Quantcast
Channel: Unlockmen
Viewing all 7730 articles
Browse latest View live

‘SEIKO PROSPEX BLACK SERIES’สามทหารเสือสุดแกร่ง แรงบันดาลใจจากความมืดและลึกใต้มหาสมุทร

$
0
0

Seiko เริ่มต้นปี 2020 ด้วยการประกาศเปิดตัวนาฬิกาสามรุ่นล่าสุดในตระกูล ‘Black Series’ ของไลน์อัป Seiko Prospex ประกอบไปด้วยรุ่น SLA035J1, SPB125J1 และ SSC761J1 ที่ได้แรงบันดาลใจมาจากความมืดมิดและระดับความลึกใต้มหาสมุทร

นาฬิกาทั้งสามรุ่นถูกห่อหุ้มด้วยเคสสเตนเลสสีดำไอออน สะท้อนความงดงามใต้ท้องทะเลลึก พร้อมสอดแทรกรายละเอียดงานดีไซน์บนหน้าปัดที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว และใช้เทคโนโลยีส่องสว่าง LumiBrite ช่วยให้มองเห็นใต้น้ำได้แจ่มชัดยิ่งขึ้น

seikowatches.com

SEIKO PROSPEX BLACK SERIES SLA035J1

นาฬิการุ่นนี้ใช้โมเดล SLA021 ที่เพิ่งเปิดตัวไปเมื่อไม่นาน เป็นพื้นฐานการออกแบบ แถมยังได้สมญานามว่าเป็นทายาทของ MarineMaster 300 หนึ่งในนาฬิกาดำน้ำที่มีชื่อเสียงที่สุดของ Seiko

‘SLA035J1’ มาพร้อมตัวเรือนแบบชิ้นเดียว (Monobloc) และสายซิลิโคนสีดำกับหัวเข็มขัดแบบหมุด นอกจากงานดีไซน์ที่ดูโฉบเฉี่ยว เรือนนี้ยังใช้กลไก Calibre 8L35 ที่แม่นยำและน่าเชื่อถืออีกด้วย

บนหน้าปัดขนาด 44.3 มิลลิเมตร ตกแต่งด้วยเข็มวินาทีสีแดงเด่น มีฝาเซรามิกแบบทิศทางเดียวที่แข็งแรงทนทาน ช่วยให้นาฬิกากันน้ำได้ลึกถึง 300 เมตร หน้าปัดยังใช้เทคโนโลยีส่องสว่าง Lumibrite ที่ให้ความสว่างมากกว่าและนานกว่าสารเรืองแสงทั่วไป ทำให้มีพลังงานสำรองมากถึง 50 ชั่วโมง

seikowatches.com

SEIKO PROSPEX BLACK SERIES SPB125J1

แม้รูปลักษณ์จะดูคล้าย ๆ กับรุ่น Seiko Sumo ที่หนุ่ม ๆ หลายคนหลงใหล แต่ ‘SPB125J1’ เรือนนี้ต่างตรงที่ใช้คริสตัลแซฟไฟร์เพิ่มความแข็งแกร่งให้ตัวหน้าปัด ทำให้สามารถกันน้ำได้ลึกถึง 200 เมตร แถมยังอัปเกรดกลไกการเดินเข็มให้เป็น Calibre 6R35 ที่มีพลังงานสำรองสูงถึง 70 ชั่วโมง

ขนาดหน้าปัดอยู่ที่ 45 มิลลิเมตร ใช้เทคโนโลยี Lumibrite ที่เป็นกรรมสิทธิ์ของ Seiko เพื่อการส่องสว่างที่ยาวนานเช่นเดียวกับรุ่น SLA035J1 แต่ตัวเข็มวินาทีดีไซน์มาเป็นสีส้มรูปร่างแหลมที่ดูต่างออกไป

seikowatches.com

SEIKO PROSPEX BLACK SERIES SSC761J1

‘SSC761J1’ เรือนนี้ดีไซน์ตัวเรือนค่อนข้างแตกต่างจากสองรุ่นก่อน โดยขยับตำแหน่งบอกวันที่จากตำแหน่งที่ 3 มาอยู่ตรงกลางระหว่างตำแหน่งที่ 4 และตำแหน่งที่ 5 แม้จะใช้เข็มวินาทีสีส้มเหมือนกับรุ่น SPB125J1

แต่บนหน้าปัดได้เพิ่มฟังก์ชันโครโนกราฟสำหรับจับเวลาเศษเสี้ยววินาทีอย่างละเอียดแม่นยำ มาพร้อมกับงานดีไซน์วงแหวนจับเวลาอีกสามวงที่ถือเป็นเอกลักษณ์ของนาฬิการุ่นนี้

SSC761J1 ดีไซน์ตัวเรือนมาเป็นขนาดกลางโดยมีขนาดอยู่ที่ 44.5 มิลลิเมตร สามารถในการกันน้ำได้ลึกสูงสุด 200 เมตร และใช้กลไก Caliber V192 สุดเจ๋งที่ดูดซับและใช้พลังงานแสงอาทิตย์ช่วยในการเดินเข็ม

seikowatches.com

เนื่องจาก Seiko Prospex เป็นไลน์อัปใหม่ของแบรนด์ Seiko ที่พัฒนาสเปกนาฬิกามาเพื่อการใช้งานเฉพาะทาง จึงมั่นใจได้ว่านาฬิกาทั้งสามเรือนนี้จะตอบโจทย์การใช้งานใต้น้ำได้เป็นอย่างดี

ไม่เพียงวัสดุคุณภาพที่ห่อหุ้มตัวเรือน แต่กลไกการเดินเข็มหรือแม้แต่รูปลักษณ์งานดีไซน์ก็มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว เรียกได้ว่านำโมเดลนาฬิกาคลาสสิกมาผสานกับเทคโนโลยียุคใหม่ได้อย่างกลมกลืน

หากหนุ่มคนไหนสนใจก็อดใจรออีกนิด เพราะ Seiko Prospex Black Series Divers ทั้งสามรุ่นจะวางขายช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์ถึงเดือนมีนาคมของปี 2020 นี้

รุ่น ‘SLA035J1’ ขายเพียง 600 เรือนทั่วโลก และมีราคาเปิดตัวอยู่ที่ $2,900 หรือราว 88,000 บาท และรุ่น ‘SPB125J1’ วางขาย 7,000 เรือนทั่วโลกและเปิดตัวที่ราคา $850 หรือประมาณ 25,800 บาท ส่วนรุ่น ‘SSC761J1’ จะวางขาย 3,400 เรือนทั่วโลกในราคา $725 หรือประมาณ 22,000 บาท

 

COVER SOURCE , SOURCES: 123


LEAF NISMO RC ต้นแบบรถแข่งสายพันธุ์ไฟฟ้าจาก NISSAN

$
0
0

Nissan Leaf Nismo RC ต้นแบบรถแข่งพลังงานไฟฟ้ารุ่นที่ 2 โชว์ความแรงในทวีปยุโรปเป็นครั้งแรกที่ Circuit Ricardo Torno สนามแข่งรถในเมืองบาเลนเซีย ประเทศสเปน พร้อมพลังที่เพิ่มจากรถรุ่นแรกเกือบเท่าตัว

Nismo

Nissan Leaf Nismo RC รุ่นปี 2020 คือรถแข่งพลังไฟฟ้าที่มีพื้นฐานจาก Nissan Leaf (ZE1) โดยไม่ได้สร้างมาแค่จัดแสดงเท่านั้น แต่เป็นรถสำหรับทดสอบพัฒนาการของเทคโนโลยียานยนต์ไฟฟ้าของนิสสันในอนาคต ทั้งระบบขับเคลื่อน 2 ล้อ และ 4 ล้อ รวมถึง Nissan Leaf ซึ่งเป็นรถยนต์ไฟฟ้าที่มียอดขายถึง 450,000 คัน

Nismo

Leaf Nismo RC มาพร้อมดีไซน์ภายนอกแบบใหม่สไตล์ Racing ที่สร้างและพัฒนาโดย NISMO แผนกรถแข่งของค่าย ออกมาเป็น Nissan Leaf ลุค 2 ประตูแบบต่อท้าย มาพร้อมกับสปอยเลอร์ขนาดใหญ่ เพื่อตอบโจทย์ระบบ Aerodynamic บนสนามแข่งที่ดีที่สุด

รถคันนี้เป็นตัวแทนของความทุ่มเทในรถยนต์พลังงานไฟฟ้าของนิสสันและเป็นส่วนหนึ่งของทีมรถแข่ง Formula E ของค่ายอย่างทีม Nissan E DAMS เพราะรถต้นแบบของ Leaf Nismo RC มาพร้อมชุดแข่งแบบเดียวกันกับรถแข่งของทีมเสมอ ล่าสุดคือชุดแข่งสีแดง-ดำลวดลายกิโมโนแบบเดียวกันกับรถแข่งประจำปี 2020

ไม่เพียงแค่งานดีไซน์ แต่พลังของ Nissan Leaf Nismo RC ก็พัฒนาดีขึ้นจากรุ่นแรก ด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าที่ให้พลัง 322 แรงม้าและแรงบิดที่ 640 นิวตันเมตร ทำให้มีอัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรในเวลาเพียง 3.4 วินาทีที่ขับเคลื่อนแบบ AWD

ตัวรถติดตั้งเทคโนโลยี ProPILOT และคงโหมด e-Pedal ฟังก์ชันมาตรฐานที่มีใน Nissan Leaf (ZE1) ไว้ โดยผู้บริหารของนิสสันบอกเพิ่มเติมว่า E จากค่าว่า EV ของเราคือ Exciting หมายถึงยนตรกรรมไฟฟ้าจากนิสสันในอนาคตไม่เพียงจะมอบรถยนต์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม แต่รถของพวกเขาจะยังขับขี่ด้วยความสนุกและตื่นเต้นเหมือนเคย

Nismo

SOURCE : 1

‘LEICA M10 MONOCHROM’กล้องถ่ายภาพขาวดำ เซนเซอร์ 40 ล้านพิกเซลที่เก็บได้ทุกรายละเอียด

$
0
0

Leica แบรนด์กล้องสัญชาติเยอรมันที่โด่งดังระดับโลก เพิ่งเปิดตัว ‘Leica M10 Monochrom’ กล้อง Rangefinder ตัวใหม่ที่นำโมเดลกล้องรุ่นยอดนิยมอย่าง Leica M10-P มาเสริมประสิทธิภาพการทำงานให้เทพกว่าเดิม เฉือนตัวเครื่องให้บางเฉียบกว่าเก่า เพิ่มการเชื่อมต่อแบบไร้สาย และที่สำคัญมาพร้อมเซนเซอร์ขาวดำ 40 ล้านพิกเซล

us.leica-camera.co

Leica M10 Monochrom ตัวนี้ดีไซน์บอดี้ให้เป็นสีดำเทาล้วน ลบโลโก้สีแดงที่เป็นสัญลักษณ์ของแบรนด์ Leica ออกไป ขณะที่ใช้การแกะสลักและพื้นผิวสีดำเรียบหรูเข้ามาแทนที่ เพื่อสะท้อนเอกลักษณ์ของกล้องขาวดำแห่งยุคแอนะล็อก

ไม่เพียงงานดีไซน์กล้องที่เปลี่ยนไป แต่สเปกก็ถูกอัปเกรดให้ทรงประสิทธิภาพกว่าเดิม Leica M10 Monochrom ใช้เซนเซอร์ฟูลเฟรม 40 ล้านพิกเซลที่พัฒนาขึ้นใหม่ เหมาะสำหรับการถ่ายภาพขาวดำโดยเฉพาะ ช่วยให้ภาพดูคมชัด เป็นธรรมชาติ และเก็บทุกรายละเอียดยิบย่อยได้อย่างน่าทึ่ง

นอกจากวงแหวนตั้งค่าความเร็วชัตเตอร์และวงแหวนตั้งค่า ISO จะถูกเปลี่ยนให้เป็นสีเทาดำ ช่วงความไวแสงก็ปรับใหม่ให้อยู่ที่ ISO 160-100,000 ทำให้บันทึกภาพด้วยช่วงไดนามิกที่กว้างขึ้นได้

สร้างเสถียรภาพให้กล้องทำงานได้ดีในสภาพแสงน้อย แม้จะถ่ายภาพในสภาวะที่มีคอนทราสต์ไม่สม่ำเสมอกัน แต่ภาพก็ยังคงมีพื้นที่ให้เงาและแสงสว่างตัดกันอย่างชัดเจน

กล้องยังติดตั้งหน้าจอสัมผัส LCD ขนาด 3 นิ้วไว้ด้านหลัง ช่วยแสดงผลภาพถ่ายได้อย่างจุใจ มีบัฟเฟอร์หน่วยความจำ 2GB และเป็นถือกล้อง Monochrom ตัวแรกที่สามารถแบ่งปันภาพถ่ายโดยตรงไปยังโทรศัพท์ผ่านระบบ Wi-Fi ในตัว

แน่นอนว่ากล้องรุ่นนี้ถูกสร้างขึ้นมาด้วยมือเหมือนกับรุ่นอื่น ๆ ของ Leica ทั้งยังผลิตจากผู้เชี่ยวชาญ ใช้วัสดุคุณภาพสูงและวิธีการทางวิศวกรรมแสนประณีต ตัวกล้องจึงแข็งแกร่งทนทานและทำงานภายใต้สภาพอากาศที่ไม่เป็นใจได้ดี

แถม Leica M10 Monochrom ยังปรับเสียงชัตเตอร์เงียบที่สุด ช่วยให้ถ่ายภาพสตรีตหรือภาพแนวอื่น ๆ ได้อย่างเป็นธรรมชาติโดยไม่มีเสียงชัตเตอร์มาคอยกวนสมาธิ

us.leica-camera.co

 

ด้วยโทนสี รูปลักษณ์ และระบบชัตเตอร์ที่แทบไม่มีเสียงของ ‘Leica M10 Monochrom’ ทำให้กล้องรุ่นนี้เหมาะสำหรับหนุ่มช่างภาพสายสตรีตเป็นที่สุด เพราะคุณสามารถเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของฝูงชนและจับภาพผู้คนได้อย่างเป็นธรรมชาติ แถมเซนเซอร์ 40 ล้านพิกเซลตัวใหม่ ก็ช่วยยกระดับคุณภาพของภาพถ่ายสีขาวดำและแสดงผลทุกรายละเอียดบนภาพได้อย่างยอดเยี่ยมไร้ที่ติ

‘Leica M10 Monochrom’ จะวางจำหน่ายในราคา 294,400 บาท ที่ Leica Store หรือตัวแทนจำหน่ายทั่วประเทศ บอกเลยว่า 294,400 บาท ถือว่ามีราคาสูงตามแบบฉบับ Leica แต่ถ้าเทียบกับสเปก ประสิทธิภาพการทำงาน หรือวัสดุทำมือเกรดคุณภาพ บางทีนี่อาจเป็นอีกการลงทุนที่คุ้มค่าไม่น้อย

 

COVER SOURCE , SOURCES: 123

‘WHIDBEY FARM’บ้านสงบบนเนินเขา ส่วนผสมที่ลงตัวระหว่างธรรมชาติกับงานสถาปัตยกรรม

$
0
0

‘Whidbey Farm’ เป็นผลงานการออกแบบบ้านของ MW Works สตูดิโอออกแบบในซีแอตเทิล ที่เนรมิตฟาร์มเก่าแก่อายุร่วม 100 ปี ให้กลายเป็นบ้านแสนสงบบนเนินเขา มองเห็นทัศนียภาพของทุ่งหญ้า บ่อน้ำ และป่าไม้ได้เต็มสองตา

บ้านหลังนี้ตั้งอยู่ที่ Whidbey Island ทางตอนเหนือของ Seattle ในรัฐ Washington เดิมทีเป็นฟาร์มที่มีต้นไม้ บ่อตกปลา และโรงนาอายุเก่าแก่หลายช่วงอายุคน ก่อนที่สตูดิโอ MW Works จะเข้ามาสร้างสถานที่พักผ่อนสุดพิเศษ เปลี่ยนฟาร์มเป็นบ้านที่ยืดหยุ่น ทนทาน และรองรับผู้พักอาศัยได้สูงสุด 20 คน (ตามโจทย์ของเจ้าของบ้าน)

mwworks.com

พื้นที่ 4,420 ตารางฟุต ถูกตอกเสาเข็มสร้างเป็นบ้านพักตากอากาศที่รองรับครอบครัวขนาดใหญ่ นอกจากต้องมีพื้นที่ให้คนทุกช่วงวัยทำกิจกรรมร่วมกันได้แล้ว ยังต้องเชื่อมความสัมพันธ์ของคนในครอบครัวให้เป็นหนึ่งเดียวอีกด้วย

ทีมสถาปนิกจึงสร้างบ้านบริเวณใจกลางลานที่ล้อมรอบไปด้วยต้นไม้หลากชนิด ตั้งแต่ต้นซีดาร์และต้นเฟอร์สูงใหญ่ ไปจนถึงต้นหญ้าและเฟิร์นที่มีขนาดเล็กลงมา ซึ่งลานกลางบ้านนี้จะกลายเป็นพื้นที่ที่เชื่อมโยงคนในครอบครัวเข้าด้วยกัน ผ่านทางเดินไม้ที่เชื่อมต่อไปยังส่วนอื่น ๆ ของบ้าน

นอกจากผนังกระจกทรงสูงที่เปิดรับภูมิทัศน์ด้านนอก ตัวบ้านยังใช้ผนังไม้ซีดาร์สีแดงแบบตะวันตกช่วยสร้างความรู้สึกมิดชิดและเป็นส่วนตัวให้คนในบ้าน แถมผนังบางส่วนก็สร้างจากกำแพงหินที่วางเรียงซ้อนกัน ทำให้บ้านดูกลมกลืนกับธรรมชาติโดยรอบมากยิ่งขึ้น

บริเวณลานมีกำแพงเตี้ย ๆ ที่ทำจากหินบะซอลต์ในท้องถิ่น ช่วยแบ่งขอบเขต และทำหน้าที่เหมือนรั้วบ้านขนาดย่อมที่ไม่ทำให้บ้านดูอึดอัดทึบตัน หากดูเปิดโล่งปลอดโปร่ง

mwworks.com

mwworks.com

แม้ภายนอกจะแต่งด้วยคอนกรีต กำแพงหิน เหล็กสีดำ และโทนสีเกรย์สเกลที่ดูเท่และเคร่งขรึม แต่ภายในบ้านกลับตกแต่งด้วยสีเอิร์ธโทนทั้งผนังปูนสีครีม เพดานไม้ และเตาผิงหิน ที่ล้วนทำให้บ้านหลังนี้ดูอบอุ่นน่าอาศัย

นอกจากห้องนอนมากมายที่อยู่ตามส่วนต่าง ๆ ของบ้าน ทีมสถาปนิกยังสร้างห้องนอนสองห้องไว้ที่ชั้นใต้ดิน พร้อมกับห้องซักรีดและห้องเก็บไวน์ ส่วนทางทิศใต้ของบ้านสร้างเป็นห้องครัวตั้งอยู่ตรงกลาง ขนาบข้างด้วยพื้นที่รับประทานอาหารและห้องนั่งเล่น ซึ่งห้องนั่งเล่นจะเชื่อมต่อกับระเบียงขนาดใหญ่โดยตรงและเปิดรับทิวทัศน์ด้านนอกอย่างใกล้ชิด

mwworks.com

‘Whidbey Farm’ เป็นบ้านที่ภายนอกดูเท่ มีสไตล์ และร่วมสมัย แต่ภายในบ้านกลับดูอบอุ่น เรียบง่าย และเหมาะจะเป็นพื้นที่ที่ครอบครัวขนาดใหญ่อาศัยร่วมกัน ห้องพักแต่ละห้องที่เชื่อมต่อกับแสงแดด สายลม และธรรมชาติโดยตรงยังช่วยลดความต้องการใช้เครื่องปรับอากาศ

แถมตัวบ้านที่สร้างจากวัสดุธรรมชาติในท้องถิ่น ยังช่วยยืดอายุการใช้งานให้นานขึ้น และช่วยให้ผู้พักอาศัยไม่ต้องจ่ายค่าซ่อมแซมบำรุงในราคาสูงอีกด้วย

 

Photography is by Kevin Scott.

 

COVER SOURCE , SOURCES: 12

OFF-WHITE “BANGKOK” คอลเลกชันพิเศษที่ออกแบบมาเพื่อมหานครของประเทศไทย

$
0
0

Off-White ถือว่าเป็นแบรนด์สตรีตแฟชั่นสัญชาติอเมริกาที่คนไทยรู้จักและคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี แถมชาว UNLOCKMEN ที่กำลังอ่านคอนเทนต์อยู่ตอนนี้หลายคนก็เคยไปยืนต่อแถวเข้าคิวเพื่อซื้อคอลเลกชันใหม่เมื่อ Off-White เปิดสาขาในประเทศไทยครั้งแรกกันมาแล้ว และตอนนี้แบรนด์ที่อยู่กึ่งกลางระหว่างแฟชั่นไฮเอนด์กับแฟชั่นสตรีตก็เตรียมปล่อยหมัดเด็ดใส่ชาวไทยด้วยคอลเลกชันที่มีชื่อว่า “Bangkok” 

การหยิบเรื่องราวของเมืองหลวงอย่าง ‘กรุงเทพมหานคร’ มาเล่าเรื่องผ่านแฟชั่นของ Off-White เคยเกิดขึ้นมาก่อนหน้านี้เมื่อปี 2018 ทางแบรนด์ได้นำเอาลายเส้นจราจร รั้วกั้นสีเหลืองบนถนน ป้ายเตือนที่ตั้งอยู่ตามสี่แยก และแท็กซี่สีเขียว-เหลือง อันเป็นเอกลักษณ์ที่พบได้เฉพาะกรุงเทพมาปรับเข้ากับไอเทมแฟชั่นมาแล้ว 

สำหรับปี 2020 แบรนด์สตรีตก็ยังเอาใจสาวกชาวไทยอย่างต่อเนื่องด้วยการนำแรงบันดาลใจจากเมืองหลวงของไทยมาปรับใหม่อีกครั้ง แต่ครั้งนี้จะเน้นเรื่องราวของกรุงเทพฯ ที่ปรับเข้ากับความโมเดิร์นของแบรนด์ และแสดงออกมาบนเครื่องแต่งกายสไตล์สตรีตแบบ Unisex โดยเลือกใช้สีเทา สีกรมท่า ประกอบเข้ากับลายพิมพ์สีส้มนีออนสะท้อนแสงที่ซ่อนอยู่ตามไอเทมต่าง ๆ 

ไอเทมบางชิ้นจากคอลเลกชัน Bangkok ประจำปี 2020 ประกอบด้วยเสื้อยืด เสื้อเชิ้ตสไตล์ workwear ที่ประยุกต์มาจากแฟชั่นสุดคลาสสิกช่วงยุคอุตสาหกรรม ฮู้ดแขนยาว กางเกงขาสั้นเข้าเซต กางเกงคาร์โก และกางเกงยีนส์เข้ารูปแบบเป้าต่ำสไตล์หนุ่มฮิปฮอป แถมซิปกางเกงยังซ่อนลูกเล่นเล็ก ๆ อย่างหัวซิปรูปคลิปหนีบกระดาษสีส้มนีออน ส่วนการสร้างสรรค์ลวดลาย Off-White เลือกใช้เทคนิคการมัดย้อมด้วยสีคุณภาพสูง เพราะการสร้างสีสันบนเครื่องแต่งกายด้วยการมัดย้อมช่วยสร้างเอกลักษณ์ให้ลวดลายบนผืนผ้าแตกต่างกัน

นอกจากนี้เครื่องแต่งกายทุกชิ้นของ Off-White “Bangkok” ยังมาพร้อมกับสัญลักษณ์คุ้นตาของแบรนด์อย่างลายพิมพ์ลูกศร (arrow) และลายทางแบบเฉียง (Diag Stripes) ที่เห็นกันบ่อย ๆ จนกลายเป็นเอกลักษณ์ของ Off-White ไปเสียแล้ว 

ส่วนไอเทมเสริมนอกจากเสื้อและกางเกงของคอลเลกชันนี้ก็ยังจัดเต็มมาให้เลือกหลายชิ้นด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นหมวกทรงบักเก็ต กระเป๋าผ้าไนลอนสีดำ กระเป๋าสะพายข้าง (ไอเทมเสริมที่คาดว่ามาแรงในปีนี้) ทำจากผ้าการ์เบอร์ดีนลายมัดย้อมเข้ากับไอเทมหลัก เพื่อเสริมให้การแต่งตัวของสุภาพบุรุษสายสตรีตสมบูรณ์แบบมากขึ้น 

สีสันทับซ้อนกันและลวดลายมากมายที่อยู่บนไอเทมแฟชั่นของคอลเลกชัน Off-White “Bangkok” ตีความขึ้นมาจากความวุ่นวายที่ต้องพบเจอในเมืองใหญ่อย่างเลี่ยงไม่ได้ แต่ความวุ่นวายที่ทำให้ใคร ๆ เหนื่อยล้าก็ยังมีสีสันและความสวยงามซ่อนอยู่ 

สำหรับหนุ่ม ๆ คนไหนที่สนใจคอลเลกชันพิเศษที่มีจำหน่ายแค่ในประเทศไทยเท่านั้น สามารถไปเลือกไอเทมชิ้นที่ใช่และไม่ได้มีบ่อย ๆ กันได้ตั้งแต่วันที่ 23 มกราคม 2020 ณ ร้าน Off-White สาขาสยามพารากอนครับผม 

ผิดกฎบริษัทไหม? คิดยังไงเมื่อ APPLE ฟ้องอดีตพนักงานเพราะวางแผนไปทำธุรกิจเองตอนยังอยู่

$
0
0

เรื่องฟ้องระหว่างพนักงานกับนายจ้าง ปกตินายจ้างเองไม่ค่อยจะฟ้องกัน ขณะที่พนักงานเองถ้าฝั่งบริษัทผิดต่อตัวเองแต่อะลุ่มอล่วยได้ก็จะนิ่งเฉย เพราะรู้สึกว่าฟ้องไปก็ไม่ค่อยมีประโยชน์ ฟ้องไปก็เสียเวลา เสียเงิน จนไม่คุ้มจะลงมือ

แต่บางครั้งการฟ้องมันก็มีความหมายมากกว่าเรื่องการฟ้องร้องเอาค่าเสียหาย เพราะมันคือการฟ้องเพื่อขีดเส้นบอกว่า “ข้อกำหนดที่พูดมาน่ะของจริง” เช่นเดียวกับข่าวตอนนี้ที่ Apple กำลังฟ้องอดีตพนักงาน Gerard Williams ที่ลาออกมาเดือนกุมภาพันธ์ ปี 2019 ออกมาเปิดบริษัท Nuvia บริษัทสตาร์ตอัปชิปเซิร์ฟเวอร์น้องใหม่สำหรับใช้ในศูนย์ข้อมูลไปเรียบร้อย

Gerard William ชายผู้มีชื่ออยู่ในสิทธิบัตรหลายใบของ Apple

จริง ๆ ถ้าเป็นคนตัวเล็กธรรมดา คิดจะมาเก็บเกี่ยวประสบการณ์แล้วไปอาจจะไม่เท่าไหร่ แต่ Gerard Williams ถือเป็นคนสำคัญด้านการพัฒนา Chipset ที่ทำโพรเซสเซอร์ที่ใช้ใน iPhone และ iPads เขาผลิตชิปเซตโปรดักส์ของ Apple หลายตัว ตั้งแต่ Apple A7 ชิป 64-bit ตัวแรก จนกระทั่ง Apple A12X ทรัพย์สินทางปัญญาหลายชิ้นมีชื่อของเขาอยู่ในสิทธิบัตรการพัฒนาของ Apple ด้วย (CPU / GPU)

Gerard เข้ามาแทน Manu Gulati วิศวกรดาวรุ่งของ Apple ที่โดน Google ซื้อตัวไป เขาทำงานมานาน 9 ปี เราเชื่อว่าช่วงที่ฝั่ง Apple เสีย Gulati ไป Apple คงจะเจ็บใจไม่น้อยที่อดีตพนักงานย้ายไปอยู่บริษัทคู่แข่ง แต่การซื้อตัวเป็นวัฏจักรฝั่ง Tech รวมทั้งหากใครสักคนคิดว่าตัวเองเก็บสะสมเงินมามากพอแล้วจะออกไปสร้างบริษัทของตัวเองก็ไม่น่าจะเสียหายอะไร แต่ก็ไม่ใช่กับเคสนี้

ปมกระตุกหนวด Apple

ตามข้อมูลที่หลายสื่อออกมาเผยแพร่ Apple อ้างว่า Gerard ละเมิดบริษัทเพราะยุยงให้พนักงานคนอื่นลาออกไปร่วมกับตัวเอง ซึ่งมันเป็นหนึ่งในข้อกำหนดของบริษัทที่ระบุไว้ว่า

“หากพนักงาน Apple ผู้ใดผู้หนึ่งพูดหรือส่งข้อความไปถึงพนักงานผู้อื่นโดยแสดงความเห็นใดที่สัมพันธ์กับกลยุทธ์และการตัดสินใจของ Apple ให้ถือเป็นการกระทำที่มีเจตนาชักชวน และเป็นการกระทำผิดกฎหมาย”

ส่วนข้อเท็จจริงว่า Nuvia กวาดคนไปได้มากน้อยแค่ไหน เรื่องนี้เราไม่ตัดสินว่าจริงหรือบังเอิญ แต่ก็มีอดีตผู้บริหารระดับสูงหลายคนเข้าไปเป็นหุ้นส่วน เช่น John Bruno ที่ดูแพลตฟอร์มด้านสถาปัตย์ฯ และ Manu Gulati หัวหอกที่เคยทำงานมาก่อน Gerard แล้วโดน Google ซื้อตัวไป เฉพาะแค่ 3 คนน้ีก็เป็นเจ้าของสิทธิบัตรเกี่ยวกับการออกแบบระบบชิปและวิศวกรรมรวม ๆ กันกว่า 100 ชิ้นแล้ว

นอกจากนี้ยังเพิ่มประเด็นเรื่องการทำธุรกิจแข่งขันกับ Apple ที่ระบุไว้ในกฎการจ้างงานด้วย (หลายคนคงรู้กันดีว่าข้อนี้กฎพื้นฐานในสัญญามักว่าด้วยการ “ห้าม” ประกอบธุรกิจ สร้างผลิตภัณฑ์และทำกิจกรรมใดที่เป็นการแข่งขันกับธุรกิจของบริษัท

แต่ด้วยประเด็นเดียวกันนี้ Gerard เองก็ฟ้องกลับโดยอ้างเหตุผลเรื่องที่ Apple บุกรุกความเป็นส่วนตัวของเขา ด้วยการเข้าไปอ่านข้อความที่ Gerard พูดคุยกับคนอื่น ซึ่งหนึ่งในข้อความที่สนทนาเป็นข้อความที่ Gerard กล่าวว่าเดี๋ยว Apple ก็ต้องโดนมัดมือชกให้ซื้อ Nuvia ถ้ามันประสบความสำเร็จ (แน่นอนแหละ ก็ในเมื่อตอนนี้เขาเป็นคนพัฒนา Chipset แต่วันนี้ย้ายไปเปิดเอง Apple ก็ต้องไปง้อ หรือเปล่านะ?)

Growth VS Betrayal

คุณจะโกรธไหม ถ้าพนักงานที่เคยทำงานให้คุณ วันหนึ่งเขาเอาองค์ความรู้ที่ติดตัวมา หรือคอนเนกชั่นที่มีไปพัฒนาต่อ กระทั่งเรื่องที่เขาดึงคนออกไปจากคุณได้เพื่อสร้างธุรกิจของตัวเอง

ความจริงเรื่องนี้ถึงจะรู้สึกว่าเป็นการแทงข้างหลัง แต่มันช่วยไม่ได้ เพราะข้อห้ามพนักงานเตรียมตัวออกไปสร้างธุรกิจใหม่ระหว่างที่ยังเป็นพนักงานมันก็ค่อนข้างไร้สาระ หรือถ้าคิดว่ามีสาระมากพอ นั่นอาจจะแปลว่าเราทุกคนต้องรับข้อตกลง ยินยอมให้เกษียณก่อนถึงออกไปเปิดบริษัทเพื่อทำงานที่ตัวถนัดได้?

เว้นเสียแต่ว่าถ้า Gerard แอบเอาผลงานวิจัยที่เตรียม launch กับ Apple ออกไปเปิดตัวบริษัทใหม่ หรือเอาข้อมูลไปขายให้คู่แข่ง เรื่องนี้คงมีมูลพอให้ดำเนินคดี แต่เมื่อเขาไม่ได้ทำเช่นนั้น เพราะตัวเขาเองก็มีของ สามารถสร้างใหม่เองได้ เป็นสตาร์ตอัปจากความรู้ของตัวเองต่อให้มันจะทับไลน์อุตสาหกรรมเดียวกันก็ตาม เรื่องนี้จึงมีบทสรุปล่าสุดว่าคดี Apple ฟ้องพนักงานเรื่องทำผิดกฎนั้นศาล “ยกฟ้อง” ไปในที่สุด

ส่วนเรื่องที่ Gerard ฟ้องว่า Apple แอบอ่านข้อความก็ตกไปเหมือนกัน เพราะศาลระบุว่าไม่มีหลักฐานไหนที่ยืนยันได้ว่า Apple แอบฟังหรือแอบอ่านข้อความ

แล้วสำหรับคุณล่ะ ถ้าพนักงานเก่ง ๆ ลาออกไปเปิดบริษัทรับงานแข่งกับตัวเองจะทำอย่างไร ?

 

SOURCE: 1 / 2 / 3 / 4 

“CBGB”ตำนานคลับพังก์แห่งอเมริกันชน ก่อเกิดประวัติศาสตร์ครั้งสำคัญของดนตรี NEW WAVE

$
0
0

ย้อนเวลาไปปี ค.ศ. 1969 ก่อนที่ชาวอเมริกันจะรู้จักกับคำว่าพังก์และคลื่นวิทยุต่าง ๆ ยังเปิดแต่เพลงบลูส์ร็อกไปทั่วบ้านทั่วเมือง ชายคนหนึ่งนามว่า Hilly Kristal ได้เช่าพื้นที่ด้านล่างโรงแรมราคาถูกในซอกหลืบหนึ่งของ Manhattan (ซึ่งเป็น Flophouse ลักษณะคล้าย Hostel ที่ต้องนอนรวมกัน แต่ไม่มีอุปกรณ์อำนวยความสะดวกใด ๆ แถมเก็บค่าที่พักเพียง $6 ดอลลาร์ต่อเดือน) เปิดบาร์เล็ก ๆ ของตัวเองที่ชื่อว่า Hilly’s On The Bowery ณ บ้านเลขที่ 315 ถนน Bowery ด้วยจุดมุ่งหมายว่าจะให้ร้านแห่งนี้เป็น Biker Bar สำหรับสิงห์นักบิด และเป็นบาร์ท้องถิ่นเล็ก ๆ ที่เป็นดั่งมิตรสหายของผู้คนในย่าน

แต่ด้วยความรักที่เขามีต่อเสียงเพลงและเล็งเห็นลู่ทางบางอย่างที่จะทำให้ขยับขยายธุรกิจของตัวเอง ในปี 1973 Hilly จึงตัดสินใจเปลี่ยนโฉมคลับเดิมของเขา อีกทั้งยังเปลี่ยนชื่อจาก Hilly’s On The Bowery เป็น CBGB ซึ่งย่อมาจาก Country, Bluegrass and Blues Music โดยครั้งนี้เขาต้องการจะให้ความสำคัญกับแนวดนตรีที่เปิดในคลับมากขึ้น (เพลงคันทรีและบลูส์ร็อก) รวมถึงจัดสรรพื้นที่ให้ผู้คนได้แวะเวียนกันเข้ามาอ่านบทกวีของตัวเอง จนโชคชะตานำพาให้เขาพบกับชายสองคนนามว่า Bill Page และ Rusty McKenna ที่ขันอาสามาเป็นทีมงานเสาะหาวงดนตรีมาลงเล่นที่บาร์นี้ พวกเขาโน้มน้าวจน Hilly คล้อยตาม ในที่สุด ใครจะไปคิดว่าการดีลกันในครั้งนั้นคือจุดกำเนิดครั้งยิ่งใหญ่ในประวัติศาสตร์ทางดนตรีของอเมริกา

ภาพถ่าย Hilly Kristal ปี 2004 credit: https://www.flickr.com/photos/nycdreamin/3328375914

ในขณะที่ CBGB เพิ่งจะถือกำเนิดขึ้นอย่างเป็นทางการ ก็ประจวบเหมาะกับตอนที่ ศูนย์ศิลปะ Mercury ปิดตัวลงพอดี วงดนตรีมากมายที่เล่นประจำอยู่ที่นั่นจึงถูกลอยแพ รวมถึงวงดนตรีไร้สังกัดหน้าใหม่ ๆ ก็ไร้พื้นที่โปรโมตตัวเอง ตัว Hilly ผู้เชื่อมั่นในความสามารถของศิลปินเหล่านั้น อีกทั้งยังเล็งเห็นว่าเป็นโอกาสดีของคลับที่จะได้ทำอะไรใหม่ ๆ นอกกรอบอีกด้วย ศิลปินที่เคยเล่นที่ Mercury อย่าง The Fast, Wayne County หรือ Suicide ล้วนแล้วแต่ต้องแยกย้ายมาเล่นที่ CBGB แทนในภายหลัง

กำเนิด CBGB & OMFG

เมื่อแนวทางเริ่มชัดเจน ในตอนนั้นเอง Hilly จึงตัดสินใจเติมชื่อคลับเป็น CBGB & OMFUG อย่างสมบูรณ์ โดยคำว่า OMFUG ย่อมาจาก Other Music for Uplifting Gormandizers ซึ่ง ‘Gormandizers’ ความหมายเดิมของมันสื่อถึงผู้มี ‘ละโมบโลภมาก’ ในการกิน แต่ในที่นี้เขาต้องการจะสื่อถึงผู้ที่ ‘ละโมบโลภมากทางดนตรี’ แทน จัดว่าเป็นไอเดียที่ทั้งชาญฉลาด แถมยังเป็นการเปิดโอกาสให้วงดนตรีแนวใหม่ ๆ ได้ลืมตาอ้าปาก

มีกฎเหล็กสองข้อสำหรับวงที่จะเข้ามาโชว์ใน CBGB ได้แก่ ข้อแรกต้องนำอุปกรณ์ดนตรีมาเอง และข้อที่สองคือต้องเล่นเพลงออริจินัลของตัวเองเท่านั้น! ตรงนี้แหละครับที่เป็นจุดแข็ง แถมยังเข้าทางวงดนตรีไร้สังกัดหน้าใหม่ ๆ ได้ใช้พื้นที่ตรงนี้ปล่อยของอย่างเต็มที่ และในเดือนกุมภาพันธ์ปี 1974 Hilly ได้จ้างวงร็อกท้องถิ่นชื่อ Squeeze มาเล่นประจำที่ร้านเฉพาะวันอังคารและวันพุธ จากร้านที่มีหัวใจหลักเป็นเพลงบลูส์ จึงเริ่มเปลี่ยนมาเป็นเพลงร็อกเต็มตัวนับตั้งแต่ตอนนั้น

วง Television credit: https://classicalbumsundays.com/

หลังจากนั้นผ่านไปแค่เดือนเดียว Terry Ork ผู้จัดการวง Television ได้ขอให้วงมาเปิดการแสดงใน CBGB บ้าง (ตรงส่วนนี้เราไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะคิวในร้านมันเต็ม หรือเพราะพวกเขายังเป็นวงหน้าใหม่ที่ไม่มีใครรู้จัก) Hilly จึงตอบแบบติดตลกไปว่า ‘ถ้าอยากเล่นก็ทำเวทีเล็ก ๆ ขึ้นมาเองละกัน’ ปรากฏว่าพวกเขาทำมันขึ้นมาจริง ๆ! เวทีที่พวกเขาสร้างในวันนั้นจึงนับว่าเป็นเวทีแรกอย่างเป็นทางการของ CBGB นั่นเอง

วง Television แสดงในรายการ La Edad de Oro ปี 1985

หลังจากที่ Television มีโอกาสได้เข้ามาแสดงใน CBGB ความหัวขบถของพวกเขาที่กล้าหยิบจับเพลงฟังก์มาผสมผสานเข้ากับร็อก ซึ่งไอ้การกระทำแปลกแหวกแนวแบบนี้มันโคตรจะพังก์ตั้งแต่ยังไม่มีคำว่าพังก์ด้วยซ้ำ แถมยังไปจุดประกายให้วัยรุ่นเฮี้ยวซ่าในยุคนั้นหลาย ๆ คน อย่างเช่น Patti Smith และ Lenny Kate ให้กลายมาเป็นหนึ่งในศิลปินแถวหน้าที่ได้ขึ้นโชว์ใน CBGBในเวลาต่อมา แต่หนึ่งในวงสำคัญที่ไม่พูดถึงไม่ได้ก็คือ Ramones นั่นเอง

PUNK

สิงหาคม ปี 1974 เป็นครั้งแรกที่ Ramones ได้มาเปิดการแสดงที่ CBGB Legs Mcneil หนึ่งในผู้ก่อตั้ง Punk Magazine ได้บรรยายความทรงพลังในการแสดงครั้งนั้นเอาไว้ว่า “สมาชิกทุกคนสวมชุดหนังสีดำ แหกปากตะโกนตอนเริ่มเพลง แล้วก็เต็มไปด้วยเสียงอึกกะทึกครึกโครม พวกเขาโดดเด่นไม่เหมือนใคร ไม่ใช่ฮิปปี้ แต่เป็นบางสิ่งบางอย่างที่แปลกใหม่อย่างหมดจด”

credit: https://www.cbgb.com

หลังจากการแสดงอันลือเลื่องใน CBGB วันนั้น ชื่อเสียงของ Ramones ก็เริ่มขยายออกไปในวงกว้าง แนวเพลงและวิถีคิดหัวขบถแบบพวกเขาได้แพร่กระจายอย่างรวดเร็วในอเมริกา จนถูกประทับในหน้าประวัติศาสตร์โลกว่าเป็น ‘วงพังก์ร็อกวงแรกของโลก’ ต่อให้มีคนขุดขึ้นมาว่ามีคนทำอะไรลักษณะนี้มาก่อน พวกเขาก็ยังถูกนับว่าเป็นวงแรกที่ทำให้วัฒนธรรมนี้ก่อตัวขึ้นมาเป็นรูปเป็นร่าง รวมตัวพังก์ให้เป็นปึกแผ่นขึ้นมาจริง ๆ ในอเมริกาอยู่ดี เพราะวงดนตรีอังกฤษดัง ๆ อย่าง Sex Pistols และ The Clash ล้วนได้รับอิทธิพลจากพวกเขามาเช่นกัน

หลังจากนั้นเป็นต้นมา วงดนตรีอีกมากมายแวะเวียนมาเปิดการแสดงที่ CBGB ไม่ว่าจะเป็น The Fleshtones, Mink DeVille, The Shirt หรือวงดังอย่าง Talking Heads, The Pretenders และ Iggy Pop

ต่อมาในปี 1977  The Damned กลายเป็นวงพังก์อังกฤษวงแรกที่บินข้ามน้ำข้ามทะเลมาเปิดการแสดงที่นี่ ก่อนจะตามมาด้วยวงร็อกอังกฤษชื่อดังอย่าง The Police ที่เลือกเข้ามาเปิดการแสดงในอเมริกาที่นี่เป็นที่แรก

NEW WAVE

New Wave (นิวเวฟ) คือแนวดนตรีที่มีรากฐานมาจากพังก์ แต่ถูกนำมาพัฒนาให้กลายเป็นอีกรูปแบบหนึ่ง แปลว่า “ไม่ว่าจะพังก์หรือนิวเวฟก็ล้วนแล้วแต่เกี่ยวข้องกับการมีอยู่ของ CBGB” เพียงแต่นิวเวฟไม่ใช่เพลงร็อกเสียทีเดียว พวกเขานำดนตรีหลากหลายแนวไม่ว่าจะเป็น ดิสโก้, เร็กเก้, ซาวด์สังเคราะห์อื่น ๆ มาผสม โดยเรียบเรียงออกมาในโครงสร้างที่มีความเป็นป๊อปมากขึ้น ติดหูมากขึ้น ถึงจะฟังง่าย แต่ก็ไม่จำเจเหมือนเพลงป๊อปตลาดในยุคนั้น จนกระทั่งเข้ายุค 80 วงนิวเวฟใหม่ ๆ ส่วนมากก็ไม่ค่อยหลงเหลือความเป็นพังก์แล้วเสียเท่าไหร่

อันที่จริงตอนแรกมันแนวเพลงนี้ก็ถูกนับว่าเป็นพังก์ แต่ Seymour Stein เจ้าของค่าย Sire Records ผู้ซึ่งมีวงดนตรีแนว ๆ นี้อยู่ในค่ายเยอะ กลัวตัวเองจะขายเพลงไม่ได้ หรือเอาภาษาบ้าน ๆ คือกลัวดูไม่แพง เขาบอกว่าไม่ให้เรียกดนตรีแนวนี้ว่าพังก์ จนมีใครสักคนเรียกมันขึ้นมาใหม่ว่า New Wave เป็นอันว่าเข้าใจตรงกันครับ

credit: https://7wallpapers.net/blondie/

วง Blondie เจ้าของเพลงฮิตอย่าง Call Me, The Tide Is Hide และ One Way Or Another ก็เป็นอีกหนึ่งวงที่ถูกนับเป็นนิวเวฟ พวกเขาเดบิวต์อย่างเป็นทางการเมื่อปี 1974 ก่อนจะปล่อยอัลบั้มแรกออกมาในปี 1976 สาเหตุที่พวกเขาถูกหยิบยกขึ้นมาพูดทุกครั้งที่มีคนกล่าวถึง CBGB ไม่ใช่ว่าเพราะเป็นผู้บุกเบิดนตรีนิวเวฟหรอกครับ แต่เป็นเพราะ Blondie เป็นวงที่เล่นประจำอยู่ใน CBGB ก่อนจะประสบความสำเร็จในวงกว้าง จนพาดนตรีจากใต้ดินขึ้นสู่โลกเมนสตรีมอย่างงดงาม เป็นกำลังสำคัญในการผลักดันดนตรี New Wave และคลับ CBGB ให้กลายเป็นที่รู้จักของคนทั่วไป

ในช่วงหลัง ๆ CBGB ก็ไม่ได้จำกัดแนวเพลงอีกต่อไป เริ่มมีวงฮิปฮอปอย่าง Beastie Boys เข้ามา หรือวงสายเฮฟวี่เมทัลอย่าง Guns N’ Roses เองก็เคยมาเปิดการแสดงที่นี่เช่นกันในปี 1987

มีขาขึ้นก็ย่อมมีขาลง ในปี 1990 ความรุนแรงและการทะเลาะเบาะแว้งในคลับเริ่มรุนแรงขึ้น ทั้งภายในและภายนอกบริเวณ ทำให้ Hilly ถูกระงับโชว์แนวฮาร์ดคอร์ทั้งหมด พวกเขาถูกร้องเรียนจากเพื่อนบ้านว่าเสียงดังก่อความรำคาญ คลับก็เงียบเหงาขึ้นทุกวัน จนทำให้วงดนตรีต่าง ๆ เริ่มแวะเวียนมาน้อยลง ในที่สุดก็ถึงจุดที่ไม่มีวงไหนมาเล่นที่นี่อีกต่อไป

credit: https://www.cbgb.com/

พวกเขายื้อยุดร้านเอาไว้ได้ถึงปี 2006 เท่านั้น สัปดาห์สุดท้ายก่อน CBGB จะปิดตัวลงอย่างเป็นทางการ Patti Smith ได้เข้ามาเป็นแกนนำในการจัดคอนเสิร์ต “many of the artists who made CB’s famous” รวบรวมบรรดาศิลปินที่เคยมีชื่อเสียงเพราะ CBGB และวงดนตรีหน้าใหม่ ๆ ที่อยากจะมีส่วนร่วม กลับมาเล่นคอนเสิร์ตที่นี่เพื่ออำลากันเป็นครั้งสุดท้าย อีกทั้งเธอยังใช้เวทีนี้แสดงความเคารพต่อเหล่าศิลปิน CBGB ยุคเก่าที่เสียชีวิตไปแล้วเป็นการปิดตำนานสถานที่แห่งความทรงจำนี้ลงอย่างงดงาม

31 ตุลาคม 2006 CBGB ต่อลมหายใจเฮือกสุดท้ายด้วยการผันไปเป็น CBGB Fashions Store ผ่านไปได้แค่ปีเดียว Hilly Kristal ก็เสียชีวิตลงด้วยโรคมะเร็งปอด แม้ภรรยาเก่าและลูก ๆ ของเขาจะพยายามดิ้นรนเพื่อรักษาร้านเอาไว้ แต่เมื่อค่าเช่าพุ่งสูงเกินจะสู้ไหว พวกเขาจำเป็นต้องปล่อยพื้นที่บริเวณนี้ไปในที่สุด

ปัจจุบัน บ้านเลขที่ 351 ถนน Bowery กลายเป็นร้านเสื้อผ้า The John Varvatos ไปแล้ว หลงเหลือไว้เพียงรอยสลักคำว่า ‘CBGB ’73’ บนพื้นปูนที่หน้าร้าน ที่ยังพอทำให้เราได้จดจำว่าครั้งหนึ่งสถานที่แห่งนี้เคยสำคัญเพียงใด

credit: https://wikipedia.johncave.co.nz/

CBGB อาจไม่มีชื่อเสียงหากขาดศิลปินเหล่านั้น แต่อีกนัยหนึ่งบรรดาศิลปินก็อาจไม่ได้แจ้งเกิดเช่นกันหากไม่มี CBGB ไม่น่าเชื่อนะครับว่าจากสถานที่เล็ก ๆ ใต้โรงแรมราคาถูก จะกลายเป็นเป็นบ่อเกิดประวัติศาสตร์ยิ่งใหญ่มากมายในวงการดนตรี แม้เราจะย้อนเวลาไปกอบกู้ของเก่าไว้ไม่ได้ แต่สิ่งที่พวกเราทำได้ก็คือการสนับสนุนศิลปินรุ่นใหม่ ๆ กันต่อไป เชื่อเถอะครับว่าแฟนเพลงอย่างพวกเราเนี่ยแหละที่จะสามารถหล่อเลี้ยงอาชีพและผลักดันพวกเขาได้ ไม่มากก็น้อย

สำหรับวันนี้ก็ต้องขอตัวกลับไปรำลึกความยิ่งใหญ่ของสถานที่แห่งนี้ ด้วยการฟัง Playlist CBGB ที่ Spotify USA เขาทำไว้สักหน่อย ใครกำลังอินก็สามารถเข้าไปฟังกันเป็นเพื่อนกันได้นะครับ

Source 1 / 2 / 3 / 4 / 5 / 6

 

 

FASHION x FILM: ความเท่อย่างมีสไตล์ของลีโอและแบรดจาก ONCE UPON A TIME IN HOLLYWOOD

$
0
0

เมื่อภาพยนตร์ที่บอกเล่าเรื่องราวของวงการฮอลลีวูดช่วงปี 1969 อย่าง Once Upon A Time In Hollywood (2019) กลายเป็นกระแสที่ถูกพูดถึงอยู่เรื่อย ๆ เริ่มตั้งแต่ช่วงถ่ายทำภาพยนตร์ จนเมื่อหนังฉาย กระทั่งล่วงเลยมาถึงเทศกาลประกาศรางวัลใหญ่ที่ทุกคนรู้จักกันในชื่อ Oscars ประจำปี 2020 ภาพยนตร์ผลงานการกำกับของ เควนติน แทแรนติโน (Quentin Tarantino) ก็ยังคงอยู่ในกระแสสังคมไม่จางหาย

สิ่งที่ UNLOCKMEN สนใจใน Once Upon A Time In Hollywood มีมากมาย ทั้งประเด็นหลักที่นำมาเล่าในเรื่อง นักแสดงโคตรดัง ชื่อเสียงของผู้กำกับ ไปจนถึงเรื่องเพลงประกอบภาพยนตร์ เราสนใจแทบทุกอย่างในหนังเรื่องนี้ รวมไปถึงแฟชั่นคูล ๆ ของสองนักแสดงนำอย่าง ลีโอนาร์โด ดิคาปริโอ (Leonardo DiCaprio) ในบทริค ดาลตัน และแบรด พิตต์ (Brad Pitt) ในบทคลิฟฟ์ บูธ ที่ทำให้เห็นว่า “สไตล์วินเทจ” มันเท่มากจริง ๆ 

 

แฟชั่นสุดชิลที่เข้ากับอากาศเมืองไทย

ถ้าพูดถึงอากาศโคตรร้อนในประเทศไทย คงทำให้หนุ่ม ๆ ที่อยากแต่งตัวตามนักแสดงคนโปรดหรือแต่งตัวตามหนังที่ชอบเกิดอาการท้อไปตาม ๆ กัน เพราะภาพยนตร์ที่เราชอบส่วนใหญ่มาจากฮอลลีวูด พวกเขามีฤดูใบไม้ร่วง ฤดูใบไม้ผลิ และฤดูหนาวแบบหิมะตกที่ประเทศไทยไม่มีวันสัมผัส ทำให้แฟชั่นในภาพยนตร์สามารถแต่งกันได้หลากหลาย

สำหรับเรื่อง Once Upon A Time In Hollywood ไม่ได้ใส่สูท สวมโค้ตยาว หรือใส่เสื้อคอเต่ากันตลอดเวลา แฟชั่นภายในเรื่องเรานำมาแต่งได้ในชีวิตประจำวัน เช่น เสื้อฮาวายสีเหลืองของคลิฟฟ์ที่ใคร ๆ ต่างก็พูดถึง หรือจะเป็นเสื้อยืดสีเหลืองและสีดำที่ทำให้เราแต่งตัวสไตล์วินเทจตามคลิฟฟ์ได้ง่าย ๆ โดยต้องทรมานเพราะความร้อนอีกต่อไป

UNLOCKMEN GUIDE: เสื้อเชิ้ตแขนสั้นสีเหลืองลายต้นปาล์มที่เราเรียกกันว่า ‘เสื้อฮาวาย’ แบบในหนังยังเป็นไอเทมที่มีวางจำหน่ายในราคา 17 ยูโร (572 บาท) บนเว็บไซต์ขายไอเทมแฟชั่นจากหลากแบรนด์ asos.com ถ้าหนุ่มคนไหนอยากได้เสื้อลายเดียวกันกับคลิฟฟ์เป๊ะก็สามารถกดเข้าไปสั่งซื้อได้เลยครับ 

ส่วนเสื้อยืดสีขาวมีข้อความว่า ‘CHAMPION’ ก็มีขายบนเว็บไซต์หลายแห่งมากครับ เพียงแค่เสิร์ชว่า ‘once upon a time in hollywood champion shirt’ เว็บที่มีเสื้อตัวนี้ก็จะเด้งขึ้นมาให้เราเลือกเยอะมาก หรือถ้าใครไม่อยากตามหาเสื้อเชิ้ตแบบในหนังให้ยุ่งยากจะหยิบเสื้อเชิ้ตที่มีอยู่แล้วมาใส่แทนก็ไม่ผิด

ส่วนเสื้อยืดสีเหลืองสดใสอีกตัวของคลิฟฟ์ก็เหมือนกับเสื้อยืดก่อนหน้านี้ครับ ถ้าใครอยากได้แบบเหมือนก็เสิร์ชว่า ‘Lion Drag Strip yellow T-Shirt’ ได้เลย หรือถ้าบางคนอยากเปลี่ยนลายเสื้อเราก็ขอแนะนำเสื้อยืดแบรนด์บริษัทขนส่งชื่อดัง DHL ก็ไม่แย่

ใครที่ไม่ชอบสวมใส่เสื้อหลายตัว บางคนอาจเลือกหยิบเสื้อฮาวายมาใส่แค่ตัวเดียวได้ แต่ถ้าอยากให้การแต่งตัวดูมีเลเยอร์มากขึ้นการใส่เสื้อยืดข้างในแบบคลิฟฟ์จะดีกว่า (เราไม่ได้หมายความว่าเสื้อฮาวายตัวเดียวไม่ดีนะครับ แค่การใส่เสื้อยืดและเสื้อฮาวายคู่กันก็เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจเพราะเทรนด์กำลังมา)

 

สีน้ำตาลคือตัวแทนของความคลาสสิก

เมื่อพูดถึงสีน้ำตาลในแวดวงแฟชั่น มุมมองของสีนี้มักถูกโยงกับความคลาสสิก เรียบง่าย ใส่ได้ทุกโอกาส เป็นไอเทมที่คนส่วนใหญ่เลือกซื้อเพื่อแมตช์กับไอเทมอื่น ๆ ได้ง่าย แถมเฉดสีน้ำตาลตั้งแต่เข้มจัดไปจนอ่อนแบบสีครีมไม่ว่าใครก็ใส่ได้ทั้งนั้น 

ไอเทมแฟชั่นสีน้ำตาลถูกซ่อนอยู่ใน Once Upon A Time In Hollywood เกือบตลอดทั้งเรื่อง เราจะเห็นพระเอกของเรื่องอย่างริคสวมเสื้อหนังเงาวับสีน้ำตาลทับเสื้อยืดสีน้ำตาลต่างเฉด เมื่อเขาต้องสวมบทเป็นคาวบอยตัวร้ายก็ขนสีน้ำตาลแบบจัดเต็มตั้งแต่หัวจรดเท้า รวมถึงยังมีฉากที่เขาใส่ Blazer แบบยาวสีน้ำตาลอีกด้วย 

นอกจากริค ตัวละครอื่น ๆ ในเรื่องก็สวมใส่ไอเทมสีน้ำตาลเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นฆาตกรโหดผู้ก่อตั้งลัทธิ Manson Family อย่าง ชาร์ล แมนสัน (Charles Manson) ก็มีเสื้อนอกสีที่เราพูดถึง และนักแสดงบทคาวบอยมาดเท่ที่เข้าฉากร่วมกับริคก็มาพร้อมกับสูทสีน้ำตาลอ่อน 

แต่ละชุดก็ไม่ธรรมดา เพราะปักป้ายเป็นแบรนด์ไฮเอนด์ทั้ง Gucci, Sanit Laurent, Celine และ Prada แบรนด์เก๋าที่อยู่มานาน เข้มแข็งในอุตสาหกรรมแฟชั่นและเป็นที่รู้จักในวงกว้าง

UNLOCKMEN GUIDE: เริ่มกันที่ Blazer สีน้ำตาลที่ริคใส่ตอนเข้าฉากถ่ายโฆษณากันก่อน เขาสวมใส่ Blazer สีน้ำตาลอ่อนจากแบรนด์ Gucci ราคา 1,765 ยูโร (59,500 บาท) ตามมาด้วยฉากถัดมา กางเกงเข้ารูปสีน้ำตาลเข้มเข้าเรียวขาแข็งแรงก็ราคาไม่ธรรมดา แค่ 920 ยูโร (30,992 บาท) จาก Prada เท่านั้น

เห็นตัวเลขแล้วถ้าใครจ่ายไม่ไหว เราสามารถมองหาแบรนด์ที่ราคาเป็นมิตรกับเราได้จากแบรนด์ไทยอย่าง Jaspal, P.Mith, Boyplain และ Mango Mojito หรือแบรนด์ต่างประเทศที่หาซื้อง่ายจำพวก H&M, Zara, และ Uniqlo เป็นต้น 

นอกจากนี้ไอเทมสีน้ำตาลชิ้นอื่น ๆ ยังมีรองเท้าบูตหนังกลับสีน้ำตาลราคา 855 ยูโร (28,803 บาท) ของ Saint Laurent และเนกไทสีน้ำตาลอ่อนจากแบรนด์สัญชาติอังกฤษอย่าง Burton ไว้เก็บเพิ่มเติมด้วย

 

เดนิมตลอดกาล

มีอยู่หลายฉากที่คลิฟฟ์ บูธ แต่งตัวได้โดดเด่นกว่าพระเอกดาวร่วงขาลงในเรื่องเสียอีก การแต่งกายเซตแรกที่ว่าคือเซตเดนิม เขาใส่เสื้อยืดรัดรูปสีดำไว้ข้างใน จากนั้นสวมทับด้วยเสื้อยีนส์แขนยาวคู่กับกางเกงยีนส์เอวสูง (ย้ำนะครับว่าเอวสูง) คาดเข็มขัดหนังสีน้ำตาลโชว์หัวเข็มขัดวงรีสุดเท่ 

UNLOCKMEN GUIDE: หากหนุ่มคนไหนอยากแต่งตัวสไตล์เซอร์ ๆ แต่คลาสสิกเหมือนอย่างคลิฟฟ์ ก็หยิบเสื้อยีนส์ตัวเก่งออกมาจากตู้เสื้อผ้า รื้อไอเทมเก่า ๆ ที่เคยอยู่ด้านในสุดของตู้เสื้อผ้ามาปัดฝุ่นใหม่ แต่ถ้าใครอยากได้แจ็กเกตยีนส์แบบในหนังเลยก็สามารถซื้อได้ที่ Levi’s ซึ่งตอนนี้วางจำหน่ายในราคา 108 ยูโร (3,640 บาท) 

กางเกงที่เคยตกยุคอย่างกางเกงขากระดิ่ง ถึงเวลาหยิบกลับมาสวมได้อีกครั้ง แต่ถ้าใครไม่ชอบปลายขาบานก็ใส่กางเกงทรงกระบอกแทนได้ครับ อยากแต่งเหมือนได้สไตลิสต์ในเรื่องมาเลือกให้ เราส่องมาแล้วว่าเขาสวม Balenciaga รุ่น Classic front slim fit ราคา 445 ยูโร (15,400 บาท) และกางเกงยีนส์จาก Prada ราคาสูงถึง 735 ยูโร (24,760 บาท)

ส่วนเข็มขัดในเรื่องคือเข็มขัด Gucci ราคา 445 ยูโร หรือราว 15,400 บาท (ราคาเท่ากางเกงยีนส์ของ Balenciaga เลยทีเดียว) ซึ่งถือว่าราคาสูงมากสำหรับใครหลายคน (รวมถึงผมด้วย) หากใครไม่สะดวกจะซื้อเข็มขัดเส้นเดียวกัน ลองมองหาเข็มขัดสีน้ำตาลเข้มลายวินเทจ หรือใช้เข็มขัดเส้นเดิมที่มีอยู่แล้วแทนได้

 

แว่นกันแดดแบบมาตรฐาน

อีกหนึ่งไอเทมแฟชั่นที่เห็นกันบ่อยใน Once Upon A Time In Hollywood คือการสวมแว่นกันแดด เพราะอาณาจักรฮอลลีวูดตั้งอยู่ในนครลอสแอนเจลิส รัฐแคลิฟอร์เนียที่แดดจ้าและอากาศร้อนเป็นส่วนใหญ่ จึงไม่แปลกที่ใคร ๆ ก็จะใส่แว่นกันแดดเดินไปเดินมา ใส่ขับรถ หรือแม้กระทั่งใส่ซ้อมการแสดงก่อนเข้าฉากจริง

UNLOCKMEN GUIDE: เพราะคอนเซ็ปต์ของการแต่งตัวเป็นแบบเดียวกับยุค 1969 แว่นตาที่เลือกจึงต้องเป็นแว่นตาขนาดใหญ่ จะเป็นทรงโค้งมนอย่างแว่นทรงนักบินหรือ Aviator กรอบและขาแว่นแบบสเตนเลสสีทองตามแบบที่ริคและคลิฟฟ์ใส่ก็ได้ หรือถ้าใครเบื่อแว่นทรงมาตรฐานที่ว่าและอยากเพิ่มเอกลักษณ์มากขึ้นเลือกเป็นแว่นทรงสี่เหลื่ยมกรอบพลาสติกขนาดใหญ่อย่างบรูซ ลี ก็สร้างลุคหนุ่มแฟชั่นได้ดีเช่นกัน โดยสีที่ควรใช้คือสีชาสุดคลาสสิกที่เห็นบ่อยในภาพยนตร์เรื่องนี้

ทั้งหมดคือการวิเคราะห์การแต่งกายของตัวละครหลักในภาพยนตร์เรื่อง Once Upon A Time In Hollywood ที่อาจจะไม่ได้ละเอียดครบถ้วนทุกองค์ประกอบนัก แต่เราหวังว่ามันจะช่วยหนุ่ม ๆ ที่กำลังอยากแต่งตัวสไตล์วินเทจทั้งในลุคชิล ๆ ไปจนถึงลุคใส่สูทกึ่งทางการกันได้ เพราะวินเทจคือหนึ่งในประเภทของแฟชั่นที่ UNLOCKMEN หลงรักไม่ต่างจากทุกคน

วัยเด็กเราเคยแซวเพื่อนที่ใส่เสื้อฮาวายมาเดินห้างว่า “ใส่เสื้อฮาวายจะไปทะเลที่ไหน ?” ทั้งที่รู้อยู่แก่ใจว่าเพื่อนจะไม่ได้ไปทะเล หรือเคยร้องยี้กับหมวกคุณปู่ Newsboy เพราะมองยังไงหมวกทรงนี้เชยระเบิด แต่กลายเป็นว่าถัดมาอีกไม่กี่ปีสิ่งที่เราเคยแซวเพื่อนหรือมองว่าเชยดันวกกลับเข้าสู่แฟชั่นกระแสหลักอีกครั้ง เพราะแฟชั่นเป็นวัฏจักรที่วนเป็นวงกลม และการตามกระแสให้ทันหรือรู้เทรนด์ที่สอดแทรกมาในภาพยนตร์เรื่องดังก็ถือเป็นความบันเทิงรูปแบบหนึ่งครับ

 

แฟชั่นจากภาพยนตร์ดังเรื่องอื่นของ UNLOCKMEN:

FASHION x FILM: PEAKY BLINDERS จากแก๊งนักเลงปลายแถวย่านเบอร์มิงแฮมสู่ผู้นำแฟชั่นเมืองผู้ดี

FASHION x FILM: THE MATRIX แฟชั่นจากหนังปี 1999 ความเท่อมตะที่สามารถแต่งได้ในชีวิตจริง 

FASHION x FILM: THE NAKED DIRECTOR ส่องแฟชั่นสุดวินเทจของราชาหนังเอวี MURANISHI TORU

FASHION x FILM: WOLVERINE พัฒนาการแฟชั่นของชายที่ดุดันที่สุดในจักรวาล X-MEN

 

SOURCE: 1 / 2 / 3 /4


หมดปัญหามังกรกินหมี่! ตำราพิชิตความเจ็บปวด เผยเคล็ดวิชาจัดแต่งขนและทรงยอดนิยมที่สาวถูกใจ

$
0
0

มังกรของคุณเคยกินหมี่หรือเปล่า?

เราเชื่อว่าปัญหานี้คงเคยเกิดขึ้นกับผู้ชายหลายคน ขณะที่อยู่บนบีทีเอส ตอนประชุม หรือแม้แต่ตอนที่กำลังเดตกับสาว ๆ สองต่อสอง จู่ ๆ เจ้ามังกรผู้หิวโหยในกางเกงก็เผลองับหมี่เข้าโดยไม่ปรึกษาใคร

จะให้เอามือไปล้วง แคะ แกะ เกาเดี๋ยวนั้นก็คงไม่ได้ แต่จะให้อดทนต่อไปก็คงไม่ไหวเช่นกัน เพราะเนื้อหุ้มอวัยวะเพศที่คาบดึงเส้นขน ทำให้เส้นขนเสียดสีกับเนื้อปลายอวัยวะเพศเข้าอย่างจัง ทันใดนั้นอาการเจ็บแปลบก็ถาโถมเข้ามาจนเราแทบล้มทั้งยืนและไม่อาจขยับเขยื้อนตัวได้ดังใจ

แม้ทางรอดเดียวคือการสอดมือผ่านกระเป๋ากางเกงเข้าไปจัดระเบียบภายใน แต่นั่นคงไม่ใช่การแก้ปัญหาที่ต้นเหตุอย่างแน่นอน เพราะจุดเริ่มต้นของมังกรกินหมี่เกิดจากขนอวัยวะเพศที่ยาวจนเกินไป และยาวเฟื้อยจนเจ้ามังกรในกางเกงสาวเข้าปากได้อย่างสบายใจเฉิบ

วันนี้ UNLOCKMEN เลยจะมาช่วยหนุ่ม ๆ กำราบมังกรกินหมี่ แต่ไม่ใช่ด้วยเพลงกระบี่เหมือนหนังจอมยุทธ หากเป็นวิธีจัดแต่งขนให้เป็นระเบียบเรียบร้อยและปลอดภัยจากเจ้ามังกรผู้หิวโหย

โกนขนทิ้งให้หมดเลยดีไหม ตัดปัญหาไปเลยดีกว่า?

อย่าเพิ่งด่วนตัดสินใจและผลีผลามโกนขนทิ้งด้วยความเกรี้ยวกราด เพราะหมี่หรือขนอวัยวะเพศไม่ได้มีไว้พกเท่ ๆ หรือเป็นสัญลักษณ์ของวัยเด็กที่เปลี่ยนมาสู่วัยรุ่นเท่านั้น แต่ขนอวัยวะเพศยังมีความสำคัญต่อผู้ชายเราด้วย

ขนอวัยวะเพศจะช่วยลดการระคายเคือง เมื่อเจ้าโลกต้องเสียดสีกับกางเกงในหรือเวลาที่ผู้ชายเราสอดใส่ตอนมีเพศสัมพันธ์ นอกจากนั้นเส้นหมี่สีดำดกยังเป็นตัวกักเก็บและป้องกันกินไม่พึงประสงค์ไม่ให้เล็ดลอดออกมานอกกางเกงใน แถมขนอุยที่ปกคลุมตั้งแต่ใต้สะดือไล่ลงมายังหัวหน่าว ก็ช่วยระบายความร้อนและรักษาอุณหภูมิ ทำให้อสุจิของหนุ่ม ๆ แข็งแรงได้อย่างไม่น่าเชื่อ

จัดแต่งทรงขนอย่างไรให้ปลอดภัยต่อเจ้ามังกร?

บอกว่าเลยการไว้ขนอวัยวะเพศก็เป็นอีกเรื่องที่แสนละเอียดอ่อนสำหรับผู้ชาย ถ้าโกนขนหมดเกลี้ยงก็กลัวระคายเคือง ถ้าไว้ยาวไปก็กลัวมังกรจะกินหมี่ มิหนำซ้ำอาจทำให้มีกลิ่นอับตามอีก จริงอยู่ที่การไว้ขนอวัยวะเพศอาจให้ประโยชน์มากกว่าโทษ แต่ผู้ชายอย่างเราควรไว้ความยาวเท่าใดจึงจะเหมาะสมและไม่เกิดปัญหามังกรกินหมี่กันล่ะ?

วันนี้เราเลยเลือกสามทรงขนที่เหล่าสุภาพบุรุษนิยมตัดแต่ง มาช่วยให้หนุ่ม ๆ UNLOCKMEN ตัดสินใจง่ายขึ้น ว่าจะไว้ขนทรงไหนดีและสไตล์ไหนที่เป็นตัวตนของคุณที่สุด

โกนขนให้เลี่ยนเตียน: แม้ทรงนี้อาจทำให้คุณรู้สึกเย็นวาบอยู่บ้าง แต่สาว ๆ หลายคนก็น่าจะถูกใจ เพราะมันทั้งดูน่าสัมผัสและน่าลูบไล้ ยิ่งเมื่อไม่มีเส้นขนมาคอยบดบังสายตา ก็อาจทำให้เจ้าโลกของคุณดูใหญ่มหึมาขึ้นมาอีกด้วย

แถมเวลาที่ต้องทำกิจกรรมโลดโผนเรียกเหงื่อ ก็ไม่ต้องกังวลว่าขนจะกักเก็บกลิ่นและความอับชื้น ส่วนเรื่องมังกรกินหมี่ยิ่งไม่ต้องห่วง เพราะเจ้ามังกรคงไม่สามารถหันคอมางับหมี่ได้ (เพราะคุณไม่มีหมี่)

ต่อให้การโกนขนจนเกลี้ยงเกลาจะทำให้คุณดูเด็กและสะอาดขนาดไหน แต่อาจต้องแลกมากับอาการระคายเคืองหลังโกน และเส้นขนที่ขึ้นใหม่จะหนาและแข็งกว่าเดิม ถ้าเลือกเดินสายนี้แล้วหนุ่ม ๆ ก็คงต้องหมั่นโกนขนอย่างสม่ำเสมอ

ซอยให้สั้น แต่ยังดูเซ็กซี่มาดแมน: มีผู้ชายไม่น้อยที่คิดว่าการไว้ขนดกดำจะบ่งบอกถึงความเป็นชายชาตรีได้ และเชื่อว่านี่ก็น่าจะเป็นทรงที่ตอบโจทย์พวกเขาเหล่านั้น การไว้ขนทรงนี้อาจไม่ต้องกำจัดไรขนให้เนียนกริบเหมือนทรงแรก

หากซอยให้มีความยาวประมาณ 3-5 เซนติเมตร เพื่อไม่ให้เส้นขนฟูฟ่องจนแทงทะลุกางเกงในและทำให้คันยุบยิบตามมา หรืออาจจะใช้มีดโกนไล่โกนบริเวณโคนใต้อวัยวะเพศ รอบลำ และอัณฑะเพื่อให้ดูสะอาดเรียบร้อยยิ่งขึ้นก็ได้

โกนขนข้าง ๆ เน้นไว้ตรงกลางแบบเท่ ๆ: ทรงนี้คล้าย ๆ กับบิกินี่แว็กซ์ของสาว ๆ ที่เน้นตัดเล็มหรือโกนขนข้าง ๆ ขาหนีบให้เรียบเนียน เมื่อใส่กางเกงในว่ายน้ำจะได้ดูเซ็กซี่และไม่มีไรขนโผล่ออกมาทักทายสาว ๆ จนพวกเธอหันหน้าหนี

แต่เมื่อถึงสถานการณ์หน้าสิ่วหน้าขวานที่สาว ๆ ต้องถกกางเกงในตัวจิ๋วของคุณลงมา พวกเธอก็ยังสัมผัสได้ถึงความเป็นชายชาตรีจากเส้นขนบริเวณหัวหน่าวที่ยังไม่ได้ถูกโกนออก ทรงนี้จึงเป็นส่วนผสมระหว่างความสะอาด มีสไตล์ และคมเข้มแบบผู้ชายที่ลงตัว

แล้วผู้หญิงชอบแบบไหน ยาว สั้น หรือโกนเกลี้ยง?

เรื่องรสนิยมการไว้ขนคงเป็นเรื่องที่เราไม่อาจก้าวก่ายและคงไปตัดสินใจแทนหนุ่ม ๆ ไม่ได้ว่าทรงไหนดีกว่ากัน เพราะผู้ชายรักสะอาดบางคนอาจอยากโกนขนให้เกลี้ยงเตียน บ้างอยากจะไว้ขนเท่ ๆ เพื่อบอกความเป็นชาย แต่ก็มีผู้ชายอีกหลายคนที่ยังลังเลและไม่รู้ว่าจะเลือกทรงไหน เราเลยไปถามความเห็นจากสาว ๆ มาให้ว่าพวกเธอชอบผู้ชายที่ไว้ขนแบบไหนกัน

“ชอบให้โกนเตียน ๆ หรือซอยสั้น ๆ ก็ได้ เพราะมันสะดวก ขนจะได้ไม่เข้าปาก เข้าคอ และไม่มีกลิ่นอับด้วย (หัวเราะ)”

“ซอยขนให้สั้นบอกถึงผู้ชายที่ดูแลตัวเอง ใส่ใจความสะอาด และใส่ใจความสวยงาม

เพราะมันดูไม่รกเกินไป และการมีขนก็ทำให้ไม่ดูสำอางเกินไปด้วย”

“นี่เลือกแบบซอยสั้น ๆ คือชอบความสะอาด เพราะจุดซ่อนเร้นมันเป็นอะไรที่ sensitive เวลาเราต้องเจอหรือสัมผัส

ถ้าไว้ยาวไปก็เสี่ยงต่อการติดเชื้อโรคด้วยเหมือนกัน ความสะอาดเลยต้องมาก่อน แต่จะโกนเกลี้ยงเลยมันก็ดูมันไม่แมน”

“การซอยให้สั้นน่าจะเข้าท่าที่สุด การดูแลความสะอาดทุกส่วนของร่างกายไม่เว้นแม้แต่จุดซ่อนเร้นคือการดูแลตัวเองที่ดี

ผู้ชายหลายคนชอบมองว่าการดูแลตัวเองคือหน้าที่ของผู้หญิงอย่างเดียว เลยคิดว่าเมื่อถึงเวลาที่ต้องเห็นตรงนั้นของผู้ชาย แล้วเจอว่าเขาดูแลดี ใส่ใจ และรักษาความสะอาด ก็น่าจะสร้างความประทับใจได้มาก”

เห็นได้ชัดว่าความคิดเห็นของสาว ๆ นั้นไปในทิศทางเดียวกัน คือผู้หญิงส่วนใหญ่ชอบผู้ชายที่ซอยขนจนสั้น เพราะนอกจากจะดูสะอาดแล้ว ยังดูมาดแมน ไม่สำอางเกินไป และบ่งบอกว่าผู้ชายคนนั้นดูแลตัวเองอย่างดี

ถ้าหนุ่ม ๆ ไม่อยากโกนขนและตั้งใจจะเลี้ยงไว้สวย ๆ ก็ต้องรู้จักตัดแต่งทรงให้เรียบร้อย ส่วนจะไว้ขนทรงไหนก็ขึ้นอยู่กับรสนิยมของแต่ละคน แต่อย่าเผลอปล่อยให้ขนยาวรกรุงรังจนมังกรกินหมี่ เพราะมันทำลายบุคลิกภาพของหนุ่ม ๆ จนไม่เหลือชิ้นดี หรือจะเลือกซื้อกางเกงในจากแบรนด์ที่ดีไซน์มาเพื่อแก้ไขปัญหานี้โดยตรงใส่ดูก็ได้นะครับ (แต่การตัดแต่งขนน่าจะง่ายกว่าเยอะ)

ART OF ARS: “อาร์ตนูโว” ไม่ใช่วงนูโว ‘SOMETHING, NOUVEAU’ดิจิทัลอาร์ตระดับโลกที่คนไทยสัมผัสได้

$
0
0

คุณรู้จักอาร์ตนูโวไหม

ไม่แปลกหรอกถ้าฟังแล้วอยากจะถามกลับมาว่า นั่นมันอะไรนะ ? หรือสับสนว่านี่เป็นชื่อสมาชิกใหม่วงนูโวหรือเปล่า เพราะส่วนมากคนเรามักไม่จำชื่อของศิลปิน ไม่จำชื่อผลงานศิลปะ และยิ่งถ้าลึกเข้าไปกว่านั้นอย่างคำว่า “ART NOUVEAU (อาร์ตนูโว)” ที่เป็นชื่อยุคหนึ่งของศิลปะตะวันตก ก็เป็นธรรมดาที่ออกมานอกห้องเรียนแล้วมันจะตกหล่นจากเมมโมรี่ไปบ้าง

แต่ SOMETHING, NOUVEAU เป็นหนึ่งในงานนิทรรศการเปิดต้นปี 2020 ในไทยที่เราแนะนำให้คุณต้องไปสักครั้งในชีวิต งานนี้เป็นซีรีส์ตัวที่ 3 ที่จัดขึ้นที่ River City ต่อจากนิทรรศการรุ่นพี่ 2 ตัวแรก FROM MONET TO KANDINSKY และ ITALIAN RENAISSANCE ที่เคยสร้างความประทับใจ โดยคัดสรรผลงานกว่า 500 ชิ้นของศิลปินตัวพ่อแห่งยุคทองทางศิลปะมาถึง 3 คน ได้แก่ กุสตาฟ คลิมท์ (Gstav Klimt) อัลโฟนส์มูคา (Alphonse Mucha) และออเบรย์เบียร์ดสเลย์ (Aubrey Beardsley)

ทั้ง 3 คนนี้ถ้าให้เทียบก็เสมือนอาหารจานเด็ดของยุคอาร์ตนูโวที่ถ้าเราไม่ทำความรู้จักผลงานและตัวตนของพวกเขาก็เหมือนอดกินต้มยำกุ้ง กะเพรา และผัดไทยตอนมาเมืองไทย ที่สำคัญรูปแบบแสดงงานครั้งนี้ยังแปลกใหม่กว่างานอาร์ตเดิมที่เคยไป เติมเต็มจินตนาการเราได้ดีด้วย (เราจะอธิบายอีกครั้งด้านล่างอีกครั้งว่าเจ๋งยังไง)

 

อาร์ตนูโว ศิลปะใหม่ ศิลปะที่เกิดจากความเบื่อหน่าย นี่คืออวองค์การ์ด (Avant-Garde)”

อาร์ตนูโว หรือยุคนวศิลป์ เป็นยุคศิลปะแสนสั้นที่เกิดขึ้นและโด่งดังในค.. 1890 – 1910 หลังยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม ต่อจาก Art and Craft Movement ช่วงนั้นเป็นยุคที่คนเริ่มเบื่อศิลปะ เบื่อการนำเสนอรูปแบบเดิม อยากหาแนวศิลปะแบบใหม่ขึ้นมา พอมาเจออาร์ตนูโวที่เป็นแนวงานรับอิทธิพลจากธรรมชาติ อ่อนช้อย สไตล์ผู้หญิง (แต่คนทำงานเป็นผู้ชาย) เข้าก็ตอบโจทย์ความต้องการของผู้คนได้ทันที

 

ผู้คนที่พบศิลปะแนวนี้เข้าก็กล่าวว่าศิลปะแนวนี้คืออวองค์การ์ด หรือนี่มันล้ำยุคมาก (คำว่าอวองค์การ์ดเป็นภาษาฝรั่งเศสที่แปลว่า ทหารแนวหน้า ใช้อธิบายสิ่งใหม่ที่ยังไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน มักใช้ในวงการศิลปะ) จนทำให้ฟอร์มต่าง ๆ ของอาร์ตนูโวทั้งหมด ลายเส้นพลิ้ว เครือเถาวัลย์ ความละเอียดประณีต ฯลฯ แพร่ไปสู่ศิลปะแขนงอื่นอย่างรวดเร็วทั้งสถาปัตยกรรม ประติมากรรม จิตรกรรม และการทำกระจกสี ในช่วง 20 ปีที่ศิลปะเบ่งบาน ตอนนั้นไม่ว่าจะหันไปทางไหนล้วนเจอแต่งานสไตล์นี้ เสน่ห์ของความหรูหราแปลกใหม่ อ่อนช้อย กลายเป็นสิ่งที่ทุกคนยอมรับ

 

UNLOCK ARTISTS: 3 ศิลปินชายหัวขบถแห่งยุคที่วาดหญิงสาวต่างมุมมองเป็นเอกลักษณ์

ศิลปินชาย 3 คนเจ้าของงานในการจัดแสดงนิทรรศการ SOMETHING, NOUVEAU ถือเป็นระดับตำนานที่ผลงานไม่เหมือนกันเลย แม้จะมีความคล้ายเรื่องการใช้ธรรมชาติกับลายเส้นพลิ้วไหวเข้ามาประยุกต์ แต่ต่างคนต่างมีความน่าสนใจทั้งประวัติและผลงาน บางคนอายุสั้น บางคนวาดภาพโป๊เสียจนคนลุกมาต่อต้าน หรือบางคนก็วาดเส้นได้ละมุน ประณีตละเอียดลออเสียจนไม่คิดว่าภาพนี้ผู้ชายนี่แหละวาด

Aubrey Beardsley : ศิลปินอายุสั้นที่ใช้สัญญะเล่าเรื่อง

ก่อนจะมาเป็นศิลปินผู้สร้างอวองค์การ์ด Aubrey คือเด็กชายผู้โชคร้ายที่ตรวจพบว่าตัวเองเป็นวัณโรคโดยพันธุกรรมตั้งแต่วัย 7 ขวบ และเสียชีวิตในวัย 25 จากโรคดังกล่าวในยุคศตวรรษที่ 19 ขณะที่วิทยาการทางการแพทย์ระบุให้เป็นโรคที่ไม่สามารถรักษาได้

เดิมเขาทำงานเป็นเสมียนโดยรับเงินเดือนเพียงเดือนละ 70 ปอนด์ ก่อนจะเข้าสู่เส้นทางศิลปะจากการวาดภาพการ์ตูนล้อเลียนจนเพื่อนร่วมงานชื่นชอบ สิ่งนี้กลายเป็นแรงผลักดันให้เขาไปลงเรียนศิลปะจริงจังที่โรงเรียนสอนศิลปะเวสต์มินสเตอร์จนในที่สุดเขาสามารถเปลี่ยนอาชีพนักวาดภาพประกอบเต็มตัวให้กับหนังสือนวนิยาย นิตยสาร และเคยวาดภาพให้กับนักเขียนหัวขบถผู้เป็นที่กล่าวขวัญแห่งยุคอย่างออสการ์ไวด์

จุดเด่นที่ทำให้เขาแตกต่างจากคนอื่นชัดเจนคือสไตล์ของผลงานที่ผสมผสานระหว่างตะวันตกและตะวันออก (ศิลปะภาพพิมพ์จากญี่ปุ่น) และได้รับอิทธิพลจากศิลปินหลายคน จนสร้างผลงานได้ในแบบฉบับของตัวเอง ยิ่งเมื่อเซตองค์ประกอบในภาพแบบซ่อนสัญญะไว้ ทำให้ทุกอย่างในภาพมีความหมายกว่าที่คิด ซึ่งส่วนหนึ่งเกิดจากความชื่นชอบด้านวรรณกรรมและงานหลักที่เขาวาดภาพประกอบหนังสือ เช่น การตกแต่งภาพด้วยเถาองุ่นในภาพสื่อถึงความมึนเมา หรือดอกบัวแฝงนัยความบริสุทธิ์

นอกจากนี้เขายังสร้างความอีโรติกไปในอย่างประณีต ภาพศิลปะของเขาเหมือนงานตีแสกคนในสังคม เพราะซ้อนระหว่างความอีโรติกโป๊เปลือยกับความหรูหรา

 

Alphonse Mucha : ศิลปินชายผู้เชิดชูสตรีเพศด้วยความประณีต

หลายคนเห็นงาน Mucha บ่อย เพราะเป็นแนวงานที่คนยุคนี้ยังนิยมแชร์ แต่บางคนแทบไม่รู้เลยว่าภาพนี้วาดขึ้นโดยศิลปินชาย ศิลปินผู้นี้เติบโตและรู้ว่าตัวเองหลงใหลศิลปะจึงมุ่งสอบเพื่อเข้าเรียนในโรงเรียนศิลปะ แม้ครั้งแรกจะสอบตกจนต้องไปทำงานเสมียนคล้าย Aubrey แต่สุดท้าย เขาก็ใช้เวลาว่างเข้าไปเรียนในโรงละครท้องถิ่น เขาจึงมีทักษะการแสดงและทักษะศิลปะจากการตกแต่งวาดภาพให้โรงละครติดตัว

ช่วงชีวิตของ Mucha ก่อนเป็นศิลปินดังค่อนข้างระหกระเหิน ช่วงดีก็มีท่านเคาน์พอใจผลงานจนอุปถัมภ์ส่งให้เรียนต่อศิลปะ แต่จังหวะสิ้นโชคก็ต้องกลับมาวาดรูปหาเงิน ทำทุกอย่าง วาดทั้งโปสเตอร์โฆษณา งานพิมพ์ ปฏิทิน เมนูอาหาร บัตรเชิญ ฯลฯ จนกระทั่งวันหนึ่งจู่ จังหวะชีวิตของเขาก็พุ่งพรวดจากการรับวาดภาพงานช่วงคริสต์มาส เพราะช่วงนั้นเป็นช่วงที่ศิลปินคนอื่นหยุดยาวและหนึ่งในงานโปสเตอร์ที่เขาวาดไปต้องตาต้องใจ Sarah Bernhardt นักแสดงสาวของโรงละครหนึ่งเข้า จึงเป็นการผูกปิ่นโตให้เขาทำหน้าที่มัณฑนากรของโรงละครนั้นไปโดยปริยาย งานเริ่มหลั่งใหลเข้ามานับจากนั้นและกระจายไปสู่แขนงอื่น อย่างรวดเร็ว

หนึ่งในมุมมองของมูคาที่มีต่อสตรีเพศคือการเชิดชูว่าพวกเธอคือยาถอนพิษและพลังใจแห่งบุรุษ

เอกลักษณ์ของงาน Mucha คือการนำเสนอภาพหญิงสาวร่วมกับธรรมชาติ เขาแหกกฎทั้งเรื่องขนาดภาพเพื่อลงรายละเอียดความรุ่มรวยในภาพ การเลือกใช้ภาพที่สดใส และความหลากหลายของประเภทงานเพราะงานเขาไม่ได้อยู่แค่บนผืนผ้าใบ แต่ต่อเนื่องไปถึงงานพิมพ์ วอลล์เปเปอร์ติดผนัง เฟอร์นิเจอร์ จิลเวอรี่ และเสื้อผ้า จนยุคนั้นแทบไม่มีใครที่ไม่เคยเห็นผลงานของเขา ความอ่อนช้อยของลายเส้นที่มีเสน่ห์ นำเสนอภาพมุมมองน่าค้นหา ทำให้แม้ไม่ได้เล่าภาพออกมาด้วยร่างเปลือยเปล่าของหญิงสาวแต่ก็เป็นชิ้นงานที่แตกต่างจากศิลปินยุคเดียวกันอย่างชัดเจน

 

Gstav Klimt : ศิลปินที่นำกามารมณ์มาเล่าให้เปล่งประกายด้วยสีทอง

ถ้าพูดถึง Golden Age ชื่อของ Gstav Klimt จะเป็นชื่อแรกที่คนพูดถึง เพราะงานเขาแปลกตาด้วยเทคนิคการใช้ทองคำเปลวเพื่อนำเสนอในงาน ซึ่งส่วนหนึ่งเทคนิคที่เขาเลือกใช้น่าจะได้อิทธิพลมาจากครอบครัว เพราะเขาเกิดในครอบครัวของช่างแกะสลักทอง

Klimt เข้าเรียนวิชาศิลปะในโรงเรียน เขาชื่นชมจิตรกรด้านประวัติศาสตร์เวียนนาและหลงใหลการเดินทางตามเส้นทางนี้ กระทั่งได้มีโอกาสออกแบบเสื้อผ้าร่วมกับ Emilie Louise แฟชั่นดีไซเนอร์ชาวออสเตรียจนเริ่มต้นแนวทางศิลปะของตนเอง ผลงานของเขาส่วนใหญ่พัฒนาและเชิดชูความเป็นเฟมินิสต์ของอิสตรี รวมทั้งเล่าเรื่องเซ็กซ์อย่างเปิดเผยจึงมีผู้คนมากมายที่ไม่เห็นด้วย แต่เมื่อกระแสความนิยมเวียนนามาถึงผลงานของเขาก็ได้รับการยกย่องในวงสังคม

เทคนิคที่เป็นเอกลักษณ์ของเขาคือการใช้ทองคำเปลว เฉดสีโลหะในผลงานเพื่อสร้างความเปล่งประกาย รวมทั้งการแสดงสีหน้าอารมณ์ของภาพหญิงสาวที่เปี่ยมด้วยความเย้ายวน

ศิลปะคลาสสิส 3 โซน ที่มนุษย์สามารถเอื้อมถึงความสุนทรีย​์ได้จริง ๆ

ถึงศิลปินจะจากโลกนี้ไปแต่ผลงานศิลป์ของเขาจะถูกถ่ายทอดเรื่อยไปด้วยรูปแบบการรับรู้ใหม่ ตามกาลเวลา ท่ามกลางความคลาสสิกชั้นสูงที่หลายคนเชิดชูจนเหมือนไกลเกินเอื้อม ยุคนี้มีอุปกรณ์ช่วยดีดความโบราณเข้าไม่ถึงออก เปลี่ยนเส้นทางศิลปะให้เข้าถึงจิตใจคนยุคใหม่อย่างใกล้ชิดแบบรดต้นคอ

SOMETHING, NOUVEAU แบ่งโซนศิลปะออกเป็น 3 โซน ได้แก่ Moda Gallery, Moda Gallery และ Moda Space ให้เราเลือกรับประสบการณ์ตามใจชอบ 3 ระดับ ตั้งแต่เห็น สัมผัส จนถึงขั้นทะลุเข้าไป!

MODA Gallery

ใครที่เคยไปดูงานอาร์ตแล้วรู้สึกว่าเสียเงินมาเกินเอื้อม โดนกั้น เห็นคนรุมเยอะจนถอดใจ ดิจิทัลอาร์ตจากห้อง Moda Gallery เป็นประสบการณ์แปลกใหม่ เพราะเขาชุบชีวิตผลงานศิลปะให้โลดโผนด้วยการยิงโปรเจกเตอร์ยาวระดับ HD ฉายผนังและพื้นห้อง เคลื่อนไหว ทั่วห้องและตัวเราที่เดินเข้าไปจึงกลายเป็นผืนผ้าใบ เคล้าเสียงดนตรีคลาสสิกประกอบจังหวะจากระบบเสียง Dolby Surrond เพิ่มจินตนาการและความเพลิดเพลิน

ใครอยากถ่ายรูปสวย ดูศิลปะแบบ 360 องศา เพิ่มเก็บความอาร์ตระดับโลกไว้เป็นเมมโมรี่ ชวนแฟนไปดูงานนี้ก็เหมาะ เพราะเย็นสบาย บรรยากาศดี และเติมเต็มจินตนาการสร้างความครีเอทีฟ

 

MODA Space

โซนสามมิติ มีแว่นให้สวมใส่ระหว่างดู Installation Interactive เต็มตา จนรู้สึกเหมือนสมผัสได้ด้วยปลายมือ เหมาะกับคนที่อยากดำดิ่ง ลึกซึ้ง ห้องนี้จะต่างจาก Moda Gallery เพราะห้องนั้นจะเป็นการชมแบบ 2D

 

MODA VR Studio

เข้าไปอยู่ในงานศิลปะมันซะเลย! เราอาจจะเห็น VR พ่วงมากับเกมเป็นส่วนใหญ่ แต่ห้องนี้เขาเอา VR มาใช้กับงานศิลปะ ออกแบบโลกเสมือนให้เราสวมแล้วเหมือนเข้าไปอยู่ในงานของศิลปิน แต่งานนี้หมายเหตุตัวโต ๆ ว่าไม่ศิลปะนูโวแต่เป็นศิลปะที่คัดสรรแล้วจากศิลปินที่น่าสนใจ

แน่นอนว่าห้องนี้มันไม่ได้ฉายมาเป็นภาพแบน เพราะเราเดินไปเดินมาในภาพได้ ก้มส่องดูพื้น ดูนอกหน้าต่างก็ได้ แถมยังมีคาแรกเตอร์ศิลปินเคลื่อนไหวให้เราได้เดินเข้าไปกระทบไหล่อีกด้วย

 

ใครที่สนใจอยากไปสัมผัสอาร์ตระดับเทพของศิลปินตำนานที่เป็นมาสเตอร์พีซก่อนใคร การเริ่มต้นปีด้วยนิทรรศการ SOMETHING, NOUVEAU ในไทยถือเป็นจุดเริ่มต้นประสบการณ์ใหม่ในการเสพศิลปะที่คุณคาดไม่ถึง งานจัดแสดงตั้งระหว่างวันที่ 15 ม.ค. – 16 เม.ย 2020 เวลา 10:00 – 20:00 ณ MODA Gallery ชั้น 2 ศูนย์การค้า River City Bangkok

รายละเอียดค่าเข้าชมสถานที่แบ่งราคาจำหน่ายบัตรตามบริเวณเข้าชม ดังนี้

 MODA Gallery และ MODA Space 

  • บัตรผู้ใหญ่ราคา 350 บาท
  • บัตรเด็กวัย 4 ปีไม่เกินปริญญาตรี ราคา 250 บาท
  • ผู้อาวุโสวัยเกิน 60 ปี ราคา 250 บาท

MODA VR Studio

  • บัตรผู้ใหญ่ราคา 200 บาท
  • บัตรสำหรับเด็ก นักเรียน และผู้สูงอายุ ราคา 100 บาท (เนื้อหาในส่วนนี้ไม่เกี่ยวข้องกับอาร์ต นูโว แต่เป็นเรื่องราวของศิลปินอื่นๆ พร้อมผลงานของพวกเขาที่คัดสรรมาแล้ว)

หมายเหตุ: เด็กอายุต่ำกว่า 12 ปีไม่สามารถใช้อุปกรณ์ VR ได้แต่มีในส่วน Interactive Experience ให้เล่นในราคา 100 บาท

 

PHOTOGRAPHER: Warynthorn Buratachwatanasiri

SHUTDOWN WUHAN: จีนปิดตายเมือง “อู่ฮั่น” อย่างไรเพื่อล้อมไวรัสโคโรนา

$
0
0

ยิงกระสุน 1 นัดทำให้กี่คนเจ็บก็ไม่มากเท่าไวรัส 1 สายพันธุ์ที่ไร้การควบคุม

ตั้งแต่ช่วงปลายปีจนถึงวันนี้ ข่าวการติดเชื้อและเสียชีวิตของผู้คนจาก “ไวรัสโคโรนา” มากขึ้นเรื่อย ๆ ตอกหน้าให้ประชาชาติรับรู้ว่า “หายนะ” กำลังมาเยือนถึงหน้าบ้าน มันไม่ใช่หนังซีรีส์จาก Walking Dead ที่แค่เราดูแค่บันเทิง มีซอมบี้น่ากลัวดมกลิ่นมนุษย์สักคนเจอแล้วโผเข้าใส่กัดแบบที่เรามองเห็น แต่เป็นไวรัสปริศนาที่เราแยกมันไม่ออกระหว่างผู้ติดเชื้อกับคนปกติที่เดินอยู่ทั่วไป

 

โคโรนาไวรัสน่ากลัวกว่าซอมบี้

Wuhan มีจำนวนประชากรมากถึง 11 ล้านคน ซึ่งเมียบแล้วมากกว่าเมืองใหญ่อย่างลอนดอนหรือนิวยอร์กเสียอีก

ไวรัสโคโรนา 2019 เป็นไวรัสที่มีสัตว์เป็นพาหะติดต่อสู่คน และปัจจุบันได้แพร่จากคนสู่คนด้วยกัน! เรื่องนี้เริ่มต้นขึ้นจากปลายปี 2019 หลังมีคนพบผู้เสียชีวิตชาวจีนที่มีอาการปอดบวมอย่างไรสาเหตุ ก่อนจะสืบสาวราวเรื่องไปว่ามีคนที่มีอาการแบบเดียวกันและพบเชื้อไวรัสด้านระบบทางเดินหายใจคือไวรัสโคโรนาขึ้น ทุกคนล้วนเกี่ยวข้องกับตลาดอาหารทะเลแห่งหนึ่งของจีนที่ตั้งอยู่ในเมืองอู่ฮั่น (ตลาดแห่งนี้จำหน่ายเนื้อสัตว์หลากหลายทั้งสัตว์ป่าและสัตว์ทั่วไป)

ไวรัสที่พัฒนาจากการติดต่อจากข้ามสายพันธุ์ระหว่างสัตว์สู่มนุษย์ และสามารถทำให้ติดเชื้อระหว่างสายพันธุ์เดียวกัน ถือเป็นตลกร้ายที่ระบบสาธารณสุขและการแพทย์ยังเป็นเรื่องใหม่และเรื่องยาก ขณะนี้จึงยังไม่มีวิธีการรักษาให้หายขาดแบบ 100% หรือมียาต้าน เน้นเป็นการรักษาตามอาการ ซึ่งถือเป็นปกติของการรักษาเชื้อประเภทไวรัส

ตามข้อมูลที่ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์เผยแพร่ ระบุว่าทีมวิจัยจุฬาฯ ถอดรหัสพันธุกรรมแล้วพบว่า ไวรัสโคโรนา 2019​ (สายพันธุ์ที่ 7 ในตระกูลโคโรนา) มีความใกล้เคียงกับไวรัสที่พบใน “ค้างคาว” แต่ยังไม่พบว่าเชื้อนี้แพร่เข้าสู่คนได้อย่างไรเนื่องจากข้อมูลกลางของจีนยังไม่ได้ระบุรายละเอียด

จากจำนวนผู้ป่วยและผู้เสียชีวิตเลขตัวเดียว ภายในช่วงเวลาไม่ถึงสองเดือน ตัวเลขผู้ติดเชื้อเพิ่มเป็นหลักร้อย ผู้เสียชีวิตเพิ่มเป็นหลักสิบ แถมยังกระจายออกนอกประเทศ จึงทำให้เรื่องนี้กลายเป็นข่าวที่มีคนติดตามมากที่สุดข่าวหนึ่งในขณะนี้

แล้วจีนเขาทำอย่างไร เมื่อวันนี้โรคเดินทางข้ามประเทศและเกินการควบคุม ?  จนล่าสุดวันนี้ (23 มกราคม)  WHO ต้องออกมาประชุมใหญ่เพื่อพิจารณาว่าจะประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินไวรัสโคโรนาดีหรือไม่

เหตุผลมาจากความยากของไวรัสที่ดูคล้ายเพชฌฆาตเงียบจากจุดเด่นเหล่านี้

1. ไวรัสสามารถติดต่อผ่านมนุษย์ด้วยกันได้ จากคนที่เรามองเห็นพูดจาสบตากับเราตามปกติ
2. อาการของมันคล้ายการเป็นโรคหวัด และระบุไม่ได้ว่าแบบไหนคือขั้นหนักหรือยังไม่หนัก
3. ระยะฟักตัวของมันใช้เวลานานกว่าโดนซอมบี้กัด เพราะปัจจุบันประเมินระยะเวลาฟักตัวที่ 2-14 วัน แถมแต่ละคนแสดงอาการไม่เท่ากันตามระบบภูมิคุ้มกันร่างกาย

ตัวเลขผู้ติดเชื้อเฉพาะในประเทศจีนอัปเดตวันที่ 22 ม.ค. 2020s /SOURCE: REUTERS, AP, AL JAZEERA, AND GOVERNMENT REPORTS

วิธีปิดประตูตีแมวตอนนี้ของจีนที่ลงมือทำแล้ว จึงเป็นการปิดล้อมเมืองและสร้างมาตรการควบคุมโรคเท่าที่ทำได้เหล่านี้

  1. ติดตั้งกล้องตรวจวัดอุณหภูมิอินฟาเรดในพื้นที่สาธารณะ เช่น สนามบิน สถานีรถไฟ และทางหลวง
  2. สั่งห้ามคนในออกนอกเมืองและห้ามคนนอกเข้า หลีกเลี่ยงการเคลื่อนย้ายคน หรือการรวมตัวคนในพื้นที่แออัดโดยการยกเลิกระบบขนส่งสาธารณะทุกช่องทาง เพราะปัจจุบันถ้าเราให้อู่ฮั่นเป็น center จะพบว่าจากสนามบินอู่ฮั่นสามารถเดินทางไปได้กว่า 60 ประเทศทั่วโลก และมี 100 กว่าเที่ยวบินสำหรับเดินทางภายในประเทศ รวมทั้งยังมีเครือข่ายรถไฟความเร็วสูงด้วย
  3. รัฐบาลท้องถิ่นยกเลิกงานเทศกาลตรุษจีนที่วัดกุ้ยหยวน สถานที่ที่ระบุว่ามีนักท่องเที่ยวซื้อตั๋วและทำการแจกตั๋วเพื่อเชิญชวนไปก่อนหน้านี้กว่า 230,000 ใบ
  4. หน่วยการปกครองส่วนท้องถิ่นยกเลิกกิจกรรมสาธารณะสเกลใหญ่ เช่น การคัดเลือกนักกีฬาโอลิมปิกประเภทฟุตบอลหญิงโดยย้ายการจัดกิจกรรมไปที่เมืองหนานจิง

หมายเหตุ: กระบวนการตรวจวัดอุณหภูมิเพื่อหาคนที่มีความเสี่ยงเริ่มขึ้นในสัปดาห์ที่ 5 หลังจากการระบาดครั้งแรก จึงมีคนจำนวนมหาศาลที่มีความเสี่ยงเล็ดลอดการตรวจสอบไป

 

LAST MINUTES IN WUHAN

ภาพจากคลิป South China Post

ก่อนภาครัฐจะกลับมาควบคุมโรคได้และนำความสงบกลับมาที่เมืองอู่ฮั่นอีกครั้ง เรารวบรวมเหตุการณ์สุดท้ายก่อนปิดเมืองไว้ด้านล่าง เพื่อบันทึกไว้เป็นประวัติศาสตร์

  1. เที่ยวบินสุดท้าย: เที่ยวบินสุดท้ายของอู่ฮั่นก่อนปิดเมืองคือเที่ยวบินเดินทางไปซิดนีย์ ประเทศ ออสเตรเลีย วันพฤหัสบดีที่ 23 มกราคม 2020
  2. เที่ยวขายตั๋วสุดท้าย: South China รายงานว่าแอปพลิเคชันยุติการบริการขายตั๋วตั้งแต่เวลา 23.30 น. ของวันที่ 22 มกราคม
  3. ระบบขนส่งสาธารณะทั้งหมด (รถเมล์ รถไฟใต้ดิน เรือเฟอร์รี รถทัวร์ ฯลฯ ): ปิดให้บริการในเวลา 10.00 น. ตามเวลาท้องถิ่น (11.00 ไทย) วันพฤหัสบดีที่ 23 มกราคม 2020

แม้ตัวเลขสุทธิจากจีนที่รายงานจะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จนถึงตอนนี้ แต่ยังห่างจากตัวเลขที่นักวิทยาศาสตร์ชาวอังกฤษและชาวฮ่องกงคาดการณ์ไว้ถึง 2 เท่า (ข้อมูลจีนเผยที่ราว 500 กว่าคนแต่ตัวเลขการคาดการณ์สูงระหว่าง 1,500 – 1,700 คน)

**ล่าสุดช่วงเย็นของวันนี้ (23 ม.ค. 2020) จีนได้อัปเดตการปิดเมืองใกล้เคียงเมืองอู่ฮั่นเพิ่มอีก 2 เมือง ได้แก่ เมืองหวงกัง และเมืองเอ้อโจว

ดูมาตรการประเทศอื่นแล้วก็ถึงเวลาย้อนกลับมามองประเทศเราต่อ นอกจากจีน เราเริ่มเห็นหลาย ๆ ประเทศที่ตื่นตัวเรื่องการคัดกรองคนเข้าประเทศมากขึ้น (คนที่เดินทางไปต่างประเทศแล้วกลับมาและนักท่องเที่ยวจากต่างแดน) สำหรับประเทศไทยเรานับเป็นอีกประเทศที่มีผู้ติดเชื้อรองลงมา (พบแล้ว 4 รายแถมเป็นคนไทยอีก 1) ดังนั้นควรถึงเวลาที่เราจะตื่นตัวเรื่องมาตรการการดูแลตัวเองอย่างจริงจัง

เริ่มต้นจากเรื่องง่าย ๆ อย่างการสวมหน้ากากอนามัย ล้างมือด้วยเจลล้างมือหรือสบู่ (สบู่ต้องใช้เวลาล้างราว ๆ 20 วินาที) รวมทั้งหลีกเลี่ยงการกินอาหารที่ผ่านการปรุงสุก ระหว่างนี้เราอดทนกันฟันฝ่าผ่านระยะอันตรายไปก่อนดีกว่ามารอให้เกิดความสูญเสียขึ้นกับคนใกล้ชิด

รู้ข้อมูลแล้วก็แบ่งปันกันดูแลนะ เราจะผ่านช่วงเวลาวิกฤตนี้ไปด้วยกัน

 

SOURCE: 1 / 2 / 3 / 4 / 5 / 6

WATCHLIST: 5 หนังสารคดีนักดนตรีหาดูได้ใน NETFLIX สำหรับคอเพลงที่ชอบเสพความเป็นตำนาน

$
0
0

หากคุณเป็นหนึ่งในสมาคมชาว Netflix ที่ใช้งานมาสักพักแล้ว คงจะทราบว่า ซีรีส์ หนัง หรือแม้กระทั่งสารคดีบางเรื่องที่ไม่ใช่ Original Content ของเขาเอง จะหมุนเวียนการฉาย ไม่ได้มีให้ดูตลอดไป ซึ่งก็เข้าใจได้ว่าเป็นเรื่องของลิขสิทธิ์ แต่ก็มีข้อเสีย เพราะอาจทำให้เราพลาดอะไรดี ๆ ไป แถมทาง Official เองก็ไม่ได้โปรโมตทุกเรื่อง

วันนี้ UNLOCLMEN ขอเอาใจคอเพลงโดยเฉพาะ แนะนำ 5 สารคดีนักดนตรีน่าสนใจจาก NETFLIX ที่มีให้รับชมอยู่ในช่วงนี้ การันตีเลยว่ายกมาแต่ระดับตำนานเท่านั้น แต่เราก็ไม่รู้ว่าจะถูกถอดออกจากแพลตฟอร์มไปเมื่อไหร่ ฉะนั้นถ้ามีเวลาก็อาจจะต้องรีบเสพรีบดูกันสักนิดนะครับ

How the Beatles Changed the World

วงระดับ The Beatles มีสารคดีให้รับชมไม่รู้กี่ตัว ไหนจะหนัง Biopic หรือหนังที่อ้างอิงถึงอีกมากมาย แต่สารคดี How the Beatles Changed the World นี้ จะเล่าในมุมมองการเกิดขึ้นและมีอยู่ของ The Beatles ที่ส่งผลกระทบทางวัฒนธรรมให้โลกใบนี้  ซึ่งไม่ได้มีแค่ด้านดนตรี แต่ครอบคลุมทั้งศิลปะ วัฒนธรรม แฟชั่น และการเมืองด้วย ถึงแม้เนื้อหาจะดำเนินเรื่องด้วยบทสัมภาษณ์ (ที่ไม่ใช่สมาชิกในวง) เป็นส่วนมาก แต่ก็มีการเติมสีสันด้วยฟุตเทจคลาสสิกเก่า ๆ ให้เราได้ดูเพลิน ๆ ครับ

The Rolling Stones Olé Olé Olé!: A Trip Across Latin America

ปกติเราจะได้ดูสารคดีของวงต่าง ๆ ในช่วงที่เขายังหนุ่มยังแน่น แต่สำหรับ The Rolling Stones Olé Olé Olé!: A Trip Across Latin America จะเล่าเรื่องในรูปแบบสารคดีกึ่งคอนเสิร์ต (เหมาะกับคนชอบดู Live เป็นพิเศษ) ช่วงที่วงเดินสายไปอเมริกาใต้-เม็กซิโก เมื่อปี 2016 ที่ผ่านมานี้เอง! โดยเวทีที่ฮาวานา สาธารณรัฐคิวบา เป็นเวทีที่ถูกยกย่องว่ามีความไคลแมกซ์อีกทั้งยังกลายเป็นหนึ่งในหน้าประวัติศาสตร์ครั้งสำคัญเพราะ The Rolling Stones กลายเป็นวงร็อกวงแรกของโลกที่ได้ไปเล่นคอนเสิร์ตในสาธารณรัฐคิวบา!

ความแตกต่างของสารคดีนี้ คือการชมภาพชีวิตประจำวันช่วงทัวร์ของสมาชิกวงแต่ละคนในวัยอาวุโส เปลือยความคิดและมุมมองบางอย่างของพวกเขาว่าเหมือนเดิมหรือเปลี่ยนแปลงไปมากน้อยเพียงใดจากสมัยก่อน สำหรับแฟนเพลงตัวยงคงจะอบอุ่นหัวใจไม่น้อยที่เห็นบรรดาคุณปู่ยังมีเรี่ยวมีแรงและได้ทำสิ่งที่ตัวเองรักจนถึงอายุปูนนี้

Metallica: Some Kind of Monster 

สารคดีปี 2004 ของวง Thrash Metal ระดับตำนาน Metallica ที่แฟนคลับหลายคนยกย่องว่ามันเรียลมาก โดยเรื่องราวในหนังเรื่องนี้เกิดขึ้นในปี 2001 ช่วงที่พวกเขากำลังบันทึกเสียงอัลบั้ม St. Anger กัน เรื่องมันเริ่มจากมือเบสคนเก่าอย่าง Jason Newsted ที่ร่วมงานกันมานานกว่า 14 ปี ตัดสินใจลาออกจากวง ทำให้แผนงานทุกอย่างสั่นคลอน และกราฟสถานการณ์ในวงก็เริ่มดิ่งลงเรื่อย ๆ

เราจะได้เห็นการมีปากมีเสียงระหว่างสองสมาชิกอย่าง James Hetfield และ Lars Ulrich สุขภาพจิตของสมาชิกแต่ละคนที่ถดถอยย่ำแย่ในระดับที่ Kirk Hammett ต้องเรียกแพทย์จิตวิทยามาคอยประกบติดวงไปทุกที่

ทุกซีนอารมณ์ และฉากเรียกน้ำตาต่าง ๆ ที่คุณได้เห็นทั้งหมดเป็นของจริง และตัวสารคดียังจะพาเราไปสู่บทสรุปว่าพวกเขาทางออกให้วิกฤตในครั้งนั้นอย่างไร ยิ่งผู้ชายที่ตั้งวงดนตรีกับเพื่อนยิ่งต้องดู เพราะมันคือเรื่องราวชั้นดีของมิตรภาพลูกผู้ชายเรื่องนึงเลยครับ

Frank Sinatra : All or Nothing at All

ร็อกไปมากแล้ว มาถึงสารคดีเอาใจสาวกเพลง Jazz กันบ้าง Frank Sinatra : All or Nothing at All ขมวดปมเส้นทางชีวิตของสุภาพบุรุษโลกไม่ลืม Frank Sinatra ตั้งแต่เริ่มต้น จุดรุ่งโรจน์ ก่อนจะจบที่การแสดงคอนเสิร์ตอำลาวงการของเขาเมื่อปี 1971

ตัวหนังประกอบไปด้วยฟุตเทจเก่า ๆ หาดูยาก บทสัมภาษณ์จากคนใกล้ชิด และเรื่องเล่าจากปากเจ้าตัว รับประกันความเต็มอิ่มจุใจ เพราะแยกเป็นสองพาร์ต แถมแต่ละพาร์ตก็ยาว 2 ชั่วโมงเลยทีเดียว ใครรักกันจริงก็อย่าลืมหาเวลาดูก่อนที่จะถูกถอดออกจาก Netflix นะครับ

Shot! The Psycho-Spiritual Mantra of Rock Official Trailer

หลายคนอาจจะงงว่า ทำไมสิ่งนี้ถึงอยู่ในหมวดสารคดีดนตรี Shot! The Psycho-Spiritual Mantra of Rock คือสารคดีเกี่ยวกับ Mick Rock ผู้เป็นดั่งช่างภาพชาวอังกฤษที่ถูกสรรเสริญให้เป็น ‘ตากล้องคู่บุญของวงการร็อกแอนด์โรล’ ศิลปินระดับตำนานทั้งหลายไม่ว่าจะเป็น Queen, David Bowie, Iggy Pop, Ramones หรือ Joan Jett ล้วนผ่านการลั่นชัตเตอร์ของเขามาแล้วทั้งนั้น ถึงจะไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องเพลงมากนัก แต่เราก็จะได้เห็นมุมมองอื่น ๆ เกี่ยวกับบรรดาร็อกสตาร์เหล่านั้นผ่านเขา รับประกันว่าขนมาเกือบทั้งวงการแน่นอนครับ

คอเพลงทั้งหลายอย่าลืมหาเวลาว่าง ๆ เก็บสารคดีของศิลปินที่คุณสนใจให้ครบนะครับ เพราะเราเองก็ไม่รู้กำหนดการว่าจะดูใน Netflix ได้ถึงเมื่อไหร่ (ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย) แต่ UNLOCKMEN จะช่วยเป็นหูเป็นตาเช็กให้ตลอดว่าจะมีเรื่องไหนเพิ่มเข้ามาอีกในอนาคต ขอให้สนุกครับ

Source Picture

COCK RINGS 101: แข็งอึดทน ไม่ล่มปากอ่าว ห่วงรัดเพิ่มความสุขบนเตียงได้จริงไหม?

$
0
0

เมื่อสวมบทเป็นหมาป่าหนุ่มผู้หิวกระหาย ที่จ้องจะกัด จูบ ดูด ดื่ม และแทะเล็มเรือนร่างกวางสาวให้อ่อนเปลี้ยเพลียแรงจนแทบล้มลงไปกับเตียง จังหวะต่อไปที่ต้องทาบทับและสอดใส่ ไม่ว่าผู้ชายคนไหนก็คงอยากให้เจ้าโลกของตนดูอวบใหญ่ แข็งตั้งตรง และอึดถึกทน ไม่ล่มปากอ่าวง่าย ๆ จนทำเราขายหน้า ถูกไหมครับ?

ค่านิยมที่อยากดูฟิตปึ๋งปั๋งต่อหน้าสาว ๆ นี่เองที่ทำให้หนุ่มบางคนเริ่มมองหาตัวช่วย ทั้งกินไข่ กินหอยนางรม กินยาไวอากร้า หรือแม้แต่ใช้ห่วงรัดอวัยวะเพศ (Cock Rings) เพราะเชื่อว่ามันจะเสริมสมรรถภาพทางเพศได้

ยิ่งถ้าเป็นสายมืดที่ชอบใช้สารเสพติดขณะร่วมรัก ก็ยิ่งถูกใจสิ่งนี้เป็นที่สุด เพราะเมื่อใช้สารเสพติดบางชนิดอาจต้องแลกมากับการที่นกเขาไม่ขันหรืออวัยวะเพศไม่แข็งตัว ห่วงรัดอวัยวะเพศจึงตอบโจทย์พวกเขาเหล่านั้นได้ดีและเซ็กซ์ทอยชนิดนี้ก็เริ่มนิยมในหมู่ผู้ชายมากขึ้น

passionalboutique

ดีอย่างไร เสียวแค่ไหน ทำไมต้อง COCK RINGS?

จริงอยู่ที่การแข็งตัวของอวัยวะเพศเปลี่ยนแปลงได้ตามการไหลเวียนเลือดและสิ่งเร้าที่กระตุ้นอารมณ์ เจ้าโลกของหนุ่ม ๆ จึงสามารถแข็งและอ่อนตัวได้ทุกเมื่อขณะที่อยู่บนเตียง แต่ห่วงรัดจะเข้ามาช่วยกักเก็บและห้ามไม่ให้เลือดภายในองคชาตไหลกลับ ทำให้ไอ้หนูของคุณคงความแข็งตัวได้นานยิ่งขึ้น

ห่วงรัดยังเพิ่มความมั่นใจให้ผู้ชายได้ไม่น้อย เพราะเมื่อรัดห่วงรอบฐานอวัยวะเพศจะเกิดการบีบรัดระหว่างเจ้าโลกกับลูกอัณฑะทั้งสอง ทำให้ดูเหมือนว่าไอ้หนูของคุณมีขนาดใหญ่ขึ้นมาทันตา

นอกจากนั้นห่วงรัดอวัยวะเพศยังทำให้มังกรในกางเกงไวต่อการสัมผัส เมื่อเลือดไหลไปหล่อเลี้ยงบริเวณใดมากเป็นพิเศษ ประสาทสัมผัสและการรับรู้ในบริเวณนั้น ๆ ก็จะทำงานได้ดี ยิ่งถ้าเป็นส่วนปลายองคชาติที่มีเส้นประสาทอยู่นับไม่ถ้วน การใส่ห่วงรัดก็ยิ่งทำให้หนุ่มบางคนรู้สึกเสียวซาบซ่านไปอีกขั้น แถมเมื่อถึงจุดสุดยอดน้ำรักก็พุ่งกระฉูดได้เต็มกำลังด้วย

อีกเหตุผลที่ผู้ชายนิยมใช้เซ็กซ์ทอยชนิดนี้ระหว่างการมีเซ็กซ์ อาจเพราะปกติผู้ชายมักจะถึงจุดสุดยอดก่อนผู้หญิง และมีผู้หญิงเพียงไม่กี่คนที่จะสำเร็จความใคร่ภายในระยะเวลาการสอดใส่ ห่วงรัดอวัยวะเพศจึงเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ และทำให้ผู้ชายถึงจุดสุดยอดไปพร้อมกับคู่นอนของพวกเขา

ผมเป็นมือใหม่ แต่อยากลองใส่ห่วง

หากหนุ่มคนไหนอยากลองออกนอกกรอบและสัมผัสประสบการณ์เสียวจากห่วงรัดอวัยวะเพศ เราแนะนำให้ตัดขนอวัยวะเพศออกไปก่อน เพื่อไม่ให้เส้นขนถูกดึงขณะที่ทำกิจกรรมรักโลดโผน หรือถ้าลองใส่แล้วมันติด ๆ ฝืด ๆ จะใช้สารหล่อลื่นเป็นตัวช่วยก็ยังได้

อย่าลืมตรวจสอบว่าห่วงรัดนั้นขนาดพอดีกับเจ้าโลก ไม่แน่นหรือหลวมเกินไป เพราะจะเป็นอุปสรรคเวลาที่คุณต้องการมีเซ็กซ์แบบฮาร์ดคอร์ ต่อให้ใส่ห่วงรัดแล้วจะเสียวขนาดไหน ก็ไม่ควรใส่นานกว่า 20 นาที

ถ้ารู้สึกอึดอัด เจ็บหน่วง ๆ หรือสังเกตได้ว่าผิวหนังของน้องชายเปลี่ยนสีไปจากเดิม ให้รีบนำห่วงออกทันที ที่สำคัญต้องทำความสะอาดก่อนและหลังการใช้งานแต่ละครั้ง เช่นเดียวกับเซ็กซ์ทอยชนิดอื่น ๆ

ความสุขชั่วข้ามคืนคุ้มค่าแค่ไหนกับผลข้างเคียง?

แม้ห่วงรัดอวัยวะเพศจะช่วยให้เจ้าโลกอึดถึกทน เสียวซ่าน หรือหลั่งช้าขนาดไหน แต่ถ้ารัดห่วงไว้นานเกินไปก็อาจส่งผลเสียต่ออวัยวะเพศได้เช่นกัน เมื่อห่วงคล้องรัดไว้ที่ฐานอวัยวะเพศเป็นเวลานาน จะเกิดการระคายเคืองหรือทำให้เลือดไหลเวียนบริเวณนั้นน้อยเกินไป

ยิ่งใครที่มีปัญหาเกี่ยวกับโรคเลือดก็ยิ่งไม่ควรใช้ เพราะเมื่อเลือดถูกรัดจนคั่ง อาจร้ายแรงจนถึงขั้นเส้นเลือดแตกและทำให้เลือดไหลออกไม่หยุด แถมยังเสี่ยงที่ระบบไหลเวียนเลือดจะผิดปกติไปอีกด้วย

จริงอยู่ที่ห่วงรัดอวัยวะเพศ (Cock Rings) นั้นเป็นเครื่องมือทางการแพทย์ที่ใช้ร่วมกับกระบอกสุญญากาศ เพื่อรักษาอาการเสื่อมสมรรถภาพทางเพศหรือนกเขาไม่ขันของหนุ่มสูงวัย แต่ปัจจุบันมีห่วงรัดอวัยวะเพศหลายชนิดในท้องตลาด ทั้งแบบโลหะ ซิลิโคน หนัง ยาง หรือแม้แต่พลาสติก ซึ่งส่วนใหญ่จะผลิตไปทางแฟชั่น และอาจให้โทษมากกว่าประโยชน์ทางเพศ

ทุกวันนี้ประเด็นที่ว่าห่วงรัดอวัยวะเพศให้ประโยชน์หรือโทษมากกว่ากัน ก็ยังถกเถียงและวิพากษ์วิจารณ์กันไปในวงกว้าง บ้างว่าปลอดภัยถ้าใช้งานอย่างถูกวิธี แต่อีกฝ่ายกลับเชื่อว่าห่วงรัดอาจเป็นอันตรายจนต้องตัดอวัยวะเพศทิ้งเลย

ทางที่ดีหนุ่ม ๆ ควรศึกษาคู่มือการใช้งานให้ถี่ถ้วนก่อนสวมใส่ หรือถ้าไม่อยากเสี่ยงก็หันมาปรับเปลี่ยนการกิน การออกกำลังกาย หรือบำรุงเสริมพลังน้องชายด้วยวิธีธรรมชาติอื่น ๆ แทน เพราะบางครั้งความตื่นเต้นสนุกสนานชั่วข้ามคืน อาจเทียบไม่ได้กับผลข้างเคียงและอันตรายที่คุณอาจได้รับเมื่อใช้งานอย่างไม่ระมัดระวังหรือผิดวิธี

 

COVER SOURCE SOURCE

คู่นี้ดิเจ๋ง! เปิดโพลคู่สีงานดีไซน์ที่นักออกแบบต้องลองในปี 2020

$
0
0

ทุกวันนี้มี Pantone สียอดนิยมออกมาสร้างความคึกคักกับวงการดีไซน์และผู้คนทั่วไปให้ลุกมาสร้างผลงาน หรือใช้ไอเดียจากสีนั้น ๆ เพื่อเลือกแมตช์เครื่องแต่งกายหรือข้าวของที่ตัวเองมีตามเฉดสีนั้น ๆ

ล่าสุดบล็อก Graphic Mama เขามีบทความออกมาพูดถึงคู่สีออกแบบประจำปีนี้ ที่เรารีวิวมาจากงานดีไซน์หลาย ๆ แบบว่าเป็น Best combination หรือสีคู่แท้ที่ควรลอง ถ้าไม่ลองจะตกเทรนด์และเป็นบาปต่อการออกแบบมาก

UNLOCKMEN จึงนำคู่สีที่เกิดมาเพื่อปีหนูทั้งหมด 8 คู่ มาส่งต่อเพื่อสร้างแรงบันดาลใจสำหรับงานดีไซน์ของพวกเรา ทั้งในเว็บไซต์ กราฟิก และการวาดภาพประกอบ ถ้าหลายคนเคยเห็นเฉดสีและผลงานคุ้นตาเหล่านี้ก็ไม่ต้องแปลกใจ เพราะมันเริ่มฮิตมาตั้งแต่ช่วงปีที่แล้ว

ดำ เหลือง

คู่สีมีสไตล์ที่เป็นสี CI ของพวกเราชาว UNLOCKMEN ถือเป็นคู่สีต้องใช้เพื่อการออกแบบประจำปีนี้ เพราะความสว่างของสีเหลืองนีออนที่ตัดกับสีมีเสน่ห์ลึกแบบสีดำ ช่วยทำให้มู้ดของงานดูเรียบง่ายแต่ก็มีลูกเล่นน่าสนใจขึ้นมาในสายตา

ถ้าให้เปรียบเทียบสีดำ เหลือง คือคู่สีตัวแทนของผู้ชายลึกที่มีชั้นเชิงแต่ก็มีมาดกวนผสม คลาสสิกแต่ดูแพรวพราว เวลานำไปใช้จึงเตะตาแทบทุกงานจริง ๆ

 

ฟ้า แดง

ชุดสีของความสง่างาม เป็นสีเพอร์เฟ็กต์ที่ไม่ได้ใช้แค่เฉพาะบนธงชาติไทยเราเท่านั้น แต่ถ้าเอามาจับคู่ในงานดีไซน์ กราฟิก หรือการวาดภาพประกอบ การผสมผสานงาน 2 สีระหว่างน้ำเงินและแดงเป็น 2 สีหลักจะเป็นคู่คอนทราสต์ที่เติมเต็มซึ่งกันและกันอย่างลงตัว

ใครที่อยากเพิ่มลูกเล่น การไล่ระดับสีเข้ามาที่ม่วงช่วงกลางหรือแซมเหลืองจะสร้างมิติภาพให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น ดู ๆ ไปคู่สีนี้มักจะอยู่ในงานแนว Sci-fi เสียเยอะเหมือนกัน ใครที่ต้องทำงานรูปแบบเดียวกันแต่ยังไม่เคยใช้สีนี้เลย ปีนี้ลองเลือกมาท้าทายการออกแบบก็ไม่เสียหาย (ดีกว่าเสียดายที่ไม่ได้ทำ)

 

ม่วงอัลตร้าไวโอเลตและดอกดาเลียบาน

ตามสถิติ Pantone ยังบอกว่าทั้ง 2 สีนี้เป็นสีอินเทรนด์ที่น่าสนใจ คู่สีนี้จึงถือเป็นคู่สีทรงพลังมากเมื่อใช้ในงาน แม้กระทั่งกับงานประเภท UX / UI สำหรับการออกแบบแอปพลิเคชันเราก็ยังเห็นบ่อย ๆ ส่วนงานสไตล์ภาพประกอบที่ใช้คู่สีนี้เองก็ดึงมู้ดอารมณ์หน่วงเหงาได้ดี

 

ขาว ดำ

ไม่ว่าใครจะว่าอย่างไรหรือผ่านไปอีกกี่ปี นี่จะเป็นคู่สีที่ฆ่าไม่ตาย ต่อให้คนจะสามารถ Swatch และเนรมิตสีมาได้อีกกี่ล้านสีก็ตาม เพราะมันคือคู่สีที่คลาสสิกที่สุดในโลกสำหรับการออกแบบผลงานศิลปะทุกแขนง ไม่ใช่เฉพาะกับงานดิจิทัลเท่านั้น แต่งานประเภทแฟชั่น ภาพยนตร์ สถาปัตยกรรม ฯลฯ เองเขาก็เอาด้วย ชัดเลยว่าศิลปินทั่วโลกนิยมใช้เพราะมันเป็นคู่สีที่ดูมีรสนิยมที่สุดชุดหนึ่งเลยทีเดียว

งานแนว illusion หรือแม้แต่งาน Tatoo บนร่างกายเรา หลายคนก็ยังชอบแนว Old School สีดำว่าไหม ?

 

เทา เขียวสดใส

2 สีนี้ หลายคนเห็นตอนที่ยังไม่ออกมาเป็นผลงานมักจะบอกเป็นเสียงเดียวกันว่าดูพิษมาก ดูไม่สบายตา แต่ความจริงนี่เป็นคู่สียอดฮิตสำหรับการออกแบบเว็บไซต์เลยทีเดียว ถ้าต้องการโชว์ความไฮเทค หรือนวัตกรรม ที่สำคัญมันยังเป็นคู่สีสำคัญที่มักนำมาใช้ในการออกแบบแอปพลิเคชันด้วย

 

ส้มปะการัง เขียวนกเป็ดน้ำ

เฉดสีที่มองแล้วหยุดสายตา มีผลกับความรู้สึกมู้ดบวก ๆ อ่อนโยน ดูกระจ่างสายตาและมีความเป็นพาสเทลน่าใช้ ถ้าใครทำงานดิจิทัลอาร์ตจะเห็นเลยว่าหลายปีที่ผ่านมา ผู้คนนิยมใช้สีนี้มากจริง ๆ กระทั่งกับงาน On Ground เราก็มักจะเห็นสีใดสีหนึ่งในนี้ถูกเลือกไปใช้งานเสมอ ที่สำคัญ Coral นี่เคยติดทำเนียบสียอดนิยมของ Pantone ปีก่อนหน้านี้ด้วย จึงไม่แปลกที่มันจะนิยมมาจนถึงปี 2020

 

ดำ ส้ม

ดำเหลืองก็รอดและเป็นคู่สีเด่นของ พ.ศ. นี้แล้ว ดำส้มเองก็เป็นเฉดดีที่ดูเข้มแข็งน่าลองที่ไม่ต่างกัน เพราะถ้าเหลืองจับคู่ดำมันดูสดใส สีส้มที่เข้าใกล้สีน้ำตาลจะเป็นอีกมู้ดที่น่าสนใจ เนื่องจากสามารถไล่ระดับให้ดูกลมกลืนได้

อีกทั้งสีส้มเป็นสีโทนร้อน มันจะแผ่พลังงานออกมาทำให้มู้ดโทนของภาพที่เลือกใช้สีนี้ดูมีพลัง ดูล้ำและกระตุ้นความคิดสร้างสรรค์

 

ฟ้า ส้ม

คู่สีสุดท้ายที่เราต้องยอมรับว่าในฐานะคนวาดรูปเรามักจะเลี่ยงคู่สีนี้ เพราะโดนสอนตามตำรามาแต่ไหนแต่ไรว่ามันเป็นคู่คอนทราสต์ ใจไม่ถึงพอเลยไม่ค่อยเล่น แต่เห็นทีปีนี้จะต้องเปลี่ยนมาลองเล่นดูบ้างเพราะเขาชี้ว่าคู่สีที่ฟันกันโชะ ๆ แบบนี้เป็นคู่สีที่แสดงความมั่นใจ สร้างความรู้สึกเชื่อมั่น และแผ่มุมมองแง่บวกออกมา งานที่นิยมใช้คู่สีนี้บ่อย ๆ ส่วนมากจะเห็นในงานดิจิทัลอาร์ตและงานเว็บไซต์

 

สำหรับนักออกแบบคนไหนที่มี Outline วาง Lay out แล้วและอาจจะมีสีคู่บุญที่ใช้บ่อย ๆ ปีนี้เราอยากแนะนำให้คุณลองท้าทายทำงานคู่สีใหม่ดู แล้วคุณจะรู้ว่าอารมณ์กับความรู้สึกของภาพนั้นมันเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง ซึ่งนี่อาจจะเป็นทางเลือกทำให้งานที่เคยติดขัด เสนอเท่าไรก็ไม่ผ่าน สอบผ่านฉลุกก็เป็นได้

 

SOURCE

WEEKLY PLAYLIST: รวมเพลงสากลที่เกี่ยวกับ ‘ฝุ่น’ใส่แมสก์ให้พร้อม แล้วเปิดฟังให้คลุ้ง

$
0
0

จะเดินจะเหินไปที่ใดก็ไม่ได้หายใจเต็มปอด เพราะตอนนี้ฝุ่น PM 2.5 ได้กลับมายึดครองบ้านเมืองเราอีกครั้ง หลาย ๆ คนที่ยังไม่ได้ซื้อเครื่องกรองอากาศก็อยากให้พิจารณากันอีกครั้ง ถึงราคาจะสูงหน่อย แต่เพื่อสุขภาพที่ดีมีติดบ้านไว้สักเครื่องก็เพื่อตัวคุณเองนะครับ

แต่หากกล่าวถึงคำว่า ‘ฝุ่น’ ในโลกดนตรี เราค้นพบว่ามีศิลปินหลายคนทีเดียวที่นำคำ ๆ นี้มาเขียนในเพลง เนื่องด้วยมันเป็นสิ่งใกล้ตัวไม่ต่างกับสายลมแสงแดด แถมยังเป็นตัวร้ายของมวลมนุษยชาติมาอย่างยาวนาน ฝุ่นจึงถูกนำมาตีความแตกต่างกันไป อย่างไทยเราก็มีทั้งเพลง ฝุ่น ของ Big Ass หรือ ทางของฝุ่น ของอะตอม ชนกันต์ WEEKLY PLAYLIST สัปดาห์นี้ เราจึงรวบรวมเพลงสากลเกี่ยวกับฝุ่นที่น่าสนใจมาให้คุณได้ลองฟังกันบ้าง

Cities in Dust – Siouxsie And The Banshee

Siouxsie And The Banshees เจ้าแม่ Goth-Rock ยุค 70-80 ก็มีเพลงที่ชื่อว่า Cities Of Dust แปลเป็นไทยก็คือ ‘นครแห่งฝุ่น’ (กรุงเทพฯ ยุคปัจจุบันหรือเปล่าเนี่ย) อันที่จริงเพลงนี้เกี่ยวกับเมืองปอมเปอี ดินแดนที่สาบสูญ ซึ่งเธอก็ได้เปรียบเทียบว่า “โอ้ สหาย บ้านเมืองของเธอราบลงเป็นฝุ่นผง’ แม้เราจะไม่รู้แน่ชัดว่าเธอแต่งเพลงนี้ขึ้นมาเพื่ออะไร แต่ก็ถือว่าเป็นเพลงรำลึกประวัติศาสตร์ที่ดีเพลงหนึ่งเลยทีเดียว

Dust in the Wind – Kansas

Dust in the wind เพลงช้า ๆ ฟังสบายจาก Kansas หัวใจหลักของเพลงนี้คือแนวคิดที่ว่า ความตายคือสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ พวกเขาจึงเปรียบเปรยว่า เมื่อเวลามาถึง พวกเราทุกคนจะกลายเป็นเพียงฝุ่นลอยละล่องให้สายลมพัดพาผ่านไป ความตลกร้ายคือจริง ๆ Kansas เขาเป็นวงแนว Hard Rock เข้ม ๆ แต่เพลงที่สร้างชื่อเสียงให้พวกเขากลับเป็นเพลงนี้ซะงั้น แม้กระทั่งในปัจจุบันเพลงนี้ก็ยังมียอดสตรีมมิงสูงสุดในบรรดาทุกเพลงของเขาบน Spotify

Turn to Dust – Wolf Alice

คำว่า Turn To Dust ส่วนมากจะถูกนำไปอ้างอิงถึงความตาย แต่ Wolf Alice อัลเทอร์เนทีฟร็อกจากอังกฤษวงนี้ ได้นำวลี ‘แหลกสลายเป็นฝุ่นผง’ มาเล่าในมุมที่ต่างออกไป

ต้องเท้าความก่อนว่า Ellie Rowsell ฟรอนต์วูแมนตอนทำอัลบั้มนี้ เธอเผชิญทั้งโรคซึมเศร้าและโรควิตกกังวล Keep your beady eyes on me To make sure I don’t turn to dust (โปรดจับตาดูฉันไว้ให้ดี ๆ เพื่อให้มั่นใจว่าฉันจะไม่กลายเป็นเพียงฝุ่นละออง) คำว่า Beady Eyes อันที่จริงหมายถึงดวงตาที่กระตือรือร้น การขอให้คนรักจ้องมองด้วย ‘Beady Eyes’ จึงเหมือนการขอให้เขาจับตาดูเราไว้ให้ดี อย่าให้คลาดสายตา

ฉะนั้น Turn To Dust ในที่นี้จึงเปรียบเสมือนการจางหายไปจากใจคนรัก ซึ่งการขอให้คนรักจ้องมอง อาจจะตีความได้ว่าเธอกำลังร้องขอความรัก ความสนใจ หรือขอให้ดูแลเราในวันที่อ่อนแอก็เป็นได้ ทั้งนี้ทั้งนั้นก็สุดแล้วแต่ผู้ฟังจะตีความครับ

Dust – The Neighbourhood

อันที่จริงเพลงนี้เหมาะกับสถานการณ์บ้านเมืองเราในตอนนี้ที่สุดแล้วครับ เพราะ Dust ที่ The Neighbourhood สื่อคือการเล่าเรื่องวันสิ้นโลกในแบบฉบับของพวกเขา อีกทั้งวงยังต้องการจะสื่อถึงความไม่แน่นอนในอาชีพศิลปินที่มีขึ้นก็ต้องมีลง

“Thrashing in platinum dust Damage that can’t be undone” (ฟาดกระทบลงบนกองฝุ่นทองคำขาว ความเสียหายที่ไม่อาจย้อนคืน) ในเว็บไซต์ Genius มีคนตีความท่อนนี้แยกออกเป็นฝั่ง ฝั่งแรกบอกว่า พวกเขาจะสื่อถึงการที่สมาชิกในวงเอาแต่หาความสุข พอเว้นช่วงทำเพลงไปนานจึงเสื่อมความนิยม ส่วนอีกฝั่งก็บอกว่า ‘ไอ้ฝุ่นทองคำขาว’ อาจจะหมายถึงอาวุธในโลกอนาคต และน่าจะสื่อถึงความเศร้าสลดของสงครามมากกว่า เพื่อน ๆ ฟังแล้วรู้สึกอย่างไรก็ลองตีความกันดูนะครับ

Dust – Haelos

Haeloes วงอิเล็กทรอนิกส์แนว Trip Hop จากลอนดอน อัลบั้มที่ 2 Any Random Kindness (2019) ของพวกเขาได้รับคะแนนวิจารณ์เชิงบวกจากสื่อต่าง ๆ อย่างท่วมท้น แต่เพลง Dust ที่เราพูดถึงกันนี้ เป็นซิงเกิลแรกของวงที่ออกมาตั้งแต่ปี 2015

เพลงฝุ่นในแบบฉบับของพวกเขา คือการสื่อถึงความรักที่แหลกสลายอย่างชัดเจน “What happened to us? Torn from the moment Of weeping in dust” (เกิดอะไรขึ้นกับพวกเรา? มนตราระหว่างเราได้เสื่อมคลาย มลายกลายเป็นฝุ่น) ซึ่งคำว่า Weeping สามารถแปลความหมายได้ทั้ง ‘ถูกกวาดทิ้ง’ และ ‘ร้องไห้’ จัดว่าเป็นการเขียนเพลงที่ชาญฉลาดมากครับ

Another One Bites The Dust – Queen

Another One Bites The Dust ไม่ได้แปลว่าจะกินฝุ่น แต่เป็นสำนวนหมายถึง ‘การถูกทำลาย’ หรือความตายก็ได้ครับ ที่มาที่ไปของมันคือเวลาทหารถูกยิง พวกเขาจะล้มลงหน้าคะมำคลุกฝุ่นนั่นเอง

เพลงนี้ถูกแต่งโดย John Deacon มือเบสของวง ที่เปรียบเปรยถึงชายหนุ่มนามสตีฟผู้ถูกคนรักปฏิบัติตัวเลวร้ายใส่ เมื่อสตีฟทนไม่ไหว เขาจึงคว้าปืนกลออกไปไล่ล่าเธอคนนั้นเพื่อคิดบัญชี แถมยังจะยิงทุกคนที่ขวางหน้าให้พ้นทาง ดนตรีฟังสนุก แต่เนื้อเพลงโหดร้ายใช่ย่อย และเพื่อไม่ให้เกิดความรุนแรง เรามายิงหูตัวเองกันด้วยเสียงหวีดเจ๋ง ๆ จาก Freddie Mercury แทน รับรองว่าดีกว่ากันเยอะ

Dust on Trial – Shame

Shame คือวงโพสต์พังก์หน้าใหม่จากลอนดอนที่ทำเพลงได้ดาร์กและเดือดเป็นเอกลักษณ์ Dust On Trial หากแปลทื่อ ๆ ตรงตัวอาจจะแปลแบบงง ๆ ได้ว่า “ฝุ่นบนการทดลอง” แต่ที่มาที่ไปของเพลงนี้มาจาก Dust On Trial นั้้นเกิดขึ้นเป็นเพลงสุดท้ายหลังจากเพลงอื่น ๆ ในอัลบั้มเขียนเสร็จหมดแล้ว แรงบันดาลใจของการเขียนเพลงจึงเกิดจากการโยนไอเดียและทดลองของสมาชิกแต่ละคนทดลองแชร์กัน กระทั่งรวมร่างแล้วกลายเป็นเพลงที่เสร็จสมบูรณ์

คำว่า Dust On Trial มันเลยเปรียบเสมือน การเริ่มต้นจากศูนย์ (เหมือนเป็นแค่ฝุ่น) สู่การลองผิดลองถูกจนเห็นผลลัพธ์ เพราะวงเองก็ไม่คิดว่าท้ายที่สุดเพลงจะออกมาเป็นแบบนี้ ตอนแรกพวกเขาไม่ได้คิดอะไรเลย นั่นแหละครับที่ทำให้มันเจ๋ง!

Dust and Dirt – The Black Seeds

เอาใจคนอยากชิลกันบ้าง Dust and Dirt เพลงชวนโยกจาก The Black Seeds วงดนตรีจากนิวซีแลนด์ อันที่จริงเราก็ไม่แน่ใจว่าเนื้อเพลงเขาตั้งใจจะสื่ออะไร แต่ท่อนฮุค “Dust and dirt, and rain above begins A river blood, and pain, no trust, no end” (ฝุ่น ดิน และฝนที่ตั้งเค้ากลายเป็นสายน้ำโลหิต ความเจ็บปวด ไม่น่าไว้ใจ ไร้ที่สิ้นสุด) มันช่างคล้องจองติดหู จนเวลาฟังต้องโยกหัวโยกไหล่ตาม แต่ถ้าให้เดาวิถีชาวเร็กเก้แบบนี้ เพลงลักษณะนี้ คงหนีไม่พ้นเรื่องธรรมชาติและความเป็นไปของชีวิตครับ ใครชอบดนตรีไหล ๆ ฟังเพลิน น่าจะถูกใจ

Dust On The Ground – Bombay Bicycle Club

Dust On The Ground (ฝุ่นบนพื้นดิน) ของ Bombay Bicycle Club เป็นเพลงเกี่ยวกับการที่คนรักของเราหมดรักในตัวเราแล้ว แต่เขาอ้อมแอ้มจะให้เราเป็นฝ่ายบอกเลิกก่อนนั่นเอง “I am inches above The dust on the ground” คือการเปรียบเทียบคุณค่าของตัวเราว่าเป็นเพียงแค่ฝุ่นผงที่เกลือกกลิ้งอยู่บนพื้น ไร้ค่าไร้ความหมาย มาด่ากันว่าเป็นฝุ่นก็แย่มากแล้ว ถ้าถูกด่าเป็น PM 2.5 อีก ผมคงไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน

Dust Clear – Clean Bandit

Dust Clears เพลงอิเล็กทรอนิกส์ป๊อปเท่ ๆ อีกงานคุณภาพจากวง Clean Bandit คำว่า Dust Clear ในที่นี้หากแปลตรงตัวจะมีความหมายว่า ‘ฝุ่นจาง’ ความฉลาดของเพลงนี้คือการทำให้เนื้อเพลงกลายเป็นบทสนทนาตอบโต้ระหว่างคนสองคน โดยฝั่งผู้ชายจะเป็นตัวแทนของความสงสัยและสับสน “As the dust clears and it all starts to disappear” (เมื่อฝุ่นละอองจางลง ทุกสรรพสิ่งเลือนหาย) “It may get harder ’cause you just restarted” (มันอาจจะยากสักนิด เพราะคุณเองก็เพิ่งเริ่มต้นใหม่)

ส่วนฝ่ายหญิงคือฝั่งตรงข้ามที่พยายามจะดึงผู้ชายให้กลับสู่โลกแห่งความจริง “You better get real, real, real and Realise that the situation’s going nowhere” (คุณควรจะกลับสู่ความเป็นจริง และตระหนักได้แล้วว่าสถานการณ์นี้มันไปไหนก็ไม่รอด) เมื่อมาวิเคราะห์โดยรวมแล้ว บางท่อนอาจสื่อไปถึงความสัมพันธ์ของคนสองคน และสามารถสื่อความได้หลากหลายทั้งในแง่ของมิตรภาพ ชีวิต ธรรมชาติ และความเป็นไป สุดแล้วแต่การรับรู้ของผู้ฟังครับ

ถึง 10 เพลงเกี่ยวกับฝุ่นนี้ จะไม่ต้องสวมหน้ากากก็สามารถเปิดฟังได้ แต่ช่วงนี้ก็ต้องปลอดภัยไว้ก่อนนะครับ ออกจากบ้านอย่าลืมสวมหน้ากากอนามัย ล้างมือให้สะอาดบ่อย ๆ โรคภัยไข้เจ็บจะได้ไม่ถามหา เก็บเรี่ยวแรงมาฟังเพลงดีกว่าต้องนอนป่วยครับ


MAMBA MENTALITY: เส้นทางความสำเร็จของ KOBE BRYANT ผู้มีจิตใจเข้มแข็ง กระหายชัยชนะและหลงใหลการฝึกซ้อม

$
0
0

I can’t relate to lazy people. We don’t speak the same language. I don’t understand you. I don’t want to understand you

นี่คือคำพูดที่ โคบี ไบรอันท์ เคยพูดไว้ในสมัยยังเป็นผู้เล่นในลีก NBA ฟังเผิน ๆ ประโยคนี้อาจฟังดูหยิ่งยโสในสายตาใครหลายคน แต่ใครที่รู้จักชายคนนี้ ในเกมบาสเกตบอลคงรับรู้ได้ว่านี่คือคำพูดที่จริงใจ ไม่ได้ต้องการดูถูกใคร เพราะเขาคือคนที่แสดงความเคารพต่อตัวเองและผู้อื่นอย่างตรงไปตรงมาเสมอทั้งในและนอกสนาม รวมถึงความสำเร็จตลอดอาชีพการเล่นบาสเกตบอลที่กลายเป็นต้นแบบให้คนรุ่นหลังจำนวนมาก

  • NBA Champion 5 สมัย( 2000–2002, 2009, 2010 )
  • ผู้เล่นทรงคุณค่า NBA Final 2 สมัย ( 2009, 2010 )
  • ผู้เล่นทรงคุณค่าฤดูกาลปกติ ( MVP ) 1 สมัย 2008
  • เหรียญทองกีฬา Olympic  2 สมัย ( 2008 ,2012 )

ทั้งหมดนี้คือความสำเร็จของมนุษย์คนนี้ในรูปของเหรียญและถ้วยรางวัล รวมถึงการเป็นเจ้าของสถิติทำแต้มมากที่สุดตลอดกาลเป็นอันดับ 4 ของ NBA และสร้างปรากฏการณ์ในสนามต่อเกมบาสเกตบอลนับครั้งไม่ถ้วน

ทั้งหมดเป็นเครื่องยืนยันว่าเขาคือนักกีฬาที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในหน้าประวัติศาสตร์วงการบาสเกตบอลและวงการกีฬาของโลกซึ่งวันนี้ได้จากไปด้วยวัย 41 ปี เพื่อลำรึกถึงชายที่เป็นแบบอย่างให้ผู้คนทั่วโลก เรามาย้อนชมแนวความคิดอันแข็งแกร่งของตำนานคนนี้ไปพร้อมกัน

 

มุ่งมั่นในความฝันและจุดหมาย

จดหมายที่โคบี  ไบรอันท์เขียนถึงบาสเกตบอลหลังจากที่เลิกเล่นไปแล้วโดยเนื้อหาบางส่วนกล่าวถึงช่วงเวลาที่เขารู้สึกตกหลุมรักกีฬาชนิดนี้ ตั้งแต่ยังเป็นเด็กที่ต้องปั้นถุงเท้าเก่า ๆ ของพ่อมาใช้ชู้ตแทนลูกบาส ตอนนั้นเขามีความฝันที่จะเป็นให้ยอดทีมอย่าง Los Angels Lakers และเป็นหนึ่งในผู้เล่นที่ดีที่สุดตลอดกาลของ NBA หลังจากนั้นชีวิตของเขาก็ไม่เคยอยู่ห่างบาสเกตบอล

เมื่อเขาอายุได้ 18 ปี  72 วัน โคบี ไบรอันท์ที่เพิ่งเรียนในระดับ High School ตัดสินใจเดินตามความฝันของตัวเองด้วยการประกาศพร้อมเข้าเล่นใน NBA ก่อนที่สโมสร Charlotte Hornets ตัดสินใจเลือกเขาเข้าทีม โดยเป็นดราฟต์อันดับที่ 13 ของปี 1996

แต่เหมือนโชคชะตาจะอยากให้เขาได้ไปลงเอยกับทีมที่ฝันมาตั้งแต่วัยเด็ก เพราะในวันเดียวกัน Chatlotte Hornets ติดสินใจแลกเปลี่ยนตัวเขาให้กับ Los Angeles Lakers กับข้อเสนอที่เห็นว่าคุ้มค่ากว่าการเก็บเด็กที่อายุเพียง 18 ในตอนนั้นเอาไว้ในทีม 

นับจากนั้นมาโคบี ไบรอันท์ ก็ไม่เคยย้ายทีมไปไหนและสร้างความสำเร็จมากมายมาสู่ Los Angeles Lakers จนกลายมาเป็นหนึ่งในผู้เล่นที่ดีที่สุดตลอดกาลของ NBA เหมือนที่เขาเคยวาดฝันเอาไว้ในวัยเด็ก

 

รู้จักตัวเอง อย่าเปรียบเทียบกับใคร

ระหว่างเล่นใน NBA ในฐานะผู้เล่นดาวรุ่ง พรสวรรค์และความตั้งใจที่มีทำให้ผลงานในสนามของเขาโดดเด่นมากกว่าใครในช่วงอายุเดียวกัน แต่เมื่อเกิดความโดดเด่นย่อมมีการเปรียบเทียบตามมาเป็นธรรมดา และสื่อยุคน้ันทุกสำนักต่างนำเขาไปเปรียบเทียบกับผู้เล่นที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาลอย่าง ไมเคิล จอร์แดน เสมอ

คำถามที่ว่า ใครคือผู้เล่นที่ดีที่สุดระหว่างทั้งสองคนก็ถูกถามขึ้นตลอดเวลา แม้โคบี ไบรอันท์จะแสดงออกว่าเคารพจอร์แดนมาตลอด แถมบอกว่า ไมเคิล จอร์แดนคือชายที่เป็นต้นแบบมาตั้งแต่เด็ก หนึ่งในคำตอบที่แสดงให้เห็นว่าเขาไม่เคยคิดจะเปรียบเทียบตัวเองกับใคร และสนใจทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีก่อนเท่านั้นคือการให้สัมภาษณ์ว่า

“ผมไม่ได้อยากเป็น Michael Jordan คนต่อไป ผมต้องการแค่เป็น Kobe Bryant เท่านั้นเอง”

 

ทำงานหนักกว่าและเริ่มก่อนคนอื่นเสมอ

“Kobe has proven to the world that legends aren’t born, they’re made! “

คำพูดจากคนใกล้ตัวโคบีที่แสดงให้เห็นว่าความสำเร็จทั้งหมด ไม่ได้มาจากพรสวรรค์ของโคบีเพียงอย่างเดียว แต่มาจากการฝึกซ้อมซ้ำแล้วซ้ำอีก การฝึกยิงในจุดเดิมซ้ำ ๆ พัฒนาร่างกายอย่างต่อเนื่อง จดจำแผนการเล่นทุกครั้งที่ฝึกฝน ทั้งหมดคือเบื้องหลังความสำเร็จที่แท้จริงชายคนนี้

Stephen A Smith นักข่าวกีฬาผู้คร่ำหวอดอยู่ในวงการเคยให้ความเห็นว่า “เพื่อนของโคบีเคยบอกผมว่า ชายคนต้องการเวลานอนแค่ 5-6 ชั่วโมงต่อวันเท่านั้นในสมัยรุ่น ๆ  เขาไม่ต้องการพัก 8 ชั่วโมงขึ้นไปเหมือนคนอื่น ๆ ครั้งหนึ่งในแคมป์เก็บตัวนักกีฬา Olympics ของปี 2008 ผู้เล่นทุกคนต่างรู้สึกประหลาดใจ เมื่อเห็นตารางการฝึกซ้อมของโคบี้ซึ่งมักจะมาโรงยิมตอนตี 5 หรือก่อนคนอื่นประมาน 2 ชั่วโมงเพื่อเริ่มฝึกซ้อมก่อนและออกจากโรงยิมหลังนักกีฬาคนอื่นเสมอ  แถมเขายังทำแบบนี้มาตั้งแต่สมัยไฮสคูลแล้ว

 

ไม่เคยยอมแพ้

ตลอดระยะเวลา 20 ปี ที่โคบีเล่นใน NBA ตัวเขาต้องเผชิญกับอาการบาดเจ็บที่ส่งผลรุนแรงต่อการลงสนามของเขามากถึง 22 ครั้ง โดยเฉพาะอาการบาดเจ็บที่เข่าซ้ายในปี 2013 ทำให้เขาต้องพักรักษาตัวเป็นเวลานานกว่าที่จะกลับมาลงแข่งได้อีกครั้ง ปัญหาอาการบาดเจ็บของนักกีฬาไม่ได้มีผลกระทบต่อด้านร่างกายเพียงอย่างเดียว

เพราะการบาดเจ็บรุนแรงมีผลกับเรื่องความมั่นใจอีกด้วย ในอดีตมีนักกีฬามากมายต้องยอมแพ้ให้กับการบาดเจ็บเพราะสภาพจิตใจไม่สามารถทนรับต่อความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นได้  แต่ทว่าโคบีเลือกที่จะต่อสู้กับอาการบาดเจ็บรวมถึงโปรแกรมฟื้นฟูตัวเอง และทุกครั้งที่ตัวเขากลับมาลงสนามมักจะกลับมาพร้อมความกระหายในชัยชนะที่มีมากกว่าเดิม

นั่นคือส่วนหนึ่งของผู้ชายเจ้าของฉายา Black Mamba แห่งวงการบาสเกตบอล ด้วยจิตใจที่แข็งแกร่ง และการใช้ชีวิตที่มีระเบียบวินัย ที่กลายเป็นเส้นทางให้คนรุ่นหลังมองเป็นแบบอย่างต่อไป อย่างไรก็ตามแม้วันนี้ชายที่คือ โคบี ไบรอันท์จะจากไปโลกแล้ว แต่เรื่องราวมากมายที่ตัวเขาสร้างขึ้นและฝากไว้จะถูกพูดถึงและคงอยู่ไปตลอดกาล 8/24  

Source , Source 2 , Source 3

‘BMW ART CAR’ จากโมเดลรถยนต์คลาสสิกระดับตำนาน สู่ศิลปะร่วมสมัยความเร็วสูงบนสนามแข่ง

$
0
0

ศิลปะ คือ ความพากเพียรของมนุษย์

ศิลปะ คือ ผลผลิตแห่งความคิดสร้างสรรค์​

ศิลปะ คือ การปลดปล่อยอารมณ์และถ่ายทอดไปยังผู้ชม

ไม่ว่านิยาม ‘ศิลปะ’ ของคุณจะเป็นแบบไหนหรือมีมากมายขนาดไหน คงต้องยอมรับว่าศิลปะนั้นเป็นสิ่งจรรโลงใจที่สามารถแทรกแซงเข้าไปได้ทุกพื้นที่ และสืบเสาะหาศิลปินทุกผู้ทุกนามจนเจอเสมอ แต่ในยุคที่โลกกำลังเดินหน้าและดูเหมือนจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างก้าวกระโดดเฉกเช่นตอนนี้ นิยามของศิลปะในอดีตก็อาจถูกเปลี่ยนไปด้วยเช่นกัน

ผลงานศิลปะบางชิ้นถูกตัดสินว่าเก่าคร่ำครึและค่อนไปทางโบราณ บ้างถูกตีค่าว่าเป็นศิลปะยุคใหม่ที่ไร้ขนบ แล้วเชื่อว่าศิลปะทั้งสองอย่างนี้คงจะเลือนรางและจางหายไปในสักวัน จะมีก็แต่ ‘ศิลปะร่วมสมัย’ ที่คงอยู่จากรุ่นสู่ คงอยู่ท่ามกลางจุดเปลี่ยนของยุคสมัย และอาจอยู่ในความทรงจำของใครหลายคน ๆ มาโดยตลอด

ย้อนไปในปี 1975 นั่นเป็นครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ที่บริบทของศิลปะเปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง ศิลปะไม่ได้จำกัดอยู่แค่บนผืนผ้าใบหรือในพิพิธภัณฑ์อีกต่อไป หากสอดแทรกอยู่แทบทุกที่รอบตัวเรา แม้แต่บนหลังคา ปีก หรือฝากระโปรงของรถยนต์หรูก็ตาม

BMW ART CAR โปรเจกต์ตำนานที่ผสาน ‘ศิลปะ’ เข้ากับ ‘ความเร็ว’ ของรถยนต์

จุดเริ่มต้นของโปรเจกต์BMW Art Car’ เกิดจากน้ำพักน้ำแรงของ Hervé Poulain นักแข่งรถและนักประมูลรถชาวฝรั่งเศส ที่รวบรวมความรักทั้งสองด้านของเขาเข้าด้วยกัน หนึ่งคือศิลปะที่เขาหลงใหล สองคือความเร็วที่เขาหลงรัก

ในปี 1975 เขาจึงเชิญชวนศิลปินหลากหลายแขนงมาร่วมรังสรรค์ผลงานศิลปะ และถ่ายทอดความคิดสร้างสรรค์ตลอดจนอารมณ์ความรู้สึกลงบนโมเดลรถยนต์ค่าย BMW เนรมิตยานพาหนะเพื่อการขับขี่ให้กลายเป็นผ้าใบผืนใหญ่ เปิดโอกาสให้ศิลปินใช้พื้นที่ว่างสร้างสรรค์งานศิลปะที่สะท้อนเอกลักษณ์และตัวตนของพวกเขา

อีกความฝันของ Hervé Poulain คือการนำโมเดลรถศิลปะไปร่วมแข่งในสนาม 24 ชั่วโมง เลอม็อง (24 Hours of Le Mans) อันเป็นสนามแข่งที่ใช้ทดสอบความทนทานของรถยนต์และความอึดของนักแข่ง โดยต้องขับรถด้วยความเร็วสูงอย่างต่อเนื่องตลอด 24 ชั่วโมงเต็ม

ฟังดูแล้วน่าจะเป็นเรื่องเพ้อเจ้อ ไม่ก็ฝันกลางวันที่ไม่มีทางเป็นจริง แต่ผู้ที่เปลี่ยนความฝันของ Hervé Poulain ให้กลายเป็นความจริงคือ Alexander Calder เพื่อนและศิลปินชาวอเมริกันที่ได้รับมอบหมายให้ดีไซน์ BMW Art Car คันแรกของโลก

เขานำโมเดล BMW 3.0 CSL มาทาสีทั่วคันรถและกระจายมวลสีขนาดใหญ่ไปทั่วปีก ฝากระโปรง รวมทั้งหลังคา ใช้เส้นเว้าเส้นโค้งเข้ามาช่วยให้รถดูสนุกสนานและไม่แข็งกร้าวจนเกินไป ขณะเดียวกันโทนสีที่ดูสดใสร้อนแรงก็ถ่ายทอดกลิ่นอายร่วมสมัยออกมาอย่างไร้ที่ติ

ตั้งแต่วินาทีที่ Alexander Calder BMW 3.0 CSL คันนี้ลงไปโลดแล่นบนสนามแข่ง Le Mans รถยนต์ศิลปะคันแรกของโลกก็ถือกำเนิดขึ้นอย่างเป็นทางการ แถมยังโดดเด่นสะดุดตาจนขโมยความสนใจของคนในสนามไปอย่างถล่มทลาย

Alexander Calder BMW 3.0 CSL คันนี้เป็นหนึ่งในผลงานศิลปะชิ้นสุดท้ายก่อนที่ Alexander Calder จะลาจากโลกนี้ไป แต่การตายของเขาหาได้เป็นจุดจบแต่อย่างใด หากเป็นจุดเริ่มต้นให้ศิลปินคนอื่น ๆ เข้ามาร่วมสร้างสรรค์ผลงานศิลปะทรงคุณค่าบนโมเดลรถ แล้วนี่คือ BMW Art Car ทั้ง 5 คันที่บอกเล่าความร่วมสมัยและศิลปะความเร็วสูงระดับตำนาน

Frank Stella BMW 3.0 CSL, 1976

Frank Stella จิตรกร ประติมากร และช่างพิมพ์ชาวอเมริกัน ผู้โด่งดังจากการสร้างผลงานศิลปะเรียบง่ายแฝงความหมายนามธรรมสุดลึกซึ้ง เขานำตารางสี่เหลี่ยมสีดำขาวมาวางทาบลงบนโมเดลรถคลาสสิก BMW 3.0 CSL

เส้นตารางที่มีช่องว่างแม่นยำชวนให้นึกถึงกระดาษกราฟขนาดใหญ่ ขณะเดียวกันก็มีเส้นสายสีดำหนารอบคันรถช่วยเสริมลวดลายให้ดูเด่นชัดยิ่งขึ้น บรรดาเส้นโค้งหลากที่มาไม่เพียงเกี่ยวเนื่องเชื่อมโยงกัน แต่ยังหลอกสายตาจนทำให้เราเผลอคิดว่ามันคืองานสามมิติ

แม้นี่จะเป็นผลงานที่ใช้ลายเส้นสีดำและการจัดองค์ประกอบศิลป์เป็นหลัก แต่ก็สอดแทรกความเป็นรถแข่งและความสปอร์ตผ่านหมายเลข 21 และรูปลักษณ์งานดีไซน์ที่ได้แรงบันดาลใจมาจากรถแข่ง Coupé

Roy Lichtenstein BMW 320i, 1977

เมื่อ Roy Lichtenstein ต้องการให้ลายเส้นที่วาดเป็นเหมือนภาพท้องถนนที่บอกว่ารถกำลังจะเดินทางไปไหน เขาจึงนำโมเดลรถ BMW 320i มาสร้างสรรค์ BMW Art Car ตามแบบฉบับของตน

เนื่องจาก Roy Lichtenstein เป็นศิลปินป๊อปอาร์ตสัญชาติอเมริกัน ที่โด่งดังมาจากงานศิลปะการ์ตูนล้อเลียนเรื่อง American Way of Life เขาจึงเลือกใช้โอกาสนี้สร้างงานศิลปะสุดกวนอีกครั้ง

แม้ลวดลายรถที่มองเห็นจากระยะไกลจะดูคล้ายกับทัศนียภาพสองข้างทางขณะรถแล่น แต่เมื่อเดินเข้าไปใกล้ ๆ จะพบว่ามีลาย Benday Dots ถูกประดับตกแต่งตามจุดต่าง ๆ แถมลวดลายสุดกวนโอ๊ยนี้ยังชวนให้นึกถึงภาพเขียนชื่อดังของเขา

Ernst Fuchs BMW 635 CSi, 1982

แม้แต่ Ernst Fuchs ศิลปินชาวออสเตรียก็ขอปลดปล่อยความคิดสร้างสรรค์ และถ่ายทอดสุนทรียภาพตามมุมมองความคิดของเขาลงบนโมเดลรถ BMW 635 CSi แถมนี่ยังเป็นรถยนต์ศิลปะคันแรกในโปรเจกต์ BMW Art Car ที่ใช้กระบวนการผลิตแบบรถยนต์จริง ๆ

Ernst Fuchs ตั้งชื่อผลงานนี้ว่า Fire Fox on a Hare Hunt ฉายภาพจินตนาการของเขาที่มองเห็นกระต่ายกระโดดข้ามกองไฟที่กำลังลุกโชนในยามค่ำคืน โทนสีของรถคันนี้จึงได้แรงบันดาลใจมาจากเปลวเพลิงร้อนแรงและความกล้าหาญของกระต่าย ทั้งยังสะท้อนความโมเดิร์นและร่วมสมัยในเวลาเดียวกัน

Esther Mahlangu BMW 525i, 1991

ไม่บ่อยนักที่เราจะเห็นศิลปะที่พัฒนามาจากภาพวาดแบบดั้งเดิมของชนเผ่า บนรถยนต์ที่สะท้อนถึงอนาคตและโลกยุคใหม่ แต่ศิลปินชาวแอฟริกัน Esther Mahlangu ก็นำโมเดลรถ BMW 525i มาใช้เป็นสื่อกลาง เพื่อบอกเล่าศิลปะดั้งเดิมในชนเผ่าของเธอทั่วคันรถ

เมื่อยนตรกรรมยุคใหม่ผสมผสานกับวัฒนธรรมประเพณีเก่าแก่ จึงเกิดเป็น BMW Art Car สไตล์ร่วมสมัย ที่ศิลปินใช้เทคนิคเฉพาะตัวพูดถึงศิลปะ Ndebele อันเป็นเอกลักษณ์ของประเทศแอฟริกา

ผลงานชิ้นนี้ไม่เพียงทลายกรอบความคิดเดิม ๆ ของงานดีไซน์รถยนต์หรู หากยังเป็นตัวแทนในการเผยแพร่งานศิลปะดั้งเดิมและช่วยรักษาขนบธรรมเนียมประเพณีของชนเผ่าในแอฟริกาเอาไว้อีกด้วย

Jenny Holzer BMW V12 LMR, 1999

Jenny Holzer ศิลปิน neo-conceptual ของอเมริกา ผู้เชื่อว่าการใช้ภาษานำเสนอเนื้อหานั้นทำให้คนที่ไม่เข้าใจศิลปะเข้าใจมันได้อย่างถ่องแท้ เอกลักษณ์ของงานเธอคือการส่งมอบคำพูดและแนวคิด ซึ่งเธอก็นำเทคนิคเฉพาะตัวมาร่วมวงสร้างสรรค์ในโปรเจกต์ BMW Art Car ด้วย

Jenny Holzer ใช้ตัวอักษรโครเมียมสะท้อนแสงและสีฟลูออเรสเซนต์ประดับตกแต่งบนรถ BMW V12 LMR เพื่อให้แน่ใจว่าสีของ BMW คันนี้จะปรากฏให้เห็นตลอด 24 ชั่วโมงของการแข่งขันในสนาม Le Mans

นอกจากนั้นเธอยังเขียนประโยค “Protect Me From What I Want” ด้วยแผ่นฟอยล์สีใสที่เมื่อสะท้อนกับท้องฟ้าในตอนกลางวัน ตัวแผ่นจะเปลี่ยนเป็นสีฟ้าสุดเท่ที่ผิดจากตอนกลางคืน

นี่เป็นเพียงรถยนต์ 5 คัน จากทั้งหมด 19 คันในโปรเจกต์ BMW Art Car เท่านั้น แต่เราเชื่อว่าศิลปะความเร็วสูงคันอื่น ๆ ของค่าย BMW ยังถูกบันทึกอยู่ในใจของผู้ชายหลายคนเสมอ เพราะไม่เพียงมอบพื้นที่ให้ศิลปินได้แสดงความคิดสร้างสรรค์ ทัศนคติ และแรงบันดาลใจ แต่โปรเจกต์ BMW Art Car ยังเป็นตำนานที่เปลี่ยนนิยามของศิลปะไปตลอดกาล

ปัจจุบัน BMW Art Car ก็ยังถูกคิดค้นและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง แสดงให้เห็นว่าค่ายรถใบพัดสีฟ้าค่ายนี้ให้ความสำคัญกับศิลปะและงานดีไซน์ ไม่แพ้สมรรถนะและขุมพลังขับเคลื่อนเครื่องยนต์สุดแกร่งของเขาเลย

ต้องรอดูว่าเร็ว ๆ นี้ BMW จะสร้างปรากฏการณ์อะไรให้เราเห็นอีกบ้าง แต่คาดว่า BMW Art Car คันต่อไปคงขโมยความสนใจของคนทั้งโลกอย่างถล่มทลาย เฉกเช่นรถ Alexander Calder BMW 3.0 CSL ที่เคยจารึกประวัติศาสตร์เมื่อปี 1975 และเป็นตำนานจวบจนทุกวันนี้

ไม่มีอะไรที่ XIAOMI ทำไม่ได้! โรคระบาดปุ๊บก็ระดมทุนสร้างโคมไฟฆ่าเชื้อโรคในอากาศออกมา

$
0
0

ขณะที่จีนก็กำลังกักกันเชื้อโรคอย่างต่อเนื่อง แบรนด์ดังในรอบปีอย่าง Xiaomi เองก็ไม่พลาดโอกาสนี้ ตีเหล็กตอนกำลังร้อน ส่งนวัตกรรมตัวใหม่ FIVE Smart Disinfection and Sterilization Lamp ที่ไม่ได้บอกว่าจะฆ่าโคโรน่าได้ แต่ที่แน่ เขายืนยันว่าฆ่าเชื้อโรคชนิดไหนก็ตามที่แพ้แสง UVC ยังไงก็ตายเรียบแน่นอน

ใครที่ตามข่าวโคมไฟชนิดนี้อาจจะได้ยินชื่อ Xiaomi Youpin และสงสัยว่ามันอันเดียวกับ Xiaomi ไหม คำตอบคือแบรนด์เดียวกันแต่ทำหน้าที่ต่างกัน เพราะ Youpin จะแยกไว้สำหรับรองรับโครงการระดมทุนเพื่อสร้างนวัตกรรมโดยเฉพาะ ก็เรียกได้ว่าคล้าย Kickstarter แต่ว่าเป็นระบบของจีน ปล่อยโปรเจกต์โคมไฟฆ่าเชื้อโรคในร่มออกมา ขนาดกะทัดรัด  245 x 120 x 120 มม. มีขนาดเบาเพราะทำจากพลาสติกและโลหะ (ช่วงแกนกลาง) สามารถฆ่าเชื้อโรคได้ในพื้นที่ระหว่าง 20-30 ตารางเมตร

หลักการทำงานของมันคือการใช้คลื่นของรังสีอัลตราไวโอเลตที่ใช้ทางการแพทย์หรือเป็นที่รู้จักกันในนามของแสงอาทิตย์มาใช้เพื่อฆ่าเชื้อโรค เรียกง่าย ว่า จับแสงอาทิตย์มาใส่โคมไฟในร่มแล้วเปิดฆ่าเชื้อโรค ในบ้านโดยสามารถสั่งและควบคุมผ่านแอปพลิเคชันที่ชื่อว่า Mijia ได้ทันที

อธิบายให้เห็นภาพชัดมากขึ้นว่าเจ้าโคมไฟที่แสงเหมือนโคมไฟที่ช็อตยุงที่เราเคยใช้ตอนเด็ก นี้มันมีประโยชน์อย่างไร ตามปกติเชื้อโรคต่าง ที่เรามองไม่เห็น แฝงตัวอยู่ทุกที่ แม้แต่บนที่นอนเราที่มักจะมีไรฝุ่นซ่อนอยู่ตามหมอน บางบ้านเลี้ยงสัตว์เลี้ยงไว้ในห้องนอน แบคทีเรียต่าง ที่ติดมาก็จะมากอง บนที่นอนเราด้วยโดยที่เราไม่รู้ตัว จังหวะที่ร่างกายแข็งแรงเราก็ไม่รู้สึกอะไร แต่พอเราเริ่มภูมิคุ้มกันตก เชื้อโรคเหล่านี้ก็จะเริ่มมารุมแสดงอาการ ดังนั้น ถ้าเรามีสิ่งนี้วางไว้ มันจะสามารถฆ่าไวรัสใหม่ ได้มากถึง 99.99%

ความฉลาดอีกอย่างของมันคือ ถึงจะฆ่าโคโรน่าไม่ได้ แต่กรณีที่สถานที่ที่เรานำมันไปวางมีเชื้อโรคที่ฆ่าด้วย UVC ไม่ได้กระจายเต็มไปหมด มันจะแจ้งเตือนเข้ามือถือเรา ดังนั้น ถ้าซื้อมาวางในบ้าน หรือสถานที่ไหนก็ตามแล้วแจ้งเตือนเข้า แนะนำให้เผ่นไปเลย อย่าไปอยู่แถวนั้น

แม้ข้อดีจะมีมาก แต่การนำแสง UVC ปกติเป็นคลื่นที่สามารถใช้ประโยชน์กับการฆ่าเชื้อโรคในอากาศ พื้นผิวและน้ำ ก็มีข้อเสียที่ต้องใส่ใจเช่นกันเพราะหากรับลำแสงโดยตรงจะอันตรายต่อผิวหนังและดวงตาได้ Xiaomi จึงออกแบบมาอย่างรัดกุม ใช้วัสดุนำเข้าโคมอัลตาไวโอเลตจาก Phillips จำกัดไอปรอทเพียง 1/10 ของปริมาณโลหะหนักที่ปล่อยออกมา จึงลดความเสี่ยงจากการรับมลพิษจากปรอท รวมทั้งผลิตชิปใหม่ให้ควบคุมการจ่ายแสงออกมาอย่างสม่ำเสมอตลอดการใช้งานเพื่อความปลอดภัย

ส่วนบ้านหลังไหนที่มีเด็กแล้วกลัวว่าจะเป็นอันตราย เขาก็บอกว่าตั้งระบบล็อกไว้เป็นพิเศษไม่ให้ทำงานเมื่อเด็กพลั้งมือกด และมีระบบตั้งเวลาให้สามารถทำงานได้หลังจากที่เราเดินออกจากห้องไป ดังนั้นจึงไม่ต้องกังวลเพราะมันเปิดทางไกลได้ไม่ต่างจากเวลาเราเปิดที่กรองอากาศของ Xiaomi นี่แหละ

ปัจจุบัน FIVE Smart Disinfection and Sterilization Lamp อยู่ระหว่างระดมทุน หากสำเร็จตามยอดเราคงมีโอกาสได้เห็นมันเป็นรูปธรรมและอาจมีโอกาสได้นำมาใช้ ใครที่อยากร่วมสนับสนุนไว้ลุ้นใช้งานกับเขาตอนถูก ตอนนี้บอกเลยว่าตั้งราคาอยู่ที่ราคาเพียง 149 หยวน หรือราว 660 บาทเท่านั้น

 

SOURCE

MOTIVATHLETE: จิตวิญญาณของนักสู้และเบื้องหลังการกลับมาของ CONOR MCGREGOR

$
0
0

“สำหรับผมมันไม่เกี่ยวกับเงิน ผมอยู่ในจุดที่สามารถทำเงินได้ตลอดชีวิต และเงินมากแค่ไหนก็หยุดความกระหายครั้งนี้ไม่ได้ ความต้องการที่จะแข่งขัน ความสนุกและการใช้ชีวิตในแบบที่ตัวเองต้องการ รวมถึงสิ่งที่อยากให้เกิดขึ้นในชีวิต”

คือคำพูดที่ คอเนอร์ แม็คเกรเกอร์ (Conor McGregor) พูดถึงเหตุผลในการกลับมาฟาดปากในกรงแปดเหลี่ยมอีกครั้ง หลังห่างหายไปตั้งแต่เดือนตุลาคมปี 2018 การกลับมาคราวนี้แสดงให้เห็นว่าเขาหิวกระหายการต่อสู้ในศึก UFC 246 เมื่อวันนี้ 19 มกราคมคมที่ผ่านมา และเกรียนไอริชก็ไม่ได้มีดีแค่ฝีปากเท่านั้น เขาใช้เวลาเพียง 40 วินาทีเอาชนะ Donald ‘Cowboy’ Cerrone ชายผู้ครองสถิติชกชนะมากที่สุดในประวัติศาสตร์ UFC ได้ในยกแรก

NYT

แม้การต่อสู้ครั้งนี้ถูกขาใหญ่คาดการณ์ไว้แล้วว่า The Nototrious น่าจะเอาชนะ CowBoy ได้ แต่ไม่มีใครคิดว่าจะเป็นเวลา 40 วินาทีของยกแรกแบบนี้ พร้อมท่าทางที่สุขุมมากขึ้น กวนตีนคู่แข่งน้อยลง แถมขนาดของกล้ามเนื้อยังอยู่ในสภาพเยี่ยม แต่อะไรคือเบื้องหลังความสำเร็จของในการกลับมาครั้งนี้กันแน่?

Mark J. Rebilas-USA TODAY Sports

ย้อนกลับไปในปี 2019 หลังจากคอเนอร์ แม็คเกรเกอร์และทีมงานรู้กำหนดการแข่งขัน แม้จะยังไม่รู้ว่าคู่ต่อสู้คือใคร แต่เวลานั้นแคมป์เก็บตัวของ The Notorious ก็เริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง โดยเหลือเวลาไม่ถึง 5 เดือนและมีเรื่องที่ต้องทำสารพัด ไม่ว่าจะเป็นโปรแกรมฝึกซ้อมรวมถึงการรักษาน้ำหนักร่างกาย

อย่างที่ทราบกันดีว่าตั้งแต่คอเนอร์เข้ามาแข่งใน UFC ตัวเขาเป็นนักสู้ที่ต้องปรับน้ำหนักตัวบ่อยมาก ตั้งแต่น้ำหนักตัว 145 ปอนด์ สมัยชกในรุ่น Feather Weight  สู่น้ำหนัก 155 ปอนด์ ตอนชกกับ Eddie Alvarez และน้ำหนัก 168 ปอนด์ ตอนฟาดปากกับ Net Diaz สุดท้ายคือน้ำหนักตอนต่อยมวยสากลกับฟลอยด์ด้วยน้ำหนัก 153 ปอนด์

The Sun

การเพิ่มน้ำหนักขึ้นมาที่ 170 ปอนด์เพื่อกับสู้กับ Donald ‘Cowboy’ Cerrone จึงเป็นเรื่องท้าทายมาก โชคดีที่คอเนอร์มีนักโภชนาการหารฝีมือเยี่ยมอย่าง Georges Lockhart มาจัดการเรื่องการกินให้ โดยอาหารที่กินเน้นรักษาคุณค่าอาหารให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย แต่น้ำหนักต้องไม่ลดลง  เช่นมื้อเช้าด้วยจับคู่ไข่เจียวกับอเมริกาโน่ร้อน รวมถึงอาหารว่างเป็นเนื้อไก่ กับเนยอัลมอนด์

มื้ออาหารอื่น ๆ จะสับเปลี่ยนหมุนเวียนระหว่างเนื้อสัตว์คุณภาพอย่างไก่หรือปลา เครื่องดื่มเป็นน้ำมะพร้าวที่ให้พลังงานสูงหรือน้ำเปล่าเท่านั้น โดยคอเนอร์อนุญาตให้ตัวเองมี Cheat Day บ้างเพื่อผ่อนคลายร่างกายจากการฝึกซ้อมหนักซึ่งเกรียนไอริชเคยเอ่ยปากว่าสัปดาห์ทำน้ำหนักคือช่วงเวลาที่โหดที่สุด ต่อด้วยโปรแกรมซ้อมโดย The Nototrious ที่มีโปรแกรมซ้อม 2 ครั้งต่อหนึ่งวัน คือกลางวันตอน 11.00 น. และซ้อมค่ำตอน 19.00 น.

หลังจากน้ำหนักร่างกายเริ่มคงที่ก็มาถึงโปรแกรมซ้อมมาตรฐาน โดยการซ้อมในช่วงนี้จะเน้นรักษาความฟิตและสร้างความแข็งแกร่งให้ร่างกายซึ่งมี Dr. Julian Dalby และ Colin Byrne 2 นักกายภาพในทีมเป็นคนดูแล ไม่ว่าจะเป็นโปรแกรมบอดี้เวท สลับกับการกระโดดเชือก ชกกระสอบทรายและปั่นจักรยาน

ส่วนวันที่ต้องการเพิ่มขนาดกล้ามเนื้อเฉพาะส่วนจะมีโปรแกรมเวทมาแทรกบ้างตามความเหมาะสม เป็นที่มาของกล้ามเนื้อแกนกลางตัวที่หนาขึ้น และขนาดของหัวไหล่ที่กลายมาเป็นหนึ่งในอาวุธสำคัญในการต่อสู้ครั้งล่าสุด แต่นักสู้ศิลปะป้องกันตัวที่เก่งไม่อาจชนะได้ด้วยร่างกายที่แข็งแรงเพียงอย่างเดียว โปรแกรมฝึกต่อสู้ในช่วงเย็นจึงยิ่งเพิ่มความเข้มข้นมากขึ้น

mogaz news en

โปรแกรมฝึกในช่วงเย็นของคอเนอร์จะเริ่มต้นตอน 19.00 น. เป็นช่วงซ้อมที่เน้นฝึกฝนเทคนิคการต่อสู้แขนงต่าง ๆ  รวมกับทีมที่มีทั้งโค้ชคู่บารมี John Kavanagh มาดูแลการซ้อมโดยร่วมสนับสนุนโดยโค้ช Owen Roddy ตำนานนักสู้ MMA ผู้เชี่ยวชาญบราซิลเลียนยิวยิตสูจากไอซ์แลนด์อดีตคู่ต่อสู้คนแรกในวงการของคอเนอร์มาร่วมซ้อมด้วย

Business Insider

นอกจากนี้ยังมีโค้ชมวยปล้ำที่ชื่อ Sergey Pikulskiy ผู้เคยเป็นนักกีฬาและผู้ฝึกสอนให้กับประเทศมอลโดวาดินแดนที่เต็มไปด้วยศิลปะการต่อสู้  โค้ชมวยสากลอย่าง Phil Sutcliffe Snr และ Bra Brady มาเพิ่มทีเด็ดเรื่องการออกหมัด เรียกว่ามีมือดีด้านศิลปะการต่อสู้มาช่วยฝึกฝนให้มีความเชี่ยวชาญมากขึ้น แถมส่วนใหญ่เป็นคนรู้ใจที่ทำงานร่วมกันตั้งแต่เข้า UFC ยุคแรก

EssentiallySports

แต่ที่ต้องยกเครดิตให้อีกคือกลุ่มคนที่คอยลับคมการต่อสู้ให้กับคอเนอร์ แม็คเกรเกอร์ในทุกวัน ได้แก่คู่ซ้อมชกทั้ง Dillon Danis, Artem Lobov และ Peter Queally ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนซ้อมลงน่วมกับเกรียนไอริชตลอดระยะเวลาของการฝึก ที่สำคัญคือทุกคนต่างรู้หน้าที่ของตัวเองดีว่าตัวเองรับผิดชอบหน้าที่อะไรในแคมป์นี้ รวมถึงตัวคอเนอร์ที่ไม่เคยโอดโอยในการซ้อมเลยแม้แต่ครั้งเดียว

การซ้อมในทุก ๆ เป็นไปอย่างเข้มข้น แต่คอเนอร์มีวิธีลดความตึงเครียดระหว่างซ้อม โดยเขามีดีเจส่วนตัวชื่อ Bissett อาศัยอยู่ในเมืองดับบลิน ทำหน้าที่โปรดิวเซอร์เพลงและเสียงสำหรับประกอบการฝึกซ้อม เรียกว่าแคมป์เตรียมตัวสำหรับ UFC 246 ที่ผ่านมายิมของพวกเขาเต็มไปด้วยเสียงเพลงที่ทำให้การซ้อมผ่อนคลายมากขึ้น

ด้านการดูแลรักษาร่างกาย ทุกวันหลังฝึกซ้อมเสร็จคอเนอร์จะมีนัดกับ Vasile Bria นักกายภาพบำบัดที่ทำงานกับ The Nototrious มาตั้งแต่สมัยคว้าแชมป์รุ่น Featherweight คุณหมอมีชื่อเล่นว่า Dr. Pain เป็นชื่อเล่นที่เรียกเพราะการนวดและยืดกล้ามเนื้อหลายครั้งมาพร้อมความเจ็บปวด แต่ก็เพื่อให้ร่างกายของเขากลับมาพร้อมสำหรับการฝึกหนักครั้งต่อไปจะพลาดขั้นตอนนี้ไปไม่ได้

ทั้งหมดคือเบื้องหลังความสำเร็จในการกลับมาต่อสู้บนสังเวียน 8 เหลี่ยมอีกครั้งของคอเนอร์ แม็คเกรเกอร์ ความสำเร็จที่เกิดขึ้นจากความหลงใหลในการต่อสู้ของตัวเขาเองและกลุ่มคนรอบข้างที่มีเป้าหมายเดียวกัน คือสร้างนักสู้ให้กลับมาเป็นที่ 1 บนสังเวียนอีกครั้ง แม้นักสู้ของพวกเขาจะเคยโดนฟาดปากหรือ Tap-Out บนสังเวียนมาแล้ว เพราะคนแพ้ที่แท้จริงในสายตาของพวกเขาคือ คนที่ไม่คิดจะต่อสู้หรือลงมือทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันต่างหาก

สำหรับหนุ่มที่เป็นแฟนหมัดของคอเนอร์ แม็คเกรเกอร์ ต้องรอดูกันต่อไปว่าการต่อสู้ครั้งต่อไปจะเกิดขึ้นกับใคร และชัยเทพีแห่งชัยชนะจะยังคงเข้าข้างฝีมือของเขาและทีมหรือไม่ ในปีนี้มีอีกอย่างน้อย 1-2 ทัวร์นาเมนต์แน่นอนติดตามกันให้ดี

 

THE ICONIC CARS: ย้อนชม JDM CARS ที่เป็นที่สุดแห่งยุค 90’s

$
0
0

ถ้าพูดถึงเรื่องรถยนต์หนุ่ม ๆ ในเมืองไทยคงคุ้นเคยดีกับค่ายรถยนต์ญี่ปุ่นจำนวนมากที่ได้รับความนิยมในบ้านเรามาเป็นเวลานาน โดยเฉพาะตั้งแต่ปี 1990 ช่วงเวลาที่มีรถญี่ปุ่นสร้างความยิ่งใหญ่ให้ทั่วโลกรู้จักกับคำว่า JDM Cars

JDM ย่อมาจาก Japanese Domestic Market หมายถึงรถยนต์และชิ้นส่วนยานยนต์ที่ผลิตขึ้นมาตามกฎหมายหรือสอดคล้องกับระเบียบรถยนต์และถนนในญี่ปุ่น แต่ก็ไม่ได้หมายความว่ารถญี่ปุ่นจะถูกยกให้เป็น JDM เพราะรถยนต์ญี่ปุ่นมากกว่าครึ่งเป็นรุ่นเดียวกับที่ออกแบบเพื่อส่งขายต่างประเทศโดยเฉพาะ เพราะกฎหมายและระเบียบควบคุมเกี่ยวกับรถยนต์ของแต่ละประเทศแตกต่างกันออกไป

รถหรือชิ้นส่วน JDM ถูกผลิตขึ้นมาภายใต้กฎข้อบังคับที่เข้มงวดซึ่งจะต้องผ่านการทดสอบที่เรียกว่า Shaken (車検) ทำให้รถที่ใช้ภายในประเทศและรถสำหรับส่งออกมีจุดที่แตกต่างกัน บางคนบอกว่าคุณภาพสูงกว่า บ้างก็บอกว่าความสวยงามและความแรงโดยรวมเหนือกว่า

Shane Hunter Flick

ที่แน่ ๆ คือรถเหล่านี้สามารถปรับจูนให้แรงขึ้นด้วยงบประมาณไม่สูงเกินไป คนรักความเร็วทั่วโลกรวมถึงในไทยเองจึงชื่นชอบรถยนต์ JDM ไม่ว่าจะสั่งซื้อเข้ามาทั้งคัน เปลี่ยนอะไหล่หรือทำรถแบบลูกผสมก็แล้วแต่ความชอบและงบประมาณ

ยุค 90’s ยังถือเป็นช่วงเวลาที่ค่ายรถยนต์ญี่ปุ่นเปิดตัวและพัฒนารถยนต์ออกมาจำนวนมาก หลายคันกลายมาเป็นสัญลักษณ์แห่งยุคสมัยของค่ายโดยปริยาย

กลายเป็นยุคสมัยที่นักเลงรถทั่วโลกอยากจะลองของแรงจากแดนอาทิตอุทัยสักครั้งในชีวิต เมื่อบวกกับอายุการใช้งานรถของคนญี่ปุ่นที่ค่อนข้างต่ำและไม่นิยมมีในครอบครองจำนวนมากเกินไป เพราะภาษีและค่าตรวจสภาพรถในญี่ปุ่นมีราคาค่อนข้างสูง ทำให้มีรถมือ 2 สภาพดีและอะไหล่ JDM จำนวนมากถูกส่งออกไปทั่วทุกมุมโลก แต่ JDM CAR คันไหนถือเป็นที่สุดแห่งยุค 90’s มาย้อนชมโลกรถยนต์ไอคอนิกแห่งยุคสมัยไปพร้อมกัน

 

MAZDA RX-7

Autodeft

เริ่มกันที่ตัวแรงจาก Mazda กับตำนานของค่ายอย่าง RX-7 รถยนต์ที่สายการผลิตยาวนานถึง 30 ปี โดยในยุคนั้น Mazda RX-7 เดินทางมาถึงเจเนอเรชันที่ 3 หรือ FD มาพร้อมรูปทรงที่โฉบเฉี่ยวโค้งมนในน้ำหนักที่เบากว่ารถรุ่นอื่น โดยรถที่ใช้ในญี่ปุ่นแชสซีจะเป็นรหัส FD3S เป็นรถขับเคลื่อนล้อหลังที่แบ่งน้ำหนักแบบ 50/50

บนถนน RX-7 รุ่นแรกไม่ใช่รถที่ยอมให้ใครแซงได้ง่าย ๆ ด้วยขุมพลังโรตารี่กับเครื่อง Wankel 2 ลูกสูบบวกกับเทอร์โบคุ่ที่ให้พลังระหว่าง 238 แรงม้าที่ 6,500 รอบ/นาที แรงบิดที่ 218 ปอนด์-ฟุตสูงสุดที่ 5,000 รอบ/นาที พร้อมความมันส์จากชุดเกียร์กระปุกแมนนวล 5-Speed ก็ทำให้รถมีอัตราเร่ง 0-100 ในเวลาเพียง 5.3 วินาที​ ความเร็วสูงสุดที่ 250 กิโลเมตรโดยยังไม่ผ่านการปรับจูน ซึ่ง FD รุ่นต่อมามีความแรงที่เพิ่มขึ้นอีก

Mazda RX-7 ไม่ได้โดดเด่นแค่บนถนน เพราะนี้คือหนึ่งในรถที่ถูกนำมาปรับจูนเป็นรถแข่งทั้งแบบเซอร์กิตและดริฟต์ กลายมาเป็นรถยนต์อีก 1 คันที่ทุกคนต้องรู้จัก พิสูจน์ด้วยยอดขาย 68,589 คัน ใน 10 ปีและคว้ารางวัลเกี่ยวกับยานยนต์มากมายมาครอบครอง

 

TOYOTA SUPRA MK VI

Hagerty

ปี 1993 รถยนต์หนึ่งคันเปิดตัวใน Chicago Motor Show หลังอยู่ในโปรเจกต์พัฒนาของทีมวิศวกรนาน 4 ปี รถคันนี้อีกหนึ่งผลงานของหัวหน้าวิศวกร Isao Tsuzuki ผู้เคยฝากผลงานไว้กับ Toyota Celica และ Toyota MR2 ชื่อของมันคือ Toyota Supra เจเนอเรชันที่ 4 รหัสตัวถัง A80 ที่ทำให้โลกรู้จักกับเครื่องยนต์ 2JZ

Supra (A80) หรือ Supra MK VI เป็นรถยนต์ที่ผลิตขึ้นระหว่างปี 1993 – 2002 ถือเป็นหัวขบวนของโตโยต้าในยุค 90’s ร่วมกับ MR2 เปิดตัวมากับดีไซน์ใหม่ทั้งคันด้วยรูปทรงโค้งสไตล์ Curvaceous ด้านหน้ารถที่ยื่นออกมาพร้อมกับปีกหลังที่มีขนาดใหญ่ขึ้น ทั้งหมดมาในน้ำหนักรถร่วม 1,585 กิโลกรัม

ที่ไม่พูดถึงไม่ได้คือเครื่องยนต์ใหม่ 2 ตัวล่าสุดของ Toyota ในเวลานั้นคือเครื่องยนต์ 2JZ-GE ให้พลัง 220 แรงม้าแรงบิดที่ 210 ปอนด์-ฟุต และเครื่องยนต์ 2JZ-GTE Twinturbo ที่ให้พลัง 276 แรงม้าและแรงบิดที่ 318 ปอนด์-ฟุต ทำให้มีอัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรใน 4.9 วินาที ทั้งความเร็วและความสวยงามที่ไม่เหมือนใครในยุคสมัยนั้น ทำให้ SUPRA MK VI เป็นหนึ่งในสายพันธุ์ JDM ที่ผู้คนจดจำมากที่สุด

 

HONDA NSX (1st GEN)

WSupercars

ณ ดินแดนแดนซามูไรมันคือ NSX แต่ในตลาดต่างประเทศผู้คนอาจเรียกว่า Acura NSX รถยนต์สปอร์ต 2 ที่นั่งมาวางเครื่องแบบ Mid-Engine ที่ผลิตขึ้นระหว่างปี 1990-2005 โดยชื่อ NSX แปลได้ว่า NEW SPORTCARS EXPERIMENTAL ผลงานดีไซน์จากทีมวิศวกรนำโดย Shigeru Uehara และ Masahito Nakano

Honda NSX คือรถที่โดดเด่นมากสำหรับรถญี่ปุ่นในยุคสมัยนั้น เพราะมีแรงบันดาลใจการออกแบบจากห้องนักบินเครื่อง F-16 และคำแนะนำจาก Ayrton Senna สุดยอดนักแข่งรถสูตร 1 ผู้ล่วงลับในขั้นตอนสุดของการพัฒนา และเป็นรถยนต์คันแรกของโลกที่ใช้ตัวถังอลูมิเนียมทั้งหมด

ด้านขุมพลังเวลานั้น Honda มาพร้อมกับเทคโนโลยี Variable Valve Timing หรือ VTEC กับเครื่องยนต์ 3.0 ลิตร ให้พลัง 270 แรงม้า แรงบิดที่ 210 ปอนด์-ฟุต และเครื่อง 3.2 ลิตรให้พลัง 290 แรงม้า แรงบิดที่ 224 ปอนด์-ฟุต

แต่ถ้าพูดถึงตำนาน JDM ของรุ่นนี้ต้องยกให้ Honda  NSX Type S ที่ผลิตเพื่อขายในประเทศเท่านั้น โดยฮอนด้าบอกเหตุผลว่าสร้างขึ้นมาเพื่อเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดสำหรับ “ถนนที่คดเคี้ยว” ด้วยน้ำหนักที่เบาลง 45 กิโลกรัมและชุดแต่งแบบจัดเต็ม ทำให้ NSX รุ่นนี้มีราคาแพงที่สุดในโลก โดยราคาในปี 1997 อยู่ที่ 10,357,000 เยนหรือประมาณ 2.8 ล้านบาท เมื่อ 22 ปีที่แล้ว

 

MITSUBISHI EVOLUTION VI

alphacoders

Mitsubishi Evolution รถยนต์สปอร์ตซีดานที่มีสายการผลิตยาวนานตั้งแต่ปี 1992-2016 โดยในยุค 90’s คงไม่มีรถคันไหนจากค่ายนี้โดดเด่นไปกว่า Evolution IV (เจเนอเรชันที่ 6)

Evolution IV เป็นรถพัฒนาให้สมบูรณ์มากขึ้นไม่ว่าจะเป็นเรื่องอากาศพลวัตและสมรรถนะเครื่องยนต์ เริ่มจากดีไซน์บอดี้ใหม่ที่ลดขนาดไฟตัดหมอกลงและย้ายไปที่มุมเพื่อให้อากาศไหลเวียนดีขึ้น ด้านระบบภายใน Evolution IV มาพร้อมกับอินเตอร์คูลเลอร์ขนาดใหญ่ทำให้รถระบายความร้อนดีขึ้น

แต่สิ่งที่ทำให้ Evolution IV กลายเป็นศัตรูตัวฉกาจทางการตลาดของ Subaru Impreza คือเครื่องยนต์ 4 สูบ 4G63 ขนาด 2.0 ลิตร Turbocharged ให้พลัง 276 แรงม้า แรงบิดที่ 275 ปอนด์-ฟุต ทำงานร่วมกับชุดเกียร์แมนนวล 5-Speed ทำให้รถมีอัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรใน 4.7 วินาที เหยียบควอเตอร์ไมล์ใน 14 วินาทีโดยไม่ต้องผ่านการปรับจูนใด ๆ

ความสำเร็จของ Evolution IV ทำให้มีรถรุ่นพิเศษออกมาเป็นรุ่น Tommi Makinen ส่วนรุ่น JDM ที่มีจำนวนจำกัดก็มีแฟนของ EVO ตามหาอยากครอบครองมาถึงปัจจุบัน

 

NISSAN SKYLINE GT-R

รวมสุดยอด JDM จากยุค 90’s ไม่มีทางข้ามชื่อ Nissan Skyline GT-R ไปได้ แต่ด้วยความที่มี Skyline GT-R ถึง 3 เจเนอเรชันที่คาบเกี่ยวกันในยุคนั้น เราเลยถือโอกาสรวมเรื่องราวของทั้ง 3 มาพร้อมกันทีเดียวเลย

เริ่มจาก Skyline GT-R (R32) ที่ผลิตระหว่างปี 1989-1994 เป็นการกลับมาครั้งแรกหลังเคยยกเลิกสายการผลิตไปในปี 1973 โดยเป็นผลงานการออกแบบของ Naganori Ito เพื่อส่งลงแข่งขัน Group-A ด้วยรถเจเนอเรชันใหม่กับแชสซีรหัส E-BNR32 ซึ่งเป็นที่มาของชื่อ R32

Skyline GT-R (R32) มาพร้อมเครื่องยนต์ 6 สูบ 2.6 ลิตร Twin-Turbocharged และเกียร์แมนนวล 5-speed กลายเป็นรถยนต์สมรรถนะสูงในยุคสมัยที่สมบูรณ์แบบที่สุดเลยก็ว่าได้ ก่อนจะเข้าสู่ยุคของเจเนอเรชันที่ 4 อย่าง Skyline GT-R (R33) ที่มาพร้อมดีไซน์ตัวรถที่ทันสมัยมากขึ้น พร้อมเพิ่มทางเลือกเป็นเครื่องยนต์ 6 สูบขนาด 2.8 ลิตร Twin-Turbocharged RX-X GT2 รวมถึงรุ่นพิเศษ NISMO 400R

จนกระทั่งปี 1999 ก็เปลี่ยนเข้าสู่ยุคสมัยของ Skyline GT-R (R34) ที่พัฒนาอย่างยอดเยี่ยมด้วยเทคโนโลยีการขับขี่ขั้นสูงในเวลานั้น รวมถึงสมรรถนะที่ไล่ควบซูเปอร์คาร์จากยุโรปได้สบาย ๆ ไม่ต้องแปลกใจที่คนรักรถจำนวนมากจะยกให้รถตระกูลเป็น JDM ที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในยุค 90’s

 

ทั้งหมดคือสุดยอดรถยนต์สายพันธุ์ JDM แห่งปี 90’s ที่คนรักความเร็วยกให้เป็นที่ที่สุดยุคสมัยนั้น หลายคันเป็นตำนานที่ยังโลดแล่นที่เป็นเหมือนกับตัวแทนของสมัยที่รถยนต์จากญี่ปุ่นถูกส่งไปโชว์พลังทั่วทุกมุมโลก

Viewing all 7730 articles
Browse latest View live