น ๆ แต่ก็ได้ซีนมาก ๆ เพราะคาแรกเตอร์สมาชิกในวงแต่ละคนค่อนข้างชัดเจน

The White Stripes (2006)

ในปี 2006 เป็นยุคที่ดนตรีการาจร็อกนอกกระแส เริ่มได้รับความนิยมในหมู่วัยรุ่น ซึ่งในตอนที่ชื่อว่า Jazzy and the Pussycats (ซีซัน 18 EP 2) เจ้า Bart ลูกชายแห่งบ้านซิมป์สันเกิดปัญหาด้านการจัดการอารมณ์ คุณและคุณนายซิมป์สันจึงตัดสินซื้อกลองชุดให้เป็นของขวัญ ปรากฏว่าเจ้าเด็กหนุ่มตีกลองตลอดเวลาไม่ยอมหลับไม่ยอมนอน ในฉากนี้เองที่พวกเขาทำขึ้นมาเพื่อล้อเลียนมิวสิกวิดีโอเพลง Hardest Button To Button ของ The White Stripes  นอกจากจะทำเลียนแบบได้เหมือนมาก ๆ ก็ยังเชิญ 2 สมาชิก Jack White และ Meg White มาเป็นแขกรับเชิญอีกด้วย

Green Day (2007)

วง Green Day จัดว่าได้รับเกียรติยิ่งใหญ่ที่สุดเท่าที่ซิมป์สันเคยให้แล้วครับ เพราะได้อยู่ใน The Simpsons Movie งานนี้พวกเขาไม่ได้มาร้องเพลงตัวเองนะครับ แต่มาเล่นเพลง Theme Song ของซิมป์สันในเวอร์ชันร็อกฉบับ Green Day ถึงบทจะน้อย แต่ก็เรียกเสียงฮือฮาเป็นที่เลื่องลือไม่น้อยในยุค 2007 ความตลกร้ายคือในเนื้อเรื่องมีการเสียดสีเกี่ยวกับเรื่องที่แฟนเพลงมักไม่สนใจพวกเขา เวลาพยายามพูดถึงปัญหาสิ่งแวดล้อมนั่นเอง

อันที่จริงยังมีอีกหลายตอนเลยนะครับที่มีศิลปินชื่อดังมาเป็น Cameo ในเรื่องนี้ สำหรับ 10 ฉากที่เราหยิบยกมาในวันนี้ก็เป็นเพียงส่วนหนึ่งให้ชาวร็อกได้ดูกันขำ ๆ เท่านั้น เอาเป็นว่าชอบวงไหนก็ลองค้นหาชื่อวง แล้วต่อด้วยคีย์เวิร์ด The Simpson ทาง Youtube เผื่อวงโปรดของคุณจะเคยเป็นหนึ่งในแขกรับเชิญมาก่อน ลองดูครับ!

Source

 

ชมคอลเลกชันรถยนต์สุดเท่ของ JAMES HETFIELD ฟรอนต์แมนแห่งวง METALLICA

$
0
0

หนุ่ม ๆ หลายคนโดยเฉพาะคอเพลง Metal และ Thrash Metal คงรู้จะรู้เจมส์ เฮตฟิลด์ ฟรอนต์แมนของโคตรวงดนตรีอย่าง Metallica ที่คงไม่ต้องอธิบายให้มากความถึงความสามารถทางดนตรีที่มีอิทธิพลกับผู้คนจำนวนมาก แต่นอกจากความหลงใหลในด้านดนตรีแล้ว หลายคนอาจไม่เคยทราบว่าป๋าเจมส์ก็เป็นหนึ่งในคนรักรถและนักสะสมรถตัวยง โดยเฉพาะโมเดล Custom ซึ่งวันนี้คอลเลกชันรถส่วนตัวของเขาถูกขนมาจัดแสดงให้ชมกันแล้ว

Shane the Gamer

‘Reclaimed Rust: The James Hetfield Collection’ คือชื่องานจัดแสดงครั้งนี้ซึ่งจะเปิดให้ทุกคนเข้าชมในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ งานเกิดจากแนวความคิดของ James Hetfield ผู้หลงใหลในรถยนต์ที่ต้องการแสดงออกถึงพลังด้านศิลปะรถยนต์คลาสสิกหายากและรุ่น Custom จำนวนมาก

รถยนต์ในคอลเลกชันประกอบไปด้วย Jaguar Mark IV รุ่นปี 1948 “Black Pearl” และ Packard รุ่นปี 1934 “Aquarius” ต่อด้วยโมเดลสุดเก๋า Buick Skylark รุ่นปี 1953 “skyscraper” และตำนานคลาสสิกอย่าง Lincoln Zephyr รุ่นปี 1937 “Voodoo Priest”

ปิดท้ายด้วย Auburn รุ่นปี 1936 “Slow Burn” โดยรถทุกคันออกแบบและ Custom โดยสำนักแต่งชั้นนำในประเทศสหรัฐอเมริกา ส่วนชื่อตามหลังชื่อรุ่นเป็น AKA ที่ เจมส์ เฮตฟิลด์ ตั้งให้รถของตัวเอง

ถือเป็นอีกคอลเลกชันส่วนตัวที่พลาดไม่ได้สำหรับคนรักรถคลาสสิกและแฟนของเจมส์ เฮตฟิลด์ ที่เต็มไปด้วยรถยนต์โมเดลในตำนานจำนวนมากที่ถูกเปลี่ยนให้สวยงามตามความต้องการของฟรอนต์แมนแห่ง METALLICA ซึ่งจะออกมาสวยงามแค่ไหนดูภาพเพิ่มเติมด้านล่างนี้

GAME HIGHLIGHTS: เปิดตัว MONSTER HUNTER RIDERS ภาคใหม่ของซีรีส์ล่าแย้ที่เกมเมอร์รอคอย

$
0
0

เริ่มปี 2020 นี้ ค่าย Capcom เจ้าเก่าเจ้าเดิมเตรียมประกาศเปิดตัว ‘Monster Hunter Riders’ ภาคใหม่ของเกมซีรีส์ Monster Hunter ที่เคยครองใจเกมเมอร์นับล้านทั่วโลกมาแล้ว แต่ภาคนี้มาพร้อมระบบการเล่นบนมือถือและกราฟิกที่ถูกปรับมาให้สมจริงยิ่งกว่าภาคก่อน

Monster Hunter Riders เป็นเกมแนว RPG หรือ “เกมล่าแย้” ที่เน้นการผจญภัยในโลกที่เต็มไปด้วยมอนสเตอร์ประเภทต่าง ๆ ตัวเกมเล่าถึงทวีป Felgia อันเป็นสถานที่อยู่อาศัยของมนุษย์และสัตว์ประหลาด

GamingBolt

ในอดีตเหล่าอัศวินผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสิบเคยกอบกู้อาณาจักรแห่งนี้เอาไว้ แต่ตอนนี้ Felgia กำลังจะถูกภัยพิบัติครั้งใหญ่มาเยือนอีกครั้ง เมื่อสัตว์ประหลาดจากโลกมืดจ้องจะโจมตีมนุษย์และเต็มไปด้วยความอาฆาตพยาบาท Riders อย่างคุณจึงได้รับคำสั่งให้เข้าต่อสู้และไขปริศนาของจอมมืดที่หวังทำลายความสุขสงบในอาณาจักรแห่งนี้

Monster Hunter Riders ไม่เพียงเป็นทายาทของเกมซีรีส์ระดับตำนาน แต่ภาคนี้ยังมาพร้อมภาพกราฟิกที่ดูสมจริง ลายเส้นแบบอนิเมะสไตล์ญี่ปุ่น และเอฟเฟกต์การต่อสู้ที่แพรวพราวสะดุดตา

ตัวละครในเกมคาดว่าคงมีให้เลือกมากมายเหมือนอย่างใน trailer แถมแต่ละตัวก็คงมีค่าสถานะ ความสามารถ และอาวุธคู่มือที่ต่างกัน รวมทั้งคงเป็น Riders ที่มีสัตว์เลี้ยงคู่ใจคนละสายพันธุ์กันอย่างแน่นอน

Wanuxi

ตอนนี้ยังไม่มีรายละเอียดเกี่ยวกับระบบเกมเพลย์มากนัก แต่เชื่อว่าวิธีการเล่นคงไม่ต่างจากเกม RPG ทั่วไป คือได้รับภารกิจและต้องต่อสู้กับมอนสเตอร์เพื่อเงินรางวัล รวมกลุ่มกับเหล่า Riders คนอื่น ๆ ออกเดินทางเก็บเลเวล และตะลุยดันเจี้ยนเพื่อรับค่าประสบการณ์ตลอดจนของรางวัลพิเศษ

มอนสเตอร์ในเกมนี้ก็มีทั้ง Rathalos, Zinogre, Nargacuga และ Glavenus ที่คุ้นหน้าจากเกมภาคก่อน ทั้งยังมีมอนสเตอร์หน้าใหม่ตัวอื่น ๆ ที่คุณยังไม่เคยต่อกรกับพวกมันมาก่อนด้วย

แม้ Monster Hunter Riders จะเปิดให้ดาวน์โหลดฟรีโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย แต่ภายในเกมก็มีระบบ Microtransactions หรือ การจ่ายเงินจริงเพื่อซื้อของในเกม เข้ามาช่วยปลดล็อกขีดความสามารถของตัวละครและเพิ่มความสะดวกสบายให้ผู้เล่นมากขึ้น

Monster Hunter Riders จะเปิดให้เล่นในช่วงฤดูหนาวของญี่ปุ่น หรือระหว่างเดือนธันวาคมถึงกุมภาพันธ์ปีนี้ โดยดาวน์โหลดได้ทั้งบน App Store และ Google Play แต่เล่นได้เฉพาะสมาร์ตโฟนที่ติดตั้ง iOS12 และ Android 6.0 Marshmallow เป็นต้นไปเท่านั้น

ผู้เล่นสามารถเข้าไปลงทะเบียนล่วงหน้าเพื่อรับไอเทมในเกมได้แล้ววันนี้ผ่าน Store ของญี่ปุ่น สำหรับเกมเมอร์ชาวไทยคงต้องอดใจรออีกไม่นิด แต่เชื่อว่า Monster Hunter Riders ภาคนี้มันส์สะใจ ไม่ทำให้หนุ่ม ๆ ที่ตั้งตารอผิดหวังแน่นอนครับ

 

COVER SOURCE , SOURCES: 12

IMPERFECT RESIDENCE: อพาร์ตเมนต์สไตล์ WABI-SABI ที่เชื่อว่าความงามไม่จำเป็นต้องสมบูรณ์แบบ

$
0
0

Wabi-sabi (วะบิ-ซะบิ) เป็นอีกแนวทางการออกแบบของญี่ปุ่นที่โด่งดังไม่แพ้มินิมัลสไตล์อันเลื่องชื่อ บ้างว่า Wabi-sabi คือปรัชญาการใช้ชีวิตเช่นเดียวกับ Ikigai (อิคิไก) แต่ไม่ได้มุ่งเน้นเรื่องการค้นหาความหมายในชีวิต หากว่าด้วยเรื่องการยอมรับความไม่สมบูรณ์ของทุกสรรพสิ่งรอบตัว

นอกจากแนวคิดนี้จะหยั่งรากลึกลงในวิถีชีวิตของคนญี่ปุ่นแล้ว Wabi-sabi ยังเข้ามามีอิทธิพลต่อแวดวงการออกแบบด้วยเช่นกัน เหล่านักออกแบบและสถาปนิกบางคนเริ่มนำวัสดุที่ผุกร่อนและมีรอยตำหนิมาใช้ในงาน เลิกยึดติดกับความงามตามอุดมคติและเปิดใจยอมรับว่าบางครั้งความไม่สมบูรณ์แบบก็งดงามและมีคุณค่า

dezeen.com

NC Design & Architecture สตูดิโอออกแบบของฮ่องกงได้รับโจทย์ให้ออกแบบห้องที่มีพื้นที่ใช้สอย ดูสวยงาม และมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว สตูดิโอรายนี้จึงนำวัสดุที่มีร่องรอยขีดข่วนและรอยตำหนิ

ตั้งแต่เฟอร์นิเจอร์ชิ้นใหญ่ไปจนถึงของตกแต่งชิ้นเล็ก มาสร้างสรรค์ผลงานสถาปัตยกรรมภายใน ที่สะท้อนความงดงามของความไม่สมบูรณ์แบบตามหลักปรัชญา Wabi-sabi

dezeen.com

พื้นที่ใช้สอยขนาด 157 ตารางเมตรถูกแบ่งให้เป็นสามส่วนหลักคือห้องนั่งเล่น ห้องนอน และห้องน้ำที่มีทางเดินไม้ยกระดับเป็นตัวกั้น ซึ่งทางเดินไม้ที่ออกแบบให้สูงกว่าพื้นห้องนั้นได้แรงบันดาลใจมาจาก Genkan (เก็นคัง) โถงทางเข้าบ้านที่ไล่ระดับพื้นตามแบบบ้านญี่ปุ่นดั้งเดิม ส่วนห้องครัวและห้องอ่านหนังสือจะตั้งอยู่ทางด้านหลังของห้องหลัก

ภายในอพาร์ตเมนต์นี้ดีไซน์ด้วยวัสดุธรรมชาติเป็นหลัก ใช้พื้นไม้และผนังไม้บางส่วนสร้างความอบอุ่นแบบบ้านญี่ปุ่น ผนัง เพดาน ผ้าม่าน และเฟอร์นิเจอร์บางชิ้นก็เลือกใช้เป็นสีเอิร์ธโทนที่ดูอบอุ่นเช่นกัน

dezeen.com

แม้จะตกแต่งให้ดูเรียบง่าย แต่ก็มีเฟอร์นิเจอร์หินอ่อนที่มีรอยตำหนิหลายชิ้นช่วยสร้างความโดดเด่นและเป็นจุดนำสายตา ทั้งยังได้หินอ่อนทรงเรขาคณิตและโลหะออกซิไดซ์เก่า ๆ ประดับประดาตามผนัง เป็นเหมือนงานประติมากรรมขนาดย่อม

เฟอร์นิเจอร์ที่ติดตั้งในห้องนั่งเล่นยังถูกเลือกสรรอย่างพิถีพิถัน เพื่อสร้างบรรยากาศที่สงบ เรียบง่าย และดูเป็นธรรมชาติมากที่สุด โทรทัศน์และประตูที่เชื่อมไปยังห้องต่าง ๆ จึงถูกบดบังด้วยแผ่นปูนสีครีม เว้นช่องว่างระหว่างอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์หรือการเชื่อมต่อกับผู้คนชั่วขณะ เอื้อให้ผู้พักอาศัยรู้สึกเป็นส่วนตัวมากที่สุด

ห้องนอนในอพาร์ตเมนต์ดีไซน์ให้แตกต่างจากส่วนอื่น ๆ เล็กน้อย โดยจะใช้ผนังสีเบจไล่โทนเข้มขึ้นมาหน่อย มีโคมไฟยาวตรงพุ่งลงมาจากเพดาน และออกแบบผนังบริเวณหัวเตียงด้วยแผ่นไม้สีเข้มที่เรียงต่อกัน ตัวโครงเตียงห่อหุ้มด้วยหนังและบริเวณปลายเตียงจะมีเคาน์เตอร์ไม้ที่ติดกับหน้าต่างบานกว้าง พร้อมต้อนแสงธรรมชาติที่ลอดผ่านเข้ามา

dezeen.com

โซนห้องแต่งตัวดีไซน์แบบ open-plan เชื่อมต่อกับห้องน้ำโดยตรง ภายในห้องน้ำมีเสาหินอ่อนตั้งเด่น อ่างอาบน้ำถูกตั้งติดกับหน้าต่าง และมีอ่างล้างมือวงรีสีทองแดงที่วางอยู่บนเคาน์เตอร์หินอ่อน

ตัวพื้นห้องน้ำถูกตกแต่งด้วยปูนฉาบมือที่ดีไซน์มาเพื่อช่วยให้ผู้พักอาศัยรู้สึกสงบยิ่งขึ้น พร้อมติดตั้งชุดกระจกโค้งผ่าครึ่งบ่งบอกถึงความงดงามที่ไม่จำเป็นสมบูรณ์แบบเต็มบาน

dezeen.com

Wabi-sabi ใช่จะต่อต้านความงามแต่อย่างใด หากนำเสนอความงามในอีกรูปแบบหนึ่ง ซึ่งเป็นความงามจากการมองเห็นคุณค่าของความเรียบง่าย พบสุนทรียภาพจากสิ่งที่แสนธรรมดา และยอมรับความไม่สมบูรณ์ของทุกสิ่งได้

แม้อพาร์ตเมนต์นี้จะนำวัสดุหรือเฟอร์นิเจอร์เก่าที่มีรอยตำหนิมาใช้ แต่อุปกรณ์ตกแต่งทั้งหมดภายในกลับผสมผสานและกลมกลืนกัน โดยไม่มีส่วนใดดูแปลกแยกหรือกระจัดกระจายไป

ทีมสถาปนิกเชื่อว่าการออกแบบที่ดีควรทำให้ผู้อยู่อาศัยรู้สึกผ่อนคลายเหมือนอยู่ในโอเอซิสเล็ก ๆ ที่ห่างไกลจากความวุ่นวายของฮ่องกง และหลักปรัชญา Wabi-sabi ที่ไม่มุ่งเน้นเรื่องความสมบูรณ์แบบ คงช่วยให้ผู้อยู่อาศัยไม่ตึงเครียดเกินไปและเป็นอิสระมากขึ้น

 

Photography is by Harold De Puymorin.

 

COVER SOURCE SOURCE

“INDUSTRIAL ROCK”จากดนตรีของชนชั้นที่ถูกกดขี่ สู่ความเกรี้ยวกราดบนโลกเมนสตรีมยุค 90

$
0
0

หากคุณเป็นหนึ่งคนที่วนเวียนอยู่ในแวดวงเพลงร็อก เมื่อเอ่ยคำว่า ‘Industrial Rock’ (อินดัสเทรียลร็อก) ศิลปินคนแรกที่คุณจะนึกถึง คงหนีไม่พ้น Nine Inch Nails หรือ Marilyn Manson สำหรับดนตรีแนวนี้ ถึงจะเป็น Genre ที่แตกแขนงออกมาจากร็อก มีความคล้ายคลึงกับอิเล็กทรอนิกส์ร็อกอยู่หลายประการ แต่ก็ไม่สามารถถูกเหมารวมได้ เพราะดนตรีแนวนี้มีความแปลกแตกต่าง ทั้งในแง่ซาวด์ แนวคิด และประวัติความเป็นมา

เอกลักษณ์ของอินดัสเทรียลร็อกคือการหลอมรวมระหว่าง ‘ร็อก’ กับ ‘อิเล็กทรอนิกส์’ ให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน โดยมีหัวใจหลักคือความดุดัน ก้าวร้าว และตีแผ่ความไม่น่าอภิรมย์ทั้งหลาย ก่อนหน้าจะมีอินดัสเทรียลร็อก โลกของเรามี ‘ดนตรีอินดัสเทรียล’ แบบดั้งเดิมมาก่อนตั้งแต่ยุค 70’s ถึงแม้จะไม่เกรี้ยวกราดบาดหูเท่า แต่ก็เต็มไปด้วยความสิ้นหวังมืดหม่นไม่แพ้กัน เพราะอะไรพวกเขาถึงนำเอาความบันเทิงที่ควรจะสร้างความสุข มาถ่ายทอดความอับเฉาของโลกใบนี้เท่านั้น ?

กำเนิดดนตรี Industrial

ค.ศ. 1970 เมื่อเครื่องซินธิไซเซอร์ คอมพิวเตอร์ และดนตรีอิเล็กทรอนิกส์เริ่มเข้ามามีบทบาทกับอุตสาหกรรมดนตรี กลุ่มศิลปินทั่วโลกทั้งในและนอกกระแสต่างให้ความสนและนำดนตรีประเภทนี้มาสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ ในแบบฉบับของตัวเอง ‘ดนตรีทดลอง’ หรือที่เรียกว่าแนว avant-garde เริ่มแพร่กระจายไปทุกหนทุกแห่ง

ในขณะที่ศิลปินส่วนมากหยิบจับดนตรีอิเล็กทรอนิกส์มาสร้างเป็นเพลงแดนซ์ ดิสโก้ เพื่อเติมสีสันและความรื่นรมย์ให้กับโลกใบนี้ แต่สำหรับชนชั้นที่ปากกัดตีนถีบกว่า พวกเขาเลือกที่จะนำเสียงสังเคราะห์เหล่านั้นมาถ่ายทอดความอัปยศของสังคม การเมือง และตั้งคำถามเรื่องศีลธรรมผ่านบทเพลง ซาวด์ดนตรีก็จะมีความหยาบกระด้าง ให้ความรู้สึกอึดอัด กดดัน มีการใส่เสียง Noise แปลก ๆ มีความยุ่งเหยิง ไม่สอดคล้องในท่วงทำนอง อย่างในอเมริกาเพลงที่มีลักษณะนี้แบบนี้อาจถูกนับรวมอยู่ใน No Wave Scene (คุณสามารถทำความรู้จักดนตรี No Wave ได้ที่นี่ คลิก) ส่วนทางฝั่งเยอรมันก็มีแนวดนตรีที่เรียกว่า Krautrock มาตั้งแต่ปี 60’s ศิลปินจากฝั่งอังกฤษและอเมริกาก็ได้อิทธิพลบางอย่างมาจากพวกเขาเช่นกัน

ดนตรี No Wave

ฟากฝั่งสหราชอาณาจักรยังไม่มีคำเรียกดนตรีแนวนี้แบบตายตัว รวมถึงยังไม่มีการรวมตัวของศิลปินใต้ดินที่ทำเพลงลักษณะนี้ จนกระทั่งปี ค.ศ. 1976 Throbbing Gristle กับ Monte Cazazza รวมตัวสร้างค่ายเพลงใต้ดินที่มีชื่อว่า Industrial Record ขึ้นมาเพื่อรวมคนทำเพลงประเภทเดียวกันในเกาะอังกฤษให้เป็นกลุ่มก้อน โดยเกิดจากแนวคิดที่ว่า ดนตรีประเภทนี้เกิดขึ้นมาเพื่อตอบสนองโลกแห่งจักรกลและให้ความสำคัญกับเสียงสังเคราะห์ พวกเขาจึงเลือกใช้คำว่า ‘Industrial’ ที่แปลตรงตัวว่าอุตสาหกรรม ยึดถือคติที่ว่า “อุตสาหกรรมดนตรี เพื่อคนในอุตสาหกรรม” ซึ่งคนอุตสาหกรรมในที่นี้ก็คือชนชั้นแรงงานและชนชั้นกลางระดับล่างนั่นแหละครับ

มันคือหลักฐานว่าทุก ๆ คนมีความสามารถที่จะทำดนตรี ไม่ว่าพวกเขาจะตระหนักถึงมันหรือไม่ก็ตาม

– Throbbing Gristle

เมื่อ Industrial Record ถือกำเนิดขึ้น ทิศทางดนตรีและความเป็นอันหนึ่งอันเดียวก็เริ่มก่อตัว อันที่จริงพวกเขาก็ไม่ได้มีแนวคิดที่ต่างจากพังก์เท่าไหร่ มีความหัวขบถ ต่อต้านความไม่เท่าเทียม เพราะล้วนแล้วแต่ผ่านการกดขี่จากสังคมมาไม่ว่าทางใดทางหนึ่ง เพียงแต่ถ่ายทอดผ่านดนตรีต่างชนิดกันเท่านั้นเอง

ศิลปินอินดัสเทรียลร็อกยุคแรก ๆ มักจะนำเรื่องฉาวโฉ่ในสังคมมาแต่งเป็นเพลง ไม่ว่าจะเป็นแนวคิดฟาสซิสม์ พฤติกรรมทางเพศที่สุดโต่ง กระทั่งความบิดเบี้ยวทางศีลธรรม โดยซาวด์ดนตรีลักษณะนี้มักจะไม่ได้แสดงออกมาเฉพาะด้านดนตรี แต่การแต่งตัวและ Visual ที่ถ่ายทอดออกมาผ่านการแสดงจะสร้างสรรค์ขึ้นให้สอดคล้องกัน มีความมืดหม่นชวนขนลุกขนพองไม่ต่างจากตัวเพลง ซึ่งก็อยู่ที่ศิลปินคนนั้นจะหยิบจับศิลปะแนวไหนมาประยุกต์นะครับเพราะแต่ละวงเขาก็มีการตีความในแบบของตัวเอง

ดนตรี Industrial ดั้งเดิม

Evolution Of Industrial Music

ธรรมชาติของดนตรีทุกประเภทพัฒนาไปในรูปแบบต่าง ๆ พอย่างเข้าปี 1980 ก็เรริ่มมีวงดนตรีรุ่นใหม่ ๆ ที่นำซาวด์แบบอินดัสเทรียลไปผสมกับจังหวะแดนซ์ จนแตกแขนงออกไปเป็นแนว Electro-Industrial (อิเล็กโทรอินดัสเทรียล) ศิลปินบางกลุ่มก็เริ่มนำริฟฟ์กีตาร์แบบร็อกหรือเมทัลมาใช้ ซึ่งวงแรก ๆ ที่ทำแบบนี้ก็มีมากมายหลายวง ตัวอย่างเช่นวง Ministry จากอเมริกา และวง KMFDM จากเยอรมัน ส่วนวง Killing Joke จากอังกฤษก็นำไปผสมกับซาวด์แบบ Gothic และ Post-Punk จนประสบความสำเร็จ แม้จะไม่มีช่วงเวลาและการระบุที่แน่ชัดว่าใครมาก่อนใคร แต่ทุก ๆ สิ่งล้วนพัฒนามาจากรากฐานเดียวกัน และแตกแนวออกไปในทิศทางของมัน ตอนนั้นเองที่ดนตรีแนว Industrial Rock และ Industrial Metal เริ่มเข้ามีบทบาทกับโลกใบนี้

Industrial Rock บนโลกเมนสตรีม

ถึงแม้จะเริ่มมีผู้คนรู้จักแล้ว แต่ก็ยังเป็นได้เพียงดนตรีดุดันที่มีคนฟังเฉพาะกลุ่มมาก จะหวังให้ผู้คนทั่วไปในโลกเมนสตรีมรู้จักชื่อพวกเขานั้นแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย ทว่าปี 1989 การมาถึงของดนตรีอัลเทอร์เนทีฟร็อกเริ่มเข้ามายึดครองอุตสาหกรรมดนตรีโลก ดนตรี Hard Rock หรือแนว Guitar Hero เริ่มเสื่อมถอยความนิยม Trent Reznor ก็ฟอร์มวงดนตรีที่ชื่อว่า Nine Inch Nails ขึ้นมา ก่อนจะปล่อยอัลบั้มอินดัสเทรียลร็อกดิบเถื่อนที่ชื่อว่า Pretty Hate Machine ออกมาสู่โลกใบนี้

ปรากฏว่าเพลงอัลบั้มแรกในชีวิตเขา ได้รับคำวิจารณ์เชิงบวกล้นหลามจากสื่อ พอย่างเข้าปี 1990 บรรดาศิลปินรุ่นพี่ เช่น วง The Jesus and Mary Chain ก็เริ่มดึงตัวพวกเขาไปทัวร์เพื่อเป็นการโปรโมตเพลงตัวเองไปในตัว จนในที่สุดในปี 1994 สตูดิโออัลบั้มลำดับที่ 2 The Downward Spiral ก็ประสบความสำเร็จอย่างงดงาม ขายได้ถล่มทลายใน Rank สูงระดับ Platinum แถมยังติด Billboard Hot 100 ในตอนนั้นเองที่โลกเมนสตรีมยอมฉายสปอตไลต์ไปยังดนตรีแนวอินดัสเทรียลร็อก จนวงดนตรีอื่น ๆ เช่น KMFDM, Fear Factory, Gravity Kills หรือ Sister Machine Gun ก็เริ่มมีชื่อเสียงและเข้ามามีบทบาทเช่นกัน

จนกระทั่งในปี 1996 หนึ่งในเด็กปั้นของ Nine Inch Nails อย่าง Marilyn Manson ก็ปล่อยอัลบั้มที่ชื่อว่า Antichrist Superstar ออกมา และเจริญรอยความสำเร็จตามศิลปินรุ่นพี่อย่างรวดเร็ว เขาคือศิลปินคนแรกที่เซ็นสัญญากับค่าย Nothing Records ของ Nine Inch Nails นอกจากแนวเพลงต่อต้านศาสนาและดนตรีเดือด ๆ ของเขาจะไปกระแทกใจวัยรุ่นหลายคนที่ยังไม่หายเห่อดนตรีกรันจ์ร็อกแล้ว เสื้อผ้าการแต่งหน้าอันเป็นเอกลักษณ์ บวกกับการแสดงโชว์ที่โคตรจะสุดโต่งยังทำให้คนทั้งโลกจดจำเขาได้ ไม่แปลกที่หลายคนจะไม่เคยฟังเพลงของ Marilyn Manson แต่กลับจำหน้าค่าตาของเขาได้ขึ้นใจ

ไม่น่าเชื่อนะครับว่าจากดนตรีใต้ดินที่ขึ้นชื่อว่าฟังยากและถูกหมางเมินจากโลกเบื้องบนจะกลายมาเป็นดนตรีร็อกทรงอิทธิพลของโลกได้ในเวลาต่อมา หากเทียบกับดนตรีแนวอื่น อินดัสเทรียลถือว่าใช้เวลาเดินทางค่อนข้างยาวนาน เพราะถือกำเนิดตั้งแต่ยุค 70 แต่ได้รับความสนใจจริง ๆ ในปี 90 ใช้เวลาเดินทางทั้งสิ้นราว ๆ 20 ปีเลยทีเดียว

แม้ปัจจุบันทิศทางดนตรีของโลกจะเปลี่ยนไป แต่ชื่อเสียงของ Marilyn Manson ก็ยังคงเป็นที่รู้จัก ยังคงมีผลงานออกมาเรื่อย ๆ ส่วน Nine Inch Nails ก็เริ่มขยายขอบเขตผลงานมาทำดนตรีประกอบภาพยนตร์และซีรีส์ต่าง ๆ จนได้รับการยอมรับมากมายจากคนในวงการเช่นกัน

ไม่แน่นะครับ ดนตรีนอกกระแสที่คุณกำลังสนใจในวันนี้ อาจจะขึ้นไปติดบิลบอร์ดในอีกสิบปีข้างหน้าก็ได้ ยิ่งยุคที่อินเทอร์เน็ตเข้าถึงแบบนี้ อะไรก็เกิดขึ้นได้ ขอแค่คอเพลงแบบพวกเราให้การสนับสนุนวงดนตรีที่รักอย่างเต็มที่ อย่าเพิ่งไปคิดว่าแมสไปไม่ฟังเลยครับ เพราะบางอย่างถ้าไม่มีใครฟัง ก็อาจจะเลือนหายไปตามกาลเวลาได้เช่นกัน

 

บทความอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับ Nine Inch Nails

บทเพลงบรรเลงฆาตกรรม: “10050 CIELO DRIVE” สตูดิโอแห่งความตายของ NINE INCH NAILS

BOWIE’S LEGACY: เพราะการสนับสนุนศิลปินรุ่นหลังคือมรดกล้ำค่าจากราชาเพลงร็อกในตำนาน

 

Source: 1 / 2 / 3

 

 

 


FASHION x ICONS: POST MALONE สำรวจสไตล์สุดเท่ของศิลปินชายผู้มาแรงที่สุดของยุคนี้

$
0
0

ถ้าพูดถึงศิลปินต่างประเทศที่โด่งดังและได้ยินเพลงของเขาตามวิทยุอยู่บ่อย ๆ ในตอนนี้คงหนีไม่พ้นผลงานของหนุ่มมาดเซอร์ไม่เหมือนใครอย่าง Post Malone หรือแม้แต่ใครที่ไม่ได้ติดตามเพลงฝั่งตะวันตกต้องเคยเห็นหน้าของเขาสักครั้ง ชายหนุ่มหัวฟูมีรอยสักเต็มหน้าคงจะเป็นคาแรกเตอร์ที่ผู้คนจำแม่นอย่างแน่นอน

ในวันนี้ UNLOCKMEN จะไม่ได้มาพูดถึงความโด่งดังกับความสำเร็จในวงการเพลงของนักร้องหนุ่ม แต่จะสำรวจสไตล์ แฟชั่นและการแต่งตัวเขา เพื่อดูว่าแต่ละสถานการณ์เขาสวมใส่อะไรและมันจะสนุก หรือมันส์แค่ไหน

 

EVERYDAY LOOK by POST MALONE

ไม่ใช่แค่เรื่องของการทำเพลงเท่านั้นที่คนทั่วโลกให้ความสนใจกับหนุ่ม Post Malone แต่ผู้คนยังให้ความสนใจเกี่ยวกับแฟชั่นและการแต่งตัวของเขาอีกด้วย หลายคนใคร่รู้ว่าศิลปินมากความสามารถคนนี้จะแต่งตัวอย่างไรในวันธรรมดาที่ออกไปเดินเล่นพบปะเพื่อนฝูง

การแต่งตัวของศิลปินคนนี้ค่อนข้างหลากหลาย บางวันเขาคุมโทนความเรียบง่ายดูดีด้วยการแต่งการกึ่งวินเทจ-ฮิปฮอป ด้วยเสื้อคอเต่าสีดำกับเสื้อแจ็กเกตแขนยาว หรือวันสบาย ๆ อย่างเสื้อแขนสั้นแบบหลวม ๆ เข้าคู่กับกางเกงขายาวสีน้ำตาลและไม่ลืมคาดเข็มขัด กับหาหมวกแก๊ปสักใบเข้ากับชุด การแต่งตัวแม้มองเผิน ๆ ไม่มีลูกเล่นอะไรมากของเขาก็เท่และดูดีมากจริง ๆ

@postmalone

ในวันที่เบื่อการคุมโทนสีขาวดำคูล ๆ Post Malone จะเล่นสนุกกับแฟชั่นของเขาด้วยการเลือกเสื้อผ้าสีสันสดใสมาแมตช์กับการแต่งตัว หากใครที่ติดตาม Instagram ของชายคนนี้จะเห็นว่าเขาสวมใส่เสื้อแทบจะทุกสีจริง ๆ ไม่ว่าจะแดง น้ำเงิน เหลือง ม่วง ชมพู เขียว ส้ม ขอเพียงมันเป็นสีที่เขาอยากจะใส่เท่านั้นก็เพียงพอแล้ว

@postmalone

UNLOCKMEN GUIDE: โปรดระวังการแมตช์เสื้อสีสันจัดจ้านกับเครื่องแต่งกายอื่น ๆ ของตัวเองให้ดี เพราะหากเราจับคู่สีได้ไม่ดีแทนที่มันจะเท่กลับดูไม่จืดได้ง่าย ๆ ดังนั้นหากใครอยากเล่นสีสันแบบ Post Malone แต่ยังไม่ชำนาญเรื่องการจับคู่สีมากเท่าไหร่นักลองนำสีสันที่ชอบมาเข้าคู่กับพวกสีขาว-ดำ ดูก่อนก็ถือว่าเป็นการเริ่มต้นที่ดีครับ 

ถ้าใครคิดว่าการใส่เสื้อสองตัวมันอาจจะไม่ใช่แนวเพราะเป็นคนขี้ร้อน แฟชั่นเสื้อเชิ้ตและเสื้อยืดของ Post Malone อาจจะเป็นตัวเลือกเข้าตาแล้วก็เป็นได้ ศิลปินหนุ่มคนนี้ชื่นชอบการใส่เสื้อเชิ้ตไม่แพ้กับผู้ชายคนอื่น ๆ จุดเด่นเรื่องเสื้อผ้าของเขาไม่ว่าจะเป็นเสื้อเชิ้ตแขนสั้นหรือแขนยาวมันจะต้องมีลายไว้ก่อน จากนั้นปลดกระดุมบนออกสักสามเม็ด เพียงเท่านี้ก็ออกจากบ้านด้วยลุคสบาย ๆ ได้แล้ว แถมยังเท่อีกด้วย 

@postmalone

แต่หากหนุ่มคนไหนยังไม่พอใจอีก UNLOCKMEN ขอแนะนำเซตการแต่งตัวแบบสุดท้ายของ Post Malone ที่คิดว่าจะต้องถูกใจหนุ่มสายชิลมาก ๆ คือการจับเสื้อยืดหรือเสื้อเชิ้ตแบบโอเวอร์ไซซ์มาคู่กับกางเกงขาสั้นและเพิ่มความกวนด้วยการใส่ถุงเท้ายาวแต่ดันสวมรองเท้าแตะ ความเพี้ยนของเขาถ้าใครอยากลองแต่งดูเราก็ไม่ติดขัดอะไรครับ 

 

ลวดลายกราฟิตี้บนเวทีคอนเสิร์ต

shutterstock

สิ่งที่ผูกอยู่กับวงการชาวฮิปฮอป แรปเปอร์ และเสื้อตัวโคร่งสไตล์สตรีตอย่างแยกไม่ขาดคือ ‘ลวดลายกราฟิตี้’ ที่มีจุดเริ่มต้นมาจากเหล่าชาวแก๊งวัยรุ่นถือกระป๋องสีไปพ่นตามกำแพง ต้องยอมรับว่าชาวแก๊งจำนวนไม่น้อยสามารถสร้างสรรค์ผลงานศิลปะบนกำแพงได้อย่างน่าประทับใจ ทั้งสวยงามและเต็มไปด้วยความขบถ จึงทำให้วงการสตรีตแฟชั่นมักหยิบยืมลายกราฟิตี้เหล่านี้มาอยู่บนเครื่องแต่งกายกันบ่อยครั้ง

Getty Images

สำหรับการขึ้นแสดงคอนเสิร์ตของแรปเปอร์ Post Malone ยังคงอัดแน่นไปด้วยคอนเซ็ปต์แบบสตรีตแฟชั่น ๆ บางครั้งดูเป็นกันเองด้วยเสื้อยืดสีดำตัวใหญ่กับกางเกงขาสั้นเหนือเข่า บางทีก็เสริมความสนุกสนานด้วยการหยิบเสื้อเชิ้ตลายกราฟิตี้ขยุกขยิกมาใส่ขึ้นเวที บ่อยครั้งเราจะเห็นว่าสไตล์บนคอนเสิร์ตที่เขาชื่นชอบคือการจัดสีสันลวดลายไปในทางเดียวกันทั้งเสื้อและกางเกง จัดเซตเสื้อผ้าให้เหมือนกัน โดดเด่นด้วยลายกราฟิตี้บนเครื่องแต่งกาย 

waliicorners / Issue Thailand

UNLOCKMEN GUIDE: แม้ว่า Post Malone จะแต่งตัวขึ้นแสดงบนคอนเสิร์ตอยู่บ่อยครั้งจนทำให้หนุ่ม ๆ ที่อยากแต่งตัวแนวเดียวกับเขากังวลว่าสไตล์แบบนี้จะใส่เดินบนถนนได้จริงหรือไม่ ขอให้อย่าวิตกกังวลไปเพราะแฟชั่นเซตท่อนบน-ล่าง เข้าชุดเป็นสิ่งสามัญที่ใคร ๆ ก็แต่งกันทั้งนั้น เพียงแค่เราหาเซตที่ใช่ให้ได้ ไม่ว่าจะเป็นเสื้อเชิ้ตแขนสั้นกับกางเกงขาสั้นเข้ากับอากาศร้อน หรือจะเป็นเสื้อเชิ้ตแขนสั้นติดกระดุมถึงคอเข้าคู่กับกางเกงขายาวและรองเท้าผ้าใบคู่โปรด เพียงเท่านี้เราสามารถสร้างลุคสตรีตคูล ๆ เหมือนอย่าง Post Malone ได้แล้ว 

 

สีสันจัดจ้านบนพรมแดงงานรางวัล

Getty Images

เราจะเห็น Post Malone ในงานประกาศรางวัลเพลงหลากหลายเวที แน่นอนว่าเขาจะไม่แต่งตัวด้วยชุดเดิม ๆ แต่สิ่งที่มีเหมือนกันเกี่ยวกับแฟชั่นออกงานของเขาคือความจัดจ้านหาตัวจับยาก การแต่งตัวของเขาจะเน้นสีสันฉูดฉาดมองเห็นมาแต่ไกล ไม่ว่าจะเป็นสีแดง สีเขียว สีฟ้า หรือสีชมพูที่มีตั้งแต่ชมพูบานเย็นไปจนถึงชมพูอ่อนสบายตา สีสันเครื่องแต่งกายของ Post Malone ทำให้ในตอนนี้เขาเป็นเจ้าพ่อสีสันของงานรางวัลไปเสียแล้ว

“ถ้านึกถึงแฟชั่นออกงานสีเจ็บ ๆ ก็ต้อง Post Malone”

shutterstock

ย้อนกลับไปปี 2019 ในงาน Grammy Awards ชุดของเขาเป็นที่พูดถึงไม่แพ้ศิลปินดังคนอื่น ๆ เมื่อเขาปรากฏตัวพร้อมกับชุดสีเขียวทั้งสูทและกางเกงเข้ากัน นอกจากสีชุดที่เด่นแล้วลวดลายของมังกรสีเหลือง-ส้ม ตัวใหญ่ที่พาดผ่านอยู่บนเสื้อส่งให้ลุคของเขาเหมือนกับหนุ่มจากราชวงศ์จีน โดย Catherine Hahn สไตล์ลิสต์ส่วนตัวของ Post Malone อธิบายเกี่ยวกับแฟชั่นของนักร้องหนุ่มว่าได้แรงบันดาลใจมาจาก Jimmy Page ยอดมือกีตาร์ที่เป็นตำนานจากวง Led Zepplin และตัวของเธอเองก็อยากทำให้หนุ่ม Malone มีลุคเหมือนกับราชา 

onstage during the 2017 American Music Awards at Microsoft Theater on November 19, 2017 in Los Angeles, California.

“ใส่เสื้อแดงคู่กับเขียวบ้ารึเปล่า ?” มีอยู่ครั้งหนึ่งที่ Post Malone ใส่เสื้อเชิ้ตสีแดงสดจนใกล้เคียงกับโทนนีออนแล้วคลุมด้วยสูทสีเขียวเข้มลายตาราง เหล่าแฟนคลับของศิลปินดังพอได้เห็นก็แซวกันทั่วโซเชียลว่าเหมือนเขามางานปาร์ตี้คริสต์มาสแทนมาร่วมงานประกาศรางวัล แต่ถ้าสังเกตดี ๆ การจับแมตช์ไอเทมที่มีสีตรงข้ามกันแบบสุดขั้วมันไม่ได้ดูแย่แถมยังเด่นแย่งซีนหนุ่มคนอื่นนิยมใส่สูทสีดำมาร่วมงาน ลองนึกตอนถ่ายภาพรวมแล้วคนที่โดดเด่นสุดคงหนีไม่พ้นเขาแน่นอน 

shutterstock

ถ้าคนในวงการแฟชั่นพูดถึงสีชมพู หลายคนจะพูดเป็นเสียงเดียวกันว่ามันคือสีมาแรงของปี 2020 แต่สำหรับก่อนหน้านี้สีชมพูในความคิดคนส่วนใหญ่ยังเป็นสีสำหรับเด็กผู้หญิงที่ทำให้ผู้ชายส่วนใหญ่มักมองข้ามไป ยิ่งเป็น ‘ชุดหนังสีชมพูปกคลุมไปด้วยเพชร’ ก็คงไม่มีหนุ่มหัวใจแมน ๆ คนไหนอยากใส่มันแน่นอนยกเว้น Post Malone ที่ดูชอบอกชอบใจชุดของตัวเองเป็นอย่างมาก และเลือกสีชมพูเป็นสีคู่ใจออกงานอยู่บ่อย ๆ

ส่วนงาน AMA 2018 เจ้าหนุ่มอ้วนยังคงคอนเซ็ปต์สีสันเหมือนเคยด้วยการเดินเข้างานพร้อมกับแก้วเบียร์สีแดงกับชุดสูทสีฟ้ายากจะลืมได้ง่าย ๆ และเสื้อตัวในของเขาก็ไม่ได้เป็นเสื้อเชิ้ตสีขาวในแบบที่ควรจะเป็นเวลาที่ต้องแต่งตัวออกงานแต่ใช้เสื้อยืดคอเต่าสีดำแทน หรือในงาน AMA 2019 เขาก็มาพร้อมกับเซตสูทลายตารางสีขาว-ดำ ความแตกต่างเหล่านี้ส่งให้สไตล์การแต่งตัวของเขาโดดเด่นเป็นตัวของตัวเอง 

LOS ANGELES, CALIFORNIA – NOVEMBER 24: Post Malone and Billie Eilish attend the 2019 American Music Awards at Microsoft Theater on November 24, 2019 in Los Angeles, California. (Photo by Kevin Mazur/AMA2019/Getty Images for dcp)

UNLOCKMEN GUIDE: การแต่งตัวไปร่วมงานของ Post Malone แม้จะเป็นการตกลงร่วมกันระหว่างเขากับดีไซเนอร์ส่วนตัว แต่ถ้าสไตล์ที่ Catherine Hahn เสนอไม่ยิงโดนความชอบของศิลปินก็คงจะไม่มีภาพแฟชั่นเท่ ๆ ไม่เหมือนใครของเขาอย่างทุกวันนี้ ดังนั้นสิ่งสำคัญเวลาต้องแต่งตัวออกงานแล้วสุภาพบุรุษคนไหนอยากจะเริ่มอะไรใหม่ ๆ อยากลองเล่นสีกับชุดสูท หรือเพิ่มลูกเล่นแปลกตากับลวดลายของเสื้อขอให้มั่นใจแบบ Post Malone นะครับ เพราะการบอกเล่าตัวตนของตัวเองผ่านเสื้อผ้าถ้าเรามั่นใจก็ไม่มีอะไรต้องกลัว 

LOS ANGELES, CA – MARCH 20: Post Malone behind the scenes before his Bud Light Dive Bar Tour show in Nashville at Footsies Dive Bar on March 20, 2018 in Los Angeles, California. (Photo by Rich Fury/Getty Images for Bud Light)

สิ่งหนึ่งที่เราเรียนรู้จาก Post Malone นอกจากได้รู้จักแฟชั่นและสไตล์การแต่งตัวของเขามากขึ้น เรายังได้เห็นความมั่นใจว่าถึงแม้เขาจะไม่ได้มีกล้ามสุดเพอร์เฟกต์ หรือมีหุ่นตามแบบสมัยนิยม แต่เขาก็มีความสุขและสนุกสนานกับการแต่งตัว สร้างสรรค์แฟชั่นที่เป็นตัวของตัวเองได้อย่างมั่นใจ

 

SOURCE: 1 / 2 / 3 / 4

TOP MAN MANUAL: บอกลาอาการเหนื่อยง่าย หมดแรงไว ด้วยวิธีง่าย ๆ ใน 3 ขั้นตอน

$
0
0

เชื่อว่าในกลุ่มคนรอบตัวของพวกเรา ต้องมีบางคนที่คึกตลอดเวลา เป็นพวกที่ทำงานได้มากกว่า เลิกงานแล้วไปปาร์ตี้ต่อก็เต้นมันส์กว่า ไปออกกำลังกาย มันก็จัดเต็มได้มากกว่าทั้งวิ่งทั้งยก ทั้ง ๆ ที่ไลฟ์สไตล์เท่าที่เห็นก็ทำอะไรเหมือน ๆ กัน เราวิ่งได้ไม่ถึงครึ่งรอบสวนสาธารณะ ก็รู้สึกทรมานเหมือนจะขาดใจ ในขณะที่คนอื่นสามารถวิ่งได้หลาย ๆ รอบแล้วยังมีแรงเหลือ

อย่าคิดว่ามันเป็นเรื่องไกลตัวอย่างเด็ดขาด เพราะมันไม่ได้จำกัดอยู่แค่การวิ่งเท่านั้น พลังงานที่น้อยกว่าคนอื่น ทำให้เราเสียโอกาสในชีวิตบางอย่างไป เมื่อรู้สึกเหนื่อยตลอดเวลา สีหน้าจะดูเหนื่อยโทรมซังกะตาย ไม่อยากทำอะไรเลย จึงใช้ชีวิตได้น้อยกว่า มันส์ได้น้อยกว่า และพัฒนาได้น้อยกว่า

ข่าวดีคือ พวกเราสามารถเปลี่ยนเป็นคนมีพลัง คึกคักเหมือนเครื่องจักรตลอดวันได้เช่นกัน ขอแค่เข้าใจว่าแหล่งพลังงานมาจากไหน เข้าใจสาเหตุแล้วก็ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมซะ รับรองว่าเมื่อถึงระยะเวลาหนึ่ง เราจะเปลี่ยนจากคนง่วง ๆ เป็น Top Man ยอดชายที่พร้อมลุยได้ในทุกโอกาสสำคัญ

 

MASTER YOUR SLEEP

ลองคิดภาพว่าตัวเราเป็น Smartphone  และการนอนเป็นการชาร์จแบตเตอรี่ เมื่อนอนไม่พอก็เปรียบเสมือนการชาร์จไฟไม่เต็ม ย่อมมีพลังงานน้อย ใช้ได้ไม่นานพลังงานก็หมดเกลี้ยง  ในขณะที่คนอื่นพักผ่อนอย่างเพียงพอ ชาร์จไฟได้เต็ม 100% จึงใช้พลังงานได้มากกว่า ในระยะเวลาที่ยาวนานกว่านั่นเอง

เมื่อร่างกายพักผ่อนไม่เพียงพอต่อเนื่องเป็นระยะเวลานาน ความเหนื่อยล้าจะเริ่มพอกพูนจนไม่เหลือแรงแม้แต่จะลุกจากเตียง ซึ่งการนอนอย่างมีคุณภาพ เป็นโอกาสเดียวที่ร่างกายจะได้ชาร์จพลังงานให้พร้อมใช้ ทีนี้จะชาร์จได้มากหรือน้อย ก็ขึ้นอยู่กับระยะเวลานอนของคุณ มันเป็นเรื่องพื้นฐานที่พวกเรารู้ดีอยู่แล้วว่าควรนอนให้ได้ 6-8 ชั่วโมง น้อยไปก็ไม่ดี มากไปก็ไม่ได้

นอกจากพักผ่อนเพียงพอ การนอนให้มีคุณภาพก็สำคัญเช่นกัน เราควรนอนและตื่นเป็นเวลาสม่ำเสมอเพื่อให้นาฬิกาในร่างกายปรับตัว ระบบภายในจะสามารถควบคุมระดับฮอร์โมนที่สำคัญ ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่นควบคุมฮอร์โมนคอร์ติซอล (Cortisol) หรือฮอร์โมนเครียด ไม่ให้มีปริมาณมากเกินไป รวมถึงฮอร์โมนเทสโทสเตอโรน (Tetosterone) ที่สำคัญมากสำหรับผู้ชาย เพราะมันให้ทั้งพลังงาน เสริมกล้ามเนื้อ ความต้องการทางเพศ ซึ่งปกติจะลดลงเรื่อย ๆ ตามอายุ แต่จะยิ่งลดลงเร็วขึ้นไปอีกถ้าคุณพักผ่อนไม่เพียงพอ

กิจกรรมก่อนนอนก็สำคัญ การมองแสงสีฟ้าจากหน้าจอต่าง ๆ 1-2 ชั่วโมงก่อนนอน จะทำให้ร่างกายเข้าใจผิดคิดว่ายังไม่ถึงเวลานอน ทำให้นอนหลับยาก และยังทำลายสายตาอีกด้วย หรือจะเป็นการกด Snooze เลื่อนเวลาตื่นออกไปทีละ 5 นาที 10 นาที แบบนี้ยิ่งมีผลต่อการสร้าง Hormone ให้หยุดชะงัก ความสดชื่นและพลังงานก็จะหายวับตามไปด้วย วิธีที่ผู้เชี่ยวชาญแนะนำคือ ลุกแล้วลุกเลย เดินออกไปหาแสงสว่างเพื่อให้กระบวนการทำงานในร่างกายดีขึ้น

คนที่มีปัญหานอนหลับยากมักเข้าใจผิดว่าการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ช่วยให้นอนหลับง่ายขึ้น แต่ในงานวิจัยพบว่าเราอาจจะหลับง่ายขึ้นจริงในช่วงแรก โดยเฉพาะเครื่องดื่มประเภทไวน์ที่มีสารเมลาโทนินสูง แต่วันไหนที่เราไม่ได้ดื่ม ร่างกายอาจจะนอนหลับเองได้ยากขึ้น เพราะเราได้เข้าไปรบกวนกระบวนการธรรมชาติของร่างกายโดยไม่รู้ตัว

 

– WORKOUT IS THE SOURCE OF ENERGY

เหนื่อย ไม่มีแรง เลยต้องนอนเฉย ๆ หลายคนเชื่อแบบนั้น แต่ที่จริงนี่คือความคิดที่ผิด เพราะร่างกายจะยิ่งปรับตัวเข้าสู่โหมด eco ทำให้ใช้พลังงานได้น้อยลงเรื่อย ๆ สังเกตได้จากคนที่ไม่ค่อยออกกำลังกาย ร่างกายไม่คุ้นเคยกับการใช้พลังงานมาก ๆ จึงเหนื่อยง่าย หมดแรงก่อนชาวบ้านเสมอ

ในทางกลับกัน การออกกำลังกายแม้เพียงเล็กน้อยแต่ทำเป็นประจำ ทำให้เราเพิ่มขีดจำกันในการใช้พลังได้มากขึ้น เป็นพื้นฐานของการมีสุขภาพดีที่แท้จริง พูดง่าย ๆ ว่า ยิ่งขยับ ยิ่งมีพลังนั่นเอง

ออกกำลังแบบไหนเหมาะกับการสร้างพลังงานในชีวิตประจำวันมากกว่ากัน?

การออกกำลังที่ช่วยเพิ่มขีดจำกัดของร่างกายให้มีเรี่ยวแรงคึกคักได้ทั้งวัน สามารถสร้างได้จากการ Cardio ในระดับที่พอเหมาะ ซึ่งคำว่า Cardio ที่เรียกกันติดปาก มาจากชื่อเต็มว่า Cardiovascular คือการออกกำลังที่เน้นการเสริมความแข็งแรงให้ระบบไหลเวียนของเลือดโดยเฉพาะนั่นเอง

มีงานวิจัยจาก University of Georgia ระบุว่า การออกกำลังหักโหมมากเกินขีดจำกัด เป็นผลเสียไม่แพ้การไม่ออกกำลังกายเลยด้วยซ้ำ เพราะมันทำให้ร่างกายเกิดความเครียด และจากการติดตามกลุ่มตัวอย่างที่มีพละกำลังมากขึ้น ล้วนมาจากการออกกำลังในระดับเบาถึงกลาง แต่ใช้ระยะเวลานาน (Low to Moderate Intensity Workout) เช่น เดินรอบสวนสาธารณะ วิ่งเบา ๆ ต่อเนื่องในสปีดที่พอเหมาะ หรือแม้แต่การทำความสะอาดบ้าน และออกกำลังกายแบบ HIIT (High-intensity interval training) ออกกำลังความเข้มข้นสูงเต็มที่ในระยะเวลาสั้น เช่นการวิ่งด้วยความเร็วสูงสุดในเวลา 1 นาที ทำเป็นประจำสม่ำเสมอ ช่วย Boost Energy ให้สดชื่นแจ่มใสได้ราว 20% และลดความเหนื่อยไร้พลังในกลุ่มตัวอย่างได้ถึง 65%

เมื่อเราออกกำลังกาย Cardio อย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะการวิ่ง ร่างกายจะสามารถใช้ออกซิเจนจากเลือดที่ส่งไปเลี้ยงกล้ามเนื้อได้มากขึ้น หรือที่เรารู้จักกันในชื่อ VO2 MAX หน่วยวัดความฟิตของร่างกายที่ใช้เป็นมาตรฐานทั่วโลก แม้มาตรวัดนี้จะถูกใช้กับนักกีฬาเป็นส่วนใหญ่ แต่โดยพื้นฐานก็สามารถบอกถึงความแข็งแรง และการออกกำลังกายที่เหมาะสมได้เช่นกัน

โดยค่าเฉลี่ย VO2 MAX ของคนที่ไม่ออกกำลังกายเลย จะอยู่ที่ 35-45 ml/kg/min (มิลลิลิตรต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม ต่อนาที) ในขณะที่คนออกกำลังกายบ่อย หรือนักกีฬา จะมี VO2 MAX ตั้งแต่ 50+ ml/kg/min เป็นต้นไป หมายความว่าจะเหนื่อยช้ากว่าถึง 30% เป็นอีกปัจจัยที่บอกว่า ทำไมเราถึงเหนื่อยเร็วกว่าอีกคนได้เช่นกัน

สำหรับคนที่อยากวัดค่า VO2 MAX ของตัวเอง สามารถวัดได้โดยใช้อุปกรณ์เฉพาะ อย่างเช่นด้วยลู่วิ่ง หรือจักรยาน พร้อมหน้ากากเพื่อวัดอัตราการเต้นของหัวใจ ความดัน ปริมาณออกซิเจน และคาร์บอนไดออกไซด์ โดยจะมีการเพิ่มระดับความหนักไปเรื่อย ๆ จนกว่าร่างกายจะไม่ไหว เพื่อวัดสมรรถนะสูงสุดที่ร่างกายสามารถรับได้ หรือในปัจจุบันก็มี Gadget ตระกูล Fitness Tracker อย่างเช่น Garmin Vivosmart 3 เครื่องติดตามกิจกรรมอัจฉริยะพร้อมวัดอัตราการเต้นหัวใจที่ข้อมือ สามารถวัดสมรรถภาพทางกาย เช่น VO2max,  fitness age และการติดตามความเครียดตลอดวันได้

– EAT THE RIGHT FOOD

เมื่อมีขีดจำกัดพลังงานมากขึ้นแล้ว เราก็ต้องเพิ่ม Input พลังงานให้มากขึ้นตามไปด้วย การกินของที่มีประโยชน์ช่วยเรื่องพลังงานได้ดีเช่นกัน

หลายคนเข้าใจผิด คิดว่าเหนื่อยแล้วต้องกินเครื่องดื่มชูกำลังถึงจะช่วยได้ ที่จริงแล้วมันเป็นการเพิ่มกำลังแค่ชั่วคราว ซึ่งไม่ได้แก้ไขอะไรในระยะยาวเลยแม้แต่น้อย วิธีที่ดีกว่าคือการเลือกกินอาหารให้ถูกโภชนาการ เพราะนั่นก็เป็นแหล่งกำเนิดพลังงานโดยตรงที่ร่างกายสามารถนำไปใช้ได้ ดังนั้นเราจึงควรใส่ใจในพฤติกรรมการกินมากขึ้นด้วย

อาหารจำพวก Carbohydrates และ FAT แม้จะมีชื่อเสียงที่ไม่ค่อยดีนัก แต่ถ้าเลือกทานถูกประเภท มันจะเป็นแหล่งพลังงานที่สำคัญมาก ในขณะที่ Protein มีส่วนในการสร้างความทนทานให้ใช้พลังงานได้อย่างสม่ำเสมอตลอดวัน มีผลวิจัยจาก Academy of Nutrition and Dietetics ในอเมริกา แนะนำให้ทานอาหารที่มี Complex Carbohydrates ซึ่งเผาผลาญช้า และ Simple Carbohydrates ที่เผาผลาญเร็วกว่า จำพวกขนมปัง Whole Grains ผัก มันฝรั่ง แครอท ฟักทอง ผลไม้ และน้ำผึ้ง และให้ทาน FAT กลุ่มไขมันดี เช่น ไขมันไม่อิ่มตัวจากเนื้อปลา, Olive oil, ถั่ว เป็นต้น เพื่อพลังงานที่เพียงพอในแต่ละวัน

แต่ต่อให้เรารับพลังงานเข้าไปมากแค่ไหน ถ้าร่างกายนำไปใช้ไม่ได้ก็ไร้ประโยชน์ ลองนึกภาพสายยางฉีดน้ำที่ผ่านการใช้งานไปนาน ๆ ข้างในจะเริ่มอุดตัน น้ำไหลได้น้อยลงเรื่อย ๆ เช่นเดียวกับเส้นเลือดในร่างกายของมนุษย์ แต่ต่างกันที่เราสามารถสร้าง Nitric Oxide เพื่อขยายหลอดเลือดให้เดินง่ายและแข็งแรง เลือดก็สามารถนำพาออกซิเจนไปให้กล้ามเนื้อใช้พลังงานได้ง่ายขึ้น

มีการทดสอบพบว่า Nitric Oxide ช่วยให้ร่างกายมี VO2 MAX เพิ่มขึ้น ผลคือการใช้แรงได้อย่างรื่นไหลไม่ติดขัด หัวใจไม่ต้องทำงานหนักเกินไป รู้สึกสดชื่น ไม่อ่อนล้า ซึ่งดีทั้งสำหรับออกกำลังกาย และการใช้ชีวิตประจำวันด้วย เราจึงควรให้ความสำคัญกับ Nitric Oxide ด้วยการเลือกทานวิตามินเสริมที่สามารถเพิ่ม Nitric Oxide ได้ควบคู่กันไปด้วย

Nitric Oxide เป็นโมเลกุลที่ร่างกายสร้างขึ้นเองตามธรรมชาติ และจะลดน้อยลงจากอายุที่มากขึ้น ทำให้เสี่ยงต่อปัญหาการไหลเวียนของเลือด เช่นโรคหัวใจ เส้นเลือดอุดตัน แต่การกินอาหารเสริมที่มีส่วนผสมจาก พิคโนจีนอล (Pycnogenol) ผสานกับกรดอะมิโนแอล-อาร์จินีน (L-arginine) ที่ได้รับการพิสูจน์อย่างเป็นทางการในระดับสากลว่ามีส่วนช่วยให้ร่างกายสร้าง Nitric Oxide และ VO2 MAX ให้ดีขึ้นได้จริง แต่ต้องเลือกของที่มีคุณภาพ ผ่านการทดสอบและรับรองจากสถาบันที่เชื่อถือได้เท่านั้น

 

GUIDE: ENTREE COFFEE & BRUNCH คาเฟ่สไตล์เกาหลีที่เสิร์ฟกาแฟแก้วพิเศษและขนมโฮมเมดอบใหม่

$
0
0

‘ถนนสีลม’ เป็นถนนคอนกรีตหกช่องจราจรที่ทอดยาวเกือบสามกิโลเมตร ตั้งแต่แยกบางรักสิ้นสุดที่แยกศาลาแดง นอกจากถนนเส้นนี้จะเป็นเส้นธุรกิจที่สำคัญที่สุดแห่งหนึ่งของไทย ถนนสีลมยังมากไปด้วยผู้คนที่พ่วงมากับความวุ่นวายตามสไตล์คนเมือง

แต่ในวันที่อากาศร้อนอบอ้าวจนเราเริ่มเวียนหัวกับการมองผู้คนที่สัญจรไปมา ถนนแสนวุ่นวายที่รถติดแหง็กเส้นนี้ยังมีร้านกาแฟดี ๆ บรรยากาศสบาย ๆ ที่อาจช่วยคลายร้อนและทำให้อิ่มท้องได้พร้อมกัน

Entree Coffee & Brunch

Entree Coffee & Brunch เป็นร้านกาแฟขนาดกะทัดรัดที่ตั้งอยู่ในตึกแถวของซอยสีลม 8 ร้านกาแฟแห่งนี้เพิ่งเปิดอย่างไม่เป็นทางการในช่วงกลางเดือนมกราคมที่ผ่านมา ตัวร้านตกแต่งสไตล์โคเรียนลอฟต์ ดูดิบเท่แต่ก็ซ่อนกลิ่นอายความเรียบง่ายถอดแบบคาเฟ่เกาหลีมาได้อย่างไม่ผิดเพี้ยน

แถมการใช้โทนสีเขียว เกรย์สเกล และประดับประดาภายนอกไปจนถึงภายในร้านด้วยต้นไม้ ยังช่วยให้ Entree Coffee & Brunch แห่งนี้ดูอบอุ่น มีสไตล์ และร่มรื่นสบายตาในเวลาเดียวกัน

ก้าวแรกที่เข้ามาในร้านนอกจากจะได้กลิ่นขนมโฮมเมดอบใหม่อบอวลไปทั่ว เรายังสัมผัสความโปร่งโล่งจากดีไซน์ของร้านที่ยกเพดานให้สูงกว่าปกติ แม้พื้นที่ใช้สอยจะมีเพียงไม่กี่ตารางเมตร แต่ก็ไม่ได้รู้สึกอึดอัดหรือคับแคบแต่อย่างใด

ตัวร้านแบ่งเป็นสามชั้น (แต่ตอนนี้เปิดแค่สองชั้น) ชั้นหนึ่งเป็นบาร์เครื่องดื่ม ตู้ขนม และมีเคาน์เตอร์ม้าหินสีเทาเข้มทอดยาว ส่วนชั้นสองตกแต่งด้วยเก้าอี้และโต๊ะไม้เป็นหลัก ดูเรียบง่ายและอบอุ่นสไตล์ร้านเกาหลี เหมาะจะเอางานมานั่งทำ อ่านหนังสือ หรือนั่งละเอียดรสชาติกาแฟอย่างไม่รีบร้อน

Specialty Coffee & Homemade Bakery

ที่นี่เน้นเสิร์ฟ specialty coffee ที่ผ่านกรรมวิธีการทำแบบพิถีพิถัน รวมทั้งขนมโฮมเมดที่อบสดใหม่ทุกวัน ตอนนี้ทางร้านเปิดเป็น soft opening จึงเสิร์ฟเพียงเมนูเครื่องดื่มและขนมโฮมเมดเท่านั้น คาดว่าในอนาคตอันใกล้จะมีเมนูบรันซ์ (Brunch) เพิ่มเข้ามาพร้อมกับเปิดชั้นสามของร้านอย่างเป็นทางการ

เราเริ่มแก้วแรกด้วยเมนูซิกเนเจอร์ของทางร้าน Einspanner นำกาแฟรสเข้มมาผสมผสานกับซอฟต์ครีมเนื้อเนียนที่แบ่งเลเยอร์เป็นสองชั้น แม้รสชาติขมเข้มของกาแฟดำถูกซอฟต์ครีมทำให้บางเบาและนุ่มละมุนขึ้น แต่แก้วนี้ก็ไม่ทิ้งกลิ่นหอมและรสขมของตัวกาแฟที่เป็นพระเอกหลัก

ต่อด้วย Military Float ที่สะท้อนความเป็นทหารผ่านชาเขียวด้านล่างแก้ว นมตรงกลาง และซอสช็อกโกแลตเข้มข้นด้านบน ชาเขียวที่ร้านเลือกมาก็ไม่ได้ขมเฝื่อนมากนัก ทั้งยังเข้ากันดีกับนมและซอสช็อกโกแลต แถมยังออนท็อปด้วยไอศกรีมวานิลลาที่เข้ามาเติมความหวานได้อย่างลงตัว

Carrot Loaf จานนี้นำความหวานชุ่มฉ่ำของแคร์รอตมาผสมกับผลไม้และธัญพืชหลากชนิด ทั้งลูกเกด สับปะรด แอปเปิล พีแคน และวอลนัต ที่พิเศษกว่านั้นคือร้าน Entree Coffee & Brunch จะทำเค้กเบสจากน้ำมันโดยไม่ใช้เนย จนได้ออกมาเป็นแคร์รอตเค้กเนื้อนุ่ม ซ่อนรสสัมผัสหลากหลาย แถมยังราดด้วยครีมชีสสูตรพิเศษก่อนโรยหน้าด้วยผงคุกกี้ที่ทำให้จานนี้ดูน่ารับประทานยิ่งขึ้น

ทีเด็ดของร้านที่เจ๋งไม่แพ้รสชาติกาแฟคือ Canelé ที่อบสดใหม่ทุกวัน มีให้เลือกทั้งรสดั้งเดิม รสชาเอิร์ลเกรย์ และรสชาติอื่น ๆ ผิวด้านนอกของ Canelé กรอบร่วนและมีกลิ่นหอมเตะจมูก ส่วนเนื้อด้านในเนียนนุ่ม หอมกรุ่น และชุ่มฉ่ำ บอกเลยว่านี่เป็นอีกเมนูที่ไม่ควรพลาด

ถ้าคุณกำลังเบื่อกับการนั่งทำงานในคาเฟ่เดิม ๆ หรือเหนื่อยที่จะค้นหาคาเฟ่ดี ๆ จากหลากหลายคาเฟ่เปิดใหม่ทั่วกรุงเทพฯ วันหยุดนี้เราขอชวนหนุ่ม ๆ ไปนั่งดื่มด่ำความขมและดื่มดมกลิ่นหอมของกาแฟ พร้อมลิ้มชิมรสขนมโฮดเมดอบใหม่ที่ Entree Coffee & Brunch เชื่อว่าที่นี่จะมอบประสบการณ์ใหม่และรสชาติกาแฟอีกมิติที่คุณยังไม่เคยสัมผัสมาก่อน

Take Your First Step to New Experiences.

 

Location: ซอยสีลม 8 เขตบางรัก กรุงเทพฯ

Open: 09.00 AM – 07.00 PM (ปิดทุกวันอังคาร)

Contact: 086-912-5640

Facebook: Entree Coffee & Brunch

 

PHOTOGRAPHER: Warynthorn Buratachwatanasiri

BILL GATES ชายผู้มองอันตรายจากโรคไข้หวัดเป็นเรื่องสำคัญของผู้คนทั่วโลก

$
0
0

ปี 2018 ชายคนหนึ่งกล่าวว่าประเทศมหาอำนาจอย่างสหรัฐอเมริกาขาดการเตรียมพร้อมสำหรับโรคไข้หวัด (Flu) สายพันธุ์ร้ายแรงที่อาจเกิดขึ้นในช่วงชีวิตของมนุษย์

ประโยคนั้นนำมาสู่การเปลี่ยนแปลงและระดมทุนครั้งใหญ่เพื่อทำงานวิจัยขั้นสูงเพื่อคิดค้นวัคซีนชนิดใหม่ เตรียมพร้อมรับมือเหตุการณ์ไม่คาดฝันที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต ชายคนนั้นคือผู้ร่วมก่อตั้งบริษัทไมโครซอฟต์ที่เรารู้จักกันดีชื่อของเขาคือ บิล เกตส์ และสิ่งที่เข้าพูดเมื่อ 3 ปีก่อนนั้น ปัจจุบันกำลังเกิดขึ้นจริง

sputniknews

หลายคนอาจไม่เคยรู้ว่าชายที่รวยเป็นอันดับ 3 ของโลกด้วยทรัพย์สินประมาณ 110 พันล้านดอลลาร์สหรัฐนามว่าบิล เกตส์คือหนึ่งในมหาเศรษฐีใจบุญที่ให้ความสำคัญกับการช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ ทั้งเรื่องโอกาสทางการศึกษา มูลนิธิด้านสิ่งแวดล้อมทั่วโลก รวมไปถึงโครงการเกี่ยวกับโรคร้ายสารพัดรูปแบบ

การต่อสู้กับโปลิโอในอินเดีย โรคในเด็กแรกเกิดที่ไนจีเรีย โดยเฉพาะโรคไข้หวัดใหญ่ ที่ถือเป็นหนึ่งในโรคที่มีวิธีรักษา แต่กลับคร่าชีวิตประชากรบนโลกเป็นจำนวนมาก

อะไรที่ทำให้ชายคนนี้ให้ความสำคัญเรื่องการป้องกันโรคติดต่อที่อยู่กับมนุษย์มานาน เราอยากชวนคุณมาหาคำตอบไปพร้อมกัน

WSJ

ตลอด 10 ที่ผ่านมาโลกต้องเผชิญกับไขหวัดที่อันตรายถึงชีวิตหลายชนิด ไม่ว่าจะเป็นไข้หวัดนก A/H1N1 ไข้หวัดใหญ่ H1N1 ที่สร้างความเสียหายต่อมนุษย์รวมถึงสิ่งมีชีวิตจำนวนมาก

รวมไปถึงโรคอย่าง ซาร์ส เมอร์สและอีโบล่า ที่สร้างความหวาดกลัวต่อผู้คนทั่วโลก อย่างไรก็ตามโรคทั้งหมดยังเทียบไม่ได้กับจำนวนของผู้ที่ตายเพราะโรคไข้หวัดใหญ่ที่มีอัตราการตายเฉลี่ยเพิ่มขึ้นทุกวัน

ibtimes

ย้อนกลับไปในปี 1918 เกิดการระบาดของไข้หวัดสเปนกระจายเป็นวงกว้างทั่วโลกโดยมีประชากร 1 ใน 3 ติดเชื้อสุดท้ายการระบาดก็คร่าชีวิตประชากรทั่วโลกประมาณ 50 – 100 ล้านคน หากจินตนาการไม่ออกว่าจำนวนนี้มากแค่ไหน จำนวนผู้เสียชีวิตจากไข้หวัดใหญ่ครั้งนั้นมากเป็น 1 เท่าจากประชากรทั้งหมดที่ตายในสงครามโลกครั้งที่ 1 เรียกได้ว่าคนตายจากไข้หวัดใหญ่เยอะยิ่งกว่าสงครามอีก!

loudfront

ทั้งหมดเกิดขึ้นในยุคที่มนุษย์ยังไม่เดินทางโดยเครื่องบินได้อย่างสะดวกสบายเหมือนกับทุกหลายพันเที่ยวบินเข่นในปัจจุบัน ลองนึกภาพตามว่าถ้ามีโรคร้ายแรงที่มนุษย์ยังไม่มีวิธีป้องกันหรือไม่สามารถรับมือได้ดีพอเหมือนกับตอนที่เกิดไข้หวัดสเปน ความสูญเสียที่เกิดขึ้นจะเป็นตัวเลขเท่าไร?

เป็นคำตอบที่บิล เกตส์ คิดและทีมงานหาข้อมูลเอาไว้แล้ว โดยผู้เชี่ยวชาญด้านระบาดวิทยากล่าวว่าถ้าโลกใบนี้มีไข้หวัดสายพันธุ์ใหม่เกิดขึ้นจะสามารถแพร่กระจายสู่คนจำนวน 33 ล้านคนภายในเวลาเพียง 6 เดือนเท่านั้น เป็นสาเหตุให้บิล เกตส์ออกมาตอกย้ำกับผู้คนอีกครั้ง ผ่านงานสัมนาเกี่ยวกับโรคระบาดจัดโดย Massachusetts Medical Society และ New England Journal of Medicine ด้วยคำพูดว่า

“โลกจำเป็นต้องเตรียมตัวรับมือกับการระบาดครั้งใหญ่ในแบบเดียวกับที่เตรียมไว้สำหรับภัยสงคราม”

ไม่ใช่คำเตือนเกินจริงเลยเมื่อเทียบจำนวนผู้เสียชีวิตจากไข้หวัดกับการตายจากสาเหตุอื่น ๆ นับเฉพาะไข้หวัดที่มีทางรักษาได้ในปัจจุบันและเราไม่มีทางรู้ว่าในอนาคตข้างหน้าจะมีไวรัสไข้หวัดแบบไหนกลายพันธุ์เกิดขึ้นมาอีก

คำพูดนั้นทำให้ทั่วสหรัฐอเมริกาตื่นตัวเรื่องนี้ นำมาสู่การจัดตั้งองค์กรที่เกี่ยวข้องขึ้นจำนวนมากเพื่อวิจัยและเตรียมพร้อมสำหรับโรคระบาดในอนาคต

รวมถึงโรงพยาบาลทั่วประเทศก็เตรียมความพร้อมในเรื่องนี้ด้วย อย่างไรก็ตามแม้จะมีการฝึกซ้อมและเตรียมตัวเป็นอย่างดี แต่หากไม่มียาหรือวัคซีนที่ป้องกันผู้คนจากไวรัสได้ มนุษย์ก็ทำได้เพียงป้องกันตัวเองอยู่บนความเสี่ยงเท่านั้น

mercurynews

หลังจากนั้นไม่นานเกิดแนวคิดงานวิจัยที่น่าสนใจจากชายที่ชื่อ Jake Glanville นักวิทยาศาสตร์ผู้อยากริเริ่มพัฒนาวัคซีนไข้หวัดใหญ่ครอบจักรวาลตัวแรกของโลกขึ้นมา ซึ่งต่อมารู้จักในชื่อ Universal Flu Vaccine โดยในเวลานั้นโครงการของเขาเพิ่งริเริ่มขั้นตอนการหาทุน และเมื่องานวิจัยชิ้นดังกล่าวเสนอขอทุนต่อบิล เกตส์ เขาก็ใช้เวลาไม่นานในการตอบรับงานวิจัยซึ่งถ้าหากสำเร็จโลกจะมีวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ทุกสายพันธุ์ได้ด้วยการฉีดวัคซีนเพียงเข็มเดียว

rtmagazine

มูลนิธิ Bill and Melinda Gates ตัดสินใจมอบทุนวิจัยมูลค่าถึง 12 ล้านดอลลาร์สหรัฐเพื่อสนับสนุนงานวิจัยทั้งหมดเกี่ยวกับ Universal Flu Vaccine ซึ่งปัจจุบันมีทีมนักวิจัยร่วมพัฒนาถึง 8 ทีม โดย 7 ทีมจะต้องพัฒนาและสรุปความคืบหน้างานวิจัยเพื่อรายงานอย่างต่อเนื่อง

หนึ่งในนั้นคือ Yoshihiro Kawaoka นักไวรัสวิทยาผู้เชี่ยวชาญด้านไข้หวัดใหญ่และอีโบล่า โดยวัคซีนที่พัฒนาหวังผลต่อยอดถึงการรักษาเชื้อ HIV ในอนาคตอีกด้วย

ปัจจุบันแม้โครงการวิจัย Universal Flu Vaccine จะยังไม่ประสบความสำเร็จถึงขนาดมีการทดลองใช้วัคซีนในมนุษย์ แต่นี่ถือเป็นความหวังของผู้คนทั่วโลกที่จะมียารักษาไข้หวัดครบวงจรซึ่งจะช่วยปกป้องชีวิตเราจากโรคที่บางคนมองว่าเป็นแค่อาการป่วยทั่วไป

แต่มุมมองของบิล เกตส์โรคไข้หวัดใหญ่คือสิ่งที่ฆ่าชีวิตผู้คนได้มากที่สุดและควรให้ความสำคัญอย่างจริงจังเสียที เพราะ 1 ชีวิตหรือ 33 ล้านชีวิตก็มีค่าเหมือนกันไม่จำเป็นต้องรอให้เกิดการสูญเสียเกิดขึ้นก่อน แล้วค่อยหาทางแก้ไข

zed

SOURCE: 1/2/3/4/5

WEEKLY PLAYLIST: ต้อนรับเดือนแห่งความรักด้วย 10 เพลงสากลสำหรับ “คนอยากมีแฟน”

$
0
0

ลาก่อนมกรา สวัสดีกุมภาพันธ์ เดือนที่คนมีความรักยิ้มแก้มปริ แต่คนโสดอย่างเราแห้งเหี่ยวเสียเต็มประดา ถ้าไปขอฟ้าขอฝนแล้วได้ใครสักคนข้างกายมันก็คงจะดีนะครับ เพราะบางครั้งการมีแฟนมันไม่ได้ง่ายอย่างใครว่าไว้ เหล่าคนเหงาอย่างเราจึงต้องร่ำร้องกับตัวเอง

และเพื่อเป็นการให้กำลังใจเหล่าชายหนุ่มที่หัวใจอยากมีรักทุกคน WEEKLY PLAYLIST สัปดาห์นี้ เราจึงรวบรวม 10 เพลงทั้งไทยและสากลเกี่ยวกับ “คนอยากมีความรัก” หรือแปลง่ายๆ ว่าอยากมีแฟนนั่นแหละ มาแนะนำเพื่อน ๆ กัน จะได้ไม่ต้องฟังเพลง ‘โปรดส่งใครมารักฉันที’ วนไปวนมาจนช้ำ เผื่อเอาไปโพสต์ลงโซเชียลขำ ๆ แล้วเธอคนนั้นจะเห็นใจ!

Could Have Been Me – The Struts 

อยากมีความรักแบบร็อก ๆ ฉบับ The Struts วงดนตรี Hard Rock รุ่นใหม่จากอังกฤษ บางคนอาจจะไม่กล้ามีความรักเพราะกลัวความเจ็บปวด แต่หนุ่ม ๆ วงนี้เขาบอกว่า “I wanna taste love and pain Wanna feel pride and shame” (ผมอยากลิ้มรสความรักและความเจ็บปวด อยากรู้สึกถึงความภาคภูมิและความละอายใจ) มันคือการประกาศกร้าวว่าเราจะโอบล้อมความรักเข้าสู่ชีวิต พร้อมยินยอมน้อมรับมันทั้งในทางดีและทางไม่ดีนั่นเอง อย่างเท่

How Soon Is Now? – The Smiths

เพลงฮิตยุค 80 จาก The Smiths วงดนตรีชื่อดังจากแดนผู้ดี How Soon Is Now? หากแปลตรงตัวอาจจะสร้างความสับสนได้ เอาเป็นว่ามันคือวลีที่ว่า ‘อีกนานไหมว่าจะถึงวันนั้น?’ เป็นอันเข้าใจ นี่คือเพลงเจ็บปวดเกี่ยวกับชายหนุ่มขี้อาย ไม่กล้าเข้าสังคม แต่ก็อยากจะมีความรักเหมือนใครเขา แม้เพื่อนจะบอกว่าถึงเวลาความรักจะมาเอง แต่เขาก็รู้สึกว่าความหวังเริ่มเหลือน้อยลงทุกที “I am human and I need to be loved Just like everybody else does” (ผมเป็นมนุษย์ที่อยากถูกรักเหมือนคนอื่นทั่วไป) บวกกับเสียงเศร้า ๆ ของฟรอนต์แมนอย่าง Morrissey มันช่างบาดลึกจริง ๆ ครับ

I Wanna Be Yours – Arctic Monkeys

ถ้าคุณมี ‘เธอคนนั้น’ อยู่ในใจแล้ว เพลงที่สื่อความหมายอาจจะต้องชัดขึ้นอีกเป็นเท่าตัว สำหรับเพลงทำนองเท่ ๆ อย่าง I Wanna Be Yours จาก Arctic Monkeys ก็เรียกได้ว่าเป็นสุดยอดของความคลั่งไคล้เลยครับ เพราะชอบเขามากถึงขั้นว่าอยากเป็นเครื่องดูดฝุ่นของเขา จะได้หายใจเอาฝุ่นละอองจากตัวเขาเข้าไป! (มันขนาดนั้นเลย) แต่ถึงกระนั้นท่อน “Secrets I have held in my heart are harder to hide than I thought Maybe I just wanna be yours” (ความลับในหัวใจยากเกินจะเก็บซ่อนไว้ บางทีผมเพียงอยากจะเป็นของคุณ) มันก็ยังโรแมนติกมากอยู่ดีนะครับ

Woman – Honne

หนุ่ม ๆ ครับฟังทางนี้ หากคุณแอบหลงรักใคร แล้วอยากจะแสดงความรักที่ยิ่งใหญ่ บอกเลยว่าเพลงนี้เหมาะมาก ๆ Woman จาก Honne คือเพลงยกย่องสตรีในดวงใจในทุก ๆ กระเบียดนิ้ว “Oh, never did a woman do so much to me you’ve got some kind of hold on me” (ไม่มีผู้หญิงคนไหนให้ผมได้มากมายขนาดนี้มาก่อน คุณมีอะไรบางอย่างที่เหนี่ยวรั้งผมไว้) ก่อนจะไปจบด้วยการหยอดอ้อน ๆ ว่า “And if we are together Oh, we’re going far” (หากเราได้เคียงคู่กัน เราคงจะไปได้ไกลเลย) เออ มันต้องอย่างนี้!

If You Wanna – The Vaccines

สำหรับหนุ่ม ๆ ที่เพิ่งจะโสด… หรือรอใครสักคนกลับมา สามารถโพสต์เพลง If You Wanna ของ The Vaccines บอกใบ้เขาได้นะครับ “Do you wanna come back? It’s alright, it’s alright” มันคือคำพูด Keep cool ของคนโดนหักอก แต่ทำเป็นเจ็บไม่เท่าไหร่ แถมยังบอกอีกฝ่ายว่า ‘อยากกลับมาไหมล่ะ เอาสิ ไม่เป็นไรหรอก’ ฟังเผิน ๆ เหมือนดูถือไพ่เหนือกว่าแต่จริง ๆ คือง้อเขานั่นแหละครับ เชื่อว่าผู้ชายหลายคนเป็น

Television / So Far So Good – Rex Orange County

เพลงยาวเป็นเรื่องเป็นราวเกี่ยวกับความรักที่ต้องรอจังหวะและเวลาของหนุ่ม Rex Orange County เขาเขียนเพลงนี้เล่าเรื่องสมัยตัวเองได้พบกับแฟนสาวครั้งแรก ในตอนนั้นเขายังลืมคนรักเก่าไม่ได้ จนทำให้เกือบเสียโอกาสทำร้ายความรู้สึกหญิงสาวที่กำลังจะกลายเป็นแฟนในอนาคตไป

สุดท้ายเมื่อชายหนุ่มรู้หัวใจตัวเองแน่ชัดแล้ว เขาจึงกลับมาถามเธออีกรอบว่า “What about me? What about me and you together? Something that could really last forever” (แล้วผมนี่แหละเป็นไง? เราสองคนเคียงคู่กันดีไหม? เคียงข้างกันไปจนถึงวันสุดท้าย) สำหรับหนุ่ม ๆ คนที่เจอสถานการณ์แบบนี้อยู่ เราขอให้พบทางออกในเร็ววัน บางอย่างอาจต้องใช้เวลา แต่ถ้านานเกินไป ระวังอีกฝ่ายจะท้อจนถอยไปก่อนนะครับ

Maybe – Lewis Capaldi 

เคยได้ยินไหมครับว่าก่อนจะรักคนอื่น เราต้องรักตัวเองก่อน Maybe ของ Lewis Capaldi คือเพลงเกี่ยวกับคนประเภทนี้แหละครับ คนที่คิดว่าตัวเองไม่ดีพอ ไม่คู่ควรกับความรักหรือสิ่งใด แต่ในท้ายที่สุดก็ยังต้องการเป็นที่รักของใครสักคนอยู่ดี

มนุษย์คือสิ่งมีชีวิตที่ซับซ้อน หลายครั้งเราผลักไสผู้คน แต่ถึงกระนั้นก็อยากมีใครสักคนที่เข้าใจ “Somebody to lean on, somebody to hold It’s just another to lead, though, before I let go And I ain’t trying to be lonely, soely” (ใครสักคนให้พึ่งพิง ใครสักคนให้กุมมือ สักคนจะช่วยนำทาง ก่อนผมจะเสียคุณไปอีก และผมก็ไม่ได้พยายามจะทำตัวเหงาโดดเดี่ยว) ท่อนนี้สื่อถึงการที่เรารู้ตัวเองว่ารักษาใครไว้ไม่ได้ แต่ถึงกระนั้นก็ยังอยากถูกรัก และหวังว่าเขาคนนั้นจะนำทางเราได้ แม้ในชั่วขณะหนึ่งก็ยังดีครับ

Love Me Do – The Beatles

ถ้าคุณขี้เกียจจะทำอะไรซับซ้อน แต่เน้นความคลาสสิก ผมว่าเพลง Love Me Do ของ The Beatles ก็ยังใช้ได้อยู่นะครับ ก็บอกเธอไปตรง ๆ เลยว่า “Love, love me do You know I love you” (รัก รักผมหน่อย คุณก็รู้ว่าผมรักคุณ) มันอาจจะเลี่ยนนิด ๆ แต่ถ้าบอกในช่วงเวลาที่เหมาะสม คุณอาจจะดูเป็นผู้ชายน่ารักในสายตาเธอได้นะครับ

Someone to Stay – Vancouver Sleep Clinic  

Someone to Stay เพลงซึ้ง ๆ จาก Vancouver Sleep Clinic ที่เกิดมาเพื่อทุกหัวใจที่เหว่ว้า เนื่องจากผู้แต่งได้เขียนเพลงจากแนวคิดที่ว่า ‘ไม่มีใครบนโลกสมควรต้องโดดเดี่ยว’ “At the end of the day you were helpless Can you keep me close? Can you love me most?” (ในวันที่คุณไร้ซึ่งหนทาง คุณจะช่วยอยู่ข้างผม คุณจะรักผมให้มากที่สุดเลยได้ไหม?) ต่อให้ยังไม่มีใครในใจ คุณก็สามารถดื่มด่ำไปกับความหวังและความอบอุ่นจากเพลงนี้ได้นะครับ

WANTED U – Joji

สำหรับคนที่ครั้งหนึ่งเคยหายออกไปจากชีวิตใคร จนวันหนึ่งตระหนักได้ว่าเขาคือสิ่งเดียวที่คุณต้องการ WANTED U ของ Joji คือเพลงที่แตะประเด็นนั้นได้บาดลึกมากครับ “I’ve been waiting my whole life To know I wanted you Are you feeling me slowly? You can take your fucking time.” (ผมใช้เวลาชั่วชีวิต เพื่อได้รู้ว่าผมนั้นต้องการคุณ คุณกำลังรู้สึกถึงผมบ้างหรือเปล่า? ใช้เวลาคุณได้เต็มที่เลยนะ) เพลงสำหรับคนอยากมีแฟน แต่แฟนคนนั้นต้องเป็นเธอเท่านั้น จะนานแค่ไหนก็จะรอ ไม่มูฟออนแน่นอน!

วาเลนไทน์ก็เป็นแค่วัน ๆ หนึ่งแหละครับ สุดท้ายความรักที่ดีจะเกิดขึ้นในจังหวะและเวลาที่สมควร ไม่ว่าสถานการณ์หัวใจของคุณจะเป็นอย่างไร อย่างน้อยก็มีเพลงดี ๆ ให้ฟัง มี UNLOCKMEN ที่เข้าใจคุณ วันนี้เราจะขอลากันไปด้วยการแถมเพลงคลาสสิกตลอดกาล สำหรับคนอยากถูกรักทุกคนบนโลก Somebody To Love จากวง Queen!

 

 

 

Viewing all 7730 articles
Browse latest View live