Quantcast
Channel: Unlockmen
Viewing all 7730 articles
Browse latest View live

THE ICONIC CARS: DELOREAN DMC-12 รถยนต์ในตำนานเตรียมกลับมาวิ่งบนถนนอีกครั้ง!

$
0
0

หากพูดถึงรถยนต์รุ่น DeLorean DMC-12 บางคนอาจไม่เคยรู้จัก แต่หลายคนคงรู้ว่านี่คือรถในตำนานที่เท่เหนือกาลเวลา โดยรถระดับตำนานรุ่นนี้ปรากฏตัวครั้งแรกในยุค 80’s ก่อนที่กาลเวลาจะทำให้มันกลายเป็นของหายากที่หนุ่ม ๆ ทั่วโลกอยากครอบครอง

ตอนนี้มีข่าวว่า DMC-12 เตรียมกลับมาอีกครั้งในปี 2021 ดังนั้นก่อนที่ DeLorean DMC-12  จะกลับมาโลดแล่นบนท้องถนนอีกครั้ง THE ICONIC CARS อยากพาทุกคนไปทำความรู้จัก Timeless Car คันนี้ไปพร้อมกัน

delorean

DMC-12

DMC-12 เป็นรถยนต์ที่ผลิตโดย DeLorean Motor Company ค่ายรถเมืองลุงแซมที่ John DeLorean เป็นผู้ก่อตั้ง โดย Prototype คันแรกของ DMC-12 ผลิตขึ้นในปี 1976 เป็นงานออกแบบของ Giorgetto Giugiaro นักออกแบบผู้ก่อตั้ง Italdesign สำนักออกแบบรถชื่อดังจากอิตาลี ก่อนต่อยอดพัฒนา Prototype จนกระทั่งปี 1981 DeLorean DMC-12 คันแรกก็ถูกส่งออกสู่ตลาด

Prototype คันแรกของ DMC-12 ภาพจาก delorean

DeLorean DMC-12 เป็นรถยนต์ที่มีโครงสร้างจากเหล็กกล้า บอดี้รถใช้เป็น Stainless-Steel สีของรถจึงเป็นสีเดียวกันทุกคัน โดยเป็นรถ 2 ประตู ประตูดีไซน์แบบปีกนก (Gull-Wing) ถือเป็นรถสปอร์ตที่งานดีไซน์แตกต่างและมีเอกลักษณ์มากในยุคนั้น ส่วนห้องโดยสารคุมโทนสีเทาที่เรียบง่ายแต่เข้ากับตัวรถได้อย่างยอดเยี่ยม

circlesix

ด้านขุมพลัง DeLorean DMC-12 ที่ผลิตระหว่างปี 1981-1983 ใช้เป็นเครื่องยนต์ V6 PRV Engine ZMJ-159 เป็นเครื่องยนต์ขนาด 2.85 ลิตร ที่ให้พลัง 130 แรงม้าและแรงบิดที่ 153 ปอนด์-ฟุต โดยชุดเกียร์มีให้เลือกระหว่างแมนนวล 5-Speed และเกียร์อัตโนมัติ 3-Speed

แต่เพราะน้ำหนักที่ค่อนข้างมากเมื่อเทียบกับพลังทำให้ DMC-12 มีอัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรในเวลา 8.8 วินาทีถ้าวิ่งด้วยแมนนวล ในขณะที่ติดตั้งเกียร์ออโต้จะวิ่ง 0-100 กิโลเมตรในเวลา 10.5 วินาที สูงสุดที่ 175 กิโลเมตร/ชั่วโมง

เรื่องนี้เป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้ DeLorean DMC-12 มียอดขายไม่ดีเท่าที่ควร แต่ตลอดระยะเวลา 3 ปีก็ทำยอดขายได้ถึง 8,583 คัน ด้วยงานดีไซน์ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ก่อนจะปิดตำนานของ DMC-12 พร้อมกับ John DeLorean ที่มีคดีความจนต้องขึ้นศาล จนกลายเป็นจุดจบของ DeLorean Motor Company (ที่จะก่อตั้งขึ้นใหม่ในปี 1995)

 

DeLorean Time Machine

จนกระทั่งปี 1985 ซึ่งภาพยนตร์เรื่อง Back to The Future ออกฉายเป็นครั้งแรก DeLorean DMC-12 ก็ถูกพูดถึงอีกครั้งในฐานะ DeLorean Time Machine รถยนต์ท่องเวลาของ ดร.เอมเมตต์ บราวน์ ในหนังภาคแรกที่ประสบความสำเร็จ จนขยายเป็น Trilogy ภาค 2 และภาค 3 รวมถึงเกมและของที่ระลึกจำนวนมากที่ผลิตตามออกมา

telegraph

เรื่องราวที่น่าติดตามจนกลายเป็นหนังโปรดของใครหลายคน รวมถึงระยะเวลาการฉายต่อเนื่องระหว่างปี 1985, 1989 และ 1990 ก็ส่งอิทธิพลให้ DeLorean DMC-12 ที่เป็นเหมือนพาหนะประจำเรื่อง ถูกจดจำเป็นรถหนึ่งในที่โดดเด่นในยุคนั้นสมัยมาจนถึงปัจจุบัน

COME TO THE FUTURE !

นับแต่นั้นมา DeLorean DMC-12 ก็กลายเป็นของแรร์ที่ผู้คนตามหา โดยจำนวนรถที่เหลือรอดในปัจจุบันคาดว่ามีเหลือประมาณ 6,000 คันเท่านั้น ที่ผ่านมา DeLorean DMC-12 dH ถูกนำออกมาประมูลทั้งสภาพเดิมและทั้งที่ผ่านการดัดแปลงมาแล้ว เพราะผู้คนต่างคิดว่า DMC-12 คือตำนานที่จะไม่ผลิตออกมาอีกแล้ว

จนกระทั่งสภาครองเกรสของสหรัฐอเมริกาผ่านมติพระราชบัญญัติผู้ผลิตยานยนต์ขั้นต่ำประจำปี 2015  ทำให้ค่ายรถจากเมืองลุงแซมเตรียมแผนจะผลิต DeLorean DMC-12 กลับมาอีกครั้ง

เพราะก่อนหน้านี้พวกเขาต้องการสร้างรถ แต่ไม่ต้องการทำอย่างผิดกฎหมาย ล่าสุดมีไฟเขียวให้ผลิตสูงสุดจำนวน 325 คัน/ปี โดยไม่ต้องเป็นไปตามกฎข้อบังคับบางข้อจากกรมความปลอดภัยทางการจราจรและทางหลวงของสหรัฐอเมริกา

dupontregistry

แต่การกลับมาสู่อนาคตในครั้งนั้นกลับล่าช้าเพราะ NHTSA หน่วยงานที่ดูแลไม่บังคับใช้กฎหมาย ทำให้โปรเจกต์ดังกล่าวต้องเลื่อนออกไปอย่างไม่มีกำหนด เวลาผ่านไปจนกระทั่งปี 2019 และไม่มีความคืบหน้าใด ๆ  สมาคมผู้ผลิตชิ้นส่วนเฉพาะทางหรือ SEMA จึงยื่นเรื่องพรบ. ฉบับดังกล่าวให้ภาครัฐบังคับใช้อีกครั้ง ซึ่งอาจใช้เวลาประมาณ 6-12 เดือน

ถ้า พรบ.เริ่มบังคับใช้ DeLorean Motor Company จะเริ่มกลับมาผลิต DMC-12 อีกครั้งในช่วงปลายปี 2020 หรือต้นปี 2021 โดยคาดว่าจะผลิตขึ้นจากพื้นฐานดีไซน์ดั้งเดิม แต่มาพร้อมกับขุมพลังที่สูงขึ้น โดยสร้างขึ้นจากอุปกรณ์ดั้งเดิมที่ยังเหลืออยู่ในโรงงาน

อย่างไรก็ตามเครื่องยนต์ V6 PRV Engine ZMJ-159 ที่เคยใช้ไม่สามารถผลิตได้อีกเนื่องจากไม่ผ่านมาตรฐานด้านมลพิษ คาดว่า DeLorean Motor Company ต้องมองหาเครื่องยนต์ใหม่ให้ DMC-12 ได้ข่าวว่าจะเป็นเครื่องยนต์ที่มีพลังระหว่าง 300-400 แรงม้ามาแทนที่

แม้จะอยู่ในขั้นตอนทางกฎหมายเพื่อให้ผลิตอย่างถูกต้อง ซึ่งอาจต้องให้เวลาอย่างน้อย 1 ปี หากไม่มีปัญหาและสามารถดันการบังคับใช้กฎหมายผ่านได้ก็คุ้มค่าที่จะได้ Iconic Car แห่งยุคสมัยอย่าง DeLorean DMC-12 ข้ามเวลากลับมาโลดแล่นบนถนนในปัจจุบันอีกครั้งหนึ่ง


พร้อมแค่ไหนสำหรับอนาคต? 5 นวัตกรรมไฮเทคจากงาน CES 2020 ที่ตอกย้ำว่าเทคโนโลยีไม่เคยไกลตัว

$
0
0

เมื่อโลกเริ่มเจริญก้าวหน้าขึ้นเรื่อย ๆ เทคโนโลยีและนวัตกรรมต่าง ๆ ก็พัฒนาไปตามระดับความชาญฉลาดของมนุษย์ แม้ในอดีตใครหลายคนจะคิดว่าเทคโนโลยีเป็นเรื่องไกลตัว และคงไม่จำเป็นต้องเรียนรู้หรือปรับตัวให้ตามเท่าทัน

แต่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าปัจจุบัน ‘เทคโนโลยี’ ที่นำองค์ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์มาพัฒนาต่อยอด เริ่มแทรกตัวเข้ามาในชีวิตประจำวันของเรา และการใช้งานเทคโนโลยีก็กลายเป็นอีกกิจวัตรของผู้ชายหลายคนไปเสียแล้ว

นั่นแสดงให้เห็นว่าเทคโนโลยีไม่เคยเป็นเรื่องไกลตัว แถมเกี่ยวเนื่องเชื่อมโยงกับชีวิตเราจนไม่อาจเลี่ยงได้ วันนี้ UNLOCKMEN เลยอยากนำไฮไลต์ของงานเทคโนโลยีระดับโลกอย่าง ‘CES 2020’ มาฝากหนุ่ม ๆ ทุกคน

businessinsider.com

งาน CES (Consumer Electronics Show) หรือ CES 2020 เป็นงานจัดแสดงนิทรรศการผลิตภัณฑ์ด้านเทคโนโลยีและอิเล็กทรอนิกส์ระดับโลก ที่เพิ่งจัดไปเมื่อวันที่ 7-10 มกราคม 2020 ณ เมืองเนวาดาของรัฐลาสเวกัส ประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งปีนี้นับเป็นปีที่ 53 ตั้งแต่จัดงาน CES ครั้งแรกเมื่อปี 1957

ในงาน CES 2020 มีบริษัทชั้นนำระดับโลกกว่า 4,500 บริษัท นำเทรนด์เทคโนโลยีและนวัตกรรมล้ำสมัยที่พวกเขาพัฒนามาจัดแสดงให้ปรากฏต่อทุกสายตาของคนทั่วโลก เพื่อบอกถึงทิศทางของเทคโนโลยีที่กำลังจะเปลี่ยนโลกและเปลี่ยนอนาคตของคุณให้ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป

Samsung Ballie หุ่นยนต์ผู้ช่วยสุดเจ๋งในบ้าน

ต้องบอกว่าความปลอดภัยและความสะดวกสบายในที่พักอาศัย ถือเป็นอีกเรื่องที่คนยุคใหม่ให้ความสำคัญไม่น้อย และ Samsung Ballie แกดเจ็ตอัจฉริยะชิ้นนี้ก็ตอบโจทย์ความต้องการของหนุ่มสาวยุคใหม่ได้อย่างดี

Samsung Ballie เป็นหุ่นยนต์ทรงกลมสีเหลือง มีลักษณะคล้ายกับลูกเทนนิสที่ติดตั้งกล้องและเซนเซอร์ในตัว ช่วยติดตามและควบคุมการใช้งานอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่าง ๆ ภายในบ้าน แถมยังสามารถส่งภาพถ่ายและวิดีโอไปยังเจ้าของบ้านแบบ real-time ได้อีกด้วย

นอกจากนั้นเจ้า Samsung Ballie ยังเชื่อมต่อกับอุปกรณ์สมาร์ตโฮมชิ้นอื่น ๆ โดยตรง ทำให้เปิด ปิด หรือสั่งงานอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ภายในบ้านได้อย่างสะดวกสบาย เรียกได้ว่าผสมผสานระหว่างอุปกรณ์สมาร์ตโฮมและหุ่นยนต์คู่หูในเครื่องเดียว

Vision AVTR ยนตรกรรมที่ผสานเข้ากับเทคโนโลยีเต็มตัว

ค่ายรถยนต์เริ่มนำนวัตกรรมมาผสมผสานกับระบบเครื่องยนต์ของตนมากยิ่งขึ้น และหนึ่งในค่ายรถยักษ์ใหญ่อย่าง Mercedes-Benz ก็นำรถยนต์ต้นแบบ Vision AVTR ที่ได้แรงบันดาลใจจากภาพยนตร์ Avatar มาอวดโฉมในงาน CES 2020 ครั้งนี้ด้วย

รถยนต์คันนี้สร้างขึ้นจากแนวคิดการเคลื่อนที่ในโลกอนาคต เปลี่ยนยานพาหนะให้กลายเป็นนวัตกรรมขับเคลื่อนขั้นสูงที่เชื่อมต่อกับไบโอแมทริกซ์ (Biometrics) แทนการใช้พวงมาลัยแบบเดิม ๆ เมื่อใดที่ผู้ขับขี่วางมือบนแผงควบคุมอเนกประสงค์บริเวณคอนโซลกลาง รถจะตอบสนองและสามารถขับเคลื่อนได้ทันที

คุณสามารถเลือกได้ว่าจะขับแบบอัตโนมัติ หรือกึ่งอัตโนมัติที่ควบคุมความเร็วและการบังคับเลี้ยวได้ดั่งใจ นอกจากสมรรถนะการขับขี่ที่ลอกเลียนแบบลักษณะการเดินของปู (เคลื่อนตัวไปทางซ้ายและขวาได้อย่างรวดเร็ว)

Mercedes-Benz Vision AVTR คันนี้ยังมาพร้อมงานดีไซน์สุดเท่ เคลือบสีเงินทั่วคันรถ ใช้ล้อทรงกลมแปลกตา และออกแบบรูปร่างรถให้โค้งงอดูเป็นธรรมชาติ สอดแทรกกลิ่นอายอาวองการ์ด (Avant-Garde) และวัฒนธรรมของชาวนาวีที่ถอดแบบมาจากภาพยนตร์ Avatar

แบตเตอรี่ของรถใช้ระบบ fast charging ที่สามารถชาร์จแบตเตอรี่ให้เต็มภายในเวลาไม่ถึง 15 นาที มอเตอร์ไฟฟ้าที่มีประสิทธิภาพสูงทั้ง 4 ตัว บวกกับระบบขับเคลื่อนล้อหลังด้วยกำลังรวม 350 กิโลวัตต์ ยังทำให้รถ Mercedes-Benz Vision AVTR วิ่งได้ไกลถึง 700 กิโลเมตรต่อการชาร์จเต็มหนึ่งครั้ง และมอบอัตราการเร่งสูงสุดที่ 470 แรงม้า

NEON มนุษย์จำลองที่ต่อยอดจาก AI

NEON เป็นโปรเจกต์ล่าสุดของ Samsung ที่พัฒนาปัญญาประดิษฐ์ AI ให้กลายเป็นมนุษย์จำลอง (Artificial Human) โครงการนี้เกิดขึ้นจาก Pranav Mistry นักวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์และนักประดิษฐ์ชาวอินเดีย เขาสร้างมนุษย์จำลองที่ทำงานด้วยแพลตฟอร์มเทคโนโลยี CORE R3 และ SPECTRA อันทรงพลัง

เนื่องจากทีมพัฒนาตั้งใจให้ NEON เป็นสิ่งมีชีวิตที่สร้างจากคอมพิวเตอร์โดยสมบูรณ์ จึงใส่โปรแกรมให้เคลื่อนไหวได้แบบ real-time ตอบโต้กับมนุษย์ได้อย่างเป็นธรรมชาติ และใกล้เคียงมนุษย์จริง ๆ มากที่สุด แถมมนุษย์จำลองในโปรเจกต์นี้ยังมีอาชีพ บุคลิกภาพ และชาติพันธุ์ที่แตกต่างกันด้วย

แม้นี่จะเป็นครั้งแรกที่ AI มีหน้าตาและผิวหนังคล้ายมนุษย์ตัวเป็น ๆ แต่ทีมพัฒนาก็สร้างมนุษย์จำลองออกมาได้อย่างสมจริง และคาดว่าในอนาคตเราอาจได้เห็น NEON เข้ามาเป็นผู้ช่วยใหม่ของหลาย ๆ ภาคธุรกิจ

เครื่องจักรผลิตพิซซาความเร็วสูง

แม้แต่ Picnic สตาร์ตอัปอันโด่งดังจากซีแอตเทิล ก็นำเครื่องจักรผลิตพิซซาอัจฉริยะมาแสดงในงาน CES 2020 ครั้งนี้ด้วย ไฮไลต์ของเครื่องจักรชิ้นนี้คือสามารถผลิตพิซซาขนาด 12 นิ้ว ได้สูงสุดถึง 300 ถาด และผลิตพิซซาขนาด 18 นิ้ว ได้สูงสุด 180 ถาด ภายในระยะเวลา 1 ชั่วโมง

ตัวเครื่องจะเชื่อมโยงกับอินเทอร์เน็ตโดยตรง เพียงแค่ผู้ใช้กดสั่งอาหารเครื่องก็จะประมวลผลและทำงานทันที นอกจากจะโรยวัตถุดิบบนหน้าพิซซาได้อย่างสม่ำเสมอและเท่ากันทุกชิ้น เครื่องนี้ยังสามารถผลิตแซนด์วิช สลัด และเมนูอาหารอื่น ๆ ได้อีกด้วย

การกินที่เป็นหนึ่งในกิจวัตรของคนเรา ก็ไม่วายถูกพัฒนาให้ก้าวหน้าและทันสมัยไปกว่าเดิม แล้วเครื่องผลิตพิซซาความเร็วสูงนี้ คงช่วยให้ร้านอาหารผลิตและจัดส่งอาหารถึงมือผู้บริโภคได้อย่างรวดเร็วทันใจแน่นอน

LG Signature OLED TV RX

ทุก ๆ ปีบริษัทผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์แห่งแดนกิมจิรายนี้จะพัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยีใหม่ ๆ มาแซงหน้าสิ่งประดิษฐ์จากปีก่อนของตนเสมอ และปี 2020 นี้ก็เป็นเช่นเดียวกัน LG เปิดตัวโทรทัศน์แบบเลื่อนจอได้ คว้ารางวัลชนะเลิศด้านนวัตกรรมยอดเยี่ยมสำหรับการแสดงวิดีโอในงาน CES 2020

โทรทัศน์ LG Signature OLED TV RX ออกแบบมาให้ผู้ใช้สามารถปรับเปลี่ยนรูปแบบการแสดงผลได้ 3 ระดับ ใช้ระบบประมวลผล α9 Gen 3 AI Processor 4K ที่ยกระดับคุณภาพของภาพและเสียงให้ดียิ่งขึ้น พร้อมรองรับระบบการสั่งงานด้วยเสียงแบบแฮนด์ฟรี

นอกจากการแสดงผลหน้าจอทั้ง 3 แบบจะดูหรูหรา มีสไตล์ และปรับใช้ให้เข้ากับแต่ละกิจกรรมของผู้ใช้ได้แล้ว รูปแบบการแสดงผลที่ยืดหยุ่นและปรับเปลี่ยนได้ยังช่วยลดการใช้พลังงานของเครื่องใช้ไฟฟ้าไปในตัวอีกด้วย

นอกจากนวัตกรรมไฮเทคทั้ง 5 ชิ้นนี้ ในงาน CES 2020 ยังมีแกดแจ็ตและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์เจ๋ง ๆ อีกมากมาย ทั้งรถไฟฟ้าไร้คนขับจาก Sony ที่ข้ามสายอุตสาหกรรมมาเอาดีกับการออกแบบรถไฟฟ้า ภายในรถอัดแน่นไปด้วยระบบเซนเซอร์ที่เอื้อประโยชน์ให้ผู้โดยสารใช้รถได้สะดวกสบายยิ่งขึ้น

หรือหุ่นยนต์สัตว์เลี้ยง Lovot จากญี่ปุ่นที่ติดตั้งเซนเซอร์กว่า 50 แห่ง ทำให้มันสามารถวิ่งไปหาเจ้าของและตอบสนองกับมนุษย์ได้ มีดวงตาและลำโพงช่วยให้ Lovot แสดงความรู้สึกออกมาราวกับเป็นสัตว์เลี้ยงที่มีชีวิต คนที่อยากเลี้ยงสัตว์แต่เป็นภูมิแพ้ หรือผู้ที่อยู่อาศัยในพื้นที่คับแคบก็สามารถซื้อเจ้า Lovot ไปเลี้ยงที่บ้านได้สบาย ๆ

งาน CES 2020 แสดงให้เห็นว่านอกจากอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ อุตสาหกรรมยานยนต์และสินค้าอุปโภคบริโภคทุกชนิดก็เริ่มผสานเข้ากับเทคโนโลยียุคใหม่ ซอฟต์แวร์ในอนาคตจะขับเคลื่อนด้วยปัญญาประดิษฐ์ AI, AR และ 5G รวมทั้งการเชื่อมต่อแบบอัตโนมัติก็จะเข้าแทนที่การเชื่อมต่อแบบ manual ที่เราคุ้นเคย

แม้เทคโนโลยีที่พัฒนาเกินกว่าคำว่าก้าวกระโดดนี้ จะเอื้อประโยชน์ให้การใช้ชีวิตของมนุษย์สะดวกสบายยิ่งขึ้น แต่ก็เป็นหน้าที่ของเราที่ต้องปรับตัว เรียนรู้ และรับมือต่อการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้นี้ด้วย

ถึงจะยังไม่เห็นภาพชัดเจน แต่คาดว่าในอนาคตเทคโนโลยีที่พัฒนาจนมีศักยภาพเทียบเท่ามนุษย์ อาจส่งผลให้ตลาดแรงงานมีการเปลี่ยนแปลงอยู่บ้าง บางสายอาชีพอาจหายไปและมีอาชีพใหม่ ๆ เกิดขึ้น แล้วเราอาจต้องใช้ชีวิตในโลกที่หุ่นยนต์อยู่ร่วมกับมนุษย์ เหมือนอย่างพล็อตในภาพยนตร์หลาย ๆ เรื่องที่เราเคยดู

 

COVER SOURCE , SOURCES: 123

ISSUE 01: LOVE IS LOVE เพราะความรักคือความรัก

$
0
0

WHAT IS LOVE ? 

LOVE IS LOVE.

 

คุณเคยโดนสาวถามไหมว่า “รักเค้าไหม ?” เราเชื่อว่าร้อยทั้งร้อยผู้ชายทุกคนมีประสบการณ์เรื่องนี้เหมือน ๆ กันหมด เคยเอามาพูดกันบ่อย ๆ ในวงกินข้าวด้วยซ้ำว่าจะเอาไงกับเรื่องนี้ดี เพราะคำถามที่ตอบได้ง่าย ๆ แบบนี้ดันกลายเป็นคำถามที่ลูปวนมาถามเราซ้ำ ๆ ไม่รู้จักเบื่อ ล่าสุดพอเข้าเดือนแห่งความรักเราเริ่มจะเจอคำถามสเตปยากขึ้นอย่าง “เธอรักเราเพราะอะไร ?”

เออว่ะ…รักเพราะอะไร แล้วสรุปนี่…”รักคืออะไรนะ จากความเอะใจ จู่ ๆ เรื่องนี้มันก็เลยกลายเป็นประเด็นระดับชาติที่พวกเรา UNLOCKMEN มานั่งถกกันจริงจัง และกลายเป็นที่มาของการเริ่มต้น ISSUE แรกประจำศักราช สร้างธีมใหญ่ขึ้นมาโชว์ของ ตีความรักในรูปแบบของตัวเอง เพราะตลอดเวลาที่เรานั่งคุยกันแต่ละคนไม่มีใครตอบเหมือนกันเลย และไม่ว่าจะมีคำตอบแบบไหนก็ไม่มีผิดมีถูกอะไรทั้งนั้น

พวกเราเลยแข่งกันเสนอรูปแบบความรักที่ตัวเองอยากโชว์มุมมองของตัวเอง และรูปแบบแรกที่เผยให้ดูก่อนคือความรักที่มาจากแว่นมุมมองของช่างภาพสาวของเราด้วยโปรเจกต์เซตภาพ “YOUNG LOVE” เพื่อสื่อความหมายความเป็นนิรันดร์แห่งรักจากมุมมองที่เชื่อว่า “รักไม่มีอายุขัยหรอกและไม่มีวันหมดอายุ แต่รักจะคงความสดใสไว้เสมอ”

สำหรับใครที่เคยเห็นภาพอบอุ่นนี้จากเฟซบุ๊กแล้ว เราขอเผยคอนเซ็ปต์และกิมมิคที่ซ่อนไว้ซึ่งคุณอาจจะไม่ทันสังเกต

 

Statice Flower – Everlasting Love

Clothes: Scotch & Soda – Polo T-Shirt

คนมองผ่านไปผ่านมาอาจคิดแค่ว่านี่เป็นภาพหญิงชรายิ้มหวานสักคน

แต่เฟรมมือของชายคนรักที่อยู่บน Foreground ชี้ว่า ในสายตาของเรามองเห็นสาวตรงหน้าเหมือนสาวแรกรุ่น คนเดิมที่เขาตกหลุมรักครั้งแรก ริ้วรอยที่เพิ่มขึ้นไม่เคยเปลี่ยนภาพความน่ารักที่เขามองให้เธอและความรักที่เธอมี ที่สำคัญภาพนี้ยังสอดแทรกความหมายเชิงสัญลักษณ์ของความรักด้วยดอกสแดดิสสีม่วง ดอกไม้ที่สวยงามและคงรูปได้นานแม้จะผ่านเวลามานาน แทนความรู้สึกดี ๆ ที่เขามีต่อเธอว่ามันจะยังคงอยู่ตลอดไป

 

GROWTH LOVE

Clothes:: Scotch & Soda – Red T-Shirt, Evisu – Jeans (Left / Scotch & Soda –  White T-Shirt, Evisu – Jeans (Right)

ความรักแม้มองไม่เห็นแต่ก็มีชีวิต หลายคนจึงมักเปรียบเทียบว่ารักเป็นดั่งต้นไม้

แม้กาลเวลาจะที่เปลี่ยนแปลงรูปแบบการจีนกัน จากเดินไปขอความรักต่อหน้า ส่งจดหมายแสดงความคิดถึง หรือมาจนถึงยุคส่งข้อความในโลกดิจิทัลเพื่อสานความสัมพันธ์ แต่สุดท้ายเงื่อนไขสำคัญที่ทำให้ความรักยังคงอยู่ได้นานไม่ต่างจากวันแรกเริ่ม ไม่ลดหรือจางลงคือการบำรุงดูแลให้ความรักนั้นเติบโตไปพร้อมกัน บัวรดน้ำสีแดงที่รดให้อีกฝ่ายแสดงถึงความเอาใจใส่ ปลูกต้นความรักของอีกฝ่ายให้เติบโตไปด้วยกัน

 

GET THROUGH ANYTHING TOGETHER

Clothes: Scotch & Soda – Polo T-Shirt (Left:), Scotch & Soda – Polo T-Shirt, Club Monaco – Stretch Pants (Right)

นักวิจัยบอกว่าเรามักตกหลุมรักคนที่มีความคล้ายกัน ทั้งเรื่องทัศนคติ การมองโลก ฯลฯ หลักทฤษฎีว่าไว้ด้วยคำพูดง่าย แต่ชีวิตจริงไม่เคยง่าย การจับคนสองคนจากต่างครอบครัว ต่างการเลี้ยงดูมาเดินพร้อมกันบนเส้นทางยาวไกลที่คาดเดาไม่ได้กลายเป็นอุปสรรคชิ้นโตที่บางคนไม่เคยคิดถึง ช่วงแรกที่เดินทางอาจจะเรียบ บางช่วงอาจจะมีหลุมบ่อ สารพัดปัญหาดาหน้าเข้ามาไม่รู้จบ ไม่ค่อยมีใครบอกเราว่า ต่อให้ความรักมันดีแค่ไหน ชอบเหมือนกัน รสนิยมเดียวกัน สุดท้ายมันก็ไม่การันตีว่าเราจะได้เป็นตัวเอง 100%

โลกความจริงไม่เคยมีจิ๊กซอว์ชิ้นไหนที่ต่อกันได้สมบูรณ์ ทุกคู่ที่อยู่กันนานได้ เพราะต่างฝ่ายต่างช่วยกันเรียนผูกเรียนแก้ ขัดเหลี่ยมมุมไปด้วยกัน จนในที่สุดมันก็ลงล็อกพอดี

 

SIMPLY LOVE IS SPECIAL

Clothes: Scotch & Soda – Sweater (Blue), Evisu – Jeans (Left) / Club Monaco – Sweater (Yellow), Evisu – Jeans (Right)

เวลาเราคิดถึงความรัก เรามักจะคิดถึงช่วงเวลาพิเศษ จะวันเกิดหรือวาเลนไทน์ วันครบรอบ ฯลฯ จนลืมโฟกัสช่วงเวลาธรรมดาในกิจวัตรประจำวันที่มีมากกว่าวันพวกนั้น เราอยากถือดอกไม้ช่อใหญ่ ทั้งที่รอยยิ้มตลอดเวลาที่เราคบกันมันมาจากความใส่ใจธรรมดาเล็ก น้อย

ยังบีบยาสีฟันให้กันไหม ยังกุมมือส่งรอยยิ้มดี ให้กันหรือเปล่า

บางคนอาจจะคิดว่าแค่นั่งมีเวลาในวันพิเศษให้กัน เตรียมของขวัญชิ้นโตให้ก็น่าจะพอแล้ว จนลืมสังเกตหรือดูผลสำรวจปี 2560 ว่าคู่รักคนไทยทะเลาะกันบ่อยที่สุดในเอเชียเพราะสมาร์ตโฟน (เราเองก็ทะเลาะเคยทะเลาะบ้านแตกมาแล้วเพราะเรื่องนี้) ดังนั้น ถ้าทำทุกเรื่องธรรมดาให้พิเศษ วันวาเลนไทน์ก็จะเป็นวันที่เราพูดได้หล่อ ว่าก็แค่วันธรรมดาวันนึงเท่านั้น

 

BALANCE LOVE

Clothes: Scotch & Soda – Polo T-Shirt (Left) / Scotch & Soda – Polo T-Shirt, Club Monaco – Stretch Pants (Right)

ความรักที่จะอยู่กันได้นานต้องมีจุดสมดุลของความรัก

เคยสงสัยไหมว่าความรักทำไมต้องหาจุดสมดุล ? คนมักจะพูดเรื่องนี้บ่อย อันที่จริงเรามองหาความสมดุลกับเรื่องทุกเรื่อง ทั้งการใช้ชีวิต การทำงานและความรัก เหตุผลง่าย เพราะรูปร่างของความรักเกิดขึ้นจากคน 2 ฝ่ายหากมีใครตึงหรือหย่อนเกินไป ภาพความรักที่เราเห็นก็อาจจะพัง มีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งหรือทั้งสองฝ่ายได้รับบาดเจ็บ

 

TAKE CARE ‘OURSELVES’

Clothes: Scotch & Soda – Sweater (Blue), Evisu – Jeans (Left)​ / Club Monaco – Sweater (Yellow) Evisu – Jeans (Right)​

ยุคก่อนคนอาจมองว่าสาว เป็นช้างเท้าหลัง แต่ตอนนี้พวกเรารู้ว่าเธอก็สามารถเป็นช้างเท้าหน้าที่ดีได้ไม่ต่างจากเรา เธอดูแลตัวเองได้มากขึ้น ความสัมพันธ์ที่ยังยืนจึงไม่มีใครทำหน้าที่เป็นผู้นำและผู้ตามได้ 100% ทุกวันนี้เราจึงเห็นสถิติคนโสดเพิ่มขึ้นเรื่อย

แม้จะเป็นอย่างนั้น ความแข็งแกร่งและการดูแลตัวเองก็สามารถสร้างรักที่มั่นคงได้ ถ้าเราดูแลตัวเองแต่เราก็แบ่งปันความใส่ใจเพื่อดูแลกันและกัน สื่อภาพด้วยร่มภายในมือคู่รักที่ต่างฝ่ายต่างถือในมือ แต่หากเผชิญปัญหาอีกฝ่ายพร้อมจะยื่นร่มที่ตัวเองมีเพื่อปกป้องกันและกัน

 

NOTHING SO FAR

Clothes: Scotch & Soda – Red T-Shirt Club, Monaco – Stretch Pants (Left)​ / Scotch & Soda – White T-Shirt, Club Monaco – Stretch Pants (Right)​

บางคู่อาจจะพบระยะห่างของความรัก แต่ความห่างไกลไม่ใช่เครื่องยืนยันว่าใจเราต้องห่างตาม คู่รักทางไกลหลายคู่ใช้เวลาดูแลกันและกัน ทักทายถามไถ่เหมือนนั่งอยู่เคียงข้างกันตลอดเวลา และต่อให้ชีวิตจะถูกพรากไป ความรักที่ยังคงติดแน่นในใจจะทำให้เรารู้สึกเหมือนได้เคียงข้างกันเสมอ 

การนั่งบนเตียงหันหน้าตรงไปด้านหน้าทั้งคู่ ต่างฝ่ายต่างไม่ได้หันหน้ามองกัน แต่มองเห็นอีกผ่านกระจกเพื่อทักทายกัน สื่อให้เห็นว่าความรักมันไม่ได้มีอะไรมาพรากได้ ต่อให้เราไม่ได้เห็นกันและกันต่อหน้า ความรักจะทำให้เรารู้สึกเหมือนอยู่เคียงข้างกันเสมอ

 

NEVERENDING LOVE, YOUNG LOVE

Clothes: Scotch & Soda – Sweater (Blue) (Left), ​ Club Monaco – Sweater (Yellow) (Right)​

การเดินทางของความรัก จากวันเริ่มจีบ วันผ่านอุปสรรค จนถึงวันพรากจาก สุดท้ายไม่ว่าจะผ่านไปนานแค่ไหน ความรักไม่ได้ขึ้นอยู่กับอายุหรือริ้วรอย ไม่มีเวลามากำหนดวันหมดอายุ ตราบเท่าที่ ยังรักรอยยิ้ม อ้อมกอดอันอบอุ่น “ความรัก” ที่มีจะช่วยให้เรากระชุ่มกระชวย สดใส ใจเต้นแรงเหมือนหยุดเวลาไว้ที่วันแรกคบ ยิ่งแสดงออก หมั่นเติมความโรแมนติกต่อกันมากเท่าไหร่ ทั้งหมดนี้ก็ไม่ต่างจากวันแรก ตามที่เขาว่ากันว่าความรักคือยาอายุวัฒนะ 

คุณล่ะเห็นเหมือนหรือต่างกันกับเราอย่างไรบ้าง

อ้อ! เกือบลืม คำถามที่คนข้าง ๆ ถามเราว่ารักเธอเพราะอะไร พวกเราเจอคำนิยามที่ดีที่สุดตรงกลางที่ใช้ตรงกันได้แล้ว

 

“รักเพราะรักน่ะแหละ” และ “รักก็คือรักแหละนะ” แต่ถ้าใครอยากจะใส่รายละเอียดอะไรก็ให้เป็นเรื่องส่วนตัวของคน ๆ นั้น

 

CREDITS Clothes: Club Monaco , Scotch & Soda , Evisu

สัญญาณว่าคุณกำลังเจอคนห่วย ๆ ต้องรีบชิ่งหนีให้ห่างอย่างด่วน (Based on Breaking Bad Character)

$
0
0

มนุษย์เป็นสัตว์สังคม ทุกวันนี้เรากำลังอยู่ในสังคมที่เต็มไปด้วยคนหลากหลายนิสัยใจคอ ที่มีทั้งดีและไม่ดีปะปนกันไป และบ่อยครั้งที่คนเหล่านี้จะมาในรูปแบบของเพื่อนหรือคนรู้จักในที่ทำงาน ด้วยสถานการณ์บีบบังคับหลาย ๆ อย่าง ที่เราจำเป็นจะต้องเจอคนประเภทที่สนใจแต่เรื่องของตัวเอง แต่มองเรื่องอื่นที่เป็นความท้าทายหรือสิ่งที่ไม่ได้ดั่งใจว่าเป็นปัญหาขัดใจที่รับไม่ได้ มาอยู่ในสังคมเดียวกับเราโดยไม่รู้ตัว

เพราะเหตุนี้เราควรที่จะเริ่มสังเกตคนรอบๆตัวเรา ดูว่ามีคน Toxic แบบนี้อยู่บ้างไหม จะได้หาทางหลีกเลี่ยงไปให้ไกลก่อนเป็นภัยกับตัวเอง เพราะทุกงานวิจัยล้วนยืนยันว่า การอยู่ร่วมกับคน Toxic มาก ๆ เข้า จะกลายเป็นเรานี่แหละที่เสียอาการ

 

คนที่ไม่มีความตั้งใจ_อะไร (เพื่อส่วนรวม) เลย

เคยเห็นคนที่มันใช้ชีวิตโคตรไร้ทิศทางไหม? คนแบบนี้เหมือนไม่มีจุดมุ่งหมายอะไรเลยในชีวิต?

ทำไมถึงต้องหนีให้ห่างจากคนแบบนี้ ก็เพราะว่าคนประเภทนี้มักจะคิดตามใจตัวเองสุดๆ อยากจะพักก็พัก อยากจะเททุกอย่างทิ้งก็ทำ มีแพลนโน่นนั้นนี่ว่าจะทำอะไรดี เริ่มต้นเป็นเหมือนไอเดียที่ยิ่งใหญ่ แต่พอผ่านไปวันสองวันก็เหมือนลืมไปแล้ว หรือเจอปัญหาก็ล้มเลิกแบบไม่ทันได้พยายามอะไร ไม่ได้จับต้องอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน คิดว่าปัญหาของคนอื่นมันเรื่องเล็ก ปัญหาหรือเหตผลของตัวเองเป็นเรื่องใหญ่

คนแบบนี้ถ้ายิ่งอยู่ใกล้จะพาลทำให้เราติดนิสัยทำอะไรอ่อนปวกเปียกมาด้วยแบบไม่รู้ตัว และมันจะเป็นปัญหาที่ค่อย ๆ มีผลกระทบขนาดใหญ่ในภาพรวมขององค์กร เพราะการทำงานเป็นทีมต้องการความตั้งใจจากทุกคนทุกฝ่าย การปล่อยให้มีคนคิดแบบนี้เป็นเวลานานจะแพร่กระจายความคิดลบ จนคนอื่น ๆ ที่เคยมีไฟก็กลับมอดดับไปด้วย วิธีแก้ที่ดีที่สุดคือการคุยแบบเปิดอก และลองให้โอกาสปรับตัวสักพัก ถ้าเวลาผ่านไปก็ยังไม่มีอะไรดีขึ้น การอยู่ให้ห่างหรือรายการเรื่องนี้ให้หัวหน้าได้ทราบถึงผลกระทบเป็นทางออกที่ดีที่สุด

 

คนเอาตัว (เอง) รอด

คนแบบนี้จะชอบอยู่กับเพื่อนและครอบครัว ชอบอยู่กับคนที่จะทำให้หัวเราะได้ แต่สิ่งที่น่ากลัวก็คือคนแบบนี้มีความคิดที่จะ “ไป” ตลอดเวลา และก็มักจะต้องการทำให้ได้ในทันที เหมือนคนที่อยู่ในสภาวะที่พร้อมทิ้งทุกอย่างได้ตลอด ไม่ว่าที่แห่งนั้นจะดีมากแค่ไหนก็ตาม และคนแบบนี้ก็ต้องการมีออฟชั่นเสริม (ตัวเลือก)  เป็นทางเลือกให้ตัวเองก่อนเสมอ โดยไม่ได้แคร์หรือสนใจสถานการณ์หรือเห็นใจคนส่วนใหญ่อะไร เพราะคิดว่ายังมีอีกตัวเลือกอยู่ดี

คนแบบนี้จะไม่นึกถึงโอกาสดี ๆ มากมายที่ได้รับจากคนนอื่น ไม่มองเห็นคนข้างหลังหรือลูกน้องแน่นอน เพราะเมื่อมีอะไรดีกว่าก็จะไป หรือจะทำดีต่อเมื่อต้องการอะไรบางอย่างของตัวเองให้สำเร็จลุล่วง มองหาแต่โอกาสจนย่ำเหยียบคนอื่นๆ เพื่อยกให้ตัวเองไปได้สูงขึ้นไปอีก

ถ้าเจอคนแบบนี้ต้องรีบตีตัวออกห่าง เพราะว่าคนเหล่านี้ไม่ได้สนใจอะไรนอกจากผลประโยชน์ล้วน ๆ จนบางครั้งเราก็แยกไม่ออกระหว่างความจริงใจกับคำว่าผลประโยชน์

 

คนที่อยู่ด้วยแล้วอึดอัด

ไม่ว่าบรรยากาศจะครื้นเครงเฮฮาขนาดไหนก็ตาม แต่เมื่ออยู่กับคนแบบนี้แล้วมักจะก่อให้เกิดความรู้สึกอึดอัดใจ และไม่ว่าเขาจะพูดอะไรออกมา หรือจะนั่งเงียบสง่าอยู่คนเดียวแบบไม่สนโลก ก็มักจะทำให้เกิด Dead Air บรรยากาศเงียบ ไม่มีใครสนใจในสิ่งที่เขาพูด

แต่ที่แย่ยิ่งกว่าคือคนพวกนี้มักจะไม่แคร์ไม่สนใจอะไร ว่าตัวเองเป็นต้นเหตุที่ทำให้บรรยากาศมาคุโดยรอบ ไม่คิดจะปรับปรุงตัวเองหรือช่วยให้บรรยากาศดีขึ้น บอกเลยว่าถ้าคุณถูกทิ้งให้อยู่กับคนแบบนี้แค่เพียงสองคน ถือว่าเป็นโชคร้าย เพราะมันจะเป็นช่วงที่เวลาเดินช้าและน่าอึดอัดใจมากเหลือเกิน

 

คนเป็นศูนย์กลางจักรวาล

ถ้าคุณเจอคนประเภทนี้ต้องรีบหนีให้ไว เพราะว่าคนแบบนี้เวลานัดหรือวางแผนจะทำอะไรด้วย มักจะเบี้ยวนัด เบี้ยวกิจกรรมเป็นประจำ แถมยังมีความคิดแปลก ๆ ตรงที่ชอบเอาความรู้สึกของตัวเองเป็นที่ตั้ง แบบที่พวกเราเรียกว่าเอาตัวเองเป็นศูษย์กลางจักรวาลนั่นแหละ

ถ้าเขาไม่อยากไปก็จะไม่ไป ไม่อยากทำก็จะไม่ทำ หรืออยากจะทำในแบบที่ตัวเองต้องการ ไม่สนใจฟังเสียงของคนรอบข้างหรือสถิติใด ๆ โดยทั้งหมดนี้ไม่ได้สนใจว่าคนอื่นจะได้รับผลกระทบจากการกระทำของเขาหรือไหม คิดแค่ตัวเองสบาย ไม่เดือดร้อนคนเดียวก็พอแล้ว

 

คนเฉยชาหน้าตาย

เคยเจอบ้างไหม คนที่เวลาคุยหรือเล่าอะไรให้ฟังในที่ประชุมแล้วชอบทำท่าทางเฉยเมย ไม่สนใจ แต่กลับกันเมื่อต้องเป็นฝ่ายเล่าบ้าง ก็อยากให้เรารับฟังพร้อมทำท่าสนใจ

ถ้าคุณกำลังอยู่ในความสัมพันธ์กับคนแบบนี้ละก็ อาจต้องคิดทบทวนกันใหม่ดูสักหน่อย เพราะต่อไปคุณอาจเป็นฝ่ายทำตามความต้องการของคนแบบนี้ตลอดเวลาจากความเคยตัว เข้าทำนอง ไม่มีเค้า เราต้องเดือนร้อน แต่ถ้าไม่มีเรา เค้าจะสบายใจ ไม่ต้องรำคาญ เหมือนกดให้คนอื่นต้องอยู่ต่ำกว่าโดยไม่รู้ตัวนั่นเอง

 

TOP MAN MANUAL: เรื่องบนเตียงห้ามมองข้าม เพราะความสัมพันธ์ดี มีผลต่อความสำเร็จระยะยาว

$
0
0

‘เรื่องอื่นเอาไว้ก่อน ตอนนี้อย่าเพิ่งกวนใจ ขอเคลียร์งานตรงหน้าก่อน’ ประโยคนี้ผู้ชายบ้างานอาจจะเคยพูดมาแล้วไม่ต่ำกว่าคนละ 1 ครั้ง เพราะผู้ชายอย่างพวกเรา ธรรมชาติได้สร้างสัญชาตญาณความเป็นนักล่า ฝังรากลึกอยู่ใน DNA ตั้งแต่สมัยดึกดำบรรพ์ พวกเราจึงกระหายความสำเร็จ ทำอะไรแล้วทุ่มเทเต็มที่ เราไล่ล่าความสำเร็จในหน้าที่การงาน แน่นอนว่ามันเป็นเรื่องที่ดี แต่การทำอะไรเอียงไปด้านเดียวมากเกินไป อาจจะทำให้เรามองไม่เห็นความสำคัญของคนรักของเรา และบางทีแม้เราจะประสบความสำเร็จในงาน แต่เมื่อมองกลับมา ก็ไม่มีใครคอยแสดงความยินดีกับเราเสียแล้ว

นอกจากผลกระทบที่เราเคยพูดไปแล้วใน TOP MAN MANUAL#1 ว่าการพักผ่อนไม่เพียงพอ ทำให้เราเหนื่อยล้า ไร้พลังในวันถัดไป อันตรายต่อสุขภาพโดยรวม ใน Chapter 2 เราจะมาพูดถึงผลกระทบที่หลายคนมองข้าม มันคือความสัมพันธ์ระหว่างตัวเราและสาวคนรู้ใจที่จะแย่ลง มีข้อมูลที่น่าสนใจพูดถึงสาเหตุที่ทำให้คู่รักความสัมพันธ์ยาวนานต้องเลิกรากันไปจากสาเหตุ 2 ปัจจัยหลักคือ No Sex และ Money Issues ซึ่งดูเหมือนจะเป็นสิ่งที่ถ่วงดุลอยู่คนละด้านกันมาก

Why Relationships Fail

เพราะเราอยากมีเงินเยอะ เราจึงทำงานหนัก แต่การทำงานหนักเกินไปก็ทำให้เราพักผ่อนไม่เพียงพอ เรายุ่งกับเรื่องงานมาก ให้ความสำคัญกับสุขภาพของตัวเองน้อยลง คิดถึงคนข้าง ๆ น้อยลง เราแบกความเครียดจากงานกลับมาที่บ้าน กินเหล้า สูบบุหรี่ และในบางครั้งเราก็เผลอระบายความเครียดใส่เธอจนทำให้ผิดใจกันอีกด้วย ทำให้คำว่า ‘เธอเปลี่ยนไป’ กลายเป็นคำยอดฮิตในสถาบันคู่รัก แม้เราจะไม่ยอมรับ แต่เชื่อเถอะว่าบางทีเราอาจจะไม่รู้ตัว หรือรู้แต่ไม่ยอมรับความจริงเท่านั้นเอง

แต่ตัวการที่ทำลายความสัมพันธ์ชีวิตคู่ และลุกลามไปทำลายความมั่นใจ ยาวไปถึงประสิทธิภาพการทำงานที่เคยมีได้มากกว่าแบบที่หลายคนคาดไม่ถึง เพราะคิดว่ามันเป็นเรื่องเล็กที่ไกลตัว คือเรื่อง No Sex ปัญหาที่คู่รักเกือบทั่วโลกต้องเจอ และเป็นตัวเลขที่น่ากลัว เช่นใน the Guardian’s Survey เกี่ยวกับประเทศญี่ปุ่นเพื่อนบ้านเรา พบว่า 47.2% ของคู่แต่งงาน 3,000 คู่ ไม่มี Sex กันเลย เพิ่มขึ้นถึง 2.6% จาก Survey เดียวกันที่ทำในปี 2014

ปัญหาคู่รักมี Sex น้อยลงหรือไม่มีเลยนั้น ผู้ชายส่วนใหญ่ไม่คิดว่าตัวเองมีความเสี่ยงจะเป็น ด้วยความมั่นใจในสมรรถภาพของตัวเอง ในช่วงแรกเราอาจจะบอกว่าไม่มีอารมณ์ เรายุ่ง เราง่วง เรามีเหตุผลมารองรับการบ่ายเบี่ยงเสียงเรียกร้องจากคู่ครองของเราเสมอ แต่เมื่อถึงจุดหนึ่งที่เราอยากมี เราอาจจะแปลกใจที่ตัวเองไม่สามารถมี Sex ได้ หรือที่เรียกว่า Erectile Dysfunction แปลเป็นไทยง่าย ๆ ว่าอาการ ‘นกเขาไม่ขัน’ 

Erectile Dysfunction ปัญหาใหญ่ที่มาแบบเงียบ ๆ

นกเขาไม่ขัน หรือ Erectile Dysfunction เป็นคำที่โคตรน่ากลัวสำหรับผู้ชายทุกคน ไม่ใช่การคนที่ไม่สามารถมี Sex ได้เพราะน้องชายไม่แข็งตัวเท่านั้น แต่มันรวมถึงการที่น้องชายแข็งตัวไม่เต็มที่ แข็งตัวได้ไม่ตลอดรอดฝั่งจนจบกระบวนการ การถึงฝั่งเร็วเกินไป หรือสูญเสียอารมณ์อยากมี Sex ไป ซึ่งอาจมีสาเหตุได้ทั้งจากสภาพร่างกาย เช่นระบบการไหลเวียนของเลือดไม่ดี จากการพักผ่อนน้อย จากการไม่ออกกำลังกาย กินเหล้า สูบบุหรี่ ทำให้เลือดไปเลี้ยงเนื้อเยื่อไม่พอ จึงขยายตัวได้ไม่เต็มที่ หรือด้านจิตใจ เช่นฮอร์โมน testosterone ต่ำ ความเครียด ความซึมเศร้า ความกังวลใจ มันจึงเป็นเหมือนภาวะลูกโซ่ ยิ่งประสิทธิภาพ Sex ไม่ดี ยิ่งทำให้เรากังวลจนไม่กล้ามีอีก จึงสูญเสียความมั่นใจไปเรื่อย ๆ

ทุกวันนี้ถ้าใครยังคิดว่าปัญหานกเขาไม่ขันจะเกิดได้เฉพาะกับคนมีอายุมากล่ะก็ บอกได้เลยว่าคุณกำลังเข้าใจผิด เพราะมีรายงานหลายชิ้นทั่วโลก พบว่าปัญหานกเขาไม่ขันเกิดได้ไม่เว้นแม้แต่เด็กหนุ่มวัยรุ่นตั้งแต่ 18 ปี ซึ่งแม้จะยังมี testosterone แบบเหลือเฟือ แต่ด้วยพฤติกรรมจากไลฟ์สไตล์แบบปัจจุบัน ที่พวกเรากำลังทำร้ายนกเขาให้นกเขาซึมเศร้าเร็วก่อนวัยอย่างไม่รู้ตัว เมื่อผู้ชายงัดนกเขาขึ้นมาใช้งานไม่ได้ ความภาคภูมิใจที่เคยมีต้องพังทลาย ความมั่นใจในฐานะ TOP MAN ก็หดหายไป ความเครียดกระทบส่วนอื่นในชีวิต หน้าที่การงาน ความสัมพันธ์หนุ่มสาว อาจเข้าขั้นระแวง นอกใจ เปลี่ยนไปหาคนอื่นที่เร้าใจกว่า ทำให้ครอบครัวถึงขั้นพังทลายได้ ทุกปัจจัยสัมพันธ์กันหมดเหมือน Domino Effect

Don’t Wait. Prevention is the Key

Erectile Dysfunction เป็นอาการที่ควรป้องกันก่อน จะยิ่งมีประสิทธิภาพมากกว่า แต่ด้วยอาการที่ไม่ค่อยแสดงผลให้เห็นล่วงหน้าชัดเจนมากนัก กว่าจะรู้ว่ามีปัญหา ก็ยากต่อการแก้ไขซะแล้ว ดังนั้นเราจึงอยากแนะนำให้ลุกขึ้นมาป้องกัน (Prevent) ก่อนจะสาย ของแบบนี้ยิ่งรีบทำยิ่งดี เพราะนอกจากจะดีต่อสุขภาพของเราแล้ว ยังช่วยรักษาความสัมพันธ์ของครอบครัวให้ยืนยงแข็งแกร่ง เมื่อหลังบ้านของเราสงบสุข เราก็ออกไปสู้รบปรบมือนอกบ้านได้อย่างสบายใจ เพราะจะเป็น Top Man ทั้งที เราต้องมีสตรีที่รักคอยสนับสนุนและยินดีกับเราอยู่ข้าง ๆ ด้วยถึงจะมั่นใจเปล่งประกายออกทางสีหน้า

 

วิธีป้องกันที่ทำได้ง่ายที่สุด ก็คือการเรียงลำดับ ปรับไลฟ์สไตล์ให้บาลานซ์การทำงานและการพักผ่อนมากขึ้น โดยอาจจะเริ่มจาก
  • Work Life Balance เก็บเรื่องงานไว้ที่ออฟฟิศ ผลวิจัยมากมายบอกว่า ยิ่งหักโหม ยิ่งฝืนทำงานในสภาพร่างกายที่ไม่พร้อม เช่นทำงานในขณะที่ง่วงนอนเหลือเกิน สมองจะยิ่งตื้อตัน คิดงานไม่ออก และเมื่อเราเครียด ใจร้อน ยิ่งอาจจะเกิดความผิดพลาดขึ้นได้ วิธีที่จะช่วยให้เรามี Productivity ดีที่สุดคือการกำหนด Deadline ชั่วโมงการทำงานให้ตัวเอง เมื่อถึงเวลานึง ให้เราหยุดพัก ตัดขาดจากมัน เป็นการ Cool Down สมอง ลดความเครียดสะสมในหัว และกลับมาทำงานใหม่เมื่อพร้อม จะช่วยให้โฟกัสกับงานและกระบวนการคิดได้ดีกว่า โดยเฉพาะการแบ่งแยกชีวิตการทำงานกับชีวิตส่วนตัวออกจากกัน ให้งานจบที่ออฟฟิศ ทิ้งความเครียดเอาไว้ที่นั่น และใช้เวลาพักผ่อนให้เต็มที่ในเวลาหลังเลิกงานจะช่วยได้มากเลยทีเดียว
  • Cardio Workout อย่างที่บอกไปว่านกเขาจะขันได้ดี ต่อเมื่อระบบการไหลเวียนของเลือดดี การออกกำลังกายแบบ Cardio นอกจากจะช่วยให้ร่างกายมีพลังงานมากขึ้น สร้างความสดชื่นให้ร่างกาย ลดความเสี่ยงโรคหัวใจ ผลวิจัยจาก University of the West, United Kingdom ยังยืนยันว่าการออกกำลังกายอย่างน้อย 30 นาทีต่อวัน ไม่ว่าจะวิ่ง เดิน Aerobic หรือปั่นจักรยาน ก็ช่วยลดปัญหา Erectile Dysfunction ได้มากถึง 40% เพราะเลือดสามารถส่งไปเลี้ยงกล้ามเนื้อส่วนต่าง ๆ ได้ดีขึ้น รวมถึงน้องชายน้อยของเราด้วยนั่นเอง
  • Eat Right มีอาหารจำนวนมากที่ช่วยให้เราอยู่ห่างจากปัญหา Erectile Dysfunction ได้ เอาเฉพาะที่หาทานได้ง่ายและคุ้นหูพวกเรากันดีก็คือ Oysters หอยนางรม อุดมไปด้วยแร่ธาตุ Zinc ที่สำคัญในการสร้างฮอร์โมน testosterone ในแตงโมก็อุดมไปด้วย Lycopene สารต้านอนุมูลอิสระที่ดีต่อหัวใจและหลอดเลือด ในตระกูลถั่วก็มี Arginine ที่ช่วยร่างกายสร้าง Nitric Oxide ซึ่งเปรียบเสมือนถนนหลักสำหรับส่งเลือดไปเลี้ยงส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย และยังเต็มไปด้วย Vitamin E, Folic Acid

 

เรื่อง Sex ไม่ใช่เรื่องเล็กแค่กิจกรรมข้ามคืน แต่มันคือตัวเชื่อมความสัมพันธ์ และเป็นแรงผลักดันอีกรูปแบบนึงสำหรับผู้ชายได้เช่นกัน ดังนั้นอย่าปล่อยให้มันสายเกินแก้ไข เพราะถึงวันนั้นไป เรื่องที่เราเคยคิดว่าควบคุมได้ จะกลายเป็นมุมอับในใจที่ส่งผลกระทบรุนแรงได้มากกว่าที่เราจินตนาการครับ

‘PAM1661 LUMINOR MARINA CARBOTECH’ เปิดตัวนาฬิกาสปอร์ตหรูหราของแบรนด์เก่าแก่แห่งอิตาลี

$
0
0

‘Panerai’ หนึ่งในแบรนด์นาฬิกาไฮเอนด์จากเมืองฟลอเรนซ์ ประเทศอิตาลี ที่โดดเด่นด้วยงานดีไซน์นาฬิการ่วมสมัย มีประวัติศาสตร์ยาวนาน แถมยังได้รับความไว้วางใจจากกองทัพเรืออิตาลีให้ผลิตนาฬิกา

ทั้งรุ่น Marina Militare นาฬิกาดำน้ำสุดแข็งแกร่งอย่าง Radiomir หรือแม้แต่รุ่น PAM 232 ที่ตอกย้ำว่าแบรนด์นี้คือผู้ผลิตเรือนเวลาให้กับกองทัพเรืออิตาลีอย่างเป็นทางการและเพียงผู้เดียว

Panerai

เมื่อ Panerai ย้ายฐานการผลิตจากอิตาลีไปยังประเทศสวิตเซอร์แลนด์ บวกกับการที่บริษัท Richemont เข้ามาบริหารกิจการต่อในปี 1997 และนำการตลาดแบบใหม่มาใช้ ทำให้แบรนด์นาฬิกาสัญชาติอิตาเลียนรายนี้ประสบความสำเร็จและโด่งดังไปทั่วโลก

แม้จะมีบางช่วงที่ Panerai ปล่อยนาฬิการุ่น limited-edition ออกมาล้นตลาด จนทำให้เหล่านักสะสมชั่งใจที่จะซื้อและคิดทบทวนถึงเอกลักษณ์ของแบรนด์นี้อีกครั้ง แต่เมื่อผ่านช่วงวิกฤตมาได้ Panerai ก็เป็นที่พูดถึงและชื่อเสียงของ “นาฬิกาที่ยิ่งซื้อแพง ยิ่งขายต่อได้แพง” ก็เริ่มหวนคืนสู่แวดวงเครื่องบอกเวลาอย่างน่าภูมิใจ

เมื่อไม่กี่วันมานี้ Panerai ก็เพิ่งประกาศเปิดตัวนาฬิกาในคอลเลกชัน Luminor Marina รุ่นล่าสุดอย่าง ‘PAM1661 Luminor Marina Carbotech’ เป็นนาฬิกาดำน้ำกึ่งสปอร์ตสุดเท่ที่ชวนให้คิดถึงรุ่น Lab-ID อันเป็นเอกลักษณ์ของแบรนด์ และเป็นรุ่นที่หนุ่ม ๆ สาวก Panerai ทุกคนหลงรัก

PAM1661 Luminor Marina Carbotech เรือนนี้มาพร้อมกรอบคาร์โบเทคสีดำ ซึ่งเป็นวัสดุที่สร้างจากคอมโพสิตคาร์บอนไฟเบอร์ ไม่เพียงแข็งแกร่งและทนทาน หากยังมีน้ำหนักเบากว่าไทเทเนียมและสเตนเลสสตีลทุกประเภทอีกด้วย

แม้ตัวเรือนด้านหลังจะทำจากไทเทเนียม DLC สีดำ แต่น้ำหนักรวมของนาฬิกาเรือนนี้อยู่ที่ 96 กรัมเท่านั้น ผู้สวมใส่จึงสามารถเคลื่อนไหวได้อย่างคล่องตัวและรับรู้ได้ถึงความสะดวกสบายขณะสวมใส่

Panerai

ตัวเรือนขนาด 44 มิลลิเมตร ห่อหุ้มด้วยกระจกแซฟไฟร์ บริเวณหน้าปัดดีไซน์พื้นผิวเป็นสีดำที่ตัดกับเข็มและตัวเลขสีฟ้าเรืองแสง พร้อมติดตั้งช่องบอกวันที่มาในตำแหน่ง 3 นาฬิกา กลไกการเดินเข็มใช้เป็นกลไกอัตโนมัติ Panerai Caliber P.9010 ที่แม่นยำและน่าเชื่อถือ

เพิ่มความสปอร์ตให้เรือนนี้ยิ่งขึ้น ด้วยหัวเข็มขัดไทเทเนียมสีดำและสายรัดเคฟลาร์ ที่ตัดเย็บขอบสีฟ้าให้เข้ากันกับแสงไฟ Super-LumiNova บนหน้าปัด แถมเมื่ออยู่ใต้น้ำหรืออยู่ท่ามกลางสภาพแสงน้อย แสงไฟสีฟ้าก็จะเปลี่ยนเป็นสีเขียวทันที

นอกจากจะใช้อุปกรณ์กันกระแทก incabloc® ที่ได้มาตรฐาน และกันน้ำได้สูงถึง 30 บาร์ (ราว 300 เมตร) PAM1661 Luminor Marina Carbotech ยังมีพลังงานสำรองประมาณ 72 ชั่วโมง หรือใช้ได้นานสูงสุดถึง 3 วัน

ในแวดวงนาฬิกามีข่าวลือว่าปี 2020 นี้จะเป็นปีของแบรน์นาฬิกาไฮเอนด์อย่าง ‘Panerai’ แม้จะยังไม่เห็นทิศทางการผลิตนาฬิกาของแบรนด์อื่น ๆ มากนัก แต่ก็พอรับรู้ได้ว่าหลากหลายแบรนด์เริ่มหยิบยกเรื่องราวความคลาสสิกและดีไซน์เหนือกาลเวลากลับมาใช้ผลิตนาฬิกาในปีนี้อีกครั้ง

PAM1661 Luminor Marina Carbotech ก็ถือเป็นอีกเรือนที่น่าจับตามองในปีนี้ เพราะได้เชื่อมโยงเอกลักษณ์การออกแบบของอิตาลีเข้ากับความเชี่ยวชาญด้าน horology อันโด่งดังของสวิตเซอร์แลนด์ จนกลายเป็นนาฬิกาสปอร์ตไฮเอนด์ที่ดูทันสมัยและคลาสสิกในเวลาเดียวกัน

หากหนุ่มคนไหนยังหลงรักสไตล์การออกแบบที่ดูเรียบหรูและคลั่งไคล้ตำนานของแบรนด์ Panerai ก็อดใจรออีกไม่นาน คาดว่า PAM1661 Luminor Marina Carbotech จะวางขายเร็ว ๆ นี้บนเว็บไซต์ และตัวแทนจำหน่ายทั่วโลก ด้วยราคา $12,800 หรือเกือบ 400,000 บาท

 

COVER SOURCE , SOURCES: 12

LOTUS EVORA GT410 สายพันธุ์สปอร์ตไซซ์เล็กที่เร่ง 0-100 ใน 4 วินาที

$
0
0

Lotus Cars Limited ค่ายรถสัญชาติอังกฤษเปิดตัวรุ่นใหม่ของ Lotus Evora สายพันธุ์แรงไซซ์เล็กของค่ายที่มาพร้อมงานดีไซน์ใหม่บางจุดและน้ำหนักเบากว่าเดิม

carscoops

Evora คือรถสปอร์ตที่เปิดตัวครั้งแรกในปี 2008 ก่อนจะถูกพัฒนาและเริ่มผลิตครั้งแรกในปี 2009 ซึ่งตลอดระยะเวลากว่า 10 ปีที่ผ่านมามีรุ่นรถย่อยออกจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็น Evora S, Evora 400 และ Evora GT

จนกระทั่งในปี 2018 โลตัสได้ปล่อย Evora GT410 Sport ลงสู่ตลาด ซึ่งมันได้เสียงตอบรับที่ดีในเรื่องความเร็วและความคล่องตัว แม้ยอดขายจะไม่ได้สูงมากเนื่องจากคนส่วนใหญ่ยังมองว่ามันไม่เหมาะสมกับการใช้งานประจำวัน เรื่องนี้เป็นเหตุผลทำให้โลตัสต้องการปรับปรุงโมเดล Evora ให้เหมาะกับการขับขี่ในชีวิตประจำวันมากขึ้น ด้วยการเพิ่มความหรูหราและเทคโนโลยีสนับสนุนการขับขี่เข้าไปจนออกมาเป็น Evora GT410 คันนี้

carscoops

ดีไซน์ภายนอกของ Evora GT410 ยังคงไว้ซึ่งเอกลักษณ์ส่วนใหญ่ที่เคยใช้ใน Evora GT410 Sport ยกเว้นแต่ส่วนกระจกด้านหลังของ Evora GT 410 ที่ใช้เป็นวัสดุกระจกมากขึ้น รวมถึงสปอยเลอร์ดีไซน์ใหม่ ทางด้านยางมาตรฐานติดรถจะเป็น Michelin Pilot Sport 4S ขนาด 19 นิ้วด้านหน้าและ 20 นิ้วด้านหลัง

carscoops

ภายในห้องโดยสารคุมโทนสีดำ พร้อมเบาะผู้โดยสารสปอร์ตแบบปรับอุณหภูมิได้จาก Sparco โดยความพิเศษที่มีเฉพาะในรุ่นนี้คือที่วางแขนแบบพรีเมี่ยมดีไซน์ใหม่ล่าสุดของโลตัส และห้องโดยสารที่ถูกบุด้วยฉนวนป้องกันเสียงเพื่อลดเสียงรบกวนให้ดีกว่ารุ่นก่อนหน้า

carscoops

ขุมพลังของ Evora GT410 ใช้เป็นเครื่องยนต์ V6 ขนาด 3.5 ลิตรให้กำลัง 410 แรงม้าและแรงบิดที่ 309 ปอนด์-ฟุต ทำให้รถมีอัตราเร่ง 0-100 ใน 4 วินาที ทำความเร็วสูงสุดที่ 305 กิโลเมตร/ชั่วโมง ชุดเกียร์มีให้เลือกระหว่างแมนนวลหรืออัตโนมัติ 6-Speed แล้วแต่ผู้ซื้อว่าชอบสไตล์ไหน ทั้งหมดมาในน้ำหนักรวมเพียง 1,361 กิโลกรัม

สำหรับสนนราคาค่าตัวของ Evora GT410 นั้นถูกตั้งไว้ที่ 82,900 ปอนด์หรือประมาณ 3,378,990 บาท (ไม่รวมภาษี) คาดว่าจะเริ่มขายในอังกฤษและทวีปยุโรปเป็นลำดับแรก คงต้องมารอดูกันว่าโมเดลล่าสุดจากโลตัสคันนี้จะได้รับเสียงตอบรับจากคนรักความเร็วมากน้อยแค่ไหน?

carscoops

 

SOURCE:1/2

THE PROFILES: หมอปีศาจและโรงแรมวิปริตของ H.H. HOLMES ฆาตกรต่อเนื่องคนแรกของอเมริกา

$
0
0

สำหรับใครที่สนใจเรื่องราวของเหล่าฆาตกรต่อเนื่องมักจะเห็นเสมอว่าภูมิหลังส่วนใหญ่ของพวกเขาก็ไม่ต่างจากคนอื่น ๆ เท่าไรนัก แต่สิ่งที่ต่างอาจเป็นเรื่องของความอบอุ่นในครอบครัว ชีวิตวัยเด็กของฆาตกรในสหรัฐอเมริกาส่วนมากเติบโตมาจากครอบครัวที่ใช้ความรุนแรงในบ้าน ไม่ก็มีพ่อแม่เคร่งศาสนา

อย่าง ฆาตกรตัวตลก JOHN GACY มีแม่ผู้เคร่งศาสนาที่เกลียดลูกชายตัวเองเพราะเขาตุ้งติ้งเหมือนเกย์ ส่วน EDMUND KEMPER อัจฉริยะผู้หลงใหลความตาย ก็โตมากับคำด่าทอและความรุนแรงที่รับจากพ่อมาตลอดช่วงชีวิตวัยเด็ก รวมถึง Henry Howard Holmes (เฮนรี่ โฮเวิร์ด โฮล์มส์) ชายที่โลกเรียกเขาว่า “ฆาตกรต่อเนื่องคนแรกของอเมริกา”

 

โฮล์มส์ผู้หลงใหลในกายวิภาคศาสตร์

โฮล์มส์ในวัยเด็กมีชีวิตจากครอบครัวทำเกษตรกรรมและปศุสัตว์ในรัฐนิวแฮมเชียร์ เขาสนใจเกี่ยวกับสรีระและชีววิทยามาตั้งแต่เล็ก เวลาว่างมักไล่จับสัตว์เล็กมาผ่าเพื่อดูอวัยวะภายใน บางครั้งก็จับสัตว์มาหักขาข้างหนึ่งและรอดูว่ามันจะเดินได้ไหมหรือตัดขาทิ้งแล้วจะเป็นอย่างไร เขาจึงถูกพ่อแม่เคร่งศาสนาตีด้วยไม้เรียวเสมอ บางครั้งก็ขังเขาไว้บนห้องใต้หลังคา ดังนั้นเขาจึงใช้เวลาว่างไปกับการประดิษฐ์สิ่งของต่าง ๆ แต่กลับไม่มีใครสนใจลูกคนที่สามของบ้านผู้เต็มไปด้วยอัจฉริยภาพ ครอบครัวของเขามองไม่เห็นพรสวรรค์เด็กผู้ชายนี้

โฮล์มส์วัย 19 ปี แต่งงานกับภรรยาคนแรกและมีลูกด้วยกันหนึ่งคน พอเข้าวัย 22 เขาตัดสินใจเขาเรียนคณะแพทย์และเฉิดฉายในชั้นเรียน จากปกติการเรียนแพทย์จะต้องใช้เวลาเรียน 6 ปี แต่โฮล์มส์กลับใช้เวลาเพียงแค่ 2 ปีก็เรียนจบ ทว่าชีวิตรักของเขากลับล้มเหลว เมียของเขาขอแยกกันอยู่โดยไม่ได้เซ็นใบหย่าเพราะโฮล์มส์เป็นชายที่มีอารมณ์รุนแรง ชอบใช้กำลัง

TIMELESS — “The World’s Columbian Exposition” Episode 110 — Pictured: (l-r) Abigail Spencer as Lucy Preston, Goran Visnjic as Garcia Flynn — (Photo by: Sergei Bachlakov/NBC)

เมื่อเข้าสู่ระบบการศึกษา Henry Howard Holmes ชื่นชอบการใช้ชื่อย่อว่า H.H. Holmes มากกว่า เขาคือหนุ่มอนาคตไกลที่ใคร ๆ ก็คิดว่าจะต้องประสบความสำเร็จในชีวิตอย่างแน่นอน จากคุณสมบัติที่ครบถ้วน ทั้งการเป็นบัณฑิตใหม่สาขาแพทยศาสตร์จากมหาวิทยาลัยในรัฐมิชิแกน ใบหน้าอันหล่อเหลา ยิ้มง่าย เป็นมิตร มีเสน่ห์จนสาว ๆ หลายคนหลงใหล หลังจากเรียนจบในปี 1884 โฮล์มส์วัย 24 ปี ได้ย้ายไปอยู่หลายเมืองทั้งนิวยอร์ก เพนซิเวลเนีย และท้ายที่สุดหมอโฮล์มตัดสินใจย้ายสำมะโนครัวไปอยู่เมืองแห่งสายลมอย่างนครชิคาโก 

เมื่อมาอยู่ชิคาโกตั้งแต่ปี 1886 หมอโฮล์มส์ประจำตำแหน่งเภสัชกรของร้านขายยาของ Everett Holton (เอเวอร์เรต โฮลตัน) ซึ่งเป็นธรรมเนียมของนายแพทย์สมัยนั้น ระหว่างที่เขาทำงานในร้านขายยา รูปลักษณ์และคุณสมบัติของเขาดึงดูดสาวน้อยใหญ่อยู่เป็นระยะ กระทั่งในที่สุดเขาก็ได้ตัดสินใจแต่งงานซ้อนครั้งที่สองกับหญิงสาวในเมือง

จากเภสัชกรที่โดนว่าจ้าง เพียง 2 ปีหลังจากเข้าทำงานเขาก็มีโอกาสเป็นเจ้าของร้านขายยาแบบส้มหล่น เนื่องจากเจ้าของร้านเสียชีวิตด้วยไข้พิษ ภรรยาเจ้าของเดิมที่ไม่มีความรู้ด้านการแพทย์ได้ตัดสินใจขายร้านนี้ให้โฮล์มส์ในราคาถูก ๆ แทน แน่นอนว่าเขาตอบรับข้อเสนอนี้ทันทีและซื้อด้วยการผ่อนจ่าย

 

ขณะที่โฮล์มส์กำลังใช้ชีวิตขาขึ้น ได้เป็นเจ้าของร้านขายยา อยู่ ๆ หญิงหม้ายโฮลตันก็หายหน้าหายตาไปจากชุมชน ชาวบ้านทยอยแวะเวียนมาถามหมอโฮล์มส์ว่าเธอหายไปไหน พวกเขาต่างได้รับคำตอบเหมือนกันว่าเธอไปเยี่ยมญาติที่แคลิฟอร์เนีย และน่าจะนานพอดูทีเดียวกว่าเธอจะกลับมาอีกครั้ง หรือบางทีเธออาจไม่กลับมาอีกเลย พร้อมกับเล่าว่าเขากำลังเก็บหอมรอมริบซื้อพื้นที่อื่นเพิ่มเติมเพื่อสร้างโปรเจกต์ใหม่ในฝันขึ้น โดยไม่มีใครล่วงรู้ว่าโปรเจกต์นี้คือโปรเจกต์วิปริตที่มีไว้ล่าชีวิตของคนในเมือง

ไม่นานนักพื้นที่ขนาดกำลังดีก็อยู่ในกำมือของหมอโฮล์มส์ เขาตัดสินใจเปลี่ยนตึกแถวธรรมดาให้กลายเป็นโรงแรมหรู ผู้คนที่พบเห็นต่างชื่นชมความสามารถของเขาว่านอกจากจะเป็นหมอรักษาคน ขายยาได้ ก็ยังมีหัวเรื่องการตลาดและการลงทุนอีก ทุกคนให้กำลังใจหมอที่กำลังจะเป็นนักธุรกิจป้ายแดง หลายคนถึงกับเอ่ยปากว่าหากโรงแรมสร้างเสร็จเมื่อไหร่จะเข้าพักแน่นอน

เรื่องประหลาดเริ่มต้นเกิดขึ้นในหมู่ผู้รับเหมา ผู้คนสังเกตว่าทีมช่างที่สร้างโรงแรมผลัดกันเปลี่ยนหน้ามาทำงานไม่ซ้ำกัน เมื่อถามหมอโฮล์มส์ก็ได้ความว่าข้อตกลงระหว่างเขากับผู้รับเหมาไม่ค่อยลงตัว พวกช่างจึงทิ้งงานกลางคันและเขาก็ต้องวิ่งหาทีมช่างใหม่มาสานต่อโปรเจกต์ของตัวเอง หรือบางทีสิ่งที่ช่างทำก็ผิดจากบรีฟแปลนที่เขาต้องการ การเปลี่ยนทีมไปเรื่อย ๆ ทำให้แปลนทั้งหมดของโรงแรมจึงกลายเป็นปริศนา ไม่มีใครรู้ว่าด้านในโรงแรมทั้งหมดซ่อนอะไรไว้บ้างยกเว้นหมอโฮล์มส์เพียงคนเดียว

ระหว่างนี้ล็อตคลอโรฟอร์มจำนวนมากถูกสั่งเข้ามาในร้านขายยา ตัวแทนจำหน่ายตั้งคำถามว่าทำไมเขาจึงต้องการยาสลบมากนัก สิ่งที่เภสัชฯ หนุ่มตอบกลับไปเวลานั้นคือลูกค้าของเขามีความเครียดสูง และหลายคนกำลังมีปัญหาเรื่องโรคนอนไม่หลับอยู่

 

ยินดีต้อนรับสู่โรงแรม THE WORLD’D FAIR

Exterior of H.H. Holmes’ “castle” on 63rd Street, Chicago.

ในที่สุดโรงแรมของหมอโฮล์มส์ก็แล้วเสร็จ โรงแรมใหม่ของชิคาโกมีชื่อว่า The World’s Fair Hotel เป็นอาคาร 3 ชั้น 4 คูหา จำนวน 35 ห้อง สร้างเสร็จก่อนงานนิทรรศการใหญ่ World Fair Chicago 1983 ครบรอบ 500 ปีที่โคลัมบัสค้นพบทวีปอเมริกาจะเริ่มขึ้น หลายคนคงคาดเดาได้ทันทีว่า หมอโฮล์มตั้งใจวางแผนสร้างโรงแรมเพื่อรองรับผู้คนทั่วโลกแห่แหนมายังชิคาโก เพราะทำเลโรงแรมอยู่ห่างจากสถานที่จัดงานเพียงแค่ 4.8 กิโลเมตรเท่านั้น แต่วิธีการจัดการกับผู้คนที่เข้ามาพักนั้นเกินกว่าที่ใครจะจินตนาการถึง

Getty Image

หลายเดือนที่มีงาน World Expo ผู้คนจำนวนมากแวะเวียนมาใช้บริการห้องพักระยะสั้นของหมอโฮล์มจำนวนมากโดยเฉพาะหญิงสาวที่เดินทางคนเดียว เขามักแวะไปงานนิทรรศการและชักชวนนักท่องเที่ยวผู้หญิงมาพัก ด้วยบุคลิกแสนภูมิฐานและเป็นมิตร หญิงสาวส่วนใหญ่วางใจและสนใจเข้าพักโรงแรมเขาจำนวนไม่น้อย แม้มีเหล่าสุภาพบุรุษหลายคนแจ้งความประสงค์จะเข้าพักในโรงแรม The World’s Fair แต่ส่วนใหญ่ก็ต้องผิดหวังเพราะห้องพักมักจะเต็มอยู่ตลอดเวลา 

โรงแรม 35 ห้อง ของหมอโฮล์มส์มีดีไซน์แปลกไม่เหมือนกับโรงแรมอื่น ๆ บางห้องพักเปิดประตูเข้าไปจะพบกับห้องโล่ง ๆ ไม่มีห้องน้ำ (หากนึกภาพไม่ออกลองนึกถึงห้องพักรูหนูของญี่ปุ่น) บางห้องผนังและกำแพงทำจากแผ่นเหล็กร้อนได้ หมอโฮล์มส์บอกกับผู้เข้าพักว่านี่คือสิ่งที่คิดอย่างพิถีพิถันเตรียมไว้สำหรับฤดูหนาว แต่ยังมีห้องพักพิสดารไม่มีประตูที่ถ้าจะเข้าไปพักต้องเดินขึ้นไปอีกชั้นหนึ่งและลงบันไดลิงที่หย่อนลงมาจากช่องเล็ก ๆ แถมยังมีห้องพักที่มีสามประตูอีกด้วย แต่น่าแปลกมากที่แม้ไม่มีคำตอบใดอธิบายได้สมเหตุสมผล​ กลับไม่มีใครติดใจสงสัยอะไรเกี่ยวกับโรงแรมแห่งนี้

ในเวลาเพียงไม่กี่เดือนชาวเมืองชิคาโกก็ต้องพบกับเรื่องประหลาดจากจำนวนคนหายที่พุ่งสูงขึ้นเรื่อย ๆ จนน่าแปลกใจ​ พ่อแม่ของหญิงสาวคนหนึ่งที่เดินทางคนเดียวแล้วเข้าพักในโรงแรม The World’s Fair เขียนจดหมายมาหาหมอโฮล์มส์เพื่อถามว่าเห็นลูกสาวของพวกเขาครั้งล่าสุดเมื่อไหร่ เพราะเธอบอกว่าจะมางาน World Expo แต่ยังไม่กลับบ้านสักที หมอโฮล์มส์ทำได้เพียงแสดงความเห็นใจและตอบกลับไปว่าลูกสาวของพวกเขาเช็กเอาต์ออกไปแล้ว 

หมอโฮล์มส์เคยบ่นกับชาวบ้านในชุมชนว่าลูกจ้างหลายคนของเขาก็หายไปตัวอย่างไร้ร่องรอย เหลือก็แต่ชายร่างใหญ่ที่เป็นลูกน้องมือขวากำลังเข้าบำบัดอาการติดสุราเรื้อรังชื่อว่า Benjamin Pitezel (เบนจามิน พีทเซล) เท่านั้น 

เมื่องาน Expo สิ้นสุดลง​ จำนวนแขกที่เข้าพักในโรงแรมเริ่มลดจำนวน เขาก็ไม่ยอมแพ้ต่อความซบเซา​ เคราะห์ซ้ำ​กรรมซัด​ โรงแรม​ 35 ห้องยังเกิดเพลิงไหม้เสียจนสภาพดูไม่ได้ แต่หมอโฮล์มส์ก็ยังยิ้มได้กับการสูญเสียครั้งใหญ่เพราะเขาทำประกันอัคคีภัยให้โรงแรมตัวเองเป็นจำนวนมาก และหลังจากเหตุการณ์นี้ชาวเมืองก็ไม่พบหมอโฮล์มส์อีกเลย

 

ความแตก 

ก่อนหน้านี้หมอโฮล์มส์แต่งงานครั้งที่สองแต่เขาก็ยังมีความสัมพันธ์เชิงชู้สาวกับผู้หญิงคนอื่นอยู่เรื่อย ๆ เขาเคยแอบคบกับ Minnie Williams (มินนี่ วิลเลียมส์) นักแสดงปลายแถวจากบอสตัน หมอโฮล์มส์ชอบมินนี่เพราะเธอเป็นทายาทตระกูลอสังหาริมทรัพย์ชื่อดัง มีบ้านและที่ดินเยอะมากในรัฐเท็กซัส เขาพยายามจีบมินนี่โดยบอกว่าตัวเองมีโรงแรมแถมกำลังอยากได้เลขาส่วนตัวพร้อมจ่ายค่าจ้างราคาสูง

มินนี่เขียนพินัยกรรมทั้งหมดมอบให้ Alexander Bond (อเล็กซานเดอร์ บอนด์) ซึ่งเป็นอีกชื่อหนึ่งของหมอโฮล์มส์เพื่อไม่ให้บริษัทประกันสงสัย โดยหญิงสาวไม่ติดใจสงสัยอะไรเพราะรักผู้ชายคนนี้มาก แต่สิ่งที่ทำให้หมอโฮล์มส์ไม่ชอบใจนักคือมินนี่มีน้องสาวชื่อ Nannie Williams (แนนนี่ วิลเลียมส์) อยู่ที่บอสตัน และถ้าอยู่ ๆ มินนี่เสียชีวิตสมบัติของเธอต้องแบ่งให้น้องสาวด้วย

Nannie and Minnie Williams

หมอโฮล์มส์จึงตัดสินใจเขียนจดหมายไปยังแนนนี่เพื่อบอกให้เธอมาเยี่ยมเยียนพี่สาวที่โรงแรมของเขา เมื่อเธอมาตามนัดหมอโฮล์มส์จับแนนนี่ขังไว้ในห้อง สาดน้ำกรดใส่เธอจนตายแล้วค่อยสังหารมินนี่ชู้รักผู้ร่ำรวยของเขา

ไม่มีใครรู้ว่าทำไมหมอโฮล์มส์ถึงอยากได้เงินจำนวนมหาศาล ไม่มีใครรู้ว่าเขาจะเอาเงินไปทำอะไรมากมาย หลังจากรับมรดกจากมินนี่ เขาเผาโรงแรมตัวเองเพื่อเอาเงินประกันอัคคีภัยจำนวนมากที่ทำไว้กับบริษัทประกัน แต่บริษัทประกันพบความผิดปกติตั้งแต่ช่วงที่เขาเป็นนักศึกษาแพทย์ จึงตัดสินใจร่วมมือกันมาตรวจสอบคดีเพลิงไหม้ของโรงแรม The World’s Fair พบว่ามีการวางเพลิงแบบผิดธรรมชาติถึงเจ็ดจุดด้วยกัน และผลของเรื่องนี้คือหมอโฮล์มส์ต้องเสียโรงแรมไปฟรี ๆ โดยไม่ได้เงินสักเหรียญจากการทำประกันอัคคีภัย

หลังชวดเงินประกันจากเหตุเพลิงไหม้โรงแรม หมอโฮล์มส์ตัดสินใจย้ายไปยังรัฐเท็กซัสเพื่อรับมรดกที่มินนี่ทิ้งเอาไว้พร้อมกับเมียใหม่คนที่สาม  เขาวางแผนจะสร้างโรงแรมอีกครั้งแต่โรงแรมแห่งใหม่นี้จะต้องใหญ่กว่าเดิม รับผู้เข้าพักได้มากขึ้น รอบคอบรัดกุมกว่าเดิม แต่เขากลับโดนตำรวจรัฐเท็กซัสจับในข้อหาลักขโมยเสียก่อน

ตอนติดคุกระยะเวลาสั้น ๆ หมอโฮล์มส์มีเพื่อนสนิทเป็นนักโทษหนึ่งคน ชายคนนี้เป็นอาชญากรชื่อกระฉ่อน Marion Hedgepeth (มาริออน เฮ็ตพีช) ก่อคดีดัง ๆ มาเยอะจนต้องติดคุก 25 ปี แถมนักโทษคนนี้ยังหน้าตาหล่อเหลา เป็นที่รู้จักของนักโทษคนอื่น ๆ ในคุก ไม่รู้อะไรดลใจหมอโฮล์มส์ หรือเขาอาจรู้สึกยอมไม่ได้เลยเล่าให้เพื่อนฟังว่าตัวเองทำอะไรมาบ้าง โดยเริ่มเล่าสารพัดวีรกรรมโลดโผนของตัวเองตั้งแต่สมัยเป็นนักศึกษาแพทย์

Marion Hedgepeth and H.H. Holme

เขาเผยเรื่องเล่าหมดเปลือกตั้งแต่สมัยเรียนที่เขาชอบขโมยร่างอาจารย์ใหญ่ในมหาวิทยาลัยกลับมาหอพัก ตอนแรกเขานำศพกลับมาเพราะต้องการฝึกฝนช่วงใกล้สอบ ต่อมาเขานำร่างอาจารย์ใหญ่มาสะสมไว้ในห้องตัวเองมากขึ้นเรื่อย ๆ เขาทั้งศึกษาและทำการทดลองกับร่างกายมนุษย์ แต่ใครจะคิดว่านักศึกษาแพทย์หนุ่มงบน้อยที่มีรสนิยมส่วนตัวสุดแปลก ​เกิดปิ๊งไอเดียบรรเจิดหายรายได้ขึ้นระหว่างหมกมุ่นกับมัน

นักศึกษาแพทย์โฮล์มส์ใช้ร่างไร้วิญญาณหาเงินด้วยการจัดฉากว่าคนตายเหล่านี้เขียนประกันชีวิตไว้ให้เขา บางร่างถูกเผาจนจำรูปพรรณไม่ได้ บางร่างก็ถูกทำให้หน้าเละ จากนั้นจึงสร้างประกันชีวิตปลอมขึ้นมาโดยลงชื่อตัวเองว่าเป็นผู้ได้รับผลประโยชน์ และกระจายความเสี่ยงด้วยการใช้บริษัทประกันหลายเจ้า ผลคือเขาทำเงินได้เป็นกอบเป็นกำตั้งแต่ยังคงเป็นนักศึกษาแพทย์เท่านั้น

นอกจากนี้ก่อนมาทำงานประจำอยู่ร้านยาที่ชิคาโก เขาเคยเป็นคนขายยาอยู่ในฟิลาเดลเฟียมาก่อนและจ่ายยาให้เด็กชายคนหนึ่งกินแล้วเสียชีวิต หมอโฮล์มส์ไม่ยอมรับว่าเขามีส่วนเกี่ยวข้องกับการตายครั้งนี้จึงเก็บกระเป๋าหนีมายังชิคาโก ที่สำคัญนอกจากเภสัชฯ เขายังเคยดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการโรงพยาบาลจิตเวชแห่งหนึ่งมาก่อนอีกด้วยทว่าโดนคดีโกงเงินจนโดนไล่ออก 

เขาโม้ว่าโรงแรมที่สร้างขึ้นมีไว้เพื่อสังหารโดยเฉพาะ เหตุที่เขาเปลี่ยนผู้รับเหมาบ่อยไม่ใช่เพราะหัวหมออยากเบี้ยวค่าจ้างอย่างเดียวเท่านั้น แต่เขายังไม่อยากให้ใครรู้แปลนทั้งหมด และเหตุผลที่ห้องพักในโรงแรมแต่ละห้องออกแบบไว้ให้ต่างกันนั้นมีไว้สำหรับเป็นห้องเชือด

hollycarden

ห้องพักหลายห้องถูกออกแบบให้ไม่มีหน้าต่างเพราะเขาใช้เป็นห้องรมควันผู้เข้าพัก​ ห้องพักที่ไม่มีห้องน้ำบีบให้ต้องใช้ห้องน้ำรวม ผู้เข้าพักต้องถามทางไปห้องน้ำจากหมอโฮล์มส์และปลายทางที่พวกเขามุ่งไปจะไม่ใช่ห้องน้ำอย่างหวังแต่มันเป็นห้องปิดตายไร้ทางออก

บางห้องไม่มีประตูเข้า ต้องขึ้นไปอีกชั้นลงบันไดลิงลงมา บางห้องมีสามประตูเป็นประตูหลอก มีประตูกับดักหนามลงมาทับ แม้จะแปลกแต่ก็มีห้องที่ปกติเหมือนโรงแรมอื่น มีประตู มีหน้าต่าง และมีรูเล็ก ๆ ซ่อนไว้ในมุมที่แขกไม่เห็นเพื่อจับตาดูเหยื่อผ่านรู จากนั้นประตูจะล็อกจากด้านนอก ผู้เข้าพักที่อ่อนล้าจะนอนหมดเรี่ยวแรงอยู่บนเตียงเหมือนลูกไก่ในกำมือ กระทั่งหมอโฮล์มส์เปิดประตูมาซ้อม ทรมาน นั่งคุยในวาระสุดท้ายว่ารู้สึกอย่างไรจากนั้นค่อยสังหาร ส่วนกำแพงเหล็กที่เคยกล่าวว่ามีไว้เพิ่มความอบอุ่นนั้นแท้จริงคือเครื่องมือย่างสด 

ทุกห้องมีสิ่งหนึ่งเหมือนกันคือระบบเก็บเสียงที่ยอดเยี่ยม เสียงกรีดร้องไม่สามารถเล็ดลอดออกไปสู่นอกอาคาร เมื่อเหยื่อกรีดร้องตัวเขามักยืนอยู่หน้าประตูและช่วยตัวเองเพราะเสียงทรมานของพวกเธอมันเร้าอารมณ์ทางเพศเขาอย่างยิ่ง แน่นอนว่าประสิทธิภาพของห้องเก็บเสียงที่เขาสู้อุตส่าห์ลงทุนนั้นดีเกินคาด ทำให้โรงแรมหัวมุมถนนแห่งนี้ไม่เคยมีใครได้ยินเสียงกรีดร้องทรมานของเหยื่อเลยสักครั้ง

ร่างมีชีวิตและร่างไร้ชีวิตที่โชคร้ายจะถูกพาไปยังห้องลับใต้ดินขนาดใหญ่ที่มีทางเข้าอยู่ในห้องน้ำของห้องแห่งหนึ่งบนชั้นสอง ซึ่งต้องขยับโถส้วมแล้วจะเจอประตูลับ บางคนยังไม่ตายจากการรมควันจะถูกพามายังห้องใต้ดินที่มีเตียงวางศพจำนวนมาก ฆาตกรหนุ่มหัวการค้าไม่เพียงได้เงินค่าเช่าที่พัก ได้สนุกกับเหยื่อ หลังตายแล้วเขายังใช้ประโยชน์ได้ยันกระดูก โดยนำกระดูกเหล่านั้นมาฟอกขาวแล้วนำไปต่อเป็นโครงโมเดลเพื่อไปขายให้โรงเรียนแพทย์ในราคา 200 เหรียญ (ประมาณ 6,000-7,000 เหรียญในปัจจุบัน) 

นอกจากเล่าวิธีที่เขาทรมานเหยื่ออย่างทารุณ เขายังโม้ให้เพื่อนฟังอีกว่าเขามักสังหารลูกจ้างของตัวเองด้วยเพราะไม่อยากจ่ายเงินเดือน แต่บอกชาวบ้านว่าเขาก็รับผลกระทบจากเรื่องคนหายด้วยเหมือนกัน แถมก่อนจะฆ่าลูกจ้างทุกคนถูกหมอโฮล์มส์บังคับให้ทำประกันชีวิตและเขียนชื่อของเขาในช่องผู้รับผลประโยชน์ กำไรเห็น ๆ เพราะไม่ต้องจ่ายเงินเดือนแถมยังได้เงินประกันจากคนพวกนี้อีก 

ทั้งสองคนสนิทกันจนปรึกษาว่าถ้าเขาออกจากคุกเขาจะทำเหมือนเดิม แต่จะแกล้งว่าตัวเองตาย เปลี่ยนเป็นคนอื่นเพื่อเอาเงินประกันตัวเองจำนวน 10,000 เหรียญ (296,000 ดอลลาร์ในปัจจุบัน) ใช้วิธีให้เพื่อนหาทนายเก่ง ๆ ได้จะแบ่งเงินให้ 500 เหรียญ ซึ่งเพื่อนในคุกคนใหม่ของหมอโฮล์มส์ก็รับข้อเสนอน่าสนใจนี้ 

 

หมอลวงโลกที่ถูกเรียกว่าฆาตกรต่อเนื่องคนแรก

เมื่อหมอโฮล์มส์ออกจากคุกเขาเริ่มแผนการที่วางไว้ทันที เขาแกล้งพร้อมกับเขียนพินัยกรรมโอนเงินให้ตัวเองที่ใช้ชื่อปลอม แต่เหมือนว่าบริษัทประกันรู้ทันเล่ห์เหลี่ยมเขาแล้วจึงไม่ยอมจ่ายเงิน หมอโฮล์มส์เลยต้องเปลี่ยนแผนกะทันหันโดยให้ Benjamin Pitezel (เบนจามิน พีทเซล) มือขวาของเขาแกล้งตายแทน

พวกเขาตกลงกันว่าจะให้เบนจามินทำประกันชีวิต ให้ครอบครัวมาชี้ศพจากนั้นค่อยแบ่งเงินกัน เบนจามินอยากได้ส่วนแบ่งเยอะกว่าหมอโฮล์มส์เพราะเขาต้องหลบหน้าสังคมไปพักหนึ่ง แถมครอบครัวเขาก็มีสมาชิก ซึ่งหมอโฮล์มส์ก็ตอบตกลงและให้เบนจามินไปหลบที่ลอนดอน จากนั้นก็เริ่มหาศพรูปร่างใกล้เคียงกับเบนจามิน 

H.H. Holmes สังหารลูกชายของ Benjamin

ทุกอย่างเหมือนจะดำเนินไปได้ด้วยดี แต่เบนจามินกลับรู้สึกลังเลกับแผนนี้เพราะครอบครัวของเขาต้องมาเกี่ยวข้องกับการลวงโลกครั้งนี้ด้วย เขาตัดสินใจขอถอนตัวแต่หมอโฮล์มส์บอกให้กลับไปคิดใหม่แล้วค่อยมาคุยกันพรุ่งนี้ สุดท้ายหมอโฮล์มส์มอมเหล้าเบนจามินและเอาน้ำมันเบนซินราดบนตัวเผาทั้งเป็น หักหลังมือขวาของตัวเองเพราะอยากได้เงินประกันชีวิต 

เมื่อเรื่องถึงบริษัทประกันและพวกเขาตรวจสอบพบว่าคนตายเกี่ยวข้องกับหมอโฮล์มส์อีกครั้งก็ไม่ยอมจ่ายเงิน หมอโฮล์มส์จึงเอาทนายจากเพื่อนในคุกมาสู้คดี วานให้ลูกสาวคนรองของเบนจามินมาชี้ศพ แต่ก่อนจะมาชี้ตัวเขาข่มขืนเด็กสาวก่อนเพื่อแบล็กเมล์และขู่ให้เด็กสาวยอมทำตาม

H.H. Holmes สังหารลูกชายของ Benjamin ด้วยการยัดใส่กล่องแล้วรมควัน

สุดท้ายทุกอย่างเป็นไปตามแผน หมอโฮล์มส์ได้เงินก้อนใหญ่แต่ไม่ยอมแบ่งครอบครัวเบนจามิน ไม่แบ่งให้เพื่อนนักโทษในคุก ไม่จ่ายค่าทนาย ออกอุบายหลอกให้ครอบครัวของเบนจามินแบ่งเป็นสองกลุ่มเดินทางทั่วอเมริกาแล้วค่อยไปลอนดอน เขาเริ่มต้นฆ่ากลุ่มแรกที่เป็นลูกสามคน เผาเด็กผู้ชายทั้งเป็น ลวงเด็กผู้หญิงสองคนให้เข้าไปอยู่ในกล่องไม้และรมควันพวกเธอขาดอากาศหายใจเสียชีวิตแล้วค่อยเอาศพฝังไว้ใต้ถุนบ้าน จากนั้นก็วางแผนฆ่าครอบครัวที่เหลือของเบนจามิน

มาริออนที่โดนเบี้ยวเงิน 500 เหรียญเอาแผนการทั้งหมดของหมอโฮล์มส์มาเล่าให้ตำรวจฟัง ทั้งเรื่องโรงแรม การฉ้อโกง ฆาตกรรม และเรื่องหลอกเอาเงินประกัน ทำให้ตำรวจเริ่มตามสืบจากเมียเก่าแต่ละคนของเบนจามิน ไล่ตามบ้านหลายหลังในเท็กซัสจนเจอศพลูกชายคนแรก และตามสืบจนเจอศพลูกสาวอีกสองคนที่บ้านแห่งหนึ่งในโตรอนโต ประเทศแคนาดา สุดท้ายเจ้าหน้าที่ตำรวจตามจับหมอโฮล์มส์ได้แต่เขารับสารภาพแค่คดีโกงเงินประกันเท่านั้น

เจ้าหน้าที่ตำรวจเชื่อมั่นว่าหมอโฮล์มส์ไม่ได้มีแค่คดีฉ้อโกงเพียงคดีเดียวแน่นอน พวกเขาจึงสืบไปเรื่อย ๆ และพบว่านายแพทย์คนนี้ถือครองกรรมสิทธิ์โรงแรมที่ไหม้ไปแล้วในชิคาโกจริง ๆ ตามที่มาริออนอ้าง พอเข้าไปตรวจสอบในโรงแรมก็พบทางเดินที่ซับซ้อนเหมือนเขาวงกต เจอเครื่องทรมาน พบห้องใต้ดินที่ถูกใช้เป็นห้องชำแหละ มีทั้งบ่อน้ำกรดที่ยังมีซากศพหลงเหลืออยู่ ทั้งหมดทำให้ตำรวจสรุปได้ว่าหมอโฮล์มส์เป็นฆาตกรอย่างแน่นอน 

สุดท้ายโฮล์มส์ยอมรับกับเจ้าหน้าที่ว่าฆ่าคนไปทั้งหมด 27 ศพ แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจไม่เชื่อ เพราะช่วงเวลาที่มีงาน World Expo มีคนหายตัวไปหลังจากเดินทางมายังชิคาโกหลายร้อยคน ซากโครงกระดูกที่พบก็มีมากกว่า 27 ร่าง โดนคาดว่าราว 200 กว่าราย แต่โฮล์มส์ทำให้การสืบสวนคดียากยิ่งขึ้นเพราะบางวันเขาก็บอกตำรวจว่าฆ่าคนไป 9 ราย อีกวันหนึ่งก็บอกว่าไม่ได้ฆ่าใครเลย ถัดมาอีกวันก็บอกว่าฆ่าคนชื่อนี้แต่พอไปสืบก็พบว่าคนที่บอกไม่ได้ถูกฆ่าแต่ป่วยตาย เขาพูดจามั่วซั่วเพราะอยากปั่นหัวพวกตำรวจ

คดีที่มีทีท่าว่าจะยืดเยื้อจบลงด้วยสำนักข่าวที่อยากตีพิมพ์ข่าวนี้ก่อนใคร การก่อเหตุของโฮล์มส์สร้างความสนใจให้กับผู้คนทั่วทั้งอเมริกาและนักข่าวก็อยากตีพิมพ์เรื่องของโฮล์มส์ก่อนสำนักข่าวอื่น ทีมข่าวตกลงจ้างให้โฮล์มส์สารภาพความจริงทุกอย่างกับตำรวจด้วยเงิน 7,500 ดอลลาร์ (230,000 ดอลลาร์ในปัจจุบัน) และแน่นอนว่าชายที่ขี้งกอย่างโฮล์มส์ตอบตกลงและยอมให้การกับเจ้าหน้าที่

ว่ากันว่าที่เขายอมรับเงินและสารภาพเป็นเพราะเขาอยากได้เงินจำนวนมากเพื่อติดสินบนผู้คุม โฮล์มส์รู้ตัวว่าจะต้องโดนประหารชีวิตแน่นอนเขาจึงพยายามหาทางออก แต่ท้ายที่สุดหมอวิปริตก็ได้รับโทษแขวนคออยู่ดี มีบันทึกระบุว่าวันที่เขาต้องถูกแขวนคอ โฮล์มส์ไม่มีท่าทีวิตกกังวล เขาสงบนิ่งและแจ้งความประสงค์ครั้งสุดท้ายกับเจ้าหน้าที่ว่าให้ขุดหลุมฝังเขาลึก 10 ฟุต ถมด้วยคอนกรีตเพื่อไม่ให้ใครขุดศพเขามาชำแหละอีกครั้ง น่าแปลกที่ชายผู้ชอบชำแหละศพเกิดกลัวว่าจะมีใครเอาร่างตัวเองไปผ่าบ้าง

เมื่อโฮล์มส์โดนประหารชีวิต เขากลายเป็นฆาตกรต่อเนื่องที่ถูกบันทึกไว้คนแรกของประเทศสหรัฐอเมริกา เรื่องราวของเขาถูกเล่าขานต่อกันมาจนถึงปัจจุบัน แถมยังมีคนเชื่อว่าโฮล์มส์ที่อยู่ในหลุมศพลึก 10 ฟุตอาจไม่ใช่ตัวเขาจริง ๆ โฮล์มส์อาจติดสินบนผู้คุมสำเร็จและคนที่ถูกแขวนคออาจไม่ใช่นักโทษแพะ จนในปี 2017 เหล่าทายาทผู้สืบเชื้อสายเดียวกับโฮล์มส์ต้องขุดศพขึ้นมาพิสูจน์ และพบว่าผล DNA ตรงกับลูกหลานของเขา ยืนยันการปิดตำนานฆาตกรโรคจิตที่สังหารคนไปเกือบ 200 ราย

 

SOURCE: 1 / 2 / 3 / 4


เงินมันหายาก หรือไม่รู้วิธีหา! แจกวิธีหาเงินเพื่อการเป็นเสี่ยในอนาคต

$
0
0

ทำงานเก่งมันจะมีประโยชน์อะไรถ้าเป็นงานฟรี งั้นเรามาเรียนรู้วิธีทำงานให้ได้เงินกันดีกว่า ขอไม่นับงานประจำนะเพราะเชื่อว่าทุกคนก็คงมีกันอยู่แล้ว แต่ถ้าใครอยู่ในช่วงว่างงานจะเอาไอเดียด้านล่างที่เราแจกไว้หาเงินไปใช้เป็นงานหลักก็ได้ไม่ว่ากัน

การมีเงินเก็บเยอะ ๆ มันสบายใจดีเพราะเราสามารถซื้อในสิ่งที่ทุกคนต้องการได้ แต่รู้ไหม อะไรที่ทำให้เศรษฐีกับคนธรรมดาต่างกัน ทั้งหมดมันอยู่ที่ช่องทางการหาเงินและการคว้าโอกาสที่อยู่รอบกายไว้ และนี่คือ 5 โอกาสสร้างรายได้ที่เราแนะนำ ลองเลือกที่เหมาะกับคุณดู เลือกได้มากกว่าหนึ่งอย่าง แล้วจะรู้ว่าดีกว่านั่งหายใจทิ้งไปวัน ๆ แน่ ๆ

อดทนหน่อยแล้วไปเหนื่อยกับการนับเงินทีหลังมันชื่นใจกว่ากันเยอะ

ปล่อยบ้านให้เช่าระยะสั้น

ตัวอย่างบ้านที่ปล่อยเช่าใน Airbnb ของไทย ราคาจริง ๆ ก็ไม่ได้แตกต่างจากการจองผ่าน Booking แต่โดนหักเปอร์เซนต์ค่าดำเนินการน้อยกว่า

ทำงานประจำอาจจะต้องใช้เวลาทั้งเดือน แต่ถ้าบ้านมีที่เหลือ การปล่อยพื้นที่บ้านเราให้คนอื่นเช่าผ่านเว็บไซต์ยอดฮิตอย่าง Airbnb.com, VRBO.com, Homeaway.com หรือ FlipKey.com ชั่วคราวแค่ 3-5 วันหรือมากกว่านั้นเล็กน้อยอาจเป็นบ่อเงินให้เราได้ง่ายกว่าที่คิด วิธีนี้คือการจับเสือมือเปล่า เพราะการลงทะเบียนฝากที่ปล่อยเช่าผ่าน Airbnb ไม่จำเป็นต้องเสียค่าใช้จ่าย เว้นแต่เมื่อมีคนจองแล้ว ทาง Airbnb จะเรียกเก็บค่าบริการราว 3% จากเราเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินธุรกิจ

สิ่งที่เราต้องทำเพื่อแลกการทำงานนี้คือการลงทะเบียนโปรโมตฟรี และทำความสะอาดบ้านก่อน-หลังคนเข้าพักให้น่าอยู่ ส่วนนี้ถ้าคิดเสียว่าทำความสะอาดบ้านตัวเองเรื่องนี้ก็ไม่ลำบากอะไร

สำหรับใครที่ยังคิดภาพไม่ออกว่าการปล่อยเช่าผ่าน airbnb เป็นแบบไหน ลองเข้าไปดูได้ใน https://th.airbnb.com/s/Thailand

 

ขายของที่เก็บไว้ในบ้านแต่ไม่ได้ต้องการ

ข้าวของแปรเป็นเงินสดได้เสมอ บางครั้งเราลืมนึกไปว่ามีของในบ้านเยอะแยะที่ไม่สร้างประโยชน์ ไม่ได้ใช้งาน แต่จะให้ทิ้งก็เสียดาย ดังนั้น ทางออกที่ลงตัวคือการนำของเหล่านั้นไปปล่อยขายเพื่อหาเจ้าของใหม่ ไม่ใช่แค่ดีที่ของเดิมจะมีคนดูแล บ้านเราจะกว้างขึ้นไม่ต้องเก็บกวาด แต่เรายังได้เงินกลับมาใช้สอยด้วย ส่วนช่องทางการขายลองเลือกในที่ ๆ demand สูง ๆ มูลค่าของมันจะมากกว่าตั้งไว้เฉย ๆ ที่บ้านอย่างแน่นอน เช่น ขายของผ่าน ebay, amazon หรือตามกรุ๊ปเฉพาะ เป็นต้น

 

ส่งอาหาร

ไทยแลนด์แดนของกิน อย่าดูถูกการสนองนี้ดสายแดก ถึงแม้บางคนจะมองว่างานดิลิเวอรีอาหารมันไม่เท่เอาเสียเลย ดูใช้แรงงานได้เงินไม่น่าจะเยอะ แต่ทุกวันนี้มีแอปพลิเคชันรับคนส่งอาหารมากมายทั้ง LineMan ทั้ง Grab ดังนั้นเราไม่ต้องไปประจำตามร้านให้เสียเวลาหรือเหนื่อย แค่รับออเดอร์ในพื้นที่ที่เราสะดวก เลือกได้ตามความสบายใจ

ถึงอาจจะเห็นข่าวว่าต้อง Advance เงินไปก่อนแล้วโดนแคนเซิลออเดอร์ แต่ลองคิดถึงคนที่ยังส่งหรือยังทำงานอยู่สิ ข่าวมันก็ออกแต่เคสรายไม่ได้ดีทั้งนั้นแหละ ถ้ารายได้มันไม่ดีจริงใครเขาจะทำกัน กระซิบว่าบางคนที่เราเคยถามเขาบอกว่าได้หลายหมื่นต่อเดือน เผลอ ๆ อาจจะมาเงินดีกว่าที่เราทำงานนั่งโต๊ะกันเสียอีกแค่ต้องตากแดดตากลมและเอาเวลาเข้าแลกหน่อยเท่านั้น

 

เปิดคอร์สออนไลน์

ในโลกที่ทุกคนค้นหาสิ่งที่ต้องการได้จากอินเทอร์เน็ต ถ้าเรามั่นใจว่าวิชาที่เรามี เราสามารถแบ่งปันมันต่อได้ ลองขายคอร์สออนไลน์จากความรู้ของเราดู ไม่แน่ว่าเราอาจจะได้นักเรียนจากที่บ้านโดยไม่ต้องไปสมัครเป็นครูตามสถาบันหรือสร้างสตูดิโอสอนเองก็สามารถรับเงินเหนาะ ๆ ได้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วยอยู่บ้านแบบสบาย ๆ

 

ขับรถ

มีรถวันนี้อย่าปล่อยเสียของระหว่างขับทางผ่านไปหาสาวเราอาจจะหาเงินได้ แต่ถ้าไม่มีรถ แค่มีใบขับขี่ก็พร้อมจะทำเงินได้แล้วเช่นกัน เพราะบริการส่งคนถึงบ้านประเภท Line หรือ Grab ในบ้านเราจัดว่าค่อนข้างดีทีเดียว เพราะคนขับ GRAB ที่เราเคยนั่งเขายืนยันกับเราเลยว่า ถ้าพัฒนาตัวเอง บางคนสามารถหาเงินได้จาก GRAB สูงสุดเดือนละเกือบแสนเชียว! แต่ทริคที่เขาเปิดเผยกับเราคือการเข้าร่วมกิจกรรมของบริษัทบ่อย ๆ เพื่ออัปเวล เขามีสังคมของการดูแลกันแบบรุ่นพี่รุ่นน้อง มีกลุ่มก้อน ถ้าใครยังไม่ได้พัฒนาไปถึงจุดนี้ก็อย่าเพิ่งบ่นกันว่าเงินน้อย ลองก่อนนะ

 

LACK OF MONEY IS THE ROOT OF ALL EVIL – George Bernard Shaw

ไร้เงินก็เหมือนหายนะมาเยือน เงินฝืดแบบนี้อย่าฝืนทำตัวแบบเดิม อย่ามัวแต่ใช้วิธีการเดิม ๆ ที่ไม่ได้ผล แค่ลองเปลี่ยนเส้นทางการเงินแบบไม่ต้องลงทุนมากตามทั้ง 5 วิธีนี้ รับรองว่าไม่เสียหายแน่นอน

 

COVER PHOTO

รีดผ้าเนี้ยบแถมฟอกอากาศอย่างแจ่ม ‘STEAM MANAGER’ฝันที่เป็นจริงของผู้ชายเมืองปี 2020

$
0
0

มีไม่กี่เรื่องที่ผู้ชายเราทำไม่ค่อยได้หรือถ้าทำได้อาจจะทำไม่ค่อยดี เรื่องหนึ่งคือการรีดผ้าให้เรียบ กับอีกเรื่องคือการฟอกอากาศกรุงเทพฯ ตอนนี้ให้ใสสะอาด แต่มันก็ดันมีนักประดิษฐ์หัวใสจับ 2 อย่างนี้มารวมร่างกันได้อย่างลงตัว

นวัตกรรมชิ้นนี้เป็นผลงานการออกแบบของ Jiheon Son นักออกแบบชาวเกาหลีประดิษฐ์ผลงานชื่อ “Steam Manager” เครื่องมหัศจรรย์ที่มีฟังก์ชัน 2 in 1 ที่เราต้องการ ได้แก่ การฟอกอากาศก็ดี รีดผ้าเรียบรวมทั้งสามารถกำจัดกลิ่นอับชื้นหรือกลิ่นไม่พึงประสงค์ได้ด้วยการใช้ระบบไอน้ำในเครื่องเดียวกัน

ลองดูบอร์ดก่อนจะกลั่นไอเดียมาได้จะเห็น Ref เจ๋ง ที่ผู้ชายเราชอบหลายชิ้น ทั้งเคส Mac เครื่องฟอกอากาศทรงสูง ฯลฯ จริง ก่อนหน้านี้เราเคยนำเสนอ LG styler 2019 มาก่อน เราว่ามันก็มีเค้าความคล้ายคลึงอยู่บ้าง แต่พอมีเรื่องประโยชน์ของการฟอกอากาศที่ตอบโจทย์เหมาะกับชาวไทยเหลือเกิน คงต้องยกให้ Steamer Manager ได้ตำแหน่งที่ 1 ในใจก่อน

ด้วยไซซ์ที่กะทัดรัด วางได้ในแนวตั้งตอบโจทย์การวางในบ้านที่มีพื้นที่พักอาศัยจำกัดอย่างคอนโดหรือหอพักได้ดี ช่วยให้เราจัดการการรูปแบบการใช้ชีวิตได้ง่ายขึ้น อย่างน้อย ก็มั่นใจว่าต้องดีกว่ากางโต๊ะรีดผ้าเสียบเตารีดแน่นอน ประกอบกับวิธีการทำงานที่ใช้ได้ไม่ยากแค่ดึงส่วนด้านบนขึ้น เครื่องจะยืดตัวขึ้นมาให้เราพร้อมแขวนเสื้อหรือกางเกงที่ต้องการรีดไว้ด้านใน (มีไม้แขวนติดกับเครื่อง) แล้วเราแค่กดปุ่มให้เครื่องทำงานมันก็จะรีดผ้า อบผ้าด้วยระบบไอน้ำอัตโนมัติ พร้อมให้เราไปใช้ไลฟ์สไตล์ด้านอื่น ที่จำเป็นต่อได้อย่างมีประสิทธิภาพ อยากกินข้าว ดู Netflix หรือทำงานก็จัดตารางเวลาการทำงานได้อย่างลงตัว

นอกจากฟังก์ชันกับความเจ๋งน่าใช้งานแล้ว การกวาดกล่องของเขาก็ได้กลับมาไม่น้อย เพราะตัวนี้ได้รางวัลช่วงปลายปีที่แล้วมาล้นหลามทั้ง Korea Design Exhibition Award Special Prize​​​​​​​ (2019), Winner of International Busan Design Award (2019) และเข้ารอบสุดท้ายของการแข่งขัน D2B Design Fair (2019) อีกด้วย

ปัจจุบันผลงานชิ้นนี้จดสิทธิบัตรแล้วแต่ยังมีมีข้อมูลเรื่องราคาและการวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการ รายละเอียดปลีกย่อยยังไม่ค่อยเผยแพร่มากนัก พวกเราคงต้องรอกันไปก่อน แต่ถ้าเสร็จสมบูรณ์ออกมาในช่วงวิกฤตแบบนี้ เชื่อเลยว่ายอดสั่งซื้อจากชายไทยคงต้องถล่มทลายอย่างแน่นอน

 

SOURCE

NIHON STORIES: 5 หนังญี่ปุ่นโคตรเท่ที่ไม่ควรพลาดจากงาน JAPANESE FILM FESTIVAL 2020

$
0
0

หากพูดถึงสื่อความบันเทิงของญี่ปุ่นในมุมมองคนไทยคนส่วนใหญ่ ผู้คนมักนึกถึงแอนิเมชัน มังงะ บ้างก็กระโดดไปยังวงการเพลงทั้ง J-ROCK และไอดอลญี่ปุ่นกันเสียมากกว่า เพราะหลายคนมักมองว่าภาพยนตร์ญี่ปุ่นอาจมีสไตล์บางอย่างที่ไม่คลิกกับคนไทยส่วนใหญ่เท่าไรนัก

ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลด้านภาษา กิริยาท่าทาง แอกชัน หรืออะไรก็ตามที่ทำให้วงการภาพยนตร์ญี่ปุ่นไม่ค่อยเป็นที่รู้จักในวงนักดูหนังไทยกว้างเท่าซีรีส์เกาหลีหรือภาพยนตร์ภาษาต่างประเทศอื่น ๆ แต่ก็ใช่ว่าเราจะนำมาตัดสินว่าไม่ดังแล้วจะไม่ดีหรือไร้คุณภาพได้

วงการภาพยนตร์ญี่ปุ่นเคยสร้างตำนานต่อโลกมาหลายต่อหลายครั้ง ทั้งผลงานหลายเรื่องของผู้กำกับระดับตำนาน Kurosawa Akira (คุโรซาวะ อากิระ) กับเรื่อง Rashomon (1950) และ 7 Samurai (1954) ล้วนส่งให้เขาคว้ารางวัลอันทรงเกียรติอย่างรางวัลความสำเร็จตลอดช่วงชีวิตจากเวทีออสการ์ได้สำเร็จ หรือผลงานดราม่าโคตรสะเทือนใจของ Koreeda Hirokazu (โคเรเอดะ ฮิโรคาสุ) ที่ทำหนังออกมาทีไรก็คว้ารางวัลใหญ่จากเทศกาลหนังเมืองคานส์อยู่เป็นประจำ จึงทำให้ UNLOCKMEN มั่นใจว่าช่วงนี้จะต้องมีหนังญี่ปุ่นน้ำดีออกมาให้เราได้ดูกันอย่างแน่นอน

การเล่าเรื่องอันเป็นเอกลักษณ์ของภาพยนตร์ญี่ปุ่นทำให้คนที่ไม่รู้จักวงการหนังญี่ปุ่นมาก่อนเริ่มให้ความสนใจและ สำหรับประเทศไทยในปีนี้พวกเรามีโอกาสรับชมผลงานที่ยอดเยี่ยมทั้งหมด 14 เรื่อง จากงาน Japanese Film Festival 2020 กันอีกครั้ง UNLOCKMEN จึงคัดเลือกภาพยนตร์ 5 เรื่องในงานนี้มาเล่าสู่กันฟัง แนะนำให้ชาวเราได้พิจารณาดูว่าหนังเรื่องไหนน่าสนใจและอยากจะไปชมให้เต็มตาในโรงภาพยนตร์

 

THE FABLE

The Fable (2019) หรือในชื่อไทยว่า “โหดไม่ถามชื่อ” ภาพยนตร์แอกชันที่ดัดแปลงมาจากหนังสือการ์ตูนชื่อเดียวกัน ผลงานที่สร้างสรรค์จากปลายปากกาของอาจารย์ Katsuhisa Minami (คัตสึฮิสะ มินามิ) เล่าเรื่องราวของ The Fable ชายผู้มีอาชีพเป็นนักฆ่ารับจ้างชื่อดังในวงการใต้ดิน เขาเก่งกาจ ชำนาญในศาสตร์ด้านการต่อสู้ รับฆ่าคนทุกแวดวงไม่ว่าจะเป็นยากูซ่า ตำรวจ นักการเมือง ดาราดัง และนักธุรกิจพันล้าน แถมไม่เคยผิดพลาดเลยแม้แต่ครั้งเดียว 

เขาคือดาวเด่นของวงการนักฆ่า การจ้างวานจึงเรียงมาให้เขาทำไม่เว้นแต่ละวัน The Fable สังหารคนอยู่ตลอด การเก็บแต้มครั้งนี้เพิ่มความพยายามของเจ้าหน้าที่ตำรวจที่หมายหัวอยากจับเขามาเข้าตารางให้ได้ เหล่ามิตรสหายของนักฆ่าหนุ่มจึงเริ่มระแวงว่าหาก The Fable ยังคงรับงานแบบขันแข็งอย่างนี้ต่อไปสักวันหนึ่งข้างหน้าเขาจะต้องโดนจับได้แน่ และนั่นคือจุดเริ่มต้นที่ทำให้นักฆ่ามือฉกาจเปลี่ยนไปตลอดกาล 

The Fable จึงถูกส่งไปกบดานอยู่แถบชนบท บ้านนอกที่ไร้ความวุ่นวาย ไร้การเดินทางแบบเบียดเสียด ไร้สีสันและจืดชืด เขาต้องถูกเปลี่ยนชื่อ เปลี่ยนบุคลิก เปลี่ยนกิจวัตรประจำวันและต้องปรับตัวให้เข้ากับ ‘สังคมคนธรรมดา’ ให้ได้เป็นเวลา 1 ปี ซึ่งการเป็นคนธรรมดาในมุมมองของ Fable โคตรจะยากสำหรับเขา 

คนธรรมดาอาจมองว่าการเป็นมือปืนแม่งโคตรยาก 

แต่สำหรับ The Fable การเป็นคนธรรมดาคือสิ่งที่ยากแสนสาหัส 

ภาพยนตร์เรื่อง The Fable (2019) กำกับโดย Kan Eguchi (คัง เอกุจิ) และได้ Watanabe Yusuke (วาตานาเบะ ยูสุเกะ) นักเขียนบทจาก 20th Century Boys (2008), Gantz (2010), Joker Game (2015) และ Attack on Titan (2015) มาเล่าเรื่องราวของยอดมือปืนในฉบับคนแสดง ส่วนผู้ที่มารับบทเป็น The Fable คือนักแสดงชายชื่อว่า Okada Junichi 

 

MASQUERADE HOTEL 

“คดีฆาตกรรม นักสืบ และการสอบสวน” คือสิ่งที่ใคร ๆ ต่างก็รู้กันดีว่าชาวญี่ปุ่นสามารถเล่าเรื่องราวคดีปริศนาได้อย่างเก่งกาจ ไม่ว่าจะเป็นการ์ตูนเรื่องยอดนักสืบจิ๋วที่อยู่กับเรามาตั้งแต่เด็กจนโต หรือจะเป็นมังงะเรื่องอื่น ๆ ที่เดินเรื่องด้วยคดีฆาตกรรม งานวรรณกรรมพีค ๆ ของ Higashino Keigo (ฮิงาชิโนะ เคย์โงะ) อีกหนึ่งปรมาจารย์งานเขียนด้านสืบสวนสอบสวนที่เชี่ยวชาญจนได้รับเลือกให้เป็นประธานสมาคมนักเขียนนิยายสืบสวน-สอบสวนญี่ปุ่นช่วงปี 2009-2013 ก็พอจะทำให้เราเห็นภาพว่าคนญี่ปุ่นเล่าเรื่องแนวนี้ได้เก่งกาจ แยบยลจริง ๆ 

Masquerade Hotel (2019) ดัดแปลงจากหนังสือในวรรณกรรมชุด Masquerade เล่ม “พิกัดต่อไปใครเป็นศพ ?” ของอาจารย์ Higashino Keigo เรื่องราวที่ถ่ายทอดผ่านแผ่นฟิล์มคล้ายกระโดดออกจากหน้าหนังสือและมีชีวิตในจอภาพ โดยเล่าเรื่องราวคดีฆาตกรรม 3 ศพในกรุงโตเกียว โดยฆาตกรทิ้งปริศนาไว้ให้พวกตำรวจตามสืบจนรู้ว่าพิกัดต่อไปที่ฆาตกรจะก่อคดีอีกครั้งจะเกิดขึ้นที่โรงแรมแห่งหนึ่ง ท่ามกลางบรรยากาศลึกลับ ทุกสิ่งชวนน่าสงสัย เจ้าหน้าที่สืบสวนผู้รับผิดชอบคดีนี้จะต้องปลอมตัวเป็นพนักงานโรงแรมเพื่อไขคดีให้ได้ 

ชื่อของ Higashino Keigo สามารถดึงความสนใจของผู้ชมชาวญี่ปุ่นได้เป็นอย่างดี เพราะงานของเขาให้ความสำคัญกับแรงจูงใจที่ทำให้ใครสักคนก่อคดีฆาตกรรมมากกว่ากลวิธีการฆ่า หรือการตั้งคำถามว่า “ฆาตกรฆ่าคนและอำพรางคดีอย่างไร ?” 

Masquerade Hotel ได้ Suzuki Masayuki (สึซึกิ มาซายูกิ) มานั่งแท่นผู้กับ แถมบทของนักแสดงนำก็ยังได้ Takuya Kimura (ทาคุยะ คิมูระ) มารับบทเป็นตำรวจที่ต้องปลอมตัวเป็นพนักงานโรงแรม ปฏิเสธไม่ได้จริง ๆ ว่า ชื่อของเขาก็มีส่วนที่ทำให้ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้รับความสนใจวงกว้าง และกวาดรายได้กว่า 4,000 ล้านเยน ในประเทศญี่ปุ่น

 

SAMURAI SHIFTERS

ประวัติศาสตร์และรากเหง้าอันเก่าแก่ของญี่ปุ่นคือความเท่ที่ใคร ๆ ต่างก็ให้ความสนใจ โดยเฉพาะกับเรื่องราวของเหล่าขุนนางและนักรบโบราณ หลายคนต่างต้องเคยเห็นภาพความเท่ของซามูไร เห็นความแข็งแกร่งของโชกุน แต่สำหรับ Samurai Shifters นำเสนอเรื่องราวของยุคสมัยโบราณที่อาจทำให้ภาพเท่ ๆ ที่เคยเห็นกลมไปเลยเมื่อดูหนังเรื่องนี้ 

Samurai Shifters (2019) จะพาผู้ชมย้อนกลับไปยังเอโดะ พบเจอกับ Matsuidaira Naonori (มัตสึไดระ นาโอโนริ) ลูกหลานของ Tokugawa Ieyasu (โทกูงาวะ อิเอยาซุ) ไดเมียวผู้ยิ่งใหญ่ที่รวมญี่ปุ่นซึ่งแตกเป็นก๊กให้รวมเป็นหนึ่งได้สำเร็จ ผู้คนในยุคนั้นต่างเล่าขานตำนานของโทกุงาวะ เกรงกลัวอำนาจอันยิ่งใหญ่ของตระกูลนี้ แต่มัตสึไดระ นาโอโนริ ที่เป็นลูกหลานของโทกุงาวะกลับถูกโยกย้ายไปอยู่ตามเมืองต่าง ๆ มาถึง 7 ครั้ง

ขบวนเดินทางของขุนนางเป็นสิ่งที่ต้องใช้ค่าใช้จ่ายสูง มีคนติดตาม มีซามูไรอารักขา แถมช่วงนั้นก็โดนโชกุนสั่งลดงบประมาณ เรื่องราวจุกจิกกับการเดินเท้าในยุคโบราณจะทำให้เราเห็นญี่ปุ่นในอีกมุมที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ลืมเรื่องสู้รบไปได้เลย เพราะการเมืองและวิถีชีวิตอันแสนวุ่นวายของเหล่าขุนนางตกอับ ซามูไรที่กำลังจะโดนปลดเป็นสามัญชน และสาวงามนั้นก็น่าสนใจไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน 

Samurai Shifters (2019) ภาพยนตร์แนวประวัติศาสตร์ผสมกับมุกตลกเจ็บ ๆ เรื่องนี้กำกับโดย Inudo Isshin (อิชชิน อินุโดะ) ที่เคยสร้างผลงานไว้ในหนังสงครามเรื่อง The Floating Castle (2012) โดยเขาเป็นผู้กำกับร่วมกับ Haguchi Shinju (ฮากูชิ ชินจิ) จับมือกันเล่าประวัติศาสตร์อันแสนดุเดือดช่วง 1590 

 

12 SUICIDAL TEENS 

ยังคงอยู่กับหนังดราม่าสยองขวัญกันอย่างต่อเนื่องกับภาพยนตร์เรื่อง 12 Suicidal Teens (2019) เรื่องราวของเด็กวัยรุ่น 12 คนตัดสินใจจบชีวิตของตัวเองพร้อมกับนัดกันมาฆ่าตัวตายหมู่ในโรงพยาบาลร้าง แต่ทุกอย่างกลับไม่เป็นดังหวังเมื่อพวกเขาพบกับศพที่ 13 ในโรงพยาบาล

ไม่มีใครรู้ว่าร่างไร้วิญญาณนั้นเป็นใคร ทำไมถึงมาตายในที่ที่พวกเขานัดกันไว้ และจากสภาพศพที่ดูเหมือนว่าจงใจทำให้ดูเป็นการฆ่าตัวตายได้ก่อความหวาดระแวงให้กับ 12 คนที่เหลือว่าอาจจะมีฆาตกรปนอยู่ในกลุ่มก็เป็นได้ 

นอกจากเรื่องราวที่ชวนสงสัยและน่าตื่นเต้นที่ดำเนินเรื่องอยู่ในโรงพยาบาลร้าง ชีวิตที่แตกต่างกันของบุคคลทั้ง 12 คนซึ่งตัดสินใจนัดกันมาตายก็เต็มไปด้วยความน่าสนใจ บางคนเป็นเด็กนักเรียนฐานะธรรมดา บางคนเป็นลูกคุณหนู เป็นสาวแกล เป็นแยงกี้ ที่มีชีวิตและเรื่องราวที่แตกต่างกันไป สะท้อนสังคมญี่ปุ่นที่มีปัญหาเรื่องการฆ่าตัวตายของวัยรุ่นญี่ปุ่นมากกว่า 250 คนในปี 2017 และถือว่ามีการเสียชีวิตมากที่สุดในรอบ 30 ปี 

12 Suicidal Teens (2019) ดัดแปลงมาจากมังงะเรื่อง Juuni-nin no Shinitai Kodomotachi ของ Tow Ubukata (โทว อุบุคาตะ) ส่วนในภาพยนตร์ได้ผู้กำกับ Yukihiko Tsutsumi (ยูกิฮิโกะ สึสึมิ) นั่งแท่นควบคุมการเล่าเรื่องปริศนาครั้งนี้

 

MY DAD IS A HEEL WRESTLER 

“อาชีพนักมวยปล้ำ” ถือเป็นอาชีพที่ผู้คนในญี่ปุ่นให้ความสนใจ นักมวยปล้ำบางคนโด่งดังจนกลายเป็นซูเปอร์สตาร์ ด้วยเทคนิคที่แพรวพราว แอกชันที่สะกดผู้ชมจนอยู่หมัด เป็นไอดอลของเด็กผู้ชายญี่ปุ่น รวมถึงคาแรกเตอร์ที่ยืนอยู่ฝั่ง ‘พระเอก’ ทั้งหมดหล่อหลอมให้นักมวยปล้ำนามว่า Takashi Omura (ทาคาชิ โอมุระ) ขึ้นสู่จุดสูงสุดของวงการ

สิ่งหนึ่งที่ชายชาตรีในวงการมวยปล้ำต้องระวังที่สุดคืออาการบาดเจ็บจากร่างกาย ข่าวร้ายมาเยือนวงการอีกครั้งเมื่อดาวเด่น Omura ได้รับบาดเจ็บบริเวณเข่าขณะต่อสู้และทำให้เขาต้องลาวงการไปนานถึง 10 ปี และเมื่อเวลาที่แสนยาวนานผ่านไปเขาหวนคืนสู่วงการอีกครั้งในฐานะ ‘ตัวร้าย’ จากเสียงเชียร์กลายเป็นเสียงโห่ เขาก็ไม่คาดคิดว่าจะได้รับเสียงโห่ร้องก่นด่าเขา แถมลูกชายวัย 9 ขวบ ที่มองพ่อเป็นไอดอลมาตลอดก็บอกกับเขาว่า 

“ถ้าพ่อเป็นตัวร้าย ผมจะเกลียดพ่อ” 

การต่อสู้ของ Omura ในสิบปีให้หลังจึงไม่ได้มีแค่การต่อสู้ในสังเวียน แต่เขายังต้องต่อสู้กับตัวเองและสู้เพื่อครอบครัวไปพร้อมกัน 

My Dad is a Heel Wrestler (2018) บอกเล่าชีวิตครอบครัวและโลกของมวยปล้ำผ่านนักแสดงมวยปล้ำชื่อดัง Takashi Omura (รับบทโดย Hiroshi Tanahashi) กำกับโดย Fujimura Kyohei (ฟูจิมูระ โคโยฮิ) ที่ทำให้ผู้ชายแมน ๆ โดยเฉพาะถ้าใครที่เป็นพ่อคนแล้วได้ดูอาจน้ำตาซึมโดยไม่รู้ตัว 

 

ภาพยนตร์ทั้ง 5 เรื่องที่ UNLOCKMEN เลือกหยิบมาเป็นเพียงส่วนหนึ่งของภาพยนตร์คุณภาพที่จะเข้าฉายในโรงภาพยนตร์ทั้งหมด 14 เรื่อง ในงาน Japanese Film Festival 2020 โดยจะเริ่มต้นตั้งแต่วันที่ 7 -16 กุมภาพันธ์ (กรุงเทพฯ)  ณ โรงภาพยนตร์ เอส เอฟ เวิลด์ ซีเนม่า ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ ส่วนใครที่อยู่ต่างจังหวัดก็สามารถเช็กตารางรายละเอียดเกี่ยวกับวันที่เทศกาลภาพยนตร์ญี่ปุ่นจะย้ายไปฉายยังภูมิภาคอื่น ๆ ทั่วประเทศไทยได้ที่ Japanese Film Festival 2020 เทศกาลภาพยนตร์ญี่ปุ่น 2563

ลองไปทำความรู้จักกับวงการหนังญี่ปุ่นให้มากขึ้นผ่านการรับชมภาพยนตร์ญี่ปุ่นกันครับผม

SOURCE: 1 / 2

 

เรื่องราวของวงการภาพยนตร์และแอนิเมชันญี่ปุ่นอื่น ๆ ที่น่าสนใจ:

NIHON STORIES: KUROSAWA AKIRA ผู้กำกับหนังซามูไรที่กลายเป็นตำนานจำไม่ลืมของวงการหนัง

NIHON STORIES: จากนิยายกลายเป็นหนัง เมื่อพิษสุรา สาวงาม และจิตใจหลอมรวมให้เขา ‘สูญสิ้นความเป็นคน’

NIHON STORIES: “สายฝนสีดำในฤดูร้อนที่ฮิโรชิมะ” 74 ปี จากวันล่มสลายที่ก่อร่างสร้างใหม่หลังสงคราม

NIHON STORIES: 5 อันดับมังงะที่ได้รับความนิยมสูงสุดตลอด 51 ปี ของ SHONEN JUMP 

 

J BALVIN x NIKE “AIR JORDAN 1” การคอลแลปส์ครั้งสำคัญและสีสันจัดจ้านที่ทำให้โลกจับตามอง

$
0
0

หลังจากที่วงการสนีกเกอร์ก็จัดหนักจัดเต็มใส่เรากันแบบไม่ยั้ง ย่างเข้าสู่เดือนที่สองของปี 2020 ก็ยังลดความร้อนแรงลงแต่ดูเหมือนจะดุเดือดกว่าเก่ากับข่าวที่เผยว่าศิลปินหนุ่มสัญชาติโคลอมเบียอย่าง J Balvin จะจับมือกับ Nike ปล่อยสนีกเกอร์สุดพิเศษออกมาให้เหล่าผู้รอคอยได้รับชมกัน 

ต้องเกริ่นกันก่อนสำหรับหนุ่ม ๆ บางคนที่อาจจะยังไม่ค่อยรู้จักชื่อเสียงของ J Balvin กันเท่าไรนัก ชายคนนี้คือศิลปินที่ร้องเพลงภาษาสเปน เขาทำให้โลกเห็นว่าภาษาที่แตกต่างของคนบนโลกไม่อาจเป็นพรมแดนกั้นการเสพดนตรีได้ จน Billboard กล่าวยกย่องผลงานเพลงของเขาว่าเป็น “ผลงานที่เปรียบเสมือนใบเบิกทางที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยปรากฏให้เห็นในวงการเพลงละติน”

ด้วยผลงานเพลงที่โดดเด่นไม่เหมือนใคร การจับสไตล์ดนตรีฮิปฮอปในกระแสมาร่วมกับดนตรีสไตล์โคลอมเบียน รวมทั้งแฟชั่นอันแสนจัดจ้านของเขา ทำให้ชื่อของ J Balvin เข้าไปอยู่ในลิสต์ศิลปินโปรดของใครหลายคน

ทั้งแนวเพลง สไตล์การแต่งตัวที่เท่โดนใจ และความสนใจกระแสของแฟชั่นที่ไม่น้อยหน้าใคร ทำให้ในที่สุดเขาได้ร่วมงานกับแบรนด์สนีกเกอร์ระดับโลกอย่าง Nike และกลายเป็นศิลปินลาตินคนแรกที่ได้ร่วมงานกับ Air Jordan สร้างสรรค์สนีกเกอร์สุดฮิตอย่าง Nike Air Jordan 1 ให้มีสไตล์ตามแบบของ J Balvin 

คาแรกเตอร์ของ J Balvin เป็นชายที่สนุกสนาน ร่าเริง เป็นไอ้หนุ่มแสบที่รักเสียงเพลง แถมผลงานทั้งเพลงและมิวสิกวิดีโอก็ยังเต็มไปด้วยสีสันและแฟชั่นที่แหวกแนว ทั้งหมดที่เป็น J Balvin หลอมรวมสู่สนีกเกอร์ที่เขาออกแบบเต็มขั้น จึงเต็มไปด้วยสีสันสะดุดตาและเปี่ยมอารมณ์ขัน 

Nike Air Jordan 1 ของแรปเปอร์หนุ่ม J Balvin มาในโทนสีรุ้งจัดเต็มทั้งสีโทนเย็นอย่างเขียว น้ำเงิน และสีโทนร้อนอย่างเหลืองและส้ม สีสันทั้งหมดที่กล่าวมาผสมผสานอยู่บริเวณด้านหน้า จากนั้นจึงใช้สีดำตัดเส้นเพื่อเก็บรายละเอียดและเป็นสีของเชือกรองเท้า สิ่งที่น่าสนใจไม่แพ้กันคือโลโก้ Blavin’n Happy Face หรืออิโมติคอนหน้ายิ้มที่มีดวงตาเป็นสายฟ้าฟาดสีชมพูที่กระจายอยู่ทั่วสนีกเกอร์ 

นอกจากสีสันที่สะดุดตาแบบสุด ๆ กับอิโมติคอนเฟี้ยว ๆ งานศิลป์บนรองเท้า Air Jondan 1 คู่แรงคู่นี้ยังถูกพูดถึงไม่แพ้ส่วนอื่น ๆ เพราะสร้างดีเทลบนรองเท้าด้วยสไตล์งานคอลลาจ (Collage) ที่เรารู้จักในนามศิลปะสไตล์ตัดแปะเพื่อทำให้ผลงานมีชีวิตชีวา แผ่นผ้าที่ใช้ทำรองเท้าถูกบิดไปมาเป็นรอยหยัก สร้างความรู้สึกเหมือนกับว่าสนีกเกอร์คู่นี้ถูกแปะด้วยผ้าทีละชิ้นเป็นเลเยอร์จนกลายเป็นรูปเป็นร่าง นับว่าเป็นจุดเด่นที่ยิงตรงเป้า กระแทกความชอบของหนุ่ม ๆ สายอาร์ตที่ชอบสีสันจัดจ้านจริง ๆ ครับ 

US singer Jennifer Lopez and Colombian singer J Balvin perform during the halftime show of Super Bowl LIV between the Kansas City Chiefs and the San Francisco 49ers at Hard Rock Stadium in Miami Gardens, Florida, on February 2, 2020. (Photo by Angela Weiss / AFP) (Photo by ANGELA WEISS/AFP via Getty Images)

หลังจากที่แฟน ๆ ต่างรอคอยกันมาระยะเวลาหนึ่ง ในที่สุดสนีกเกอร์ของ J Balvin ก็ปรากฏตัวสู่สาธารณชนเป็นครั้งแรกในงานสุดยิ่งใหญ่ของสหรัฐฯ อย่าง Super Bowl LIV ช่วง Halftime Show คู่กับ Jennifer Lopez เรียกเสียงฮือฮาจากเหล่าคนรักสนีกเกอร์ได้อย่างงดงาม 

สำหรับใครที่ต้องการครอบครองสนีกเกอร์ผลงานการสร้างสรรค์ของ J Balvin x Nike ขอให้อดใจรอกันไปก่อนครับ เพราะทางเจ้าตัวและแบรนด์รองเท้ายังไม่ยอมเปิดเผยรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Air Jordan 1 คู่นี้ หลายคนจึงอยู่ระหว่างคาดเดาว่ามันจะเป็นรองเท้าที่ถูกทำออกมาโปรโมตเพียงแค่คู่เดียวในโลกหรือไม่ หรือถ้าวางขายจริงราคาจะต้องแรงแน่นอน ถ้ามีอัปเดตอย่างไรพวกเรา UNLOCKMEN จะรีบแจ้งให้ทราบทันทีครับ

 

SOURCE: 1 / 2 / 3

ลาทุกความเครียด ทิ้งทุกความกังวล ผลวิจัยชี้ว่า “ธรรมชาติเยียวยาใจมนุษย์ทำงาน”ได้จริง

$
0
0

ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าความเครียดกับความวิตกกังวลเป็นอีกสองส่วนผสมของการทำงาน และเป็นสิ่งที่หนุ่มมนุษย์เงินเดือนอย่างเรายากที่จะเลี่ยง แต่ต่อให้ความเครียดสะสมหรือความกังวลถาโถมโจมตีมากขนาดไหน มนุษย์เราก็ฉลาดพอที่จะหาวิธีจัดการกับมันได้เสมอ

เชื่อว่าผู้ชายแต่ละคนก็คงมีวิธีคลายเครียดระหว่างการทำงานที่ต่างกัน บางคนชอบผละจากหน้าจอชั่วขณะ แล้วหันไปนั่งคุยกับเพื่อนเรื่องบอลแทน บ้างเดินออกไปสูบบุหรี่หวังเปลี่ยนบรรยากาศและลดความเคร่งเครียดจากงานตรงหน้า แต่กับหนุ่มบางคนเลือกที่จะเดินออกไปชื่นชมต้นไม้ใบหญ้า เปลี่ยนจากแสงสีฟ้าที่คุ้นตาหันไปหาธรรมชาติสีเขียวแทน

นอกจากความร่มรื่น สบายตา และร่มเงาที่ช่วยปกป้องเราจากแสงอาทิตย์แล้ว ธรรมชาติยังช่วยลดความเครียดและความวิตกกังวลได้อย่างไม่น่าเชื่อ มีงานวิจัยชิ้นหนึ่งอ้างว่าพนักงานชาวสหรัฐฯ 34% รู้สึกเครียดและกังวลกับการทำงาน ซึ่งตัวเลขดังกล่าวก็เพิ่มสูงขึ้นเรื่อย ๆ ทุกปี และคิดว่าสถิติความเครียดของพนักงานชาวไทยก็คงไม่ต่างไปกว่ากันเท่าไร

วันนี้ UNLOCKMEN เลยอยากมาแนะนำวิธีจัดการกับความเครียดและความวิตกกังวลในออฟฟิศ ด้วยประโยชน์จากธรรมชาติ นี่คือ 3 วิธีง่าย ๆ ที่อาจช่วยให้คุณมีความสุขกับการทำงานมากขึ้น!

จินตนาการถึงธรรมชาติ

อาจฟังดูเหมือนคนไม่ปกติ แต่เราอยากให้คุณลองมโนภาพว่าคุณกำลังอยู่ท่ามกลางธรรมชาติที่เงียบสงบ อาจเป็นชายหาดที่มีผู้คนบางตาและมีคลื่นซัดเป็นระลอก บนหุบเขาที่ห้อมล้อมไปด้วยอ้อมกอดของแมกไม้ หรือกลางทะเลที่มีแสงแดดอุ่น ๆ สาดกระทบใบหน้าและเสียงคลื่นเท่านั้นที่ดังก้อง

การจินตนาการภาพถึงทิวทัศน์หรือเสียงในสถานการณ์นั้น ๆ จะส่งผลกระทบต่อสมองเช่นเดียวกับการมองเห็นหรือสัมผัสมันจริง ๆ ซึ่งงานวิจัยก็ย้ำว่าการสร้างภาพหรือข้อมูลต่าง ๆ ในหัวผ่านจินตนาการเพียงไม่กี่นาที ช่วยลดความเครียดและวิตกกังวลให้คนทำงานได้

มองหาธรรมชาติรอบตัว

การมองหาธรรมชาติเล็ก ๆ รอบตัวเราก็เป็นวิธีง่าย ๆ ที่ลดความเครียดและความวิตกกังวลได้เหมือนกัน หากย้อนไปตอนเด็ก ๆ ไม่ว่าหนุ่มคนไหนก็คงหลงใหลและเพลิดเพลินกับการจ้องมองฝูงปลาในพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำ หรือมองนกที่กำลังเกาะอยู่บนกิ่งไม้ตามนิ้วที่พ่อชี้ให้ดู

แต่ใช่ว่าตอนโตความรู้สึกตื่นเต้นและความสนุกเพลิดเพลินนั้นจะจางหายไปเสียทีเดียว เราเชื่อว่าถ้าคุณได้นั่งจ้องฝูงปลาที่แหวกว่ายเวียนวนในน้ำ หรือหันไปมองนกที่บินหรือเกาะอยู่บนต้นไม้ หรือพื้นที่สีเขียวชะอุ่ม ก็คงช่วยกระตุ้นความสนใจและทุเลาความเครียดจากการทำงานได้ชั่วขณะ

ให้ธรรมชาติเป็นอีกกิจวัตรของคุณ

เชื่อว่าหนุ่ม ๆ หลายคนคงสามารถจัดสรรเวลาทำงานให้สมดุลกับกองงานมหึมาได้ แต่เราอยากให้คุณนำสกิลการจัดสรรเวลานั้นมาปรับใช้กับธรรมชาติด้วย เจียดเวลาทำงานเพียงไม่กี่นาที เพื่อเอาตัวเองออกไปชมนก ชมไม้ หรือนั่งรับลมพลางคิดอะไรไปเพลิน ๆ

ในหนังสือ ‘Tinker Dabble Doodle Try: Unlock the Power of the Unfocused Mind’ อ้างว่าวิธีนี้จะทำให้คุณเลิกคิดเรื่องงานไปได้สักพักหนึ่ง ช่วยให้สมองที่ทำงานหนักอยู่ตลอดเวลาได้ผ่อนคลาย แถมยังช่วยเพิ่มความคิดสร้างสรรค์ได้อย่างไม่น่าเชื่อ

แต่ถ้าสภาพแวดล้อมในออฟฟิศของคุณไม่เอื้อให้คุณไปชื่นชมธรรมชาติได้ดั่งใจ UNLOCKMEN แนะนำให้ย้ายโต๊ะทำงานไปยังตำแหน่งที่มองเห็นธรรมชาตินอกอาคารได้ ไม่ก็หาซื้อต้นไม้หรือตู้ปลาเล็ก ๆ มาตั้งไว้บนโต๊ะ

แม้วิธีนี้อาจไม่ได้ทำให้มวลความเครียดที่กระโดดโลดเต้นในหัวคุณหายวับไปกับตา แต่เราเชื่อว่าการดื่มด่ำและผ่อนคลายกับธรรมชาติระหว่างการทำงาน จะลดความเครียด ความวิตกกังวล และทำให้คุณมีความสุขกับงานยาก ๆ มากขึ้น

 

SOURCE

“วง KISS”กำลังจะมีหนัง BIOPIC เป็นของตัวเอง ก่อนคอนเสิร์ตสุดท้ายอำลาตำนานจุมพิตอสูร

$
0
0

กว่า 47 ปีที่วง ‘Kiss’ ตำนานฮาร์ดร็อก/เฮฟวี่เมทัล ได้โลดแล่นอยู่ในวงการเพลง และเป็นสีสันให้กับชาวร็อกรวมถึงวงการแฟชั่นจากรุ่นสู่รุ่น

พวกเขาก่อตั้งวงตั้งแต่ปี 1973 มีสตูดิโออัลบั้มมากถึง 20 อัลบั้ม พวกเขาโดดเด่นทั้งเรื่องของการแต่งหน้าแต่งตัวอันแสนเป็นเอกลักษณ์ หลายคนไม่เคยฟังเพลงก็ยังจดจำลุคและคาแรกเตอร์พวกเขาได้ โชว์ของพวกเขาบ้าระห่ำ แหวกแนว โดดเด่นออกมาจากวงร็อกอื่น ๆ ในยุคสมัยนั้น ไม่ว่าจะเป็นกีตาร์พ่นควัน, จุดพลุ, พ่นไฟ โดยเฉพาะการโชว์บ้วนเลือดของฟรอนต์แมน Gene Simmons ที่สาวกวงต้องเห็นด้วยตาตัวเองกันสักครั้ง มันทั้งอลังการ สยองขวัญ และกลายเป็นรากฐานให้วง Hairband ยุคหลัง ๆ สืบต่อไป

เมื่อต้นปี 2019 ที่ผ่านมา Kiss ได้เริ่มต้นทัวร์คอนเสิร์ตที่มีชื่อว่า “End Of The Road World Tour” ซึ่งเป็นทัวร์ที่มีกำหนดการยาวนานถึง 3 ปี และเดินทางไปเปิดการแสดงในทุก ๆ ทวีปทั่วโลก โดย Gene Simmons เคยออกมาให้สัมภาษณ์ว่าเขาต้องการจะทัวร์ครั้งนี้ให้ยิ่งใหญ่ที่สุด เพราะเขาเองก็ไม่แน่ใจว่าเมื่ออายุมากขึ้นจะยังทำอะไรแบบนี้ได้อีกหรือไม่

credit: https://www.facebook.com/KISS

หลังจากแฟนเพลงต่างสงสัยมาตลอดว่าทัวร์นี้จะสิ้นสุดลงเมื่อใด ล่าสุดทางวงก็ได้มาประกาศแล้วว่าทัวร์ที่นิวยอร์ก วันที่ 17 กรกฎาคม 2021 (ยังไม่ระบุสถานที่) จะเป็นโชว์สุดท้ายของ End Of The Road World Tour รวมถึงเป็นการทัวร์ครั้งสุดท้ายสำหรับวง Kiss อีกด้วย

ถึงแม้วง Kiss จะเคยอำลาไปแล้วรอบนึงเมื่อปี 2001 (แล้วก็กลับมารียูเนียนกันใหม่อีกสองปีให้หลัง) แฟน ๆ หลายคนก็คิดว่ารอบนี้ปาฏิหาริย์อาจไม่มีจริง เนื่องด้วยอายุของสมาชิกแต่ละวงที่มากขึ้นทุกที (ปัจจุบันสมาชิกรุ่นก่อตั้งอย่าง Gene Simmons มีอายุ 70 ปี ส่วน Paul Stanley มีอายุ 68 ปี)

แต่ถึงกระนั้นก็ยังมีข่าวที่น่าสนใจออกมา Doc McGhee ผู้จัดการวง Kiss ได้ออกมาเผยว่า พวกเขากำลังทุ่มเทให้กับการทำหนังชีวประวัติเป็นของตัวเอง!

ตอนนี้ได้ Mark Canton มาขึ้นแท่นเป็นโปรดิวเซอร์ และเริ่มต้นเขียนบทกันเป็นที่เรียบร้อย ถึงแม้จะยังไม่มีการเปิดเผยรายชื่อนักแสดง แต่ภาพยนตร์เรื่องนี้มีกำหนดการฉายช่วงฤดูร้อนปี 2021 ก่อนโชว์สุดท้ายของวงที่นิวยอร์กนั่นเอง!

ข่าวดีไม่ได้มีเพียงหนึ่ง Mcghee ยังกล่าวอีกว่าสารคดีวง Kiss (ที่ไม่ใช่ภาพยนตร์คนแสดง) ก็อยู่ในขั้นตอนดำเนินการเช่นกัน โดยทางวงเริ่มขอให้แฟน ๆ ส่งฟุตเทจเก่าหรือรูปถ่ายหายากที่เกี่ยวข้องกับวง มอบให้กับทีมผู้สร้าง โดยสารคดีตัวนี้จะเผยให้เห็นถึงตัวตนของสมาชิกในวง แบบไม่มีสคริปต์ ทั้งบนเวทีและช่วงเวลาอื่น ๆ และมีความตั้งใจว่าจะทำให้ละเอียดที่สุดเท่าที่จะทำได้

แม้หนังทั้งสองเรื่องจะยังไม่มีกำหนดการที่แน่ชัด หากไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง คุณอาจได้รับชมไล่เลี่ยกับช่วงวันทัวร์สุดท้ายในเดือนกรกฎาคม ปี 2021 อย่างแน่นอน แฟน ๆ ที่รักกันจริงก็อดใจรอกันสักนิด หากมีอะไรคืบหน้า UNLOCKMEN จะกลับมาอัปเดตอีกครั้งอย่างแน่นอน

Source 

 

 

 

คอลเลกชันดูโอ้สำหรับเทศกาลวาเลนไทน์ของ ADIDAS กับ STAN SMITH & CONTINENTAL 80

$
0
0

เข้าสู่เดือนกุมภาพันธ์กันอีกครั้ง สำหรับหนุ่ม ๆ ที่มีคนข้างกายทั้งหลายก็ต้องเริ่มมองหาของขวัญเตรียมไว้ให้คนรักในวันวาเลนไทน์ บางคนมองหาร้านอาหารบรรยากาศดี หรือมองหาช่อดอกไม้สวย ๆ สักช่อเพื่อมอบให้เธอคนนั้นในวันที่แสนพิเศษ 

คนที่นึกออกแล้วว่าจะทำอะไรหรือซื้อของขวัญแบบไหนให้คนเราขอแสดงความยินดีด้วย แต่เราก็ยังเชื่อว่าจะต้องมีชาว UNLOCKMEN อีหลายคนที่ยังคิดไม่ตก คิดไม่ตกว่าจะซื้ออะไรดี จนได้มาเห็นคอลเลกชันพิเศษของ Adidas ที่ออกมายั่วน้ำลายทั้งชายหญิงไปพร้อมกัน 

พอปฏิทินเดินมาถึงวันที่ 1 กุมภาพันธ์ แบรนด์เครื่องกีฬาที่เราคุ้นเคยอย่าง Adidas ก็ปล่อยคอลเลกชันพิเศษ Valentine’s Day เอาใจคนมีคู่ด้วยการนำโมเดลคลาสสิกรุ่น Stan Smith และ Continental 80 มาปัดฝุ่นใหม่ แต่งแต้มลวดลายให้เข้ากับเดือนแห่งความรัก

สนีกเกอร์ทั้งสองคู่ในคอลเลกชันนี้จะมีสีเป็นขาวล้วน จากนั้นจึงค่อยแต่งแต้มสีสันและลวดลายที่สื่อถึงความรัก เริ่มจาก Continental 80 รองเท้าออกกำลังกายในร่มสุดฮิตจากช่วงตนยุค 80 กันก่อน โดย Adidas ได้ประทับหัวใจสีแดงไว้บริเวณส้นรองเท้า

หากสังเกตให้ดีจะเห็นว่าหัวใจสีแดงก็มีขีดสามเส้นที่เน้นย้ำถึงสัญลักษณ์ของแบรนด์ แถมยังไม่ลืมประทับโลโก้สีแดงสดไว้ที่ลิ้นรองเท้า ส่วนบริเวณเส้นด้านข้างถูกแต้มด้วยด้ายสีทองเสริมให้รองเท้าผ้าใบพื้นขาวโดดเด่นยิ่งขึ้น 

ส่วนอีกคู่ในคอลเลกชันแห่งความรักกับรองเท้าเทนนิส Stan Smith ก็คงคอนเซ็ปต์เรียบง่ายแต่โดนใจวัยรุ่นด้วยการนำหัวใจแดงที่มีแถบสามขีดเหมือนกับคู่ Continental 80 มาไว้บริเวณด้านข้างแทน และแทนที่ด้วยสัญลักษณ์ของแบรนด์สีทองเงาวับไว้ตรงส้นรองเท้า ส่วนบริเวณลิ้นรองเท้าก็ใช้สีทองแบบเดียวกับโลโก้แบรนด์เพิ่มความหรูหราได้อย่างน่าประทับใจ 

คอลเลกชันพิเศษที่ออกแบบมาเพื่อเดือนกุมภาพันธ์แห่งความรักโดยเฉพาะของ Adidas เริ่มวางจำหน่ายตั้งแต่วันแรกของเดือนในร้าน Fruition ประเทศไต้หวัน ด้วยราคา 115 ดอลลาร์ (ราว 3,600 บาท) สำหรับหนุ่มคนไหนที่กำลังปวดหัวเรื่องการมองหาของขวัญวาเลนไทน์อยู่ สนีกเกอร์สองคู่นี้อาจช่วยทำให้เรื่องทุกอย่างง่ายขึ้นครับ 

 

SOURCE 1 / 2


เห็นทันนะ!! พาส่อง 2 ล้อไฟฟ้าสายลุยคันแรกจากค่าย JEEP ที่โผล่มาใน AD SUPER BOWL LIV แค่ 3 วิ

$
0
0

หลายคนน่าจะทราบกันดี ถึงสิ่งหนึ่งที่น่าสนใจในศึกชิงแชมป์คนชนคนอย่าง Super Bowl นอกเหนือจากผลการแข่งขัน และ Half-Time Show นั่นก็คือ TVC หลากหลายประเภทสินค้า จนถือป็นอีกหนึ่งเวทีขายของประลองไอเดียโฆษณาจากแบรนด์ยักษ์ใหญ่ รวมถึงเป็นพื้นที่โชว์ตัวอย่างหนังตลอดจนซีรีส์ใหม่ ๆ อีกหลายต่อหลายเรื่อง

PICTURE: CLIFF HAWKINS / GETTY IMAGES

โดยแบรนด์ใหญ่แต่ละแบรนด์ ค่ายหนังแต่ละค่าย ต่างคนต่างพร้อมใจกันควักกระเป๋าจ่ายเงินมหาศาล เพื่อแลกกับการที่ Ads หรือ Teaser หนังของตัวเองได้เผยแพร่สู่สายตามากกว่าร้อยล้านคู่จากผู้ชมทั่วโลก อย่างในปีล่าสุด FOX Sports เจ้าของลิขสิทธิ์การถ่ายทอดสด ได้ออกมาเปิดเผยว่าแมทช์หยุดโลกระหว่างทีม Kansas City Chiefs และ San Francisco 49ers นั้นมีอัตราค่าโฆษณาอยู่ที่ประมาณ 5.6 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือราว ๆ 173 ล้านบาท ต่อ 30 วินาที แถมยังขายดิบขายดีจนสล็อตโฆษณาขายหมดล่วงหน้าไปตั้งแต่ช่วงเดือนพฤศจิกายน ปี 2019 ที่ผ่านมา

และค่ายรถพันธุ์แกร่งสัญชาติอเมริกันอย่าง Jeep ก็เป็นอีกหนึ่งเจ้าที่ทุ่มเม็ดเงินซื้อเวลาเผยแพร่ TVC ใน Quarter ที่ 4 ซึ่งเป็นช่วงไคลแม็กซ์ของการแข่งขัน Super Bowl LIV (ซูเปอร์ โบวล์ ครั้งที่ 54) เมื่อค่ำคืนวันอาทิตย์ที่ผ่านมาตามเวลาท้องถิ่น โดยตลอด 1 นาทีของโฆษณานั้นเป็นเรื่องราวที่หยิบยกมาจาก Groudhog Day หนังฟีลกู้ดจากปี 1993 ที่ใครได้ดูเป็นต้องหลงรัก ส่วนใครยังไม่เคยดูบอกเลยว่าควรหามาดูสักครั้ง

ซึ่งเหตุผลที่ Jeep หยิบเอาเรื่อง Groudhog Day มาใช้ นั่นก็เป็นเพราะว่าวัน Groundhog Day ที่เป็นประเพณีพื้นเมืองของชาว Pennsylvania นั้นตรงกับวันที่ 2 กุมภาพันธ์ ของทุกปี ซึ่งประจวบเหมาะตรงกันกับวันระเบิดศึก Super Bowl LIV ครั้งนี้ เรียกได้ว่าเป็นกิมมิคที่สร้างรอยยิ้มให้กับผู้ชมทั่วโลกที่เคยมีประสบการณ์ร่วมกับภาพยนตร์เรื่องนี้ได้เป็นอย่างดี

แต่สิ่งที่น่าจับตานั้นไม่ใช่แค่การปรากฎกายของ Bill Murray ดาราตลกรุ่นใหญ่ภายใต้บทบาท Phil Connors คนเดิม ในซีนเดิม ที่ต้องตื่นมาในฉากห้องนอนเดิม บรรเลงด้วยเพลงประกอบเดิมจากเรื่อง Groundhog Day ที่ชวนให้แฟน ๆ หวนคิดถึงอดีต หรือแม้กระทั่ง Jeep Rubicon สีส้มคันงาม ที่ Phil ใช้เป็นพาหนะในการขับพาตัว Groundhog กลับรังแต่อย่างใด

เพราะในช่วงท้าย ๆ ของ TVC จะพบว่า Phil เปลี่ยนพาหนะมาเป็นจักรยาน ซึ่งแม้โผล่มาให้ยลโฉมเพียง 3 วิ แต่นั่นก็เพียงพอเป็นเบาะแสให้สืบเสาะจนพบว่าจักรยานคันนั้นไม่ใช่แค่พร็อพเข้าฉากธรรมดา ๆ แต่มันคือ Jeep e-Bike จักรยาน Off-Road พลังงานไฟฟ้า ที่ได้ชื่อว่าเป็น ‘The first ever Jeep e-Bike’ ถือเป็นการประกาศว่านี่คือครั้งแรกที่เจ้าพ่อรถยนต์สายถึกอย่าง Jeep จะลงมาลุยตลาดสองล้อ Off-Road พลังงานไฟฟ้า ช่วยทุ่นแรงหนุ่ม ๆ นักปั่นผู้รักการผจญภัยให้ลุยกันได้สุดพรมแดน โดยไม่ต้องอาศัยแรงขาล้วน ๆ ปั่นจนน่องแตกไปเสียก่อน

สำหรับข้อมูลของ Jeep e-Bike เท่าที่ค้นเจอใน Official Site นั้นยังไม่ได้มีการเผยไต๋อะไรออกมามากมาย เพราะกำหนดวางขายจริง ๆ อาจต้องร้องเพลงรอไปถึงช่วงเดือนมิถุนา แต่ด้วยข้อมูลพื้นฐานที่ Jeep แจ้งว่า Jeep e-Bike คันนี้ใช้มอเตอร์ 750w และเป็นผลผลิตที่เกิดจากความร่วมมือของ QuietKat แบรนด์ดังจากวงการจักรยานไฟฟ้าที่รับหน้าที่เข้ามาดูแลการผลิตให้ จึงพอจะอนุมานสเปคคร่าว ๆ ได้จากการเปรียบเทียบรูปร่างหน้าตาโมเดลที่คล้ายคลึง รวมถึงเปรียบเทียบขนาดมอเตอร์ที่ใช้จากรุ่นที่ QuietKat กำลังวางจำหน่ายอยู่

จนเกิดเป็นข้อสรุปที่ว่า Jeep e-Bike มีความเป็นไปได้สูงว่าจะมาพร้อมมอเตอร์ Bafang Ultra-Drive 750w Mid-Drive ทำความเร็วสูงสุดโดยไม่ต้องอาศัยแรงถีบได้ 25mph ติดตั้งขุมพลังแบตเตอรี่ 48v/11.6ah จาก Panasonic ชาร์จเต็ม 1 ครั้งพาสามารถพาเรานั่งชิลล์ ๆ ไปได้ไกลประมาณ 20 ไมล์ แต่ถ้าออกแรงปั่นช่วยเติมไฟเข้าแบตไปด้วยจะไปได้ไกลประมาณ 40 ไมล์ ก่อนที่จะต้องปั่นกลับบ้านเพื่อชาร์จแบตใหม่อีกครั้ง

ในส่วนของระบบกันกระแทกของ Jeep e-Bike จะใช้โช้คคู่หน้าจาก RST Air Suspension  และใช้โช้คหลัง Rockshox ขับเคลื่อนด้วยเกียร์ 9 สปีด พร้อมตะลุยทุกเส้นทางทรหดด้วยยาง 26 x 4.8” CTS Roly Poly Fat Tires  เสริมความปลอดภัยขับขี่มั่นใจด้วยเบรคหนึบ ๆ แบบ 4 Piston Hydraulic Disc Brakes

จากการปะติดปะต่อเรื่องราวน่าจะพอทำให้นักปั่นขาลุยทั้งหลายพอที่จะมองเห็นภาพสมรรถนะของ Jeep e-Bike คันนี้แบบคร่าว ๆ ซึ่งเราเชื่อเหลือเกินว่าเมื่อถึงกางสเปคออกมาจริง ๆ คงไม่น่าจะผิดจากนี้ไปมากเท่าไหร่ แต่สิ่งที่ยังไม่สามารถคาดเดาได้คงเป็นเรื่องของราคา ที่เดาใจไม่ถูกจริง ๆ  ว่า e-Bike ประทับตรา Jeep คันนี้จะอัพราคาขายกระโดดจากตัว Original ของ QuietKat มากน้อยสักแค่ไหน แต่เบื้องต้นคิดว่าคงเปิดราคาไม่น่าต่ำกว่า 5,999 เหรียญสหรัฐ ซึ่งเป็นราคาของ QuietKat Fat Tire Ridgerunner แฝดผู้พี่เป็นแน่แท้

 

 

SOURCE: 1/2/3/4/5

‘FUJIFILM X100V’คอมแพกต์พรีเมียมรุ่นล่าสุด มอบประสบการณ์ถ่ายภาพด้วยช่องมองภาพไฮบริด

$
0
0

การแข่งขันในตลาดกล้องแอ็กชันที่ว่าดุเดือด ยังต้องหลบให้กับความเข้มข้นของตลาดกล้องคอมแพกต์ที่แต่ละค่ายต่างงัดตัวเด็ดมาเฉือดเฉือนกันแบบไม่มีใครยอมใคร แล้วแบรนด์กล้องจากแดนอาทิตย์อุทัยอย่าง Fujifilm ก็เป็นหนึ่งในนั้น

ล่าสุด Fujifilm เขย่าบัลลังก์กล้องคอมแพกต์ให้สั่นสะเทือน ด้วยการเปิดตัว ‘Fujifilm X100V’ คอมแพกต์พรีเมียมจากซีรีส์ X100 ในตำนาน มาพร้อมงานดีไซน์คลาสสิกแบบกล้องฟิล์มและช่องมองภาพไฮบริดที่ทำให้รุ่นนี้น่าจับตามองกว่ากล้องรุ่นอื่น ๆ

fujifilm.com

Fujifilm X100V ตัวนี้มีเซนเซอร์ X-Trans CMOS IV ความละเอียด 26 ล้านพิกเซล และมีช่วง ISO อยู่ที่ 160-12800 ใช้ระบบประมวลผลทรงพลัง X-Processor 4 จับคู่กับเลนส์ 23 mm. f/2.0 ที่พัฒนาขึ้นใหม่ ช่วยให้ถ่ายภาพและวิดีโอด้วยความละเอียดสูงขึ้น ความผิดเพี้ยนต่ำ และมีประสิทธิภาพการโฟกัสที่ดีกว่าเดิม

fujifilm.com

นอกจากจะใช้อัลกอริทึมช่วยตรวจจับ AF ได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำในระดับความสว่างต่ำสุด Fujifilm X100V ยังถ่ายภาพต่อเนื่องด้วย Electronic Shutter ได้ 20 เฟรมต่อวินาที หรือถ่ายด้วย Mechanic Shutter ที่ 11 เฟรมต่อวินาที ทั้งยังถ่ายวิดีโอความคมชัด 4K ที่ 30 เฟรมต่อวินาทีได้สบาย ๆ หรือจะใช้โหมด Full-HD ถ่ายวิดีโอที่ 60 เฟรมต่อวินาทีก็ยังได้

fujifilm.com

ไฮไลต์ของกล้องรุ่นนี้คือช่องมองภาพแบบไฮบริดสุดล้ำ หนุ่ม ๆ สามารถเลือกได้ว่าจะถ่ายภาพด้วยช่องมองภาพ Electronic View Finder (EVF) หรือ Optical View Finder (OVF)

โดยช่องมองภาพ EVF ที่เหมือนกับช่องมองภาพของกล้อง Mirorless จะมีขนาด 0.5 นิ้ว มีความละเอียด 3.69 ล้านพิกเซล และสามารถถ่ายภาพความละเอียด ความสว่างสูง และคอนทราสต์สูงได้ ส่วนช่องมองภาพ OVF ที่เลียนแบบช่องมองภาพของกล้อง DSLR นั้นมาพร้อมอัตราขยาย 0.5x และครอบคลุมเฟรมได้มากถึง 95%

งานดีไซน์ของตัวกล้องถอดแบบเอกลักษณ์ของกล้องฟิล์มมาได้แบบไม่ผิดเพี้ยน ด้านบนและด้านล่างของกล้องใช้วัสดุอลูมิเนียมห่อหุ้ม มีหน้าจอ LCD บางเฉียบขนาด 3 นิ้ว ด้านหลังกล้องที่ปรับเอียงได้สองทิศทาง มีความละเอียดหน้าจออยู่ที่ 1.62 ล้านพิกเซล และอัตราส่วน 3:2 ทั้งยังรองรับการเชื่อมต่อผ่านพอร์ต USB Type-C มีช่องไมค์โครโฟน 2.5 มิลลิเมตร และ Micro HDMI มาให้ด้วย

Fujifilm ถือเป็นผู้บุกเบิกตลาดกล้องดิจิทัลคอมแพกต์ระดับพรีเมียม ที่เคยปล่อย ‘FUJIFILM X100’ ในปี 2011 และกล้องรุ่นนั้นก็เป็นจุดเริ่มต้นของซีรีส์ X100 อันโด่งดังของ Fujifilm

‘Fujifilm X100V’ รุ่นล่าสุดนี้จึงนำเอาประสิทธิภาพระดับตำนานของกล้องคอมแพกต์ตระกูลพรีเมียมมาปรับแต่งเพิ่มสเปก และครอบด้วยงานดีไซน์คลาสสิกแบบกล้องฟิล์ม แถมยังใช้ช่องมองภาพไฮบริดที่ยังไม่เคยมีเจ้าไหนทำมาก่อน

หากหนุ่มคนไหนอยากสัมผัสประสบการณ์ถ่ายภาพสุดเจ๋งของคอมแพกต์ระดับเทพเครื่องนี้ ก็อดใจรออีกไม่นาน คาดว่ารุ่นสีเงินจะวางขายช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์ 2020 และรุ่นสีดำจะตามมาในเดือนมีนาคม 2020 โดยมีราคาเปิดตัวอยู่ที่ $1,399 หรือราว 42,500 บาท

 

COVER SOURCE SOURCE

BALTHAZAR BAR: บาร์เหล้าลึกลับแสงสลัวในห้องใต้ดินแต่งอิฐกลางเมืองหลวงยูเครน

$
0
0

เรารู้จัก ‘ยูเครน’ ในฐานะประเทศลึกลับแห่งยุโรปตะวันออก และอาจเป็นประเทศที่โด่งดังเรื่องข่าวสงครามมากกว่าจะเป็นจุดหมายปลายทางของนักท่องเที่ยวหลากเชื้อชาติ

แต่เมืองเคียฟ (Kiev) หรือ อิฟ (Kyiv) เมืองหลวงของประเทศลึกลับแห่งนี้ กลับเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรม วิทยาศาสตร์ การศึกษา และวัฒนธรรมของยุโรปตะวันออก แถมยังมีพื้นที่ว่างให้สถาปัตยกรรมปรากฏตัวเพื่อบอกเล่าเรื่องราวประวัติศาสตร์และความขลังผ่านกำแพงอิฐเก่าแก่

Rina Lovko Studio ได้รับโจทย์ให้ออกแบบ ‘Balthazar’ บาร์ชั้นใต้ดินที่ตั้งอยู่ทางใต้ของตลาด Besarabsky อันเป็นตลาดในร่มที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานและชาวเมืองก็คุ้นเคยกันเป็นอย่างดี

Balthazar เป็นบาร์เครื่องดื่มเก่าแก่ที่ดูลึกลับและมีเสน่ห์เฉพาะตัว และ Rina Lovko Studio สตูดิโอสัญชาติยูเครนรายนี้ก็เข้ามาออกแบบภายใน โดยไม่ทิ้งกลิ่นอายความเก่าและเก๋าของวัสดุในอดีต

ภายในบาร์เผยให้เห็นโครงสร้างแบบอินดัสเทรียลลอฟต์ที่ชัดเจน การตกแต่งจะใช้เฟอร์นิเจอร์ไม้สีเข้มเป็นหลัก มีเบาะนั่งสีเขียว และกระเบื้องเคลือบเฉดเขียวหุ้มฐานของเคาน์เตอร์ เพื่อสร้างบรรยากาศลึกลับ มีเสน่ห์ และน่าค้นหา

แสงไฟสลัวตามมุมต่าง ๆ ของร้านเกิดจากการผสมผสานของเทียน โคมระย้า และโคมไฟตั้งพื้นที่คลุมด้วยผ้า ส่วนผนังและเพดานยังคงความเก่าของอิฐมอญที่ก่อรูปร่างไว้เมื่อหลายปีก่อน โดยไม่ได้ดัดแปลงหรือแต่งเติมจนความขลังที่ว่านั้นเลือนรางไป

แม้การออกแบบภายในครั้งนี้จะไปได้สวย แต่ Rina Lovko Studio ก็ยังต้องเจอกับปัญหาใหญ่ เพราะเดิมทีบาร์ใต้ดินแห่งนี้มีทางเดินคดเคี้ยวและลูกค้ามักจะถูกเพดานอิฐความสูง 1.6 เมตรมาขัดจังหวะการเดิน

เนื่องจากไม่สามารถทุบเพดานอิฐด้านบนที่เป็นโครงสร้างหลักได้ ทีมนักออกแบบจึงต้องใช้เวลาหลายเดือนเพื่อขุดเจาะพื้นดินลงไปอีก เพื่อจะได้เพิ่มความสูงจากพื้นจรดเพดานให้กลายเป็น 1.8 เมตร และช่วยให้ลูกค้าเดินไปมาโดยที่ศีรษะไม่ชนกับเพดานอิฐอย่างที่เคย

จริงอยู่ที่บาร์ใต้ดินนั้นจะเงียบสงบ ไม่มีเสียงรบกวน และสร้างความเป็นส่วนตัวให้ลูกค้าได้มากกว่าบาร์บนดิน แต่ข้อเสียของบาร์ใต้ดินคือไม่สามารถมอบมวลอากาศที่บริสุทธิ์ได้ ทีมนักออกแบบจึงติดตั้งระบบระบายอากาศในท่อลมใต้เพดานอิฐ เพื่อให้อากาศภายในบาร์ถ่ายเทสะดวกยิ่งขึ้น

Balthazar ถือเป็นบาร์เหล้าอีกแห่งที่โดดเด่นด้วยการออกแบบสถาปัตยกรรมภายในเฉพาะตัว ไม่ได้สร้างสิ่งใหม่ให้ดูแปลกตาและไม่ได้นำสิ่งเก่ามาใช้จนน่าเบื่อจำเจ หากผนวกสิ่งใหม่และเก่าเข้าด้วยกัน จนเกิดเป็นสถาปัตยกรรมภายในร่วมสมัยที่สะท้อนกลิ่นอายความเก่า เก๋า และความลึกลับอันเป็นเสน่ห์ของทั้งบาร์และประเทศแห่งนี้

 

Photography is by Yevhenii Avramenko.

 

COVER SOURCE SOURCE

“กันดั้มติดโบว์แดง” GUNDAM x HELLO KITTY คอลเลกชันล่าสุดจากการพบกันของการ์ตูนโคตรฮิต

$
0
0

สำหรับหนุ่ม ๆ ที่สะสมฟิกเกอร์และชื่นชอบการ์ตูนเรื่อง Gundam คงจะจดจำการคอลแลปส์ฯ สุดแหวกแนวกันได้ขึ้นใจของตัวต่อที่ผสมผสานเรื่องราวระหว่าง Gundam ที่เป็นตัวแทนของเด็กผู้ชาย กับ Hello Kitty การ์ตูนลายเส้นน่ารัก ๆ ขวัญใจเด็กผู้หญิง เพื่อฉลองความสำเร็จอันยาวนานของการ์ตูนทั้งสองเรื่องที่มีหน้าตาเป็นเอกลักษณ์ด้านล่างได้

Hello Kitty x RX-78-2 Gundam คือโมเดลตัวละครสุดลิมิเต็ดที่ออกโปรโมตเมื่อปี 2019 ผลิตโดยบริษัท Bandai Spirits (Tamashii) จับเด็กสาวหน้าตาเหมือนแมวจากเรื่องคิตตี้มาใส่ชุดโมบิลสูทกันดั้มตัวแรก พร้อมกับเอกลักษณ์สุดโดดเด่นที่สลับขั้วจากกันดั้มทั่วไป ที่ปกติจะมีหัวขนาดเล็ก แต่สำหรับฟิกเกอร์สุดพิเศษนี้จะมาในรูปแบบโมเดลหัวโตหน้าตาน่ารัก หมวกมีหูเหมือนแมว แถมยังติดโบว์สีแดงไว้ตรงหูด้วย โดยการจับมือกันของมังงะดังสองเรื่องนี้เกิดขึ้นเพื่อเฉลิมฉลองครบรอบ 45 ปี Hello Kitty และครบรอบ 40 ปี ของ Gundam 

เมื่อบริษัทผู้ผลิตปล่อยภาพของฟิกเกอร์ Hello Kitty x RX-78-2 Gundam ก็เกิดกระแสพูดถึงในวงกว้างทันที บางคนบอกว่ามันสาวเกินไป แต่หลายคนก็ชื่นชอบเพราะคอลเลกชันแบบนี้ไม่ได้มีกันบ่อย ๆ แถมแฟนสาวของหนุ่มที่สะสมฟิกเกอร์หลายคนต่างก็โอเคถ้าเราจะซื้อเจ้าโมเดลตัวนี้มาตั้งไว้ในบ้าน (ก็มันน่ารัก) ด้วยกระแสเชิงบวกที่ผู้คนให้ความสนใจทำให้เกิด Hello Kitty x Gundam ตัวใหม่ขึ้นอีกสองตัว 

Hello Kitty x Gundam “Peaceful Figures Of Friendship” เด็กสาวหน้าแมวสวมชุดโมบิลสูทรุ่นคลาสสิกของ Amuro อย่าง RX-78-2 และอีกตัวคือโมบิลสูท Zaku สีแดงที่โดดเด่นที่สุดในสนามรบของ Char โดยทั้งสองตัวมีขนาด 4.1 นิ้ว เท่ากัน ส่วนหัวสามารถเปิดออกได้ เผยให้เห็นคนขับตัวจิ๋วที่ซ่อนอยู่ แถมบริเวณดวงตายังเปล่งแสงและส่งเสียงได้อีกด้วย

ในตอนนี้ทางเว็บไซต์ผู้ผลิตประกาศช่วงเวลาวางจำหน่ายและราคาออกมาเป็นที่เรียบร้อยแล้วสำหรับฟิกเกอร์คอลเลกชัน Hello Kitty x Gundam “Peaceful Figures Of Friendship” โดยจะวางขายในราคา 7,480 เยน หรือประมาณ 1,370 บาท ช่วงเดือนกรกฎาคม 2020 เดือนเดียวกับที่ประเทศญี่ปุ่นกำลังเตรียมตัวต้อนรับผู้คนทั่วโลกจากการเป็นเจ้าภาพกีฬาโอลิมปิก เราคาดว่าการวางขายในเดือนนี้น่าจะยิ่งทำให้กระแสของกันดั้มและคิตตี้กระพือไปไกลยิ่งกว่าที่เคย

 

SOURCE

WATCHLIST: ล้วงลึกประวัติศาสตร์ RAPPER & DJ ด้วย 5 สารคดีดนตรี HIP-HOP & EDM จาก NETFLIX

$
0
0

จากคราวที่แล้วที่ UNLOCKMEN ได้แนะนำ  “5 หนังสารคดีนักดนตรี สำหรับคอเพลงที่ชอบเสพความเป็นตำนาน” กันไปแล้ว รอบนี้ก็ถึงคิวของสาวกฮิปฮอปและสายตื๊ดกันบ้าง! โลกของดนตรีมันกว้างใหญ่ไพศาล ใช่ว่าจะมีแต่วงร็อกหรือป๊อปสตาร์นี่ครับที่จะมีชีวประวัติน่าสนใจ

ประวัติศาสตร์ฮิปฮอปเองก็เข้มข้น รวมถึงการทำงานของคนเบื้องหลังอย่างเหล่าโปรดิวเซอร์ก็เป็นอะไรที่น่าสนใจไม่แพ้กัน แต่ก็อย่างที่เราได้เคยเตือนไป สารคดีใน Netflix บางเรื่อง หากไม่ใช่ Original Content ของเขาก็อาจจะถูกถอดจากผังไป (แบบที่เราไม่รู้กำหนดการ) ฉะนั้นถ้าหนึ่งในห้าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่คุณสนใจ แต่ดันไม่ใช่สิ่งที่ Netflix สร้าง อาจจะต้องรีบดูก่อนไม่มีให้ดูนะครับ ว่าแต่วันนี้จะมีเรื่องอะไรบ้าง เรามาดูกัน

Rapture 

Rapture เป็นสารคดีของ Netflix มีทั้งหมดถึง 8 ตอนด้วยกัน (ไม่ถูกถอดออกแน่นอนครับ) แต่ละตอนจะพาไปพูดคุยเจาะลึกมุมมองและทัศนคติของแรปเปอร์ชื่อดังแต่ละคน (1 คนต่อ 1 ตอน) มีทั้ง Logic, G-Eazy, 2 Chainz, T.I., Nas & Dave East, A Boogie With Da Hoodie รวมถึง Rapsody ที่เป็น MC สาวสุดสตรองอีกด้วย ถึงจะมีตอนย่อยมากมาย แต่ Episode นึงก็ยาวเป็นชั่วโมงเลยนะครับ รับรองว่าคุ้มค่าแน่นอน

Travis Scott: Look Mom I Can Fly 

สารคดีเรื่องนี้ถ่ายทำช่วงที่ Travis Scott กำลังทำอัลบั้ม Astroworld (ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิง Grammy) โดยคุณจะได้ฟังเรื่องราวชีวิตของเขาตั้งแต่เกิดจากปากเจ้าตัวและคนใกล้ชิด ตัดสลับกับฟุตเทจสไตล์ Home Video จากครอบครัวที่หาดูยาก ไฮไลต์เด็ดอยู่ตรงฟุตเทจการแสดงจากแต่ละเวทีที่คุณหาดูแบบ High Quality ไม่ได้ทาง Youtube อีกทั้งยังมีโอกาสได้เห็นแรปเปอร์บ้าระห่ำคนนี้ในมุมของการเป็นคุณพ่อแสนอบอุ่น สาวกตัวจริงห้ามพลาด หรือต่อให้คุณเป็นแค่แฟนเพลงที่ไม่เคยลงลึกเรื่องเขามาก ลองหาเวลาดูก็อาจจะได้ทำความรู้จักกับผู้ชายคนนี้มากขึ้นครับ

Hip-Hop Evolution

สำหรับคนที่รัก Hip-Hop แบบจริงจัง ไม่ได้ชอบแค่ศิลปินคนสองคน สารคดี Hip-Hop Evolution คือสิ่งที่ตอบโจทย์คุณที่สุดเพราะจะพาย้อนกันไปตั้งแต่รากฐานวัฒนธรรม ยุค 1970 จุดกำเนิด Gangsta Rap, การพัฒนาจากใต้ดินสู่เมนสตรีม รวมไปถึงพาไปสำรวจมุมเมืองซอกซอยต่าง ๆ ในโลกที่มี Hip-Hop Scene แน่นอนว่าลงลึกมากกว่าแง่ของเพลง แต่เป็นวัฒนธรรมย่อยจากกลุ่มต่าง ๆ ทั่วโลก ปัจจุบันมีทั้งหมดถึง 4 ซีซัน (ซีซันละ 4 ตอน) ดูกันจุใจแน่นอนครับ แถมเป็น Original ของ Netflix ด้วย

What We Started 

ดนตรี EDM หรือ Electronic Dance Music มันมีที่มาที่ไปอย่างไรกันนะ? สารคดีนี้จะพาเราไปดูตั้งแต่อดีต ปัจจุบัน และการวางรากฐานสู่อนาคตของกลุ่มคนที่ช่วยกันขับเคลื่อนดนตรีประเภทนี้ เล่าผ่านผู้มากประสบการณ์หลายคน รวมถึงดีเจชื่อดังที่เราคุ้นหน้าคุ้นตาอย่าง Martin Garrix, Afrojack และ Carl Cox เป็นต้น

สารคดี What We Started เรื่องนี้อาจจะทำให้คุณได้รู้จักคุณค่า ประวัติความเป็นมาของมัน และอาจเปลี่ยนมุมมองของคุณที่ว่า ‘ก็แค่เพลงตื๊ดของคนเมา’ ไปเลยตลอดกาล (คำเตือน: ไม่ใช่ Original Content ของ Netflix มีสิทธิ์ถูกถอดในอนาคตนะครับ)

Steve Aoki: I’ll Sleep When I’m Dead

สายตื๊ดไม่มีใครไม่รู้จักชื่อ Steve Aoki ดีเจและโปรดิวเซอร์แถวหน้าที่เรียกได้ว่ายิ่งใหญ่เป็นอันดับต้น ๆ ในศตวรรษนี้ก็ว่าได้ ทันทีที่กด Play ดูเรื่องนี้เราจะได้เห็นเขาในมุมอื่น ๆ นอกเหนือจากความเป็นดีเจบ้าพลัง เขาคือชายที่เพื่อนร่วมวงการทุกคนต่างขนานนามว่า “เหมือนเครื่องจักร” เพราะเป็นคนบ้างานไม่รู้จักหลับจักนอน ซึ่งไอ้ความเป็นเขาทั้งหมดนี้ถูกหล่อหลอมมาจาก Rocky Aoki คุณพ่อนักแข่งเรือของเขาที่ควบงานถึงสามงาน แถมยังหาเลี้ยงครอบครัวได้อย่างขยันขันแข็ง เราจะได้เห็นทั้งความระห่ำและความอ่อนไหวของ Steve Aoki ผ่านสารคดีเรื่องนี้อย่างเต็มอิ่ม และคุณจะรู้สึกเคารพในตัวผู้ชายคนนี้มากกว่าที่เคยอย่างแน่นอน

สำหรับ 5 เรื่องที่เราแนะนำวันนี้ ส่วนมากจะเป็นของ Netflix โชคดีที่จะยังอยู่กันไปยาว ๆ ครับ บันทึกลงในลิสต์แล้วค่อย ๆ ไล่ดูกันไปก็ได้เวลายังมี ส่วนคนที่ไม่ได้อินสายนี้มากก็แนะนำให้ดูนะครับ เพราะถือว่าเป็นความรู้ใหม่ ๆ ที่ทำให้เราได้เปิดโลกและเข้าใจประวัติศาสตร์ดนตรีในมุมอื่น ๆ บ้าง บางอย่างที่เรามองข้าม อาจจะเกิดมาจากความดิ้นรน ความพยายามของผู้คนนับพันก็ได้ ดูให้สนุกนะครับ

Viewing all 7730 articles
Browse latest View live