Quantcast
Channel: Unlockmen
Viewing all 7776 articles
Browse latest View live

LG STYLER ตู้อัจฉริยะสำหรับผู้ชาย ทำความสะอาดและรีดเสื้อผ้าให้เรียบได้โดยไม่ต้องง้อภรรยา

$
0
0

ให้ทำงานยาก ๆ หนักแค่ไหนก็ได้ แต่จะให้ซักผ้ารีดผ้า มันทำไม่ไหวจริง ๆ

ในยุคที่เรามีทุกความอัจฉริยะอยู่รอบตัว แม้แต่รถยนต์ยังสามารถขับเองได้ มันทำให้เราสงสัยทุกครั้งว่า ทำไมเรื่องยาก ๆ อย่างนั้นถึงสามารถทำได้ แต่เรื่องง่าย ๆ อย่างการสร้างเทคโนโลยีที่สามารถช่วยแบ่งเบาภาระการทำความสะอาดและรีดเสื้อผ้าให้มนุษย์ยุ่ง ๆ อย่างเรา เมื่อไหร่จะพัฒนาออกมาบ้าง แต่ในงาน CES 2019 ก็เหมือนเห็นอนาคตที่สดใสจากการฉายแววของ LG ที่ได้นำเสนอ LG Styler ตู้อัจฉริยะที่สามารถทำความสะอาดเสื้อผ้าให้พร้อมใช้งานได้โดยไม่ต้องออกแรง

LG Styler Black Tinted Mirror Glass Door คือตู้อัจฉริยะรุ่นล่าสุดที่ LG ได้พัฒนาให้ช่วยแบ่งเบาภาระการซักทำความสะอาดเสื้อผ้าให้เราได้ ด้วยวิธีการง่าย ๆ แค่แขวนเสื้อผ้าเข้าไปได้ประมาณรอบละ 6 ชุด แบ่งเป็นการแขวน 5 ชุด และวางกางเกงได้อีก 1 ตัว จากนั้นระบบ LG AI ThinQ assistant จะคำนวณวิธีทำความสะอาดจากไอร้อนอัฉริยะที่เรียกว่า TrueSteam ในการทำความสะอาดเสื้อผ้า ซึ่งแม้จะไม่ใช่การซักทำความสะอาดในรูปแบบปกติ แต่ LG ก็คอนเฟิร์มว่า TrueStream สามารถกำจัดขี้ฝุ่น เชื้อโรค แบคทีเรีย และกลิ่นสกปรกบนเสื้อผ้าได้มากถึง 99.9% และไอร้อนยังทำให้เสื้อผ้าแห้งและเรียบได้ในตัวอีกด้วย

ภายนอก LG Styler ออกแบบให้ดูดีพร้อมใช้งานได้มากกว่า ด้วยบานฝาหน้า Smart Mirror กระจกเงาสำหรับสำรวจร่างกายตอนแต่งตัว พร้อมมีปุ่มสั่งงานแบบ Touchscreen ที่ดูล้ำหน้าและหรูหรา จะใช้งานก็ดี จะใช้ตกแต่งห้องก็ยังได้

ที่จริง LG Style ถูกพัฒนาออกมานานแล้ว แต่สำหรับรุ่นล่าสุดนี้ได้รับการพัฒนาให้สมบูรณ์แบบและพร้อมใช้งานได้ดีกว่าในอดีต ถือว่าเป็นเทคโนโลยีที่ดีมากสำหรับผู้ชายงานยุ่งมากอย่างพวกเรา เพราะการแบ่งเบาภาระการซักและรีดเสื้อผ้าให้สะอาดเรียบพร้อมใส่ ราคาเท่าไหร่ก็พร้อมจ่ายแน่นอน หวังว่าหลายบริษัทจะหันมาพัฒนา AI ให้ทำหน้าที่นี้แทนพวกเราได้สมบูรณ์แบบมากขึ้นในอนาคตอันใกล้นี้ เพื่อความสงบสุขในชีวิตที่เพิ่มขึ้น สมกับชื่อ Life’s Good จริง ๆ

 


สรุปชัวร์หรือมั่วนิ่ม FLASH DRIVE สมองปลาตายมาจุข้อมูลได้จริง หรือเป็นเพียงการตกแต่งหลอกตากันแน่

$
0
0

เป็นเทคโนโลยีที่ดังในข้ามคืน และสร้างการถกเถียงได้อย่างรุนแรงภายในข้ามวันเช่นกัน เมื่อแหล่งข่าวแรกจาก Japansauce.net เผยเรื่องราวงานประดิษฐ์สุดว้าวปนขนลุก ‘Dead Fish Brain Flash Drive’ ผลงานของนักศึกษาเคมีที่เผยแพร่ผลงานนี้ผ่านทาง Twitter user @ni28_xp โดยเนื้อหาสรุปแบบเร็ว ๆ ได้ว่า ตัวของเค้านั้นสามารถใช้ปลาซิวที่ตายแล้ว นำมาตกแต่งพัฒนาผสมกับความรู้ทางด้านเคมี สามารถทำให้สมองปลาซิวอันเล็กจิ๋วสามารถใช้เป็น Storage เก็บความจุได้มากถึง 32 Gb โดยมีลักษณะหัวเป็น USB Port ปกติ ติดกับเรซิ่นใสที่บรรจุปลาตายและเส้นลวดต่าง ๆ รวมถึงหลอดไฟแสดงสถานะการทำงานขนาดเล็ก

ด้วยความ Weird ของสิ่งประดิษฐ์นี้ ทำให้หลายสื่อต่างนำเสนอเรื่องนี้กันอย่างรวดเร็ว ในขณะเดียวกันเรื่องราวก็ไปกระตุกให้หลายคนเกิดสงสัยกลายเป็นคำถามว่า มันทำงานได้แบบนั้นจริงหรือ? ด้วยรูปร่างที่ดูน่าสงสัย และลักษณะทางกายภาพของปลาในการใช้งานตามที่ @ni28_xp ได้กล่าวอ้าวเอาไว้ จึงมีอีกแหล่งที่เผยข้อมูลน่าสนใจออกมาหักล้างความเป็นไปได้ ว่าที่จริงแล้ว Dead Fish Brain Flash Drive อาจจะกลายเป็นเรื่องของลูกเล่นที่ใช้ตกแต่งเท่านั้น ไม่ได้เกี่ยวกับเทคโนโลยีหรือเคมีของตัวปลาแต่อย่างใด

เว็บไซต์ Tech-critter.com เป็นอีกสื่อที่ไปเจอข่าวนี้เข้า เกิดความสงสัยว่า “รายละเอียดมันไม่ Make Sense” และได้นำเสนออีกมุมมองจากความเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านสาย Tech จึงเข้าไปตรวจสอบและเจอข้อมูลอีกด้านที่น่าสนใจ

  1. จากการเลื่อนไปดู Twitter account ของ @ni28_xp จะพบว่าเค้าเป็นนักประดิษฐ์​ที่ออกแบบ USB เอาไว้จำนวนมาก และหลายอันก็มีดีไซน์ที่คล้ายกับ Dead Fish Brain Drive แบบเป๊ะ ๆ ต่างกันที่ไม่มีปลาตายอยู่ข้างในเท่านั้น นั่นแปลว่าตัวเค้าถนัดการใช้เรซิ่นใสสร้าง USB ให้ใช้งานได้อยู่แล้วโดยไม่จำเป็นต้องมีสมองปลาเข้าไปเกี่ยวข้อง
  2. จากการสำรวจอย่างละเอียด มีความเป็นไปได้สูงมากที่หน่วยความจำของ Dead Fish Brain Drive จะไม่เกี่ยวกับสมองปลาแต่อย่างใด น่าจะเป็น USB Connector หรือก้านเสียบ USB นั่นเอง ซึ่งปัจจุบันก็มี USB ขนาดเล็กแบบนี้วางขายเป็นเรื่องปกติ ไม่ใช่เรื่องใหม่แต่อย่างใด และส่วนเรซิ่นกับปลาตายนั้นที่จริงแล้วเป็นเพียงการตกแต่งให้ดูน่าสนใจเท่านั้น
  3. มี USB ใสที่ออกแบบคล้ายกันมาก ๆ แตกต่างกันแค่เปลี่ยนจากปลาตายเป็นอย่างอื่น วางขายในงาน Handmade in Japan 2019

ด้วยเหตุผลทั้ง 3 ข้อ ทำให้ editor ของ Tech-critter.com ฟันธงว่า ‘Dead Fish Brain Flash Drive’ น่าจะเป็นเพียงของตกแต่งธรรมดาที่ทำให้ USB ดูน่าสนใจขึ้นเท่านั้น ไม่ได้เกี่ยวกับเคมีหรือวิชาอาถรรพ์ใด ๆ

แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น สุดท้ายเราอาจจะต้องรอ @ni28_xp ออกมาฟันธงอย่างเป็นทางการ เพราะทุกอย่างเกิดขึ้นจากแหล่งข่าวที่มีจำนวนไม่มากนัก และยังไม่มีการพิสูจน์ใด ๆ ทั้งนั้น Dead Fish Brain Flash Drive จึงยังสามารถเป็นได้ทั้งสิ่งประดิษฐ์ที่น่าประทับใจ หรือเป็นเพียง USB Drive ที่มีลวดลายแปลกใหม่เท่านั้น

 

มือใหม่ในวงเหล้าก็เท่ได้ ‘GROPENER’ที่เปิดขวดดีไซน์เจ๋ง ขวดแบบไหนก็เปิดได้ด้วยมือเดียว

$
0
0

ใครที่ไม่เคยผ่านประสบการณ์ในวงเหล้า หรืออาจจะไปนาน ๆ ครั้ง ไม่ใช่สายปาร์ตี้คงนึกภาพไม่ออกว่า ‘การเปิดขวด’ นั้นสำคัญขนาดไหน แต่สำหรับเราสายปาร์ตี้ย่อมจำได้ดีว่าในตอนที่เริ่มดื่มใหม่ ๆ แล้วเห็นเพื่อนเปิดขวดเบียร์โดยใช้ขวดเบียร์อีกขวดนั้นเรารู้สึกทึ่งและคิดว่ามันเท่มาก หลังจากนั้นเราก็พยายามฝึกฝนโดยตลอด กว่าจะทำได้สำเร็จเลือดก็อาบมือไปหลายครั้ง

แต่บางครั้งการจะเท่ก็ไม่จำเป็นต้องลำบากขนาดนั้น เพียงแค่มีที่เปิดขวดเจ๋ง ๆ สักอัน ก็สามารถเปิดเบียร์ทุกขวดที่ขวางหน้าได้ด้วยมือเดียว เท่ได้โดยไม่ต้องเจ็บตัว

GrOpener คือชื่อของที่เปิดขวดสุดเจ๋งที่เราภูมิใจนำเสนอในวันนี้ ใครที่กำลังสงสัยว่ามันแตกต่างจากที่เปิดขวดธรรมดาตรงไหน ให้ลองดูคลิปด้านบนเสียก่อน รับรองว่าจะต้องอยากได้ไปใช้สักอันแน่นอน ถึงแม้ว่าในเรื่องประโยชน์การใช้สอยจะไม่ได้มีอะไรพิเศษเปิดได้เฉพาะฝาทรงจีบเหมือนที่เปิดขวดทั่วไป แต่เรื่องความเท่ บอกเลยว่า GrOpener กินขาด

แม้ว่า GrOpener  จะโดนใจเราในเรื่องความเท่ แต่เหตุผลที่แท้จริงที่ทำให้ Mark Manger สร้างสรรค์ GrOpener ขึ้นมาลึกซึ้งกว่านั้นมาก เขาเล็งเห็นถึงความลำบากของผู้พิการ ว่าการเปิดขวดด้วยมือเดียวนั้นเป็นเรื่องยากลำบาก แต่ทุกคนกลับคิดว่ามันเป็นเรื่องเล็กน้อย จนปัญหานี้โดนเพิกเฉย อย่างไรก็ตาม Mark ไม่คิดเช่นนั้น เขาลงมือทำตามไอเดียอย่างมุ่งมั่น จนในที่สุดก็สำเร็จออกมาเป็นที่เปิดขวดสุดเจ๋งให้ทุกคนได้ใช้งาน

GrOpener สามารถตั้งอยู่บนขวดได้อย่างสบาย ๆ  ก่อนจะเปิดมันด้วยการบิดข้อมือเพียงเล็กน้อย ใช้แรงน้อยกว่าที่เปิดขวดทั่วไปมาก ทุกอย่างเสร็จสิ้นภายในขั้นตอนเดียว ชั่วพริบตาฝาขวดก็หลุดออกมาอย่างง่ายดาย การออกแบบของ GrOpener ทำให้แน่ใจว่าฝาจะไม่โค้งงอหรือบิดเบี้ยวในขณะเปิด ส่วนแม่เหล็กที่อยู่ภายในทำหน้าที่ยึดฝาทันทีที่หลุดออกจากคอขวด

ทั้งเท่แถมใช้ง่าย พกพาสะดวกแบบนี้ GrOpener จึงเป็นอีกหนึ่ง Gadget ที่หนุ่ม ๆ สายปาร์ตี้ต้องมีติดตัว สนนราคาเพียงอันละ 15.99 เหรียญ หรือประมาณ 500 บาทเท่านั้น ลงทุนครั้งเดียว เท่ได้ยาว ๆ ใครสนใจสามารถสั่งซื้อได้ ที่นี่

SOURCE1

โพสต์รูปตัวเองบ่อยระวังรักพัง “วิจัยชี้ว่ามีคนรักขี้เซลฟี่ทำให้ความสัมพันธ์แย่ลงโดยไม่รู้ตัว”

$
0
0

ในบางครั้งเมื่อเราเข้าสู่โซเชียลมีเดียสารพัดรูปแบบ เช่น Facebook หรือ Instagram ก็มักเห็นบางคนที่มีแฟนแล้วแต่ชอบโพสต์รูปตัวเองอยู่เป็นประจำและลงรูปคู่กับคนรักน้อยมาก ซึ่งพฤติกรรมดังกล่าวนั้นสามารถบอกได้ว่าผู้ที่ชอบโพสต์แต่รูปเซลฟี่ของตัวเองลงโซเชียลมีเดีย ในชีวิตจริงมักมีความสัมพันธ์ที่ไม่ราบรื่นกับคนรัก

videoblocks

งานวิจัยจาก Florida State University ระบุว่าการเซลฟี่เป็นสาเหตุหนึ่งที่ก่อให้เกิดปัญหาด้านความสัมพันธ์กับคู่รัก เพราะเมื่อออกไปเดตแล้วคนรักมักลงแต่รูปเซลฟี่ของตัวเองแต่ไม่ลงรูปคู่ จะทำให้อีกฝ่ายเกิดคำถามในใจมากมายว่าเพราะอะไรแฟนถึงไม่ลงรูปคู่ และคิดไปจนถึงขั้นว่าการมาเดตในแต่ละครั้งไม่สามารถสร้างความทรงจำที่ดีให้กับคนรักได้ รวมถึงไปความหวาดระแวงเรื่องของมือที่สาม

ส่วนฝ่ายที่คลั่งการเซลฟี่ก็จะให้ความสนใจกับกระแสตอบรับจากโลกออนไลน์เวลาที่โพสต์ในแต่ละครั้ง ไม่ว่าจะเป็นยอดไลก์หรือคอมเมนต์ต่าง ๆ มากกว่าที่จะให้ความสนใจกับคู่ชีวิตที่อยู่ใกล้ตัว โดยงานวิจัยได้บอกเพิ่มเติมอีกว่า อาการชื่นชอบการเซลฟี่เป็นชีวิตจิตใจนั้นสามารถเป็นทั้งเพศชายและเพศหญิง

นอกจากนี้ Dr.Nikki Goldstein ผู้เชี่ยวชาญทางด้านจิตวิทยากล่าวว่า เมื่อฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งยังไม่มั่นใจในความสัมพันธ์จึงมักจะแสดงออกถึงความต้องการจะแบ่งปันเรื่องราวชีวิตของตัวเองให้คนอื่นได้รับรู้มากกว่าการโพสต์รูปคู่กับแฟน หรือเขียนสเตตัสว่าไปไหนมาไหนกับคนรัก และเสพติดการเล่นโซเชียลมีเดียเป็นชีวิตจิตใจ

จากการเฝ้าศึกษาเรื่องราวเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของมนุษย์มาเป็นเวลานาน Dr. Goldstein ได้บันทึกเรื่องราวที่เธอพบเจอไว้ว่า ในแต่ละวันเธอมักจะเห็นคู่รักหลายคู่โพสต์เรื่องราวต่าง ๆ ที่ดูเหมือนจะมีความสุข ที่เน้นบอกเล่าเรื่องราวของตัวเอง แต่สิ่งที่ Dr. Goldstein ได้รับรู้เกี่ยวกับเรื่องราวเบื้องหลังเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของคู่รักนักเซลฟี่นั้นไม่ได้มีความสุขอย่างที่แชร์ลงในโซเชียลมีเดีย และการโพสต์เรื่องราวต่าง ๆ เพียงด้านเดียวแบบนี้ต่อไปจะยิ่งทำให้ความสัมพันธ์ของคู่รักไม่มั่นคงมากกว่าเดิม

การชื่นชอบเซลฟี่เกินควรนอกจากจะส่งผลกระทบกับชีวิตคู่แล้วก็ยังส่งผลเสียกับตัวเองเช่นกัน เพราะพฤติกรรมการชื่นชอบเซลฟี่จะทำให้เกิดอาการที่เรียกว่า Generation me คล้ายกับอาการหลงตัวเองของวัยรุ่นที่เวลารูปที่ลงในโซเชียลแล้วได้รับการตอบรับเยอะก็จะรู้สึกมั่นใจ

แต่เมื่อยิ่งได้รับฟีดแบคที่ดี คนรักของผู้ที่ชื่นชอบเซลฟี่มักจะเกิดความรู้สึกไม่พอใจและหึงหวง ก็จะเป็นการย้อนกลับมาในเรื่องของปัญหาความสัมพันธ์อีกครั้งแบบไม่รู้จบ ดังนั้นคำถามที่เหล่านักเซลฟี่จะต้องถามตัวเองให้ชัดเจนคือ สิ่งที่ตัวเองจะต้องให้ความสำคัญนั้นคือความสัมพันธ์ในโลกแห่งความเป็นจริงหรือสนใจฟีดแบคในโลกออนไลน์มากกว่ากัน

SOURCE

UNLOCK YOUR SEX LIFE: นุ่มละมุนอุ่นละไมไปกับ ‘MELLOW SEX’เกมรักเรียบง่ายชวนผ่อนคลาย

$
0
0

สัญชาตญาณของผู้ชายที่มักจะสรรหาสิ่งหวือหวามากระตุ้นให้อะดรีนาลีนในร่างกายพุ่งพล่านอยู่เสมอ ไม่ว่าจะการใช้ชีวิตประจำวัน กิจกรรม งานอดิเรก หรือแม้แต่เรื่องลับ ๆ ใต้ผ้าห่มอย่างเซ็กซ์ ก็ยังเป็นอีกหนึ่งกิจกรรมที่หนุ่ม ๆ มักจะหารสชาติใหม่ ๆ มาเติมสีสันให้ตัวเองเป็นระยะ ๆ เช่นเดียวกัน แต่พอใช้ชีวิตที่มันแฟนซีอยู่ตลอดเวลา ความหวือหวาเลยกลายเป็นเรื่องของความเคยชิน UNLOCKMEN ชวนหนุ่ม ๆ กลับคืนสู่ความเบสิกอีกครั้งกับเซ็กซ์หวานละมุน ทะนุถนอม เปลี่ยนรักร้อน ๆ ให้เป็นรักอบอุ่นกันดูสักยกก็ไม่เสียหาย

เราเคยได้ทำความรู้จักเซ็กซ์เรียบง่ายไปแล้วใน “พักเรื่องหวือหวาไปกับ “VANILLA SEX” ข้อดีของการมีเซ็กซ์แบบเรียบง่าย ที่กินยังไงก็ไม่เบื่อ” ความเป็นธรรมชาติของมันทำให้เราได้เป็นตัวเองได้อย่างเต็มที่ Mellow Sex ก็ใกล้เคียงแบบนั้นในเรื่องของความเรียบง่าย ไม่หวือหวา แต่มีลูกเล่นอยู่ตรงที่ความหวานละมุนที่จงใจเติมแต่งลงไปให้มันกลายเป็นมู้ดสุดโรแมนติกสำหรับผู้ชายสายหวาน สายเอาใจ หรือใครที่ไม่ได้อยากดุดันอยู่ตลอดเวลา

บรรยากาศต้องมาก่อน

ฉากเอนกายดับไฟในละครเราคงคุ้นชินกับภาพแทนเหล่านี้เพื่อให้เข้าใจว่าหลังจากนี้คือบทเข้าพระเข้านางกันแล้วนะ ในชีวิตจริงบรรยากาศเหล่านั้นก็ส่งผลกับเซ็กซ์ของเราเช่นกัน ไฟโทนอบอุ่นสลัว ๆ ให้เราได้มองเห็นผิวในแสงที่สวยต่อผิวคนที่สุด เสียงเพลงขับกล่อมให้บรรยากาศวาบหวิวยิ่งขึ้น ถ้ายังไม่มีเพลงที่ถูกใจลองตามไปที่ “อย่าให้ดังกว่าเพลง! PLAYLIST 20 เพลงปลุกไฟรักแบบเนียน ๆ กลบเสียงกิจกรรมบนเตียงได้ด้วย” อีกอย่างที่สำคัญคือความสะดวกสบายของทั้งคู่ อย่าลืมจัดที่นอนหรือพื้นที่ตรงนั้นให้อยู่ในที่ทางที่สะดวก ยามเธอเอนกายลงไป จะได้ไม่ต้อง Awkward กับท่าทางประหลาด ๆ หรือความไม่สะดวกสบายระหว่างกิจกรรม เพื่อให้เธอไม่ต้องกังวลกับเรื่องกวนใจอื่น ๆ ได้โฟกัสกับความแนบชิดแบบเต็มที่

ทุ่มเทเวลาไปกับช่วงอุ่นเครื่อง

มาถึงก็จู่โจม Make Out อย่างเมามันเลยก็ดูจะหิวเกินไปเสียหน่อย สาว ๆ เขาไม่ได้เครื่องติดไวอย่างเรา ใช้เวลาไปกับการไต่ระดับอารมณ์ของทั้งสองคนให้มาก เอาอกเอาใจเธอกับจุดอ่อนไหวที่เธอชอบ ถ้ายังอยากให้เซ็กซ์เป็นความสุขของคนสองคน ควรเริ่มต้นเอาใจเธอตั้งแต่ต้นทางอย่างการ Cuddle เอาอกเอาใจ หอมแก้ม กอด ใส่ความรัก ความรู้สึกลงไปใน Skinship เล็กน้อยพอให้เธอเคลิ้มตามแล้วค่อยเริ่มต้นเล้าโลม จะช่วยปูทางให้อารมณ์ของเธอพุ่งขึ้นสูงแบบมีที่มาที่ไป เหมือนช่วยเธออุ่นเครื่องก่อนลงสนามจริงนั่นแหละ หากเราปูทางมาดี ช่วงเวลาของเกมรักสนามจริงจะเป็นช่วงเวลาที่ทั้งคู่ต่างรอคอยอย่างใจจดใจจ่อ เพราะอยากดื่มด่ำกับช่วงเวลาแนบชิดแบบเต็มที่แล้ว

A Man’s Kiss is His Signature.

ความโรแมนติกไม่ได้หยุดอยู่แค่ช่วงอุ่นเครื่องเท่านั้น ช่วงเกมรักสนามจริงก็ยังคงต้องคอยเติมความหวานลงไปไม่ให้ขาดเช่นกัน จังหวะที่พักลองโน้มตัวลงมาจูบเธอแบบบางเบา ไม่ว่าจะแก้มเนียนนุ่ม ริมฝีปากอุ่น ๆ หรือจะต้นคอกรุ่นกลิ่นหอมจาง ๆ ของเธอ บรรจงจูบเธอเหมือนกับเธอเป็นสาวน้อยในอ้อมกอดที่เราต้องคอยทะนุถนอมและดูแล อย่าเคยชินกับการจูบแบบดูดดื่มจนเกินไป เพราะการจูบเป็นอีกความใกล้ชิดระดับลมหายใจที่ส่งผลต่อจังหวะของเกมรัก เมื่อจูบดูดดื่มมากเกมรักอาจจะเร่าร้อนขึ้นมาตามจังหวะของมัน ดังนั้น หากยังอยากคงระดับความนุ่มนวลไว้ ก็ต้องประคับประคองจังหวะนี้ให้ดี อย่าเร่งเร้าจนเสียความนุ่มละมุนไป

อย่าเล่นท่าเป็นกายกรรม

ปากบอกวันนี้จะพาเธอไปเสพความนุ่มละมุน แต่โยกย้ายไปสารพัดที่ โซฟา หน้าต่าง ระเบียง กระจก ใส่สารพัดท่าที่นึกออกให้เข้ากับสถานที่นั้น จนกลายเป็นท่าแปลก ๆ ที่ไม่เข้าใกล้คำว่านุ่มนวลเลยแม้แต่น้อย ระวังเรื่องเหล่านี้ให้ดี อย่าจับเธอไปพาดกับตรงนั้นตรงนี้ ยกขาเธอขึ้นมาแบบกระทันหัน จับเอวย้ายไปมาจนกลายเป็นเซ็กซ์เหนื่อย ๆ อีกหนึ่งยก ถ้าจะให้ดีเราแนะนำกันแต่ท่าเบสิกที่ไม่ต้องใช้แรงมาก ไปเน้นที่ความรู้สึกที่ส่งต่อให้กันดีกว่า อย่างท่า Missionary ที่สามารถมองหน้ากันได้อย่างใกล้ชิด จูบ และพูดคุยถ้อยคำหวาน ๆ หรือจะ Spoon ที่ได้แนบชิดกันตั้งแต่หัวจรดเท้า ลองเลือกท่าที่จะทำให้คุณทั้งคู่ไม่เหนื่อยหอบกันจนลืมความโรแมนติกที่อุตส่าห์ปูทางมาตั้งแต่ต้น

สุดท้ายแล้วสิ่งที่เราต้องการจากเซ็กซ์คือ สัมผัสของกันและกัน ที่จะพาให้เราไปถึงฝั่งฝันได้แบบไม่มีสะดุด ลองทำแค่นั้นดูสิ ให้สัมผัสของกันและกันนำทาง ลองไม่ใช้ตัวกระตุ้นอื่น แล้วอาจจะชื่นชอบในความเรียบง่ายของมันจนอยากจะกินอาหารจานหลักจานนี้ไปตลอดเลยก็ได้

ยิ่งเมายิ่งโรแมนติก “มาดื่มเพื่อกระชับความสัมพันธ์เพราะแอลกอฮอล์มีส่วนให้ชีวิตคู่ยืนยาว”

$
0
0

สำหรับคู่รักที่คบกันมายาวนานหวานชื่น บ่อยครั้งที่ผู้คนพยายามค้นหาคำตอบว่าอะไรคือเคล็ดลับที่ซ่อนอยู่ในเบื้องหลังของความสัมพันธ์ที่ประสบความสำเร็จ และคำตอบที่ได้ก็คือคำตอบทั่วไปอย่างความรัก ความเข้าใจ ความอดทน รวมไปถึงคำตอบที่ไม่คาดคิดอย่างแอลกอฮอล์!

งานวิจัยเรื่องความสัมพันธ์ชิ้นหนึ่งที่ถูกตีพิมพ์ลงในนิตยสารผู้สูงอายุอย่าง The Journal of Gerontology Series B: Psychological Series ได้ศึกษาความสัมพันธ์ของคู่รักสูงอายุที่มีอายุ 50 ปีขึ้นไป และพบว่าคู่รักที่ยังโรแมนติกกันถึงปัจจุบันมักออกไปดื่มด้วยกันเสมอ

นอกจากนี้ ทีมนักวิจัยจาก Reuters ได้สำรวจผู้คนกว่า 4,864 คน ที่เป็นคู่แต่งงานกว่า 2,767 คู่ และพบว่าคู่รักมากกว่า 50% มีความสัมพันธ์ที่ดีขึ้นหลังจากที่ทั้งคู่ออกไปดื่มแอลกอฮอล์ด้วยกัน แต่ถ้าหากปล่อยให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งออกไปดื่มเพียงลำพัง หรือไปกับเพื่อนมากกว่าไปด้วยกันมักจะส่งผลให้เกิดความสัมพันธ์ในชีวิตคู่ที่แย่ลง เนื่องจากความหวาดระแวงและไม่ไว้ใจกัน

Dr. Kira Birditt จาก University of Michigan กล่าวว่า ตัวเขาที่ได้ทำวิจัยนั้นก็ยังไม่สามารถได้คำตอบที่แน่ชัดว่าเพราะอะไรถึงทำให้แอลกอฮอล์กลายมาเป็นสิ่งที่ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างคู่รักดีขึ้น อาจเป็นไปได้ว่าเพราะทั้งสองคนออกไปใช้เวลาด้วยกันลำพัง โดยมีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เป็นสื่อกลางในการแชร์เรื่องราวต่าง ๆ ของกันและกัน

อย่างไรก็ตามการวิจัยดังกล่าวนั้นไม่ได้กล่าวถึงว่าจะต้องดื่มในปริมาณที่มากแค่ไหน แต่เป็นวิจัยที่โฟกัสในเรื่องของคู่รักที่ดื่มด้วยกันและไม่ได้ดื่มด้วยกันมากกว่า

การนั่งดื่มกันสองต่อสองจะทำให้ทั้งคู่โฟกัสกันและกัน พร้อมกับหาเรื่องราวต่าง ๆ เพื่อมาเล่าระหว่างที่ดื่มแอลกอฮอล์และสร้างความสัมพันธ์ของคู่รักที่ดีกว่าการดูหนังเพราะจะต้องโฟกัสกับเนื้อเรื่องมากกว่าคนข้างกาย รวมถึงฤทธิ์ของแอลกอฮอล์จะทำให้เราเข้าสู่สภาวะมึน ๆ ที่จะทำให้คู่รักเปิดใจปรึกษา กล้าบอกความลับบางอย่าง รวมถึงลดปัญหามือที่สามที่มักเข้ามาเวลาต่างฝ่ายแยกกันออกไปเที่ยวในตอนกลางคืน

ถึงแม้งานวิจัยจะบอกว่าการดื่มแอลกฮอล์ด้วยกันจะช่วยกระชับความสัมพันธ์ของคู่รัก แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะต้องออกไปดื่มทุกคืน ให้มันเป็นเรื่องของโอกาสและดูตามความเหมาะสมจะดีกว่า เพราะถ้าดื่มจนเมาเละเทะก็จะไม่ส่งผลดีแน่นอน และถ้าหากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่ชอบดื่มก็ขอแนะนำให้หากิจกรรมอื่นเพื่อทำร่วมกันก็น่าจะดีกว่า

 

SOURCE

WATCHLIST: ‘5 หนังยุคดิสโทเปีย’ SCI-FI สุดมันส์กับคุณภาพชีวิต LOW LIFE บนความ HIGH TECH

$
0
0

กระแส Cyberpunk ที่กลับมาแรงแซงโค้งในวงการหนังอีกครั้งช่วงนี้ ชัดเจนสุด ๆ ก็ต้อง Blade Runner 2049 ที่แฟน ๆ แนว Sci-Fi ต่างประทับใจและยกให้เป็นหนังขึ้นหิ้งในดวงใจกันเป็นแถบ (แม้หนังจะไม่ทำเงินก็ตาม) ทำให้เราได้กลับมาเห็นความ Sci-Fi ในแวดวงบันเทิงอีกครั้ง เมือง Dystopia ยานพาหนะหน้าตาสุดล้ำ โฮโลแกรม และไฟนีออนสีสันแสบตา แต่คุณภาพชีวิตสุดแสนจะห่วยแตก สวนทางกับเทคโนโลยีที่ไปไกลเกินกว่าเราจะคาดถึง เรื่องราวเหล่านี้จะกลับมาให้หนุ่ม ๆ อย่างเราได้เติมเต็มความบันเทิงแบบอิงวิทยาศาสตร์กันอีกครั้ง UNLOCKMEN ชวนมาดูหนัง Sci-Fi มันส์ ๆ กับ 5 หนังยุคดิสโทเปีย เมื่อมนุษย์ในโลกอนาคตต้องมาใช้ชีวิตด้วยเทคโนโลยีอันไฮเทคแต่คุณภาพชีวิตต่ำเตี้ยเรี่ยดิน

Children of Men (2006)

Director : Alfonso Cuarón

โรคระบาดในปี 2027 ที่คร่าชีวิตทารกทั่วโลกและทำให้ผู้หญิงกลายเป็นหมันกันหมด นั่นหมายความว่าโลกใบนี้จะไม่มีทารกอีกต่อไป ท่ามกลางความวุ่นวายของการเมือง สภาพสิ่งแวดล้อมที่เสื่อมโทรมจนไม่อาจกู้คืนได้ ประเทศอังกฤษเป็นประเทศเดียวที่ยังคงยืนหยัดกับปัญหาเหล่านี้ได้ จนทำให้เหล่าผู้ลี้ภัยแห่แหนกันมาที่นี่ แต่พวกเขากลับไม่ได้รับการปฏิบัติที่ดีนัก ชีวิตของพวกเขาเป็นเพียงผักปลา จนเกิดกลุ่มกบฏต่อต้านรัฐบาลที่นำทีมโดย Julian (Julianne Moore) ต้องการพาหญิงสาวต่างด้าวหลบหนีออกจากอังกฤษ จึงจำต้องขอความช่วยเหลือจาก Theo Faron (Clive Owen) อดีตสามีที่เธอและเขาต่างต้องเสียลูกน้อยไปจากเหตุการณ์นี้เช่นกัน มาดูกันว่าบนโลกอันวุ่นวายที่ไร้ทายาทรุ่นหลังจะมีความหวังขึ้นมาอีกครั้งได้อย่างไร

Predestination (2014)

Director : The Spierig Brothers

The Barkeep เจ้าหน้าที่ของรัฐบาลที่มีหน้าที่หยุดยั้งอาชญากรไม่ให้ก่อเหตุร้ายแรง ด้วยการเดินทางข้ามเวลาไม่ว่าจะเป็นอดีตหรืออนาคต และงานสุดท้ายก่อนลาวงการของเขาคือหยุดยั้ง Fizzle bomber นักวางระเบิดตัวฉกาจ แต่ทุกอย่างมันไม่ง่ายอย่างนั้น ยิ่งเขาถลำลึกลงไป เขายิ่งค้นพบปริศนาที่เป็นปมต่อกันยาวเหยียดไปเรื่อย ๆ และเป็นเขานี่แหละที่ต้องคลายปมนั้นด้วยตัวเอง

ทำความเข้าใจก่อนว่ามันไม่ใช่แค่หนัง Sci-Fi ล้ำ ๆ ยิงกันมัน ๆ แล้วจบกันไป  แต่ต้องเตรียมสมองคุณให้พร้อม กับหนังพล็อตล้ำเรื่องนี้ ที่จะชวนให้เราตั้งคำถามกับชีวิตของเราว่า ทุกเหตุการณ์ที่มันเกิดขึ้นนั้นมันเป็นเรื่องบังเอิญ โชคชะตา หรือความตั้งใจของเราเอง เรามีส่วนในการตัดสินใจกับชีวิตของเราได้มากน้อยแค่ไหน อ่านดูแบบนี้มันอาจดูเหมือนเป็นคำถามปรัชญาเข้าใจยาก แต่บอกเลยว่าหนังถ่ายทอดออกมาได้ดี ไม่น่าเบื่อเลยสักนิด เหมือนเราดู Thriller เจ๋ง ๆ เรื่องนึง แล้วมันชวนให้เราคิดคำถามพวกนี้เองโดยหนังไม่ต้องบอกอะไรเราเลยด้วยซ้ำ

In Time (2011)

Director : Andrew Niccol

เรื่องราวของโลกยุคอนาคตที่ทุกคนจะอายุหยุดอยู่ที่ 25 ไม่ได้หมายความว่าเราจะอยู่เป็นอมตะตลอดไป ชีวิตของทุกคนจะผูกอยู่กับระบบเวลา หากเราต้องการมีชีวิตต่อไปเราต้องดิ้นรนหาเวลามาเติมให้ตัวเองแบบนาทีต่อนาที สารพัดวิธีที่จะทำได้ เวลาจึงเป็นสิ่งที่มีค่ามากในเรื่องนี้ ชีวิตของคนระดับล่างก็ต้องใช้เวลาเติมชีวิตกันแบบวันต่อวัน ชีวิตของคนเงินถุงเงินถัง มีเวลาล้นเหลือที่จะใช้ไปแบบไม่ต้องคิดเผื่อใคร และด้วยความที่เวลามีค่ากว่าสิ่งใด Will Salas (Justin Timberlake) หนุ่มธรรมดาที่ใช้ชีวิตด้วยเวลาวันต่อวันเกิดได้เวลาจากมหาเศรษฐีผู้ร่ำรวยเวลามาอย่างที่ไม่ได้ตั้งใจและตั้งตัว Time Keeper จึงต้องออกโรงตรวจสอบถึงเวลาที่มากผิดปกติของเขา จนเกิดการตามล่ากันเกิดขึ้น

หนังเสียดสีสังคมได้แบบเจ็บแสบ เพราะชีวิตจริงของเรา คนที่มีเงินมากพอมักจะใช้เงินซื้อเวลาให้กับตัวเอง ไม่ต้องเสียไปกับสิ่งที่ไม่ได้อยากทำ จนเราเริ่มหันกลับมามองแล้วว่า เงินและเวลามันสัมพันธ์กันอย่างเลี่ยงไม่ได้

Upside Down (2012)

Director : Juan Solanas 

ล้ำยิ่งกว่าโลกยุคเสื่อมโทรมไปอีกขั้นเมื่อโลกเราแบ่งเป็นสองฝั่ง ฝั่งข้างล่างจะเป็นที่อาศัยสำหรับคนจน ฝั่งข้างบนสำหรับคนที่มีฐานะมากพอที่จะย้ายตัวเองไปได้ ทั้งสองฝั่งแรงโน้มถ่วงจะต่างกัน หากคนโลกข้างล่างขึ้นไปฝั่งข้างบน เขาจะลอยเคว้งคว้างจึงต้องหาอะไรถ่วงไว้เสมอ Adam (Jim Sturgess) หนุ่มหน้าใสจากโลกข้างล่างดันไปรักกับ Eden (Kirsten Dunst) สาวสวยผู้ได้ใช้ชีวิตอยู่โลกข้างบน แล้ววันหนึ่งมีเหตุให้ต้องจากกัน และวันนึงเขาทั้งสองได้กลับมาเจอกันอีกครั้ง แต่ว่าแรงโน้มถ่วงที่เป็นอุปสรรคทำให้เขาทั้งสองต้องหาทางให้ได้อยู่กับคนที่เขารัก มาดูกันว่าเจ้าหนุ่มจะใช้หนทางไหนที่ไต่ขึ้นไปโลกข้างบนเพื่อได้ไปเจอกับคนที่เขารักอีกครั้ง

ดูหนังหนัก ๆ กันมาเยอะแล้ว แนะนำหนังเอาใจสายซอฟต์กันบ้าง เป็นเรื่องที่พล็อตล้ำมากเหมือนกัน มีการพยายามหาเหตุผลมารองรับเรื่องแรงโน้มถ่วงและจุดบอดอื่น ๆ ในเรื่อง ทำได้ดีในบางจุด บางจุดยังเป็นจุดบอดอยู่บ้าง แต่สุดท้ายแล้วเราต้องมาดูกันว่าความรักกับแรงโน้มถ่วงอะไรจะแข็งแกร่งกว่ากัน

I, Robot (2004)

Director : Alex Proyas

เป็นการเอาแนวคิดเรื่อง กฎ 3 ข้อของหุ่นยนต์ ข้อแรก A robot may not harm a human being, or, through inaction, allow a human being to come to harm. ข้อสอง A robot must obey the orders given to it by human beings, except where such orders would conflict with the First Law. และข้อสุดท้าย A robot must protect its own existence, as long as such protection does not conflict with the First or Second Law. มาตีความให้เราเห็นภาพที่ชัดเจนยิ่งขึ้น ที่ต้องรู้กฎเหล่านี้เพราะจะทำให้ดูหนังเรื่องนี้ได้อินยิ่งขึ้น เรื่องราวในโลกอนาคตที่ทุกบ้านจะมีหุ่นยนต์เป็นเหมือนเครื่องอำนวยความสะดวกทั่วไป เรื่องราวน่าจะพอเดาได้ เมื่อคนเราต้องใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับหุ่นยนต์แต่ Del Spooner (Will Smith) กลับไม่ได้รู้สึกว่ามันเป็นสิ่งที่ควรไว้วางใจ ยิ่งมันใช้ชีวิตร่วมกับเรานานเท่าไหร่ เหมือนกับว่าโลกนี้ไม่ได้ถูกขับเคลื่อนด้วยมนุษย์อีกต่อไป

เรื่องนี้มีประเด็นเกี่ยวกับ AI และมนุษย์ให้ได้ขบคิดกันต่อแบบยาว ๆ รวมทั้งประเด็นทางศีลธรรมอีกหลายเรื่อง เมื่อหุ่นยนต์ไม่ได้มีความคิดและความรู้สึกแบบมนุษย์ เราจะทำยังไงกับเรื่องของศีลธรรมเมื่อมันกลายเป็นส่วนหนึ่งของโลกใบนี้แบบไร้อารมณ์โดยสิ้นเชิง

เลือกสักเรื่องที่ถูกใจ ใช้เวลาไปกับเรื่องราวเหนือจินตนาการ มันส์ไปกับแอ็กชั่นที่สอดแทรกเข้ามาในเนื้อเรื่องวิทยาศาสตร์เหล่านี้

LIVEWIRE™ มอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าจาก HARLEY DAVIDSON มาพร้อมอัตราเร่ง 0-100 ใน 3.5 วินาที

$
0
0

หนุ่ม ๆ ผู้หลงใหลในการขับขี่พาหนะ 2 ล้อโดยเฉพาะจากค่าย Harley-Davidson คงต้องเริ่มเตรียมเก็บเงินกันได้แล้ว เพราะในปี 2019 นี้จะเป็นศักราชใหม่ที่พวกเขาจะใช้เปิดตัวรถมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าทรงสมรรถนะคันแรกของค่าย ที่หลายคนรู้จักกัน Livewire™ ออกมาในช่วงเดือนสิงหาคมปีนี้

cnet

ปฏิเสธไม่ได้จริง ๆ ว่าทุกวันนี้พาหนะที่ใช้พลังงานทางเลือก ไม่ว่าจะเป็นรถยนต์หรือรถมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าคือหนึ่งในทางเลือกใหม่สำหรับหนุ่มผู้หลงใหลความเร็วทั้งหลาย ที่พร้อมใจหันมาเทคะแนนให้ความสนใจกันมากขึ้น ซึ่งแน่นอนว่าช่วงหลายปีที่ผ่านบรรดาค่ายรถต่างพากันพัฒนารถในสายการผลิตของตัวเองสู่เส้นทางนี้มากขึ้น รวมถึง Harley-Davidson ที่ได้วางแผนรวมถึงเริ่มต้นสายการผลิตรถมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าของตัวเองตั้งแต่ปี 2014 จนในที่สุดโมเดลสมบูรณ์ของมันในชื่อ Livewire™ ก็พร้อมให้ทุกคนได้ทำความรู้จักแล้ว

หลังจากพัฒนามาร่วม 4 ปี ในที่สุด Harley-Davidson ก็ถือโอกาสเปิดตัวรถมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าคันแรกของพวกเขาอย่าง Livewire™ ในงาน Milan Motocycle Show นอกจากนี้ยังเปิดเผยว่ามีแผนจะวางขายมันโดยโซนแรกที่มีโอกาสได้สัมผัสความพิเศษก่อนใครเพื่อน คือโซนทวีปอเมริกาเหนือและยุโรปบางประเทศ แต่อย่างไรก็ตาม Harley-Davidson ก็ยังเก็บรายละเอียดสำคัญอย่างสเปคเครื่องยนต์เอาไว้และมีการเปิดเผยข้อมูลบางส่วนเท่านั้น

cnet

Livewire™ มากับรูปลักษณ์ภายนอกที่ดุดันตามปรัชญาดั้งเดิมของ Harley-Davidson ด้วยชุดเฟรมอะลูมิเนียมน้ำหนักเบาแต่ทนทานกับรูปทรงที่ดูปราดเปรียวและอุปกรณ์ที่ทันสมัยมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นหน้าจอแสดงผล LCD ขนาด 10.9 เซนติเมตร ซึ่งจะช่วยแสดงข้อมูลทั้งความเร็ว ระยะทาง และสถานะของแบตเตอรี่ รวมถึงสามารถให้เราใช้กำหนดโปรแกรมต่าง ๆ ได้ด้วยตัวเองไม่ว่าจะเป็น ระบบนำทางหรือเครื่องเล่นเพลงที่จะทำให้คุณมีความสุขไปกับการบิดในทุกเส้นทาง

แม้จะยังไม่มีการเปิดเผยเรื่องสเปคเครื่องยนต์ออกมา แต่ข้อมูลที่แน่นอนคือ Livewire™ คันนี้จะไม่ใช่รถมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าที่ถูกจำกัดในเรื่องของขุมพลัง เพราะมันมาพร้อมกับอัตราเร่งความเร็วตั้งแต่ 0-100 ได้ด้วยเวลาแค่ 3.5 วินาทีเท่านั้น หมดห่วงถ้าคุณต้องการความแรง โดยขุมพลังของมันคือแบตเตอรี่แรงดันไฟฟ้าสูงที่สามารถขับได้ไกลถึง 110 ไมล์หรือประมาณ 178 กิโลเมตรต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง พร้อมการชาร์จ 2 ทางเลือกที่ออกแบบไว้สำหรับชาร์จที่บ้านและศูนย์ฯ ที่มีไว้สำหรับบริการ

adweek

นอกจากนี้ Livewire™ ยังมาพร้อมส่วนเสริมต่าง ๆ ที่ Harley-Davidson เพิ่มเข้ามาอีกไม่ว่าจะเป็น ระบบส่งกำลัง H-D Revelation™ ที่เพิ่มแรงบิดได้ 100 เปอร์เซ็นต์ รวมถึงระบบกันสั่นสะเทือนด้านหลัง SHOWA ซึ่งสามารถเลือกปรับตามสไตล์การขับขี่ได้และสุดท้ายคือยาง HD/MICHELIN Scorcher Sport เป็นเส้นหน้าขนาด 120 มม. กับเส้นหลังขนาด 180 มม. ซึ่งทั้งหมดคือชิ้นส่วนที่ได้รับการเปิดเผยออกมาแล้ว

อย่างไรก็ตามอีกไม่นานเราจะได้ชมสเปคเต็ม ๆ แบบครบเครื่องภายในปีนี้อย่างแน่นอนเพราะ Livewire™  กำลังจะถูกวางขายในเดือนสิงหาคมนี้ เริ่มจากโซนทวีปอเมริกาเหนือและยุโรปก่อน และจะเปิดให้มีการ Pre -Order ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ โดยราคาเริ่มต้นจะเปิดที่ 29,799  ดอลล่าร์สหรัฐหรือประมาณ 955,000 บาท พร้อมกับ 3 สีพิเศษให้ผู้ชายอย่างเราได้เลือกตามแบบที่ชอบไม่ว่าจะเป็นสี Yellow Fuse , Orange Fuse และ Vivid Black  

ส่วนหนุ่ม ๆ ในประเทศที่กำลังรอคอยว่า Livewire™ จะเข้ามาวางขายในบ้านเราเมื่อไรทาง UNLOCKMEN จะมาแจ้งข่าวให้ทราบกันอีกที แต่เชื่อว่าไม่นานเกินรอเราจะได้เห็นภาพรวมของมันเต็ม ๆ อย่างแน่นอน

SOURCE 1   SOURCE 2

 


ASUS ZENBOOK S13 แล็ปท็อปสเปคโหดมาพร้อมหน้าจอบางเฉียบที่สุดในโลก

$
0
0

ดูเหมือนปี 2019 จะกลายเป็นปีที่ดุเดือดแน่นอนสำหรับตลาดของคอมพิวเตอร์พกพาหรือแล็ปท็อป เพราะล่าสุดในงานเปิดตัวผลิตภัณฑ์ด้านเทคโนโลยีอย่าง Consumer Technology Association (CES) ได้รวบรวมบรรดา Gadgets ที่น่าสนใจเอาใจมากมายและหนึ่งในนั้นคือ ZenBook S13 แล็ปท็อปรุ่นบางเฉียบซึ่งส่งเข้าประกวดโดยค่าย ASUS

Firstpost

การแข่งขันในตลาดเครื่องคอมพิวเตอร์แบบพกพายังคงร้อนระอุ เมื่อผู้ผลิตค่ายต่าง ๆ ทยอยพัฒนาและเปิดตัวแล็ปท็อปสเปคโคตรโหดในรูปลักษณ์ที่เพรียวบางและกะทัดรัดยิ่งขึ้น ซึ่งล่าสุดเป็นคิวของ ASUS ในการเปิดตัวแล็ปท็อปรุ่นล่าสุดของค่ายกับ ZenBook S13 ซึ่งมากับความโดดเด่นทั้งงานดีไซน์และสเปคเครื่องที่รองรับการใช้งานได้อย่างหลากหลาย

Asus ZenBook S13 มาพร้อมตัวเครื่องที่ทำจากอะลูมิเนียมทั้งชิ้นเรียกว่า CNC-Milled chassis ทนทานสุดในตระกูล ZenBook เท่าที่เคยมีการผลิตมา พร้อมจอแสดงผลขนาด 13.9 นิ้ว พร้อมความบางที่ 2.5 มิลลิเมตรซึ่ง Asus เคลมว่ามีขนาดเล็กลงจากรุ่นก่อนหน้า 12.5 เปอร์เซ็นต์และบางสุดในโลกในตอนนี้ โดยเป็นจอความละเอียด Full-HD 1080p กินพื้นที่ 97 เปอร์เซ็นต์ของขนาดเครื่อง ซึ่งจะรับประกันว่าจะได้มุมมองใช้งานที่สบายตามากขึ้นพร้อมความสวยงามของกราฟิกรับประกันโดย NVIDIA GeForce MX150 สามารถรองรับงานออกแบบได้สบายๆ  รวมถึงระบบประมวลผลเป็น 8th Gen Intel Core I7 โดยรวมกันออกมาเป็นแล็ปท็อปที่มีน้ำหนักเพียง  1.1 กิโลกรัมเท่านั้น

 

นอกจากนี้ ZenBook S13 ยังรองรับการใช้งานของหนุ่ม ๆ ที่ต้องเก็บข้อมูลเยอะด้วยหน่วยความจำตัวเครื่องสูงสุดถึง 1 TB และ RAM สูงสุด 16 GB พร้อมพอร์ต USB 3.1 Type-C 2 ช่องและช่องเสียบ MicroSD card Reader เติมเต็มความบันเทิงสุดกระหึ่มด้วยลำโพงจาก Harman/Kardon รับรองคุณภาพเสียง และสำหรับคนที่ชอบปั่นงานยาว ๆ หรือใช้พักผ่อนนอนดู Netflix อยู่บ้านก็ตอบโจทย์ด้วยการใช้งานของแบตเตอรี่สูงสุดถึง 15 ชั่วโมงซึ่งสามารถชาร์จไฟได้ 60 เปอร์เซ็นต์ของความจุแบตเตอรี่ภายในเวลาแค่ 49 นาทีเท่านั้น และถึงจะเห็น ZenBook S13 มาพร้อมกับรูปลักษณ์ที่ดูเปราะบางแต่มันผ่านการทดสอบความแกร่งทั้งในเรื่องการรองรับแรงกระแทก รวมถึงการใช้งานในระดับความกดอากาศสูงหรืออุณหภูมิมหาโหดมาแล้วทุกรูปแบบ

Asus มีแผนจะวางขาย ZenBook S13 ได้ช่วงเดือนมีนาคมหรือไตรมาสแรกของปีนี้ ส่วนในเรื่องของราคาตอนนี้ยังไม่มีการเปิดเผยตัวเลขที่แน่นอนออกมา เราคงต้องดูกันว่าราคาเริ่มต้นในสหรัฐอเมริกาว่าอยู่ที่เท่าไหร่ อย่างไรก็ตามใครที่คิดว่า ZenBook S13 จะสามารถตอบโจทย์การใช้งานของตัวคุณ ก็เตรียมตัวเตรียมงบกันไว้ให้พร้อมได้เลย

SOURCE 1  SOURCE 2

โดนกรีดหัวใจแค่ไหนก็สู้ไหว รู้จัก WABI-SABI ปรัชญาญี่ปุ่นช่วยกู้ความสุขเมื่อเฟลเพราะงานไม่เพอร์เฟกต์

$
0
0

“วันนี้ทำงานพลาดว่ะ” คือหนึ่งใน Topic ที่ทำให้เพื่อนที่ไม่ค่อยได้คุย ไม่ได้รวมตัวกันมานานกลับมาคุยกันเพื่อระบายอารมณ์ และไม่ว่าเพื่อนฝูงจะอยู่ระดับไหนของบริษัท เป็นคนตัวเล็กหรือใหญ่ขององค์กรประเด็นนี้ก็จะทยอยมาให้ได้ยินเหมือนกันเสมอ

“เป็นลูกน้องที่โดนลูกค้าด่า
เป็นเจ้านายที่บริหารงานไม่ดี
เป็นเจ้าของที่ไม่สร้างกำไร

ฯลฯ”

แต่สิ่งที่น่าสนใจมากกว่าการนั่งขยายว่าไปทำผิดอะไรมา หรือสิ่งที่พวกมันต้องจ่ายเพื่อรับผิดชอบความผิดเหล่านั้นตามขนาดความเล็กใหญ่ของเรื่องที่เจอ กลับเป็นเรื่องผลกระทบทางอารมณ์ของพวกมันมากกว่า เพราะบางคนเฟลนาน เฟลไม่จบไม่สิ้น ถึงงานนั้นจะผ่านไปจนเริ่มโปรเจกต์ใหม่ก็ไม่หายจนสุดท้ายต้องล้มเหลวจริงจากจับจด ขณะที่บางคนแค่บ่น ยอมรับและก้าวต่อไปก็ทำงานได้ดีขึ้น

เรื่องนี้ทำให้เรานึกถึงปรัชญาญี่ปุ่นที่เรียกว่า 侘寂  (wabi-sabi) “วาบิ-ซาบิ” หรือการมองเห็นความงามที่ไม่สมบูรณ์แบบของญี่ปุ่น ซึ่งมาจากการรวม 2 คำ ได้แก่ Wabi (侘び) ที่แปลว่า ความเรียบง่าย สมถะ และ Sabi (寂び) ที่แปลว่า ความเงียบสงัด สภาพจิตใจที่สงบนิ่ง และสูงส่ง ซึ่งทั้งสองสิ่งนี้คือส่วนผสมที่ลงตัวที่ทำให้เราเห็นแง่มุมของการใช้ชีวิตแบบเรียบง่ายไม่ซับซ้อน และไม่เจ็บปวด ไม่ว่าสิ่งเหล่านั้นจะสร้างบาดแผลให้เราไว้มากแค่ไหนก็ตาม เพราะสรรพสิ่งล้วนไม่สมบูรณ์ และทุกความผิดพลาดต่างมีความสวยงาม

สูงสุดจากสามัญ Zero be Hero

ที่มาของ Wabi-Sabi หรือการมองเห็นความสวยงามจากสิ่งไม่จีรังหลายคนคงเปรยว่าคล้ายกันกับ “อนัตตา” ของศาสนาพุทธเหลือเกิน บอกได้เลยว่า “บิงโก” คุณเดาถูกแล้ว เพราะแนวคิดนี้เกิดขึ้นในศตวรรษที่ 15 ญี่ปุ่นได้รับอิทธิพลเรื่องพุทธศาสนามาจากจีน จากนั้นนำมาปรับใช้กับทุกอย่างในวิถีชีวิตเพื่อสร้างความสงบสุขทางใจ โดยเจ้าแนวคิดนี้เป็นแนวคิดที่ใช้ได้กับทุกเรื่องและเราคาดว่ามันน่าจะเป็นพื้นฐานของการสร้างนิยามการใช้ชีวิตแบบ “มินิมัล” ในญี่ปุ่นด้วย เหมือนแบรนด์ MUJI ในบ้านเรา ที่สวยงามบนความเรียบง่าย แต่ไม่โดดเด่นฉูดฉาด

ธรรมชาติ ความเรียบง่าย ความไม่สมบูรณ์แบบ คือต้นทางของการปรับใจให้มองเห็นความสวยงามจากภายในแทน ดังนั้น งานที่ว่ายาก ที่ว่าแย่ หรือโดนตำหนิ เมื่อเกิดขึ้นแล้วมันก็ผ่านไปแล้ว เราแค่พยักหน้ายอมรับและหาความดีงามที่ซ่อนอยู่ในตัวมัน แทนที่จะไปโฟกัสมุ่งแต่ความสมบูรณ์แบบจึงเป็นคำตอบที่ดีกว่า เช่นเดียวกับแก้วเซรามิกที่บิ่นรูปทรงไม่สวยเป๊ะ หากตั้งวางได้ไม่ล้มก็มีสไตล์ และยังรองน้ำดื่มได้อยู่ดี หรือใบไม้ร่วงผุพังจากต้นที่สร้างภาพสวยงามติดตาได้

 

สุขุม นุ่มลึกไปถึงรอยแตกร้าว

ไม่เพียงแค่ปรัชญาในการดำเนินชีวิตอย่างเดียว แต่มันยังลึกซึ่งลามไปแขนงอื่นอย่างศิลปะด้วย ถ้าใครเห็นงาน Kintsugi หรือศิลปะการซ่อมภาชนะที่แตกด้วยรัก ยางไม้แห้ง แล้วทาเชื่อมด้วยสีทองโชว์ให้เห็นรอยแตก สิ่งนี้ก็ได้แนวทางจากแนวคิดของ Wabi Sabi เช่นกัน

Credit Photo: lifegate.com

Credit Photo: sanwart.com

เมื่อนักรบเก่งกาจย่อมมีบาดแผล แถมสิ่งที่คนเก่งส่วนใหญ่เลือกทำคือการยิ้มให้กับประสบการณ์ช้ำ ๆ ในชีวิตแล้วหัวเราะให้มันอย่างกล้าหาญ ดังนั้น เวลาเราพบกับการทำงานที่ผิดพลาดไม่ว่าจะมากขนาดไหน สิ่งแรกที่เราต้องทำคือการขอบคุณอุปสรรคชิ้นนี้ที่เข้ามาสร้างความเปลี่ยนแปลงในชีวิตและมุมมอง เพราะมันช่วยให้เราแกร่งขึ้นกว่าเดิม

 

คุณค่าที่ไม่ลดลงต่อสิ่งที่คนอื่นมอง

ต่อยอดมาจากงาน Kintsugi ที่พูดถึงไปก่อนหน้านี้ เห็นถ้วยเคลือบยางลงรักทาทองสวย ๆ แบบนี้ เชื่อว่าบางคนคงชมว่าสวย เดาว่าอบมาใหม่ ทาอย่างตั้งใจและอยากมีไว้ครอบครอง ทั้งที่ถ้ามองจริง ๆ อีกมุมหนึ่ง ภาชนะเหล่านี้มันก็คือซากดินปั้นที่เคยแตก เคยใช้งานไม่ได้แล้วนำมาติดกาวแท้ ๆ

รอยซ่อมที่คงความสวยงามในตัวของมัน ไม่ได้ทำให้คุณค่าหรือการใช้งานลดลง และยังสร้างมูลค่าได้ด้วย
ถ้าเอามาเปรียบเทียบและใช้กับการทำงานที่เคยพลาด มองความล้มเหลวเป็นเรื่องธรรมดา และใช้มันกระตุ้นให้เดินหน้าต่อไม่หวั่นไหว ไม่ให้คำคนอื่นมาตัดสินหรือลดคุณค่าตัวเองลง ไม่นานเราต้องลุกขึ้นใหม่ได้อย่างสวยงามแน่นอน

การเลิกโทษตัวเอง เลิกเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่น แล้วหันมาตั้งเป้าหมายสูงสุดบนความสามารถของตัวเอง รวมทั้งเปิดใจเรียนรู้ คือจิตวิญญาณของความสำเร็จ

เลิกไล่ตามหาความสมบูรณ์แบบที่ไม่มีอยู่จริง แล้วมองหาความสุขใกล้มือที่ทำให้เราเข้าใกล้ความสำเร็จกันเถอะ

“เราจะมองต้นซากุระเพียงเวลาที่ดอกของมันบานสะพรั่ง เราจะมองดวงจันทร์เพียงเวลาที่ไม่มีเมฆบัง อย่างนั้นหรือ” – คำถามในข้อเขียน Tsurezuregusa (Essays in Idleness) ของพระเค็นโค (Yoshida Kenkō)

SOURCE: 1 / 2 / 3

RAHEEM STERLING เหยื่อ RACIST ที่ไม่มีใครฟัง แต่ NIKE ขอนำมาเป็น PRESENTER คนใหม่

$
0
0

การกลับมาอีกครั้งของแคมเปญตบหน้าสังคมของ Nike หลังประสบความสำเร็จอย่างมากกับ Colin Kaepernick อดีต NFL quarterback ชื่อดังที่มากับ Tagline เงินล้านอย่าง “Believe in something even if it means sacrificing everything.’’ ซึ่งเป็นสิ่งที่ Kaepernick เลือกที่จะแสดงออกเพื่อต่อต้านการไม่เท่าเทียมในสังคมของคนผิวดำ แม้จะรู้ว่าผลที่ตามมาจะรุนแรงถึงขั้นทำให้อาชีพต้องจบลงก็ตาม ซึ่งการที่ Nike เลือกสนับสนุน Colin Kaepernick ก็ทำให้เกิดกระแสต่อต้านมากมาย แต่สุดท้ายดูเหมือนคนชนะจะเป็น Nike เมื่อความเด็ดเดี่ยวนี้กลับสร้างยอดขายได้อย่างมหาศาลชนิดที่ทำ Promotion ยังไม่ได้ขนาดนี้

เหมือนหนังภาคแรกประสบความสำเร็จ ย่อมต้องมีภาคสองตามออกมา กับ Campaign ล่าสุดของ Nike ที่เลือกใช้ Approach เดิมในการยืนหยัดข้างนักกีฬาผิวสีที่โดนกระทำอย่างไม่เสมอภาคอีกครั้ง โดยคราวนี้เป็นเรื่องราวของนักฟุตบอลมากพรสวรรค์แห่ง Manchester City ‘Raheem Sterling’ ที่มีปัญหากับการถูกเลือกปฏิบัติจากสื่ออังกฤษและแฟนบอลอย่างไม่เท่าเทียมกับนักเตะผิวขาวเสมอ

Sterling เคยโพส Instagram เปรียบเทียบความไม่เสมอภาคจากการนำเสนอของสื่อ โดยเปรียบเทียบตัวเค้ากับ Phil Foden นักเตะหน้าใหม่ผิวขาวที่ย้ายทีมมาอยู่ Manchester City ด้วยกันในเวลาไล่เลี่ยกัน นักเตะทั้งสองคนทำสิ่งที่เหมือนกันคือ ซื้อบ้านให้แม่ แต่สิ่งที่สื่ออังกฤษนำเสนอนั้นกลับแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง โดย Steling ถูกพาดหัวในเชิงลบว่า

“นักเตะ Manchester City อายุเพียง 20 ปี กับค่าเหนื่อยสัปดาห์ละล้าน สิ่งแรกที่มันทำคือซื้อ Mansion หรูหลังราคา 92 ล้านบาท ทั้ง ๆ ที่ยังไม่เคยทำผลงานให้สโมสรแม้แต่นัดเดียว”

ในขณะที่ของ Phil Foden กลับถูกพาดหัวข่าวจากสื่อเจ้าเดียวกันสั้น ๆ แต่ความหมายดีว่า “นักเตะดาวรุ่ง Phil Foden ซื้อบ้านราคา 90 ล้านบาทให้คุณแม่”

ด้วยเรื่องราวเหล่านี้ Nike จึงดึง Raheem Sterling มาเป็น Presenter ใน Campaign ใหม่ล่าสุด พร้อม Tagline เงินล้านสุดคูลอันใหม่ว่า “Speaking up doesn’t always make life easier. But easy never changed anything”. พร้อมภาพ Key Visual ในโทนขาวดำเหมือนกับของ Kaepernick

น่าสนใจว่าคราวนี้จะมีกระแสอะไรจากแฟนบอลผิวขาวสาย Hardcore จากอังกฤษบ้าง และไอเดียครั้งนี้ของ Nike จะประสบความสำเร็จหรือรับมือกับปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นยังไง

 

SEX & DRUGS: วิเคราะห์ละเอียด “ยาเสพติดชนิดไหนกระตุ้นให้เซ็กซ์เร้าใจ ชนิดไหนทำพัง?”

$
0
0

ปฏิเสธไม่ได้ว่าค่านิยมการใช้ยาเสพติดคู่กับการมีเซ็กซ์นั้นเป็นวัฒนธรรมที่อยู่คู่กับสังคมมนุษย์มาอย่างยาวนาน ไม่ใช่แค่ในประเทศไทย แต่เป็นทั่วทั้งโลก นับวันก็ยิ่งได้รับความนิยมขึ้นเรื่อย ๆ ดังนั้นเราจึงอยากนำบทความนี้จาก Rooster Magazine มาเผยแพร่ให้ทุกคนได้ทราบ เราไม่ได้ส่งเสริมสนับสนุนความวิเศษของยาเสพติดเมื่อใช้คู่กับเซ็กซ์ แต่เป็นการให้ความรู้ความเข้าใจเพื่อที่ทุกคนได้รู้เท่าทันพิษภัยของมันและไม่หลงตกเป็นทาสของความสุขสุดขีดแค่เพียงชั่วคราวเหล่านี้

Ecstasy

Maclean’s

Ecstasy หรือที่ทุกคนคุ้นเคยกันดีในชื่อ ‘ยาอี’ เป็นยาเสพติดที่ออกฤทธิ์ทั้งกระตุ้นและหลอนประสาท มีสูตรโครงสร้างคล้ายกับ เมทแอมเฟตามีน หรือ ยาบ้า แต่มีฤทธิ์ที่รุนแรงกว่าถึง 10 เท่า เสพโดยการรับประทาน บ้างนิยมเคี้ยวให้ละเอียดก่อนกลืน ในรูปแบบเม็ดหรือแคปซูล จัดอยู่ในกลุ่มยาเสพติดให้โทษในประเภท 1 ตาม พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522

“ปัญหาสำคัญของการมีเซ็กซ์ในขณะเสพยาอีนั้น ไม่ว่าจะผู้ชายหรือผู้หญิง การจะถึงจุดสุดยอดนั้นเป็นเรื่องยาก อาจจะต้องใช้เวลามากกว่าปกติหลายเท่า ไม่ว่าในขณะนั้นอารมณ์ทางเพศจะพลุ่งพล่านแค่ไหน ดังนั้นทางที่ดีอาจจะต้องจัดการช่วยตัวเองก่อน ให้อวัยวะเพศแข็งตัวเต็มที่ ก่อนจะลงสู่สนามจริง” – ชายหนุ่มวัย 27

“สำหรับผม ยาอีมีส่วนช่วยให้อารมณ์ทางเพศเพิ่มขึ้นพอสมควร แต่ในขณะเดียวกันก็รู้สึกสนุกสนาน หัวใจเต้นเร็ว จนในบางครั้งก็ยากที่จะโฟกัสกับเซ็กซ์ตรงหน้า และแน่นอนว่าการจะเสร็จสมอารมณ์หมายนั้นเป็นเรื่องที่ยากพอสมควร บางครั้งอาจใช้เวลามากกว่า 1 ชั่วโมงเลยทีเดียว”  – ชายหนุ่มวัย 23

โคเคน

Medium

โคเคน หรือในภาษานักเสพมักนิยมเรียกว่า ‘โค้ก’ คืออีกหนึ่งยาเสพติดยอดฮิต ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายทั่วโลก โดยเฉพาะในหมู่คนมีฐานะ เนื่องจากเป็นยาเสพติดที่ราคาแพง นิยมเสพผ่านการสูดดมทางจมูก หรือสูบเข้าร่างกายในรูปแบบของ Crack

โคเคนสกัดมาจากใบของต้นโคคาซึ่งออกฤทธิ์กระตุ้นระบบประสาทส่วนกลางและเป็นสารที่ระงับความต้องการของร่างกาย นอกจากนั้นโคเคนยังมีสาร Dopamine Reuptake Inhibitor ซึ่งผู้ได้รับสารนี้จะรู้สึกมีความสุข และมีพลังงานเพิ่มอย่างสูงในระยะเวลาสั้น ๆ

ข้อเสียของการใช้โคเคนคือมีผลให้ระบบการหายใจล้มเหลว มีโอกาสเป็นโรคหัวใจและอัมพาต ผู้ใช้โคเคนเป็นระยะเวลานาน หลังจากโคเคนหมดฤทธิ์แล้วอาจจะทำให้เกิดอาการซึมเศร้าเนื่องจากภาวะการลดระดับของสารโดปามีนในสมองอย่างฉับพลัน

“มันยอดเยี่ยมทุกครั้งเมื่อใช้โคเคนร่วมกับการมีเซ็กซ์ มันทำให้อารมณ์ทางเพศพลุ่งพล่าน จนผมสามารถมีเซ็กซ์ได้อย่างน้อย 3 ครั้งต่อคืน จนบางครั้งคู่นอนที่ไม่ได้เสพอาจจะรองรับความคึกคักระดับนี้ไม่ไหว” – ชายหนุ่มวัย 27

“ถ้าเทียบกับสารเสพติดประเภทอื่น โคเคนถือว่าออกฤทธิ์ค่อนข้างน้อย แต่ในเรื่องของอารมณ์ทางเพศผงสีขาวนี้คือที่สุด ถึงแม้จะเพิ่งมีเซ็กซ์ไปไม่นาน แต่ทันทีที่ดมเข้าไปอารมณ์ก็กลับมาทันที อย่างไรก็ตามเมื่อถึงจุดสุดยอด ทุกอย่างก็กลับตาลปัตร สเปิร์มที่หลั่งออกไปเหมือนพรากความสุขเราไปด้วย แทนที่ด้วยความซึมเศร้าที่ยากจะรับมือ” – ชายหนุ่มวัย 23

กัญชา

กัญชาน่าจะเป็นสิ่งเสพติดที่คนไทยคุ้นเคยที่สุด เนื่องจากมีราคาถูก หาซื้อได้ง่าย และถ้าเทียบกับยาเสพติดประเภทอื่นถือว่ามีอันตรายน้อยกว่ามาก ซึ่งในขณะนี้ประเทศไทยกำลังผลักดันให้สมุนไพรชนิดนี้ถูกกฎหมายอยู่

เมื่อเสพเข้าไปในระยะแรก กัญชาจะออกฤทธิ์กระตุ้นประสาท ทำให้ผู้เสพมีการตื่นตัว ตื่นเต้น เป็นคนช่างพูดช่างคุย ร่าเริง หัวเราะง่าย จากสาร Tetrahydrocannabinol แต่เมื่อเวลาผ่านไปสัก 1-2 ชั่วโมง กัญชาจะเริ่มออกฤทธิ์กดประสาท ซึ่งจะทำให้ผู้เสพมีอาการคล้ายเมาเหล้า พูดไม่ค่อยรู้เรื่อง เซื่องซึม ง่วงนอนตลอดเวลา ซึ่งถ้าหากเสพในปริมาณมากเกินไป อาจจะทำให้เกิดภาพลวงตา ควบคุมตัวเองไม่ได้

“กัญชาถือว่ายอดเยี่ยมมากสำหรับเซ็กซ์ แต่ในบางครั้งอาจจะมีอาการพูดไม่รู้เรื่องจนคู่นอนรู้สึกสับสน” – ชายหนุ่มวัย 34

“หลังจากสูบกัญชาเข้าไป ฉันรู้สึกได้ว่าหัวนมฉันชูชันขึ้นทันที รู้สึกเสียววาบที่อวัยวะเพศ ช่องคลอดเริ่มชุ่มแฉะ แฟนของฉันรู้ได้ทันทีว่าเขาจะมีค่ำคืนที่ยาวนาน” – หญิงสาววัย 24

“ไม่ปฏิเสธว่ากัญชาสามารถเพิ่มอารมณ์ทางเพศขึ้นทันทีที่เสพ แต่ในขณะเดียวกันผมก็รู้สึกขี้เกียจเกินกว่าจะขยับตัว และการมีเซ็กซ์ในแต่ละครั้งก็ใช้เวลายาวนานกว่าปกติ จึงไม่สามารถพูดได้เต็มปากว่ากัญชาคือสิ่งที่ดีสำหรับเซ็กซ์” – ชายหนุ่มวัย 23

เครื่องดื่มแอลกอฮอล์

คงไม่ต้องอธิบายอะไรมากมาย เชื่อว่าทุกคนคงรู้จักสิ่งนี้กันเป็นอย่างดีอยู่แล้ว แต่ในแง่ของเซ็กซ์ละ คุณรู้จักมันดีแค่ไหน?

เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ มีฤทธิ์กดระบบประสาทส่วนกลาง ผู้ที่ดื่มในปริมาณไม่มาก จะรู้สึกผ่อนคลาย เนื่องจากแอลกอฮอล์ไปกดจิตใต้สำนึกที่คอยควบคุมตนเองอยู่ แต่เมื่อกินมากขึ้นก็จะกดสมองบริเวณอื่น ๆ ทำให้เสียการทรงตัว พูดไม่ชัด จนกระทั่งหมดสติในที่สุด

“ฉันรักการมีเซ็กซ์เมื่อฉันเมาเหล้า มันทำให้ฉันรู้สึกเซ็กซี่ขึ้น มั่นใจในตัวเองมากขึ้น ขาดความยับยั้งชั่งใจ และพร้อมที่จะมีเซ็กซ์กับใครสักคน” – หญิงสาววัย 25

“เหล้าทำให้ผมใช้น้องชายเบื้องล่างคิดแทนสมอง ผมมีความมั่นใจมากขึ้นและรู้สึกอยากมีเซ็กซ์ นอกจากนั้นความเมานี้ยังทำให้ผมถึงจุดสุดยอดช้าลง มีช่วงเวลาแห่งความสุขที่นานขึ้น อย่างไรก็ตามต้องดื่มในปริมาณที่พอดี ไม่อย่างนั้นนกเขาอาจจะไม่ขันหรือล่มปากอ่าวได้ง่าย ๆ “ – ชายหนุ่มวัย 29

“สำหรับผมเหล้าหรือเบียร์คือตัวช่วยที่สมดุลที่สุดสำหรับเซ็กซ์ มันทำให้ผมมีอารมณ์ทางเพศเพิ่มขึ้น แต่ก็ไม่พลุ่งพล่านเกินไปจนตะกละตะกลาม สามารถซึมซับความสุขได้เต็มที่ ถึงจุดสุดยอดช้าขึ้น แต่ก็ไม่ได้ช้าจนทรมานคู่นอน” – ชายหนุ่มวัย 23

เฮโรอีน

New York Post

เฮโรอีนเป็นยาเสพติดที่มีฤทธิ์รุนแรงสังเคราะห์จากเมล็ดฝิ่น มีลักษณะเป็นผงละเอียดสีขาว หรืออาจมีลักษณะเป็นก้อนเหนียวสีน้ำตาลที่มีสารประกอบของทาร์เรียกว่า ‘Black Tar Heroin’ นิยมเสพโดยการสูดเข้าทางจมูก สูบ หรือฉีดเข้าทางเส้นเลือด

เมื่อเสพเข้าสู่ร่างกาย เฮโรอีนจะออกฤทธิ์ต่อสมองโดยการแปลสภาพกลายเป็นมอร์ฟีน และส่งผลต่อระบบการทำงานของสมอง โดยเฉพาะกับต่อมโอปิออยด์ ซึ่งเป็นต่อมที่ทำหน้าที่ควบคุมความรู้สึกเจ็บปวดหรือความรู้สึกเป็นสุข นอกจากนี้ต่อมโอปิออยด์ยังมีหน้าที่ควบคุมการทำงานอื่น ๆ ด้วย เช่น ระบบการหายใจและระบบความดันโลหิต ดังนั้นการเสพเฮโรอีนในปริมาณที่มากเกินไปจะส่งผลกระทบต่อระบบทางเดินหายใจจนอาจถึงขั้นเสียชีวิตได้

“ส่วนใหญ่ผู้เสพเฮโรอีนมักจะไม่อยากมีเซ็กซ์ เซ็กซ์เป็นเพียงทางเลือกอันดับ 2 เท่านั้น เนื่องจากความสุขที่ได้รับจากการเสพเฮโรอีนนั้นมันมากมายเสียจนเซ็กซ์ไม่อาจเทียบได้” – หญิงสาววัย 30

“กุญแจสำคัญของการมีเซ็กซ์ในขณะที่เสพเฮโรอีนเข้าไปคือความพอประมาณ คุณต้องควบคุมท่าทีในสงครามบนเตียงรวมถึงปริมาณยาที่คุณใช้เสพให้ดี แต่อย่างไรก็ตามในวันที่ผมรู้ตัวว่าจะต้องมีเซ็กซ์ ผมเลือกที่จะไม่เสพมัน เนื่องจากมันเป็นเรื่องยากมากที่จะสำเร็จความใคร่ และแน่นอนว่าเซ็กซ์ที่ปราศจากจุดสุดยอด ยังไงก็ไม่ใช่เซ็กซ์ที่ดีหรอก” – ชายหนุ่มวัย 30

LSD

National Monitor

สำหรับประเทศไทย LSD ถือว่าเป็นสิ่งใหม่ที่เพิ่งได้รับความนิยมเมื่อไม่นานมานี้ แต่ถึงอย่างนั้นจำนวนผู้เสพก็เพิ่มขึ้นอย่างน่ากลัวในช่วงเวลาไม่กี่ปีที่ผ่านมา

LSD เป็นสารที่สกัดมาจากกรดไลเซอจิก ที่มีอยู่ในเชื้อราชื่อว่า Ergot ซึ่งมักขึ้นอยู่ตามข้าวไรย์ และมีลักษณะเป็นผงสามารถละลายน้ำได้ แต่ที่คนได้นำเอามาใช้เสพกันนั้น ส่วนใหญ่มักจะถูกบรรจุในแคปซูล หรือไม่ก็ถูกอัดมาเป็นเม็ด เช่นเดียวกับเม็ดยาทั่วไป นอกจากนี้ยังมีแบบก้อน 4 เหลี่ยม (Sugar Cubes), ของเหลวบรรจุหลอด และที่ระบาดมาที่สุดก็คือ ในรูปแบบของกระดาษที่มีลักษณะเป็นแผ่นแสตมป์เล็กๆ เป็นกระดาษที่มีความสามารถในการดูดซึมสูง เช่น Blotter Paper ที่มีลวดลาย สีสันสวยงามเป็นรูป หรือลวดลายต่าง ๆ

LSD ทำให้ผู้เสพเห็นภาพหลอน, หูแว่ว, มีอาการทางจิตอย่างรุนแรง, ความดันโลหิตสูง, หายใจไม่สม่ำเสมอ, จิตตกถึงขั้นทำร้ายตัวเอง และยังทำให้นึกถึงอดีตเลวร้ายที่ฝังอยู่ในใจกลับมาทำร้ายผู้เสพอีกครั้งผ่านทางภาพหลอน ในหลายๆ รายหลงผิดจิตหลอนคิดว่าตัวเองบินได้ กระโดดตึกตายก็มีอยู่บ่อยๆ ทำให้ LSD มีชื่อเรียกอีกชื่อว่า ‘สแตมป์มรณะ’ กันเลยทีเดียว

“เป็นธรรมดาที่ LSD จะทำให้อารมณ์ทางเพศของคุณเพิ่มขึ้น นอกจากนั้นมันยังทำให้คุณรู้สึกว่าเซ็กซ์ของคุณนั้นยาวนานกว่าในความเป็นจริง เพราะ LSD ลดการยับยั้งชั่งใจของคุณและเปลี่ยนสิ่งที่คุณเห็นไปจากความเป็นจริง ดังนั้นเมื่อคุณรู้สึกสับสนระหว่างฤทธิ์ยากับความเป็นจริง ทางเลือกที่ดีที่สุดคือการมีเซ็กซ์กับแฟนคุณเองหรือคู่นอนที่คุณสนิท ไม่อย่างนั้นมันอาจจะเป็นเซ็กซ์ที่เลวร้ายสำหรับคุณ” – DrugFucked.com

“สำหรับผมการมีเซ็กซ์ในขณะที่เสพ LSD นั้นถือว่าเป็นประสบการณ์ที่แปลกใหม่ ตอนนั้นผมแยกไม่ค่อยออกว่าสิ่งที่อยู่ตรงหน้าคือเรื่องจริงหรือภาพลวงตา ผมแทบไม่รู้ตัวว่ากำลังทำอะไรอยู่ แต่มันก็มีความสุขดีนะ” – ชายหนุ่มวัย 23

 

นี่คือผลของยาเสพติดแต่ละประเภทที่มีต่อกิจกรรมบนเตียง ต้องยอมรับว่าบางชนิดทำให้เซ็กซ์ดีขึ้นจริง ๆ แต่ราคาที่ต้องจ่ายเพื่อแลกกับความสุขชั่วคราวนั้นต้องบอกเลยว่าไม่คุ้ม เพียงไม่กี่ชั่วโมงแห่งความสุข แต่ร่างกายคุณต้องโดนทำลายไปตลอดชีวิตโดยไม่อาจซ่อมแซมได้ ดังนั้นคิดให้ดี ก่อนจะเปิดรับมัจจุราชเข้าสู่ร่างกาย…

 

SOURCE1 

SOURCE2

ทำงานไม่เก่งเป็นหัวหน้าได้ไง? เฉลยปัญหาโลกแตกที่ทำให้คุณไม่โตจากสิ่งที่ทำ แม้จะโปรแค่ไหนก็ตาม

$
0
0

ทำมากี่ปีดีดักก็ยังอยู่ที่เดิม หัวหน้าที่ดีแต่สั่งให้เราทำโน่นทำนี่เอาเข้าจริงก็ไม่เห็นว่าจะเจ๋งกว่าเราสักอย่าง กูนี่แหละมดงานหาเงินเข้าบริษัท นี่เป็นเรื่องที่คุยกันเสมอนอกฤดูโปรโมตตำแหน่งและยิ่งใกล้ช่วงโบนัส เรื่องนี้ยิ่งเดือดระอุขึ้นกว่าเดิม

เพื่อไขปัญหาโลกแตกให้กระจ่างว่าทำไมเราทำดีไม่ได้ดี หรือบอสจะตาบอดมองไม่เห็นความสามารถของเราถึงไม่ได้เลื่อนขั้นให้ แต่ดันไปเลือกคนอื่นแทน UNLOCKMEN ได้รวบรวมข้อมูลคลายสงสัยมาแบ่งปันแล้ว ลองดูว่านอกจากการเป็นเจ้าพ่อเทพด้านสกิลการทำงานแล้ว คุณสมบัติเหล่านี้คุณขาดมันอยู่ไหม เพราะถ้าคุณเป็นคนแบบเดียวคำอธิบายด้านล่าง นี่อาจเป็นเหตุผลที่ทำให้เจ้านายไม่เลื่อนให้คุณเป็นหัวหน้ากับเขาสักที

ขาด DNA องค์กร

เรื่องง่าย ๆ ที่ไม่ง่ายเอาเสียเลยคือคุณไม่ค่อยมีลมหายใจแบบเดียวกับองค์กรเท่าไหร่ ใส่ใจแต่งานที่ตัวเองทำมากเกินไป ทำให้ต่อให้ผลงานโคตรเด่นแค่ไหนก็ไม่มีวันโตได้มากกว่าเดิม เพราะเจ้านายคิดว่าถ้าเขาโปรโมตคุณขึ้นมา เมล็ดพันธ์ุต่าง ๆ ในองค์กรคงไม่ได้ดอกผลในทางเดียวกันแน่ ๆ เนื่องจากคุณดันไม่เข้าใจวิธีคิดขององค์กร กำไร การวางแผน เป้าหมาย สภาพแวดล้อมที่มีอยู่สักนิด

ลองคิดสภาพว่าถ้าองค์กรเป็นคนหนึ่งคน คุณคือ Head ของบริษัท เราให้คุณเป็นส่วนหัวที่กระจายหน้าที่ไปส่วนอื่น แต่คุณดันทำผลงานโดดเด่นเฉพาะของตัวเองเท่านั้น หัวก็จะโตเอา ๆ แต่ตัวด้านล่างลีบเพราะการเติบโตไม่กระจายไปส่วนอื่นเลย มันก็ไม่ต่างจากการทำให้องค์กรเป็นโปลิโอ ขาลีบก็เดินไปไม่ได้ แขนลีบก็หยิบจับอะไรไม่ได้อยู่ดี สู้เขาเอาคนที่ไม่ต้องเก่งเท่าคุณแต่ทำให้องค์กรเติบโตมาทำ ยังไงมันก็ดีกว่าเห็น ๆ

สื่อสาร 0 คะแนน

ส่วนใหญ่คุณเห็นใช่ไหมว่าผู้นำดีแต่พูด ทว่าทำไม่เก่งเท่าที่คิด เหตุผลเพราะมันคือคุณสมบัติที่ต้องมี คนที่เป็นหัวหน้าจำเป็นต้องมีสกิลพูดให้เก่งกว่าหรือเทียบเท่ากับการทำงาน เพราะเขาคือคนที่ต้องประสานงานและสั่งการให้คนอื่นทำตาม ดังนั้น 2 สิ่งที่ต้องทำจากการเปิดปากของเขา ได้แก่

  1. พูดให้เคลียร์และมั่นใจ เพราะผู้นำคือคนที่ต้องยืนในการประชุม เสนอโปรเจกต์เพื่อกระจายและจะต้องเป็นคนที่เคลียร์ทุกคำถามที่เกี่ยวกับการสั่งงานเสมอ และต้องมั่นใจกับเรื่องที่จะพูดด้วย เนื่องจากน้ำเสียงมีผลทางใจและความเชื่อมั่น แต่สังเกตได้ว่าคนทำงานเก่งอาจพูดไม่ค่อยเก่งนัก ดังนั้น จึงเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้สอบตกไม่รู้ตัว
  2. พูดเพื่อผลักดันและกระตุ้นแรงบันดาลใจให้ฮึกเหิม แม้จะบอกว่าต้องพูดเก่งแต่ถ้าหลุดพูดจากดคนอื่นจนไม่อยากทำงานให้ หรือเปรียบเปรยแบบห่วย ๆ จนลูกน้องรู้สึกว่ามันไม่ Make Sense มันก็เหมือนการสร้างหายนะดี ๆ ให้องค์กร
เก่งกระจุก กระจายไม่เก่ง

คุณเคยได้ยินการเปรียบเทียบที่ว่า คนนี้เป็นคนเก่ง แต่สอนไม่เก่งบ้างไหม นี่คืออีกเหตุผลสำคัญของการเลือกคนขึ้นมาเป็นผู้นำ ผู้นำที่ดีไม่เพียงแค่ความเก่งเท่านั้นที่ต้องมี แต่ควรถ่ายทอดสิ่งดี ๆ ให้ลูกน้องได้ องค์กรเขาเลยเลือกคนที่สามารถกระจายความเก่งในมือสู่คนอื่นได้ดีเพราะมันแปลว่าในระยะยาวทุกคนจะเก่งขึ้น แต่ถ้าได้คนที่หวงความเก่ง หรือสอนไม่เก่งมา การพัฒนาคนก็อาจหยุดชะงักอยู่แค่นั้น

สูตรการขยายองค์กรเกิดขึ้นจากสองทาง
ถ้าคนไม่เพิ่มก็ต้องเพิ่มความสามารถของคนที่มีอยู่เท่านั้น

ฝืนตัวเองไม่ไหว งานแย่ก็จะลงมือเอง

หัวหน้าที่ยิ้ม หัวเราะ และให้อภัยเก่ง ไม่ได้แปลว่าเขาไม่ทุกข์ร้อนหรือฉลาดน้อยกว่า แต่เขารู้จักวางตัวเองให้เหมาะสม หากคุณพลาดแล้วเขายังพาคุณไปเลี้ยงข้าวแทนที่จะด่าทั้งที่ตัวเขาเองก็ต้องขึ้นเขียงเรื่อง Kpi เหมือนกัน ส่วนหนึ่งเป็นเรื่องของความเข้าใจและการซื้อใจกันที่ใช้เหตุผลเหนืออารมณ์ทั้งสิ้น

เพราะโลกใบนี้ไม่มีใครสมบูรณ์แบบ แต่การจี้ตำหนิจุดเล็กน้อยเพียงเพราะคุณเก่งกว่า มันจะทำให้เขารู้สึกหมดอาลัยตายอยากแทน แถมกังวลที่จะเสนออะไรเพิ่มด้วย จึงเป็นเหตุผลที่ทำให้คนเพอร์เฟกต์หรือคนเก่งส่วนมากมักตายน้ำตื้นทั้งจากการจับผิด รวมถึงความสะดวกใจแก้ไขงานที่พลาดให้ถูกใจตัวเองมากกว่าคอมเมนต์และรอแก้ไข จนกลายเป็นการดึงงานมาทำเพียงลำพัง ไม่กระจายงาน ผลสุดท้ายคุณภาพงานที่ถือก็ลดลงโดยไม่จำเป็นจากงานที่กองล้นมือ

เก่งแต่ไม่ได้เป็นที่ยอมรับ

ความเก่งสำคัญกับงาน แต่หัวหน้าสำคัญที่การยอมรับ ถ้าคุณคือคนเก่งที่คนทั่วไปไม่ยอมรับ ไม่อยากทำงานด้วย มันก็ไม่ต่างจากการทำงานลำพัง ดังนั้น คาแร็กเตอร์ของการเป็นหัวหน้าและลักษณะนิสัยที่เอื้อต่อการทำงานเป็นทีมจึงเป็นคำตอบสำคัญของการเลื่อนขั้นนอกจากความเก่งกาจ

รับฟังไม่เก่ง เพราะคำตอบของตัวเองถูกที่สุด

คนทำงานเก่งบางคนรับฟังไม่เก่งอย่างที่คิด ส่วนหนึ่งเป็นเพราะความเก่งที่มีบดบังและตัดสินว่าสิ่งนั้นคือสิ่งที่ดีที่สุด แต่คำว่า “ดีที่สุด” ในยุคนี้มันเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา นั่นจึงเป็นเหตุผลให้เกิดการทำงานแบบ startup ขึ้น ดังนั้น คนที่ได้รับเลือกส่วนมากมักเป็นคนที่อินเนอร์เรื่องการฟังเสียงคนอื่นอย่างมีเหตุผลมากกว่าคนเก่งที่ไม่พร้อมฟังใคร

หากเทียบคนเก่งเป็นเพชร หัวหน้าไม่ต่างจากนักเจียระไนที่ทำให้ก้อนดินส่องประกายและฝังให้กลายเป็นเครื่องประดับสวยงาม แม้เขาจะไร้ประกายในตัวเอง ก็ทำให้ร้านจิลเวลรี่ขายได้และมีกำไร นั่นคือเหตุผลสำคัญที่ทำให้วันนี้นักเจียระไนเพชรมีน้อยกว่าจำนวนของเพชรหลายเท่าตัว

เช่นเดียวกับความเก่ง เพราะความเก่งมันฝึกกันได้ แต่ความเป็นผู้นำคือคุณสมบัติที่พูดง่ายแต่ใช่ว่าทุกคนจะทำได้อย่างแท้จริง

ที่สุดแห่งสิทธิพิเศษ หรูหราในสไตล์ญี่ปุ่น กับบัตรเครดิต Siam Takashimaya

$
0
0

กรุงศรี คอนซูมเมอร์  จับมือ ห้างสรรพสินค้า Siam Takashimaya จัดงานเปิดตัวบัตรเครดิตใหม่ “บัตรเครดิต สยาม ทาคาชิมายะ (Siam Takashimaya Credit Card)” เจาะกลุ่มคนรักไลฟ์สไตล์ญี่ปุ่นกับห้างสรรพสินค้าชั้นนำจากประเทศญี่ปุ่น ภายใต้แนวคิด “ปลดปล่อยตัวคุณให้สุด กับสิทธิพิเศษในไลฟ์สไตล์แบบญี่ปุ่นที่สยาม ทาคาชิมายะ” โดยมอบสิทธิประโยชน์หลากหลายให้สมาชิกบัตรได้เพลิดเพลินและอิสระกับการใช้จ่าย พร้อมรับส่วนลดสูงสุด 10% และคะแนนสะสมสูงสุด 10 เท่า ณ ร้านค้าและแบรนด์ชั้นนำมากมายที่ร่วมรายการ

จุดเด่นของ Siam Takashimaya Credit Card ที่เกิดจากความร่วมมือระหว่าง บริษัท บัตรกรุงศรีอยุธยา จำกัด ในเครือกรุงศรีคอนซูมเมอร์ กับห้างสรรพสินค้า สยาม ทาคาชิมายะ คือการสร้างสรรค์ขึ้นเพื่อตอบโจทย์กลุ่มคนที่ชื่นชอบการจับจ่ายในห้างสรรพสินค้าชั้นนำจากประเทศญี่ปุ่น โดยมอบอิสระในการใช้จ่ายแบบสุดคุ้ม อาทิ รับส่วนลดสูงสุด 10% ที่ห้างสยาม ทาคาชิมายะ ในไทย, รับคะแนนสะสมสยาม ทาคาชิมายะ พอยท์ สูงสุด 10 เท่า เมื่อใช้จ่ายผ่านบัตร ณ ร้านค้าที่ร่วมรายการใน ห้างฯ

โดยทุกๆ 800 คะแนนสามารถนำไปแลกรับส่วนลด 100 บาทที่ห้างฯ และรับส่วนลดสูงสุด 5% ที่ห้างทาคาชิมายะในต่างประเทศ เช่น ญี่ปุ่น สิงคโปร์ เวียดนาม และจีน เพื่อตอบโจทย์ทุกการใช้จ่ายทั้ง ช้อป ชิม ชิลล์ ของสมาชิกบัตรที่ชื่นชอบ ไลฟ์สไตล์แบบญี่ปุ่น

บัตรเครดิต สยาม ทาคาชิมายะ มี 3 ประเภท ได้แก่ บัตรเครดิต สยาม ทาคาชิมายะ วีซ่า/เจซีบี (Siam Takashimaya Credit Card VISA/JCB), บัตรเครดิต สยาม ทาคาชิมายะ ไฟน์เนส (Siam Takashimaya Credit Card Finest), และบัตรเครดิต สยาม ทาคาชิมายะ ไฟน์เนส – อินวิเทชั่น โอนลี่ (Siam Takashimaya Credit Card Finest – Invitation Only)

โดยนอกจากส่วนลดที่ห้างฯทั้งในและต่างประเทศ และคะแนนสะสมสยาม ทาคาชิมายะ พอยท์ จากการใช้จ่ายผ่านบัตรฯ ที่ห้างฯ แล้ว สมาชิกบัตรฯ ยังจะได้รับสิทธิพิเศษในฐานะสมาชิกบัตรเครดิตในเครือกรุงศรี สำหรับการใช้จ่ายนอกห้าง นอกจากนี้สมาชิกบัตรเครดิต สยาม ทาคาชิมายะ ไฟน์เนส – อินวิเทชั่น โอนลี่ยังได้รับสิทธิพิเศษบริการห้องรับรองพิเศษ สยาม ทาคาชิมายะ วีไอพี เลานจ์ และบริการที่จอดรถสำรองพิเศษที่ห้างสรรพสินค้าสยาม ทาคาชิมายะอีกด้วย

ทางด้านเชฟหนุ่มใหญ่ไฟแรง เชฟอาร์ต ศุภมงคล ศุภพิพัฒน์ หนึ่งในกรรมการตัดสิน Top Chef Thailand กล่าวเสริมถึงไลฟ์สไตล์ความชื่นชอบอาหารญี่ปุ่นว่า “ผมชอบอาหารญี่ปุ่น ทั้งอาหารและพวกขนมหวานแนวคาเฟ่ต่างๆ นอกจากจะชอบชิมแล้ว ผมยังชอบทำอาหารญี่ปุ่นมาก ๆ ด้วยครับ พอได้ทราบข่าวว่าห้างทาคาชิมายะมาเปิดที่ไทยแล้ว ไม่ต้องบินไปซื้อวัตถุดิบไกลถึงญี่ปุ่น แทบไม่ต้องคิดเลยว่า ถ้าเราอยากได้สินค้าคุณภาพดี แน่นอนว่าอย่ามองข้ามที่นี่เลย ยิ่งตอนนี้มีบัตรเครดิตที่สามารถตอบโจทย์การซื้อวัตถุดิบได้แบบคุ้มค่า ต้องบอกว่าสะดวก คุ้มค่าจริง ๆ ครับ”

นอกจากนี้ภายในงาน ยังได้รับเกียรติจากเซเลบริตี้ที่มาร่วมงาน อาทิ พิมพ์พยัพ ศรีกาญจนา และบดินทร์ พลางกูร โดยมีจูน-สาวิตรี โรจนพฤกษ์ รับหน้าที่เป็นพิธีกรอีกด้วย

นักเรียน-นักศึกษาต้องใส่เครื่องแบบหรือไม่? ชวนอ่านและถกเถียงกันอย่างสุภาพและมีเหตุผล

$
0
0

เมื่อโรงเรียนเอกชนแห่งหนึ่งประกาศทดลองให้นักเรียนใส่ชุดไปรเวทมาเรียนสัปดาห์ละหนึ่งวันเป็นเวลาหนึ่งภาคเรียนก็กลายเป็นประเด็นร้อนฉ่าที่ใครหลายคนร่วมแสดงความคิดเห็นและถกเถียงกันจนไฟลุกท่วมโซเชียลมีเดีย

มีทั้งคนที่ไม่เห็นด้วยกับการใส่ชุดไปรเวทไปเรียนโดยบอกว่าจะทำให้เกิดความไม่เป็นระเบียบวินัย ผู้เรียนจะสนใจการแต่งตัวมากกว่าการเรียน ที่สำคัญคือความเหลื่อมล้ำจากชุดที่ใส่มาแตกต่างกัน

ในขณะที่ฝ่ายเห็นด้วยกับการใส่ชุดอะไรก็ได้ไปเรียนกลับบอกว่าความเหลื่อมล้ำมันมีอยู่จริงและมีอยู่ทุกหนทุกแห่ง ต่อให้แต่งเครื่องแบบเหมือน ๆ กัน แต่กระเป๋า กล่องดินสอ ยี่ห้อปากกา นาฬิกาที่ใส่ ฯลฯ มันก็เต็มไปด้วยความเหลื่อมล้ำอยู่แล้ว แทนที่จะซุกความเหลื่อมล้ำไว้ใต้พรมด้วยเครื่องแบบเหมือน ๆ กัน ควรสอนให้รู้จักความเหลื่อมล้ำและหลากหลาย รวมถึงสอนให้เคารพคนไม่ว่าจะต่างกับเราแค่ไหนดีกว่า

สารพัดความคิดเห็นและเหตุผล UNLOCKMEN จะไม่ชี้ชัดตัดสินว่าแบบไหนผิดหรือถูก เพราะเราเชื่อในการถกเถียงกันอย่างสุภาพและมีเหตุผล การที่เราได้อ่าน ได้ฟังความคิดเห็นของคนที่ต่างจากเราโดยไม่ได้ต้องการแค่เอาชนะ จะนำมาซึ่งการใช้ตรรกะและเหตุผลในการอยู่ร่วมกันของคนในสังคม

วันนี้ UNLOCKMEN ชวนอ่านความคิดเห็นอันหลากหลายทั้งจากคนที่ยังเรียนอยู่ คนที่เรียนจบมาจากมหาวิทยาลัยที่บังคับให้ใส่เครื่องแบบไปเรียนทุกวัน คนที่เรียนจบมาจากมหาวิทยาลัยที่บังคับให้ใส่เครื่องแบบแต่แหกขนบไม่ยอมใส่ รวมถึงมหาวิทยาลัยที่ให้เสรีภาพในการเลือกจะใส่หรือไม่ใส่ชุดนักศึกษาก็ได้ และที่พลาดไม่ได้ความคิดเห็นจากศิษย์เก่าจากโรงเรียนเอกชนชื่อดังที่กำลังเป็นประเด็นอยู่ในขณะนี้!

เครื่องแบบทำให้เราประหยัดเวลา

เริ่มต้นกันที่ความคิดเห็นของอดีตนิสิต คณะมนุษยศาสตร์ จากมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งที่คนคิดว่าต้องเรียนทำนาปลูกข้าวเท่านั้น (เดาไม่ออกก็ต้องเดาออกแล้วล่ะ) โดยมหาวิทยาลัยแห่งนี้ให้นิสิตสวมเครื่องแบบไปเรียนทุกวัน

“เราเป็นคนหนึ่งที่ใส่ชุดนิสิตกับกระโปรงพีทตลอด 4 ปี ทั้งที่ปี 2 เขาก็ปล่อยให้ใส่สอบได้แล้ว ข้อดีคือไม่ต้องมานั่งเลือกเสื้อผ้ารองเท้าเวลาออกจากบ้าน อีกอย่างคือเวลาเกิดเหตุอะไรขึ้น การแบ่งชัดเจนว่าเราคือนักเรียนนักศึกษาทำให้เราได้รับการช่วยเหลือก่อน แต่ถ้าใส่ไปรเวทคนมักจะระวังตัว มันก็ไม่แย่หรอกถ้ามีประโยชน์กับตัวเรา”

ชุดไม่ใช่สาเหตุความเหลื่อมล้ำ แต่ความเหลื่อมล้ำมันมีอยู่แล้วในประเทศนี้!

ในขณะที่อดีตนักศึกษาคณะอักษรศาสตร์ มหาวิทยาลัยสีเขียวอมฟ้า วิทยาเขตติดวังพูดถึงประเด็นความเหลื่อมล้ำไว้อย่างน่าสนใจว่า “ในฐานะคนที่ใส่ไปรเวทมาตลอด ไม่เห็นว่าการใส่ชุดไปรเวทเป็นต้นเหตุทำให้เกิดความรู้สึกเหลื่อมล้ำ

ต่อให้เพื่อนในห้องเราไม่ได้ใส่ชุดไปรเวทมา เราก็พอจะรู้อยู่แล้วว่าเพื่อนคนนี้มีฐานะประมาณไหน

ย้อนกันตั้งแต่ตอนประถมศึกษาเลย กล่องดินสอเพื่อนคนนี้แม่งจ๊าบกว่าใคร ดินสอสี 24 สียี่ห้อดัง รถยนต์ยุโรปจอดส่งถึงหน้าประตู แต่ก็จะมีเพื่อนที่ใส่ชุดนักเรียนสีหม่นจนแทบจะสีเดียวกับกางเกง กระเป๋าที่ขาดจนชุนแล้วชุนอีก ถ้าจะมองหาให้มันเหลื่อมล้ำให้ได้ มันก็ล้ำกันตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว

ย้อนกลับไปที่เครื่องแบบนักเรียน เราคงพอคุ้นเคยกับภาพเด็กขาดแคลนที่ไม่มีแม้แต่เงินจะซื้อชุดนักเรียนใส่ พวกเขาใส่ชุดไปรเวทไปเรียน ล้ำในล้ำ เหลื่อมในเหลื่อม

ส่วนตัวไม่ได้มีปัญหากับเครื่องแบบในเชิงสุนทรียะว่ามันสวยไม่สวย ไม่โก้ไม่เก๋ แต่มองลงไปที่เรื่องของสิทธิเสรีภาพต่างหาก ถ้านั่นหมายความว่าเราจะใส่อะไรก็ได้ พอใจจะใส่ไปรเวทก็ได้ใส่ พอใจจะใส่ชุดเครื่องแบบก็ได้ เพราะนั่นคือหมายถึง ‘อะไรก็ได้’ ที่แท้จริง ใส่ไปรเวทอย่างเดียว มันก็คือการบังคับเหมือนกัน สำหรับเราสิ่งที่ไม่โอเคคือการลิดรอนสิทธิ์ ไม่ว่าจะรูปแบบไหนก็ตาม”

คนเรียนสร้างสรรค์ ก็ต้องการความสร้างสรรค์และคล่องตัว

อดีตนักศึกษา คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ ภาควิชานิเทศศิลป์ สาขาถ่ายภาพ มหาวิทยาลัยที่มีเครื่องบินและมีรถไฟ เธอคืออดีตนักศึกษาที่ต้องเรียนเกี่ยวกับการสร้างสรรค์เป็นส่วนใหญ่ เธอลงความเห็นว่าการใส่ชุดไปรเวททำให้เธอคล่องตัวมากกว่า เพราะเป็นผู้หญิงที่ต้องใส่กระโปรงและเสื้อขาวก็ไม่เหมาะเมื่อต้องไปคลุกดินคลุกฝุ่นหรือต้องการความทะมัดทะแมงในการถ่ายภาพ

“การที่เราเรียนคณะสถาปัตย์ สาขาถ่ายภาพ การเรียนส่วนใหญ่มักจะเป็นการออกไปนอกสถานที่ไม่ค่อยได้อยู่ในห้องเรียนนั่งเฉย ๆ การที่เราได้ใส่ไปรเวทมันทำให้เราสบายตัว ทำอะไรว่องไวสะดวกกว่าใส่ชุดนักศึกษา และอีกอย่างมันสนุกตรงที่ทุกวันต้องคิดว่าจะแต่งอะไรไปคณะดี เป็นการได้โชว์สไตล์เพื่อเสพสไตล์และความสร้างสรรค์จากการแต่งตัวของแต่ละคนด้วย”

ผู้ใหญ่มักบอกให้เป็นตัวของตัวเอง แต่แค่ชุดยังไม่ให้เป็นตัวเองเลย

นักศึกษาปัจจุบันอย่างนักศึกษาคณะนิเทศศาสตร์ ชั้นปี 4 ก็ให้ความเห็นเรื่องความเป็นตัวเองไว้อย่างน่าครุ่นคิด

“เห็นด้วยกับการใส่ชุดไปรเวทค่ะ เพราะ การแต่งตัวเหมือนเป็นการแสดงความเป็นตัวตนมันสร้างความมั่นใจในสิ่งที่เราคิดและทำ การที่เราต้องแต่งตัวซ้ำ ๆ เดิม ๆ ไปเรียนทุกวันมันเกิดกรอบขึ้นในวิธีคิดของเด็ก ในตอนเช้าทุกคนต้องการความตื่นเต้นความกระตือรือร้นและความแปลกใหม่

การแต่งตัวถือเป็นจุดเริ่มต้น ในวันใหม่ เพื่อเสริมสร้างความมั่นใจให้กับตัวเองในการเรียนหรือการพรีเซนต์งานต่าง ๆ สำหรับหนูถือเป็นการสร้างคาแร็กเตอร์ให้กับตัวเองด้วยค่ะ”

รวมถึงความคิดเห็นของนักศึกษาคณะนิเทศศาสตร์อีกคนหนึ่งที่เห็นตรงกันว่า

“การใส่ชุดไปรเวทไปเรียนได้ เป็นการเปิดโอกาสให้นักศึกษาสามารถเลือกใส่เสื้อผ้าที่เหมาะกับกิจกรรมที่จะทำในแต่ละวัน และสะดวกสบายในการใช้ชีวิตประจำวัน รวมทั้งเป็นการเปิดโอกาสให้นักศึกษามีความคิดสร้างสรรค์ในการเลือกเครื่องแต่งกายเพื่อเพิ่มความมั่นใจให้กับตัวเอง”

การแต่งไปรเวททำให้เด็กไม่รู้จักกาลเทศะไหมนะ ?

“กาลเทศะ”ก็เป็นอีกประเด็นหนึ่งที่มีคนยกมาถกเถียงกันมาก และนี่คือความเห็นของอดีตนักศึกษาคณะนิติศาสตร์​ มหาวิทยาลัยริมถนนเชียงราก

“สำหรับเรากาลเทศะไม่เท่ากับเครื่องแต่งกาย ทั้ง​สองสิ่งไม่มีความเกี่ยวข้องกันเลยแม้แต่น้อย​ เป็นเพียงมายาคติที่คนในสังคมหล่อหลอมมันขึ้นมา แต่ไม่ปฏิเสธว่าบางสิ่งมันหยั่งรากลึกเกินไปจนเราเองก็ต้องปฏิบัติตาม​ (เช่นการใส่เสื้อผ้าสีดำไปงานศพเป็นต้น)​

แต่สำหรับการใส่ชุดนักเรียน​นักศึกษาในสถาบันการศึกษามันเป็นรากที่หยั่งลึกน้อยกว่านั้นมาก​ คำว่า​ ‘เคารพสถาบันศึกษา’​ มันไม่มีเหตุผลอะไรต้องเคารพ​ สถาบันเป็นแค่ตึก แต่มนุษย์นี่แหละที่มีชีวิต ขอแค่ทุกคนทำหน้าที่ตามบทบาทในชีวิตก็พอ​

การบังคับใส่ชุดนักศึกษาจึงเป็นอะไรที่ไร้สาระสำหรับเรา​ เป็นกฎที่มีไว้เพื่อปกครอง​เท่านั้น​ แถมยังจำกัดอัตลักษณ์ของแต่ละบุคคลโดยเครื่องแต่งกาย​”

เราคิดว่ามนุษย์ทุกคนมีสิทธิ์โดยชอบธรรมที่จะแสดงตัวตนของตัวเองผ่านเครื่องแต่งกาย​ในกรอบที่ไม่ทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน ดังนั้นการทำไม่ให้ผู้อื่นเดือดร้อนนั่นแหละที่สำคัญ

ชุดไหนก็ไม่เกี่ยวกับผลการเรียน

อดีตนักศึกษาคณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งย่านภาคอีสานที่ถนนสร้างไม่เคยเสร็จสักที ที่นี่บังคับให้นักศึกษาต้องสวมเครื่องแบบไปเรียน แต่เขาเลือกที่จะไม่ใส่เครื่องแบบเพราะเชื่อว่าเครื่องแบบไม่เกี่ยวข้องกับผลการเรียนของเขาแม้แต่น้อย รวมถึงเหตุผลเรื่องสภาพอากาศและความคล่องตัว

“คณะและมหาวิทยาลัยมีการกำหนดให้ใส่ยูนิฟอร์ม แต่สาเหตุที่ไม่ทำตามเพราะ เรื่องแรกเป็นเพราะเรามองว่าการแต่งตัวไม่ว่าจะรูปแบบไหนไม่มีผลต่อสถานะหรือผลการเรียน รวมไปถึงชุดที่ใส่ไปเข้าเรียนของตัวเราก็ไม่แปลกแยกหรือแตกต่างกับยูนิฟอร์มมากขนาดนั้น แค่เปลี่ยนจากกางเกงสแล็คสีดำเป็นกางเกงยีนส์เท่านั้น และบางครั้งก็เปลี่ยนจากเชิ้ตแขนยาวเป็นแขนสั้นซึ่งเหมาะกับอากาศที่ร้อนในบ้านเรามากกว่า เพราะคณะที่เรียนมีการออกนอกพื้นที่เป็นส่วนใหญ่ ไม่ได้อาศัยหลักสูตรในห้องเรียนเป็นหลัก”

คนจะโดดเรียน ใส่ชุดไหนก็โดดเรียนได้ ไม่ว่าจะเครื่องแบบหรือไปรเวท

“เครื่องแบบจะทำให้คนไม่โดดเรียน” ก็เป็นอีกประเด็นสำคัญ เราเลยอยากชวนมาฟังความเห็นจากอดีตนักเรียนโรงเรียนชายล้วนที่เก่าแก่ที่สุดในประเทศมีสีประจำโรงเรียนม่วงทองและกำลังมีประเด็นดราม่าอยู่ในขณะนี้กัน ประเด็นที่น่าสนใจคือถ้าปัญหาคือการโดดเรียนก็ต้องแก้ที่การโดดเรียนโดยตรง ไม่ใช่ใช้เรื่องอื่นมาอ้างว่าแก้ปัญหานี้ได้

“ตอนแรกไม่เห็นด้วย เพราะเป็นคนที่บ้าสถาบันมากๆๆๆ คิดว่าเด็กเป็นคนร้องขอไม่ให้ใส่เครื่องแบบ คิดว่าเด็กสมัยนี้ไม่รักสถาบันแล้วหรือไง เพราะตอนเรียนจะยืดมากเวลาใส่ชุดนักเรียนไปไหนมาไหน

แต่พอมานั่งคิดดี ๆ และรู้ว่าเป็นนโยบายจากอาจารย์คือโคตรเห็นด้วย เพราะอาจารย์คนที่ทำวิจัยงานนี้ เราก็รู้จักเป็นการส่วนตัว เขาคิดมาอย่างดีแล้วและตกผลึกมานาน 5-6 ปีกว่าจะกล้าดันกฎนี้ออก ซึ่งเราคิดว่าการเปิดโอกาสให้เด็กใส่ชุดไปรเวทแค่วันเดียวต่ออาทิตย์มันไม่ส่งผลอะไรเลย ไม่ต้องกลัวว่าจะแบบเหลื่อมล้ำ เพราะที่นี่คบกันด้วยใจ ใครมีมากกว่าก็แบ่งปันคนที่น้อยกว่า

แล้วประเด็นเรื่องโดดเรียนจะใส่ชุดอะไรก็โดดหมดอะ สมัยก่อนเพื่อนใส่ชุดนักเรียนปีนกำแพงป้ายโรงเรียนก็ทำกันมาแล้ว ตัดเรื่องนี้ไปได้เลย

อีกอย่างการใส่ชุดไปรเวทหรือแม้แต่การแต่งตัวมันคือการมอบความสุขให้กับตัวเองแบบง่าย ๆ ในแต่ละวัน ลองดูว่าถ้าวันไหนได้ใส่ชุดที่ชอบเสื้อที่มั่นใจ มันจะทำให้เรารู้สึกดีไปทั้งวัน”

จริง ๆ ใครอยากใส่เครื่องแบบก็ควรได้ใส่ แต่ถ้าใครอยากใส่ไปรเวทก็ควรได้ใส่

อดีตนักศึกษาคณะเปรื่องปราชญ์ศาสตร์แห่งมนุษย์ทั้งหลาย มหาวิทยาลัยสีเขียว ให้ความเห็นว่ามันไม่เกี่ยวกับการให้ใส่ไปรเวทหรือเครื่องแบบ แต่มันเกี่ยวกับว่าทุกคนควรมีสิทธิที่จะเลือกเอง ถ้าใครเลือกใส่เครื่องแบบก็ใส่ไป ใครอยากใส่ไปรเวทก็ใส่ไป แต่สถานศึกษาต้องสอนให้รู้จักความหลากหลาย และสอนให้รู้จักเคารพความแตกต่างของสิ่งที่คนอื่นเลือกต่างหาก

“การให้นักเรียนนักศึกษาต้องใส่ชุดยูนิฟอร์มนั้นไม่ใช่เรื่องผิด และการที่ใส่ชุดไปรเวทไปเรียนก็ไม่ใช่เรื่องที่ควรห้ามเช่นกัน

เพราะไม่ว่าจะใส่ชุดอะไรก็คงไม่มีผลกระทบต่อจุดประสงค์หลักอย่างการศึกษาอยู่แล้ว ไปรเวทหรือยูนิฟอร์มจึงไม่ใช่เรื่องที่จะต้องโฟกัสมากนัก

ส่วนเรื่องของความเหลื่อมล้ำก็ไม่ได้เพิ่งจะมาเกิดเพราะกระแสชุดไปรเวทที่กำลังร้อนแรงอยู่ในตอนนี้ แต่มันเป็นสิ่งที่มีมานานแล้ว

แม้ทุกคนจะใส่ชุดยูนิฟอร์มเหมือนกันหมดก็ไม่ได้หมายความว่าจะทำให้เกิดความเท่าเทียมเสมอไป

สารพันความคิดเห็น สารพันเหตุผล อ่านไปอาจไม่เห็นด้วย อาจเห็นด้วย หรือเห็นด้วยบ้างไม่เห็นด้วยบ้าง เราเชื่อว่านี่คือจุดเริ่มต้นของการรับฟัง อดทนอดกลั้นต่อความคิดเห็นที่แตกต่างหลากหลาย ถ้าไม่เชื่อสิ่งที่อีกฝั่งพูดก็จงถกเถียงกลับอย่างสุภาพและมีเหตุผล ดีกว่าด่ากันสาดเสียเทเสีย มุ่งแต่กูถูก อีกฝั่งผิด

แล้วคุณล่ะคิดเห็นอย่างไร ?
ร่วมแสดงความคิดเห็นอย่างสุภาพและมีเหตุผลเรื่องเครื่องแบบไปพร้อม ๆ กัน


GARAGE: ‘THE DUMBS’ทำเพลงด้วยสมอง ขายด้วยสองมือ เพราะทุกโอกาสมีไว้สำหรับคนที่มองเห็น

$
0
0

เวลาเราซุ่มทำบางอย่าง กลั่นกรองความคิดให้มันตกตะกอนออกมาเป็นไอเดียที่เข้าท่า ลงมือทำด้วยทักษะที่เรามี แต่พอถึงเวลาที่ต้องงัดของมาเรียกแขก มักมองไม่เห็นลู่ทางที่ชัดเจนหรือแตกต่างจากสิ่งเดิม ๆ มากนัก ได้แต่เดินทางเดิม ตามสิ่งที่คนอื่นเคยทำมาแล้ว จนของที่เราตั้งใจทำกลายเป็นของที่จมอยู่ท่ามกลางของชิ้นอื่น ไม่มีวี่แววที่จะโดดเด่นขึ้นมาได้

แต่เรื่องนี้ไม่เป็นปัญหาสำหรับ “คุณวิน – วินัย กิจเจริญจิรานนท์” ที่มองลู่ทางในการนำเสนอผลงานของตัวเองในรูปแบบอื่น ๆ ในคติที่ว่า “กล้าทำก็กล้าขาย” กับผลงานเพลง Nerd Pop ของเขาในชื่อ “The Dumbs” เมื่อทุกอย่างที่สร้างมาด้วยสมอง ทำไมเราถึงไม่กล้าขายด้วยสองมือของเรา พูดคุยกับเขาในประเด็นการมองหาโอกาสและลงมือทำในสิ่งที่รักในตอนที่ยังมีเวลา

เห็นชื่อ Garage มาอาจมองหาเรื่องราวดนตรีเน้น ๆ แต่ครั้งนี้ไม่ได้มีแค่เรื่องราวการทำเพลงเพียงเท่านั้น เพิ่มโฟกัสเรื่องความพยายามในการทำเพลงแบบไม่มีค่าย หรือแม้แต่ทำการตลาดด้วยตัวเองด้วย คุณวิน ทำงานเป็น Content Creator เพจ TypeThai ไม่ได้มีดนตรีเป็นอาชีพหลักมาตั้งแต่แรก เป็นเพียงแค่งานอดิเรก แต่เขาเลือกที่จะทำมันในตอนที่เขายังมีโอกาส เขาลงมือทำสิ่งที่ยังค้างคาอยู่ในใจอย่างดนตรี ออกมาเป็น “The Dumbs” ที่มี 5 แทร็กออกมาให้เราได้ฟังกัน

 

จากคนฟังเปลี่ยนเป็นคนทำดนตรี

ตอนทำเพลงเองคนเดียวเนี่ย ส่วนมากได้แรงบันดาลใจจากไหน ?

“โดยส่วนตัวชอบดนตรีอยู่แล้ว แต่ส่วนมากจะเป็นคนฟัง บวกกับเล่นดนตรีได้นิดหน่อย ก็เล่นมาตั้งแต่เด็ก สมัยเรียน แต่พอทำงานไประยะหนึ่ง งานโอเคประมาณหนึ่ง อยากกลับมาทำสิ่งที่เราชอบทำ เลยย้อนกลับมาที่เรื่องดนตรี ด้วยช่วงเวลาที่เหมาะสม งานโอเค มีเวลาว่าง มันก็กลายเป็นช่วงเวลาลงตัวที่เราจะได้กลับมาทำดนตรีของเราเอง

เริ่มจากเรื่องที่อยากพูด เรามีเพลงสไตล์ที่ชอบประมาณนึง มีเรื่องที่อยากจะพูดจะสื่อสาร เป็นคนชอบเขียนด้วย ก็เลยเอาสิ่งที่อยู่ในใจมาเขียนเป็นเนื้อเพลง พออายุประมาณ 30 เราก็มีเรื่องของเรามากพอที่จะสื่อสารออกไป ตอนนี้ทำ EP อยู่ 5 เพลง ก็คือเรื่องที่อยากจะเล่าในช่วงนี้ วางขายแล้ว ส่วน Streaming ทยอยปล่อยอยู่”

กระแสตอบรับเป็นไงบ้าง ?

“ประมาณนึงครับ อย่างที่ทราบว่าเราไม่ใช่ศิลปินที่อยู่ในค่ายใหญ่ เรื่องของการโปรโมต เรื่องของการรับรู้ของคน อาจไม่เท่ากับศิลปินที่เขามีค่ายกัน ที่บอกว่าประมาณนึงคือพอปล่อยไป ก็ได้อยู่ในชาร์ตบ้าง ถือว่าโชคดีที่พอทำแล้วยังมีคนหยิบเข้าไปในชาร์ต ใน Playlist ต่าง ๆ” 

ได้ไปสำรวจบ้างหรือเปล่าว่าแฟนคลับของเราเป็นกลุ่มไหน ?

“ใช้คำว่าแฟนคลับจะดูเขินไปนิดนึง (หัวเราะ)” งั้นเรียกว่าคนฟังเพลงของเราแล้วกัน “ได้ครับ คนฟังของเรา ส่วนมากก็เป็นคนที่ชอบเพลงสไตล์เดียวกับเรา ตอนนี้ตลาดเพลงวาไรตี้มันค่อนข้างเยอะ แต่ก็คิดว่าต้องมีคนกลุ่มนึงที่ชอบฟังเพลงในแบบที่เราฟัง แบบที่เราทำ น่าจะเป็นคนกลุ่มนี้แหละ”

พอเปลี่ยนสถานะจากคนฟังมาเป็นคนทำเพลงเองแล้วเป็นยังไงบ้าง ? มีความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นยังไงบ้าง ?

“มันมีทั้งสองมุม มีทั้งยากทั้งง่าย ความยากคือเราจะโปรโมตยังไง เราจะพาเพลงไปสู่กลุ่มคนฟังยังไง เรื่องงบประมาณ ถ้ามีค่ายอาจจะมีคนคอยซัพพอร์ต เราต้องรวบรวมงบเอง หาที่อัดเพลง โปรโมตเอง แต่ความง่ายคือไม่มีใครมาตีกรอบเรา สมมติมีค่ายเราอาจจะมีโจทย์ แต่ตอนนี้เราไม่มีโจทย์อะไร ทำในสิ่งที่เราอยากทำ มันจะมีเรื่องของการ Free Form ในการโปรโมต เราจะนำเสนอยังไงก็ได้ เล่นยังไง ไร้กรอบไปเลย มองดี ๆ มันก็เป็นเรื่องสนุกแหละ”

“ทำเพลงเองคนเดียวมันก็มีส่วนยากครับ ด้วยความที่บอกตอนแรกว่าเราไม่มีสกิล แต่ทุกวันนี้เรามีตัวช่วยเยอะมาก ผมก็ทำในส่วนที่พอทำได้ ถ้าอยากอุดรอยรั่วตรงไหนในบางแทร็ก ก็จ้างฟรีแลนซ์เอาครับ ถือว่าช่วยได้เยอะเลยครับ”

 

เพราะโอกาสคือช่องทางสำหรับคนที่มองเห็นมัน

เล่าก่อนว่า เราไปเจอ “The Dumbs” ในกรุ๊ปบน Facebook สะดุดตาเข้ากับ Artwork สีฟ้าสดใส คิดว่ามันคือโปสเตอร์โปรโมตเพลงทั่วไป แต่มันคือการโปรโมตหาคนมาขายแผ่นซีดีให้ เราสะดุดกับไอเดียนี้เข้าอย่างจังจนอยากทำความรู้จักกับเจ้าของไอเดียการโปรโมตนี้ เลยได้มาคุยกับคุณวินในคอนเทนต์นี้นี่แหละ มาดูกันว่าไอเดียการขายของที่ไม่ได้ขายตรง ๆ มาจากไหนกัน ?

“มันเริ่มมาจากว่าพอผมทำซีดีเสร็จ ผมทะลึ่งทำมาตั้ง 500 แผ่น ถ้าตามมาตรฐาน เราก็ต้องคิดว่าจะไปขายที่ไหน ที่แรกก็คงเป็นพวก Store CD แต่ทุกวันนี้ร้านขายแผ่นมันน้อยมาก แฟนคลับก็ไม่มี ช่องทางโปรโมตก็ไม่มี ทำมาตั้งเยอะผมก็คิดแล้วว่าจะทำยังไงให้ช่องทางการปล่อยเพลงของเราเยอะขึ้น นอกจากร้านแล้ว ทำไมเราไม่เปลี่ยนคนฟัง คนที่ชอบเพลงเรา มาเป็นคนขาย”

“ผมได้โมเดลมาจากคนขายของออนไลน์ มันจะมีโมเดลที่เรียกว่า Dropship ที่คนไม่ต้องสต็อกสินค้าเอง ผมก็คิดว่า จริง ๆ โมเดลนี้ก็ใช้กับตลาดเพลงได้ เขาอาจจะชอบหรือไม่ชอบก็ได้ แต่เขามีความสนใจเรื่องธุรกิจ เราก็เอามาช่วยเป็นอีกช่องทางหนึ่งในการช่วยขายเพลง สมมติว่าเขาชอบขาย ผมมีสินค้า เขาช่วยผม คุณก็แบ่งเปอร์เซ็นต์ไป ใช้โมเดลธุรกิจที่มีอยู่แล้วมาใช้ในการโปรโมต”

“ผมพยายามหาโมเดลแปลก ๆ ใหม่ ๆ คือผมเชื่ออยู่เรื่องนึง เรื่องของการเชื่อมโยง บางทีเราคิดว่าไอ้สิ่งที่เราทำมันแคบ แต่ผมเชื่อว่ามันเชื่อมโยงกันหมด การโปรโมตเพลงทำไมเราต้องโปรโมตเฉพาะกลุ่มคนที่สนใจดนตรี ตอนนี้ผมขยายกลุ่มคนที่สนใจธุรกิจ มาช่วยโปรโมต ไปเล่าไอเดียให้เขาฟัง ผมมีสินค้า มันก็อาจได้สิ่งที่ต้องการตรงกัน ในอนาคตผมมองว่าอาจจะมีคนอีกหลายกลุ่มที่จะดึงเข้ามาได้”

ลองแผนโปรโมตนี้แล้วเป็นไง เวิร์กมั้ย ?

“มันมีคนมาช่วยขาย อาจจะไม่ได้เยอะ แต่มันก็ตอบโจทย์เราที่ช่วยเพิ่มช่องทางในการขาย นอกจากร้านก็ยังมีดีลเลอร์ให้เรา นอกจากนั้นมันเพิ่มโอกาสในการพูดคุย อย่าง UNLOCKMEN เห็นโมเดลที่เราทำแล้วมาสัมภาษณ์ผม ก็ได้ช่องทางการกระจายเพลงไปอีก”

ทำไมถึงคิดว่าแผนนี้มันจะเวิร์ก ?

“นักดนตรีบางคนจะชอบคิดว่าเราทำเพลง Process ของเราจบแล้วก็ทิ้งมันไว้ตรงนั้น หน้าที่ของการขายไม่ใช่สิ่งที่ต้องลงไปทำ ซึ่งเขาไม่ผิดนะ เขาอาจจะไม่ถนัดหรือไม่มีแผนในการทำตรงนั้น แต่ผมว่าจริง ๆ ถ้าคิดเพิ่มอีกหน่อย ไหน ๆ ทำของที่คุณภูมิใจแล้ว ทำไมไม่ออกไปนำเสนอมัน ในมุมคนฟังเขาไม่ได้แอนตี้กับมันหรอก

ตอนผมคิดเรื่องนี้ ผมคิดว่าทุกคนขายของ ร้านข้าวมันไก่ ข้าวขาหมู เขาเปิดร้านทุกวัน เชิญชวนเรียกแขก เขาไม่เห็นอายเลย เพราะเขาภูมิใจว่าของเขาอร่อย ในขณะเดียวกันที่เราทำโปรดักส์เพลง ทำไมเราไม่กล้าบอกว่านี่ของผม ลองฟังดูหน่อย ในยุคนี้ที่เปิดให้คนไปวางโปรดักส์ในโลกออนไลน์ได้เยอะมาก ผมว่ามันสนุกออก ลองทำดูครับ สุดท้ายถ้ามันไม่ใช่จริตของตัวเอง ผมว่ามันอาจพาเราไปสู่จุดใหม่ ๆ อย่างที่ได้คุยกันวันนี้เพราะผมได้ลองทำ ผมเองก็ดีใจมาก ๆ ที่ได้มาคุยกัน”

 

สัญญาณของการลงมือทำ

ถ้าสมมติว่าเพลงไหนกระแสตอบรับไม่ดีเท่าความตั้งใจ จะท้อมั้ย เพราะเราเองก็ลงแรงกับมันไปมาก ?

“ไม่ขนาดนั้นครับ แรกสุดที่ตั้งโจทย์มาคือสนอง Need ตัวเองอยู่แล้ว แค่ทำเสร็จก็ฟินแล้ว ไม่ได้คาดหวังว่ามันต้องหลายหมื่นหลายแสนวิว ยุคนี้ศิลปินมันหลากหลายมาก ผมทำเพลงมาถ้ามีคนฟังจำนวนนึงที่เข้าใจในสิ่งที่เราอยากพูด ชอบในสไตล์ของเพลงที่เราทำ แล้วเขามาพูดคุยมาคอมเมนต์ ผมพอใจแล้ว อย่างที่บอกว่าเราไม่ได้ตั้งต้นโจทย์ทางธุรกิจ มันเป็นงานอดิเรกด้วย”

อยากเอางานอดิเรกที่ทำอยู่ตอนนี้มายึดเป็นอาชีพหลักมั้ย ?

“ถ้าเป็นไปได้มันก็เพอร์เฟกต์ ถ้าสิ่งที่เราชอบทำอยู่แล้ววันนึงมันมาอยู่ในอาชีพที่ทำเงินได้ด้วย พยายามอยู่แหละครับ เรียกว่าถ้ามีโอกาสดีกว่า ตอนนี้เป็น Content Creator ถ้ามันมีคอนเทนต์เรื่องดนตรีที่เราสามารถใช้ความสามารถอันน้อยนิดไปดึงเรื่องนั้นมาอยู่ในงานได้ก็อยากจะทำ อย่างนั้นดีกว่าครับ แล้วแต่โอกาสจะเอื้ออำนวย สมมติทำไปแล้วอยากมีเพื่อนมาจอย หรือมีใครที่สนุกกับโปรเจ็กต์ที่เราทำอยู่ อยากเข้ามาเล่นด้วย เราก็ยินดี แต่ตอนนี้เราก็ทำสนอง Need ตัวเองก่อน (หัวเราะ)”

“ผมว่าทุกคนมีจุดนี้นะ สิ่งที่ยังคาอยู่ในใจ สิ่งที่ยังไม่ได้ทำ ยิ่งเราโตขึ้น มีบางอย่างที่มันเหมาะสมที่จะทำ เราต้องทำแล้ว อย่างผมสามสิบกว่า ถ้าเลยจากวัยนี้ผมต้องรับผิดชอบเยอะขึ้น ต้อง Settle ตัวเอง ตอนนี้ยังมีเวลาให้ทำในสิ่งที่ผมยังค้างคาก็คือเพลง ผมก็ต้องทำ คนส่วนใหญ่ชอบคิดว่าเรามีเวลาเป็นข้อจำกัด เราไม่กล้าที่จะทำ ผมพยายามข้ามตรงนี้ให้ได้

ชวนคนที่ยังไม่ลงมือลุกขึ้นมาทำอะไรสักอย่างกันหน่อย

“สำหรับคนที่มีสิ่งที่ชอบ อะไรที่คาอยู่ในใจ บางทีคนเรามักจะคิดว่าทำไม่ได้ ผมว่าทำไปก่อน มนุษย์มันมีการดิ้นรนของมัน เดี๋ยวสักพักมันจะหาทางไปของมันได้เอง สุดท้ายผมว่ามันจะทำได้ อาจจะไม่ 100% แค่ 60-70% ก็ทำไปเถอะ ไม่ต้องกลัว

ผมทำดนตรีมาค่อนข้างนานแล้ว หมายถึงทำมาตั้งแต่สมัยเรียน ทำงานใหม่ ๆ ตอนนั้นเราตั้งกำแพงว่าทำได้แค่นี้อย่าทำเลย เราเลยทิ้งมันไปหลายปี ผมว่ามันทำให้เราเสียเวลา ถ้าลงมือตั้งแต่ตอนนั้น บางทีเราอาจจะได้ทำเมื่อ 5 ปีที่แล้ว ตอนนี้อาจได้ทำอะไรที่มากกว่า ก็เสียดายที่ไม่ได้ทำ ถ้าข้ามมันไปได้แล้วเริ่มต้นเร็ว โอกาสคุณจะมีอีกเยอะมากเลย”

“ผมค่อนข้างพอใจที่ได้สนอง Need ตัวเอง ได้มีสิ่งที่สนุกกับมัน ส่วนในอนาคตถ้ามันจะพาเราไปสู่ตรงไหนก็ถือว่าเป็นกำไรแล้ว”


โอกาสคือช่องทางสำหรับคนที่เห็นคุณค่าของมัน อย่างคุณวินที่เห็นคุณค่าของงานอดิเรกที่ตัวเองรัก และไม่ยอมปล่อยให้ตัวเองต้องมาเสียดายในวันที่สายเกินไปว่าไม่เคยได้ลงมือทำ ไม่ได้ทุ่มเทกับมันด้วยพลังข้างในที่มี รวมถึงการมองหาโอกาสในการผลักดันสิ่งที่ตัวเองรักอย่างการโปรโมตเพลงในรูปแบบใหม่ อาจจะดูแปลก ตลก หรือน่าสนใจ ขึ้นอยู่กับมุมมองของแต่ละคน แต่สิ่งที่เขาจะได้แน่ ๆ คือ Engagement จากสิ่งที่เขาทำในตอนนี้นั่นเอง หากเรื่องราวของเขาน่าสนใจจนอยากจะติดตาม สามารถไปส่องโปรโมชั่นสุดแฟนซีตามลายแทงได้ที่ The Dumbs

STYLE GUIDE: ส่องสไตล์การแต่งตัวจากพระเอกรางวัลลูกโลกทองคำคนล่าสุด RAMI MALEK

$
0
0

จบลงไปแล้วสำหรับงานประกาศผลรางวัล Golden Globes Awards 2019 ซึ่งผลที่ออกมาก็อาจถูกใจหลายคนโดยเฉพาะแฟนของวง Queens และภาพยนตร์ Bohemian Rhapsody ที่คว้ารางวัลใหญ่อย่าง Best Motion Picture ไปครอง รวมถึงพระเอกอย่าง Rami Malek ที่คว้ารางวัลในสาขา Best Performance by an Actor in a Motion Picture – Drama มาด้วยเช่นกัน

แต่นอกจากฝีมือการแสดงอันยอดเยี่ยมที่มีแล้ว Rami Malek ยังถือเป็นผู้ชายที่มีสไตล์การแต่งตัวจัดจ้านอีกคนหนึ่งเลยก็ว่าได้ ไม่ว่าจะเป็น ลุค Smart Casual และแนว Formal เพื่อออกงาน นอกจากนี้ตัวเขายังเป็นหนุ่มผิวสองสีที่มาพร้อมกับส่วนสูง 170 เซนติเมตรบวกกับอีกนิดหน่อย ซึ่งเราเชื่อว่ารูปแบบการแต่งตัวของเขาจะสามารถนำมาปรับใช้กับหนุ่มไทยได้เป็นอย่างดี แต่จะมีสไตล์ไหนบ้างมาดูกันเลย

Denim Mania

เรามักจะเห็น Rami Malek ปรากฏตัวในชุดทางการอยู่บ่อยครั้ง แต่นอกเวลาออกงานเขามักปรากฏตัวในลุค Casual สบาย ๆ พร้อมกับ Denim Clothes อย่างน้อยหนึ่งชิ้นเสมอ ไม่ว่าจะเป็นกางเกงหรือว่าแจ็คเก็ต เรียกได้ว่าเป็นหนุ่มอีกคนที่หลงรักการใส่สวมผ้ายีนส์เลยก็ว่าได้

Rami Malek สร้างความเหมาะสมกับการแต่งตัวของเขาด้วยการเลือก Denim Clothes ที่มีขนาดฟิตพอดีกับตัว ดังนั้นขนาดของเสื้อผ้าจึงถือเป็นเรื่องสำคัญสำหรับการเลือกเครื่องแต่งกายในประเภทนี้ ไม่ว่าจะเลือกเฉพาะกางเกงยีนส์มาเข้าคู่กับ Collar Shirt หรือจะเลือกใช้แจ็คเก็ตมาเพิ่มเลเยอร์ก็คงไม่ร้อนเกินไปสำหรับอากาศในบ้านเรา แต่สำหรับหนุ่มที่ต้องการความดุดัน การจับคู่ทั้งสองชิ้นเข้าด้วยกัน อาจเป็นคำตอบที่คุณกำลังมองหาอยู่ก็เป็นได้

Black & White

อีกหนึ่งโทนเก่งของหนุ่ม Rami กับการแต่งตัวโทนสี Black & White ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งสไตล์ขาดไปไม่ได้สำหรับผู้ชายผิวสองสีที่เราอยากจะแนะนำ เพราะการเลือกเสื้อผ้าในโทนสีดังกล่าวมาสวมใส่จะด้วยให้ผิวของเราดูสว่างแถมยังช่วยให้สรีระของเราดูดีขึ้นได้อีกด้วย

ไม่ว่าจะเป็นลุค Smart Casual หรือ Formal ก็เข้ากันได้เป็นอย่างดีกับโทน Black & White แต่สิ่งสำคัญของการแต่งตัวในโทนนี้คือ การสร้างเลเยอร์เพื่อให้ร่างกายเราดูสมส่วน จะเลือกจับคู่ Dress pants เข้ากับเสื้อยืดหรือเชิ้ตแล้วสวมทับด้วยแจ็คเก็ตหนัง ใช้สูทหรือชุดทักซิโด้ Rami malek ก็แสดงให้เห็นแล้วว่า Black & White เป็นการจับคู่ที่ง่ายและใช้ได้ผลเสมอไม่ว่าจะชุดอะไร

Print Shirt & Suit

ใครบอกการใส่ Print Shirt กับสูทแล้วจะเหมือนพวกยากูซ่าไปเสียหมด เพราะพระเอกหนุ่มแสดงให้แล้วว่ารูปแบบดังกล่าวมีสไตล์มากแค่ไหน สังเกตได้จากชุดออกงานหลายชุดของเขา ที่เลือกจับคู่ Print Shirt ลวดลายสวยงามเข้ากับสูทโทนสีพื้น ซึ่งทำให้เขากลายเป็นจุดโฟกัสของกล้องทุกตัวในงานพรมแดงที่ไปเยือน

ถ้าคุณต้องการใส่สูทไปออกงาน แต่ไม่อยากให้ดูเป็นทางการมากจนเกินไป Print Shirt คือทางเลือกที่เหมาะสมในการใช้เป็นเสื้อตัวในแทนเสื้อเชิ้ตสีขาวที่ดูธรรมดาเกินไป เลือกจับคู่ Print Shirt ที่ตัดกับสีของชุดสูท หรือเลือกเป็นโทนเดียวกันก็ได้หากคุณต้องการแต่งแบบ Monotone แต่สิ่งสำคัญคือถึงเราจะให้ความสำคัญกับเสื้อตัวในแค่ไหน ก็ไม่ควรมองข้ามความสำคัญของเรื่องเนื้อผ้าและรูปทรงของชุดสูทตัวนอกที่เลือกมาใช้งาน

Colorful Suit

ผิวสีน้ำผึ้งของ Rami Malek เป็นโทนสีผิวที่ใกล้เคียงหนุ่มไทยหลายคน ซึ่งแน่นอนว่ารูปแบบเดิม ๆ ของการเลือกสีสูทสำหรับหนุ่มผิวสองสีที่ควรเป็น Black Navy และ Grey ก็ถูกแหกกฎด้วยการเลือกใช้สีสันสดใสมาทดแทน แถมมันยังมีความเข้ากับชุดสูทที่ถูกตัดออกมาในรูปทรง Slim fit ที่ตัวเขาชอบสวมใส่อีกด้วย

Rami Malek มักใช้งานสูทจากห้องเสื้อชื่อดังอย่าง Dior Homme หรือ Valentino แต่สำหรับหนุ่มในบ้านเราก็มีทางเลือกเป็นร้านตัดสูทที่มีอยู่มากมาย สิ่งที่ต้องทำคือเดินเข้าร้านไปเพื่อเลือกเนื้อผ้าและสีสันที่ต้องการ และอย่าลืมให้ความสำคัญกับความพอดีของสรีระ ไม่ปล่อยให้สูทรัดแน่นหรือหลวมจนเกินไป เมื่อบวกเข้ากับ Dress Shoes คู่ที่มั่นใจว่าเข้ากันกับสีของชุดสูท เท่านี้ก็สามารถเดินเข้างานได้อย่างโดดเด่นไม่แพ้ใครแล้ว

 

หวังว่าแนวทางการแต่งตัวของพระเอกจาก Bohemian Rhapsody คนนี้ จะเป็นแรงบันดาลใจให้หนุ่มไทย หันมาสนใจพัฒนาการแต่งตัวกันมากขึ้น โดยไม่ต้องสนใจความคิดที่ว่ารูปร่างหรือสีผิวเป็นข้อจำกัด เพราะกรอบแห่งวงการแฟชั่นไม่มีข้อห้ามในเรื่องพวกนั้นมานานแล้ว

ขออีกตอนจะนอนแล้ว! ‘5 ซีรีส์ชีวิตวัยคะนอง TEENAGER’แบบครบรส แสบ ซ่า บ้า เนิร์ด

$
0
0

ชีวิตวัยรุ่นของแต่ละคนอาจมีรสชาติที่แตกต่างกันไป อาจจะเหมือนหรือไม่เหมือนตอนนี้สักนิดก็ได้ บางคนเป็นเด็กเนิร์ดไม่สนใจใคร บางคนเป็นเด็กแสบซ่า หัวโจกของกลุ่มเพื่อน บางคนเป็นหนุ่มฮ็อตที่สาว ๆ พร้อมใจกันเข้าหาแบบไม่ขาดสาย ไม่ว่าจะเป็นหนุ่มแบบไหนมาก่อน ลองกลับไปสัมผัสชีวิตวัยคะนองไปพร้อมเราใน 5 ซีรีส์ชีวิตวายป่วงของชาว TEENAGER ที่จะกลับมาปลุกความทรงจำของเราในสมัยกางเกงขาสั้นแบบครบทุกรสชาติ ทั้งหนุ่มเนิร์ด หนุ่มแสบ หนุ่มฮ็อต มีพร้อมให้ได้เลือกดูตามความชอบหรือตามคาแร็กเตอร์ของตัวเองในสมัยวัยกระเตาะ อาจไม่เชิงเป็น Coming Of Age แบบเต็มตัวนัก แต่รับประกันความวายป่วงของแต่ละเรื่องที่เราคัดมาให้ ว่าเด็กเหล่านี้แสบไม่แพ้เราในสมัยวัยรุ่นเช่นกัน

American Vandal

เปิดซีซั่นแรกด้วยเจ้าโลกแบบเต็มตา แต่เป็นเจ้าโลกที่ถูกพ่นอยู่บนรถของอาจารย์โรงเรียนมัธยม Hanover คันแล้วคันเล่าที่โดนประทับตราเจ้าโลกสีแดงเด่นเต็ม ๆ คัน ต้องมีใครสักคนที่รับผิดชอบเรื่องราวน่าขายหน้านี้ และทุกอย่างก็ชี้มาที่ Dylan Maxwell เด็กแสบประจำโรงเรียน ที่แสบทั้งผลการเรียนและพฤติกรรม ผลคือเจ้าหนูโดนเด้งออกจากโรงเรียนไป แต่กลับมีกลุ่มนักเรียนที่เชื่อว่าทุกอย่างมันช่างเหมาะเหม็ง เจาะจงลงไปที่ Dylan แบบผิดสังเกต จึงสวมวิญญาณนักสืบ หาต้นตอความผิดปกติของเรื่องนี้และเพื่อพิสูจน์ว่าไอ้เด็กแสบ Dylan กลายเป็นแพะแบบเต็ม ๆ

Elite

คอซีรีส์ไฮสกูลอย่าได้พลาดเรื่องนี้ เรื่องราวโรงเรียนไฮโซของสังคมชั้นสูงอย่าง Las Encinas จะได้เห็นเรื่องราวเสียดสีของสังคมคนรวย การเหยียดชนชั้น หรือแม้แต่เชื้อชาติ ครบรสชีวิตวัยรุ่นเลือดร้อน ที่มักจะมีปัญหาจากความคิดอันว้าวุ่น การจัดการชีวิตที่เหมือนจะเจ๋งในความคิดของตัวเอง แต่ผลออกมากลับไม่เป็นอย่างที่หวัง เนื้อเรื่องตลกร้าย เจ็บแสบ เคล้าไปกับเรื่องการฆาตกรรมที่มาช่วยเติมสีสันให้เรื่องนี้มากขึ้น โดยเฉพาะความดำมืดในจิตใจคนทุกชนชั้น

The End of the F***ing World

ถ้าเราสามารถทำตามใจตัวเองได้ทุกอย่าง เราจะเลือกทำอะไร ? James (Alex Lawther) หนุ่มน้อยผู้ไร้ความรู้สึก อยากจะหาเหยื่อมาเชือดตามเสียงเรียกร้องในหัว และ Alyssa (Jessica Barden) เหยื่อสาวที่หลงเข้ามาเปลี่ยนชีวิตของ James ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อนี้ไปตลอดกาล

ความขาด ๆ เกิน ๆ ของทั้งคู่ดึงดูดให้พวกเขากลายเป็นคู่หลุดโลกที่ลุกขึ้นมาทำทุกอย่างตามใจตัวเอง ออกไปเผชิญกับชีวิตจริงที่ไม่มีพ่อแม่หนุนหลัง ออกไปเจอเรื่องราวของผู้ใหญ่ที่เขาเชื่อว่าเขาจะรับมือกับมันได้ แต่ยิ่งนานวัน ความประหลาดของทั้งคู่ยิ่งผลักให้พวกเขาเดินทางไปไกลมากกว่าที่ตัวเองคิดไว้ จนไม่รู้ว่าจะถอยกลับได้ยังไง

เรื่องราวตลกร้ายที่อาจไม่ตลกสำหรับบางคน เพราะเป็นการเล่าเรื่องที่เฉพาะตัวพอสมควร (แต่ไม่ได้ดูยาก) ถือว่าดูได้เพลิน ๆ กับมุมมองของเด็กแสบที่เราล้วนเคยมีในใจสมัยที่ยังเป็นวัยทีนกันทั้งนั้น

Atypical

ชีวิตวัยรุ่นของใครหลายคน อาจเป็นหนุ่มฮ็อต เป็นดาวเด่น หรือเด็กแสบขึ้นชื่อ แต่ Sam Gardner หนุ่มออทิสติกที่เป็นเพียงหนุ่มธรรมดา ที่อยากใช้ชีวิตธรรมดา แต่ความไม่ธรรมดาคือมันสมองของเขาที่ฉลาดเป็นกรด จนรู้สึกว่าคนรอบตัวนี่ช่างไร้ความรู้เอาเสียจริง ๆ แม้จะเก่งกาจด้านมันสมองจนเป็นเหมือนต้นไม้แห่งปัญญาขนาดไหน แต่ด้านความสัมพันธ์ของเขาคือเป็นศูนย์ แต่ด้วยวัยที่ผลักดันให้เรารู้สึกว่าตัวเองต้องมีคนรู้ใจกับเขาบ้าง เขาจึงหาแฟนด้วยวิธีเนิร์ด ๆ ตามประสา จนเกิดเรื่องราวฮา ๆ ที่เราจะได้เห็นมุกเนิร์ด ๆ เหมือนที่เราเคยเห็นกันใน The Big Bang Theory

Riverdale

ชีวิตวัยรุ่นไฮสกูลครบรส ดูกันได้แบบเพลิน ๆ โดยเฉพาะใครที่ชอบแนวนี้จะต้องชอบเอามาก ๆ เพราะมีครบทุก Trademark ที่ซีรีส์ไฮสกูลต้องมี การเปลี่ยนคู่วนกันไปมา ความลับเบื้องหลังที่ใครสักคนจะต้องโดนแบล็กเมล์ ปัญหาครอบครัว และใครสักคนจะต้องตาย เรื่องราวของเมือง Riverdale เมืองเล็ก ๆ ที่เคยสงบสุข ต้องวุ่นวายขึ้นมาครั้งใหญ่เพราะการตายของ Jason เด็กหนุ่มจากตระกูลทรงอิทธิพลของเมือง เมื่อการตายของเขาเป็นปริศนา แต่ดูเหมือนว่าจะไม่มีคำใบ้ไหนโผล่มาเลย เหล่าวัยทีนจึงต้องลงมือสืบเรื่องราวจากทุกสิ่งรอบตัวในโรงเรียนและละแวกเพื่อนบ้าน แต่ยิ่งสืบสาวเรื่องราวเท่าไหร่ กลับรู้สึกว่ามันมีปมที่ใหญ่ขึ้นโผล่มามากเท่านั้น

เลือกสักเรื่องที่ถูกใจ แล้วกลับไปมันส์กับเรื่องราววัยคะนองที่ครั้งหนึ่งเราก็เคยทำอะไรบ้า ๆ แบบพวกเขาเช่นกัน

ความล่ำซำอันพังพินาศ: เปิดรายได้ 5 อันดับพ่อค้ายาเสพติดที่ร่ำรวยที่สุดในประวัติศาสตร์

$
0
0

แม้เป็นเรื่องยากจะยอมรับ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเหล่าพ่อค้ายานั้นมีอิทธิพลทั้งในธุรกิจบนดินและใต้ดิน แถมยังมีส่วนในการดำเนินกิจการต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของ การเมือง เศรษฐกิจ และสังคม ที่บางครั้งกฎหมายก็ยากที่จะต้านทานอำนาจของเม็ดเงินที่เหล่าพ่อค้ายามี

แต่ความราบรื่นก็ไม่ได้เป็นของทุกคนที่ทำอาชีพนี้ มีน้อยคนนักที่จะร่ำรวยมหาศาล จำนวนมากต้องล้มตายหรือจบชีวิตลงในคุก   UNLOCKMEN จึงจะพาไปทำความรู้จักกับเหล่าพ่อค้ายาที่ร่ำรวยที่สุดในโลก ว่าเขาได้เงินเหล่านั้นมาจากไหน และเอาเงินเหล่านั้นไปทำอะไรบ้าง

 

5. KHUN SA
ทรัพย์สินราว 5 พันล้านเหรียญ

ขุนส่า หรือ จางชีฟูที่คนไทยรู้จักกันในชื่อ จันทร์ จางตระกูล ราชายาเฮโรอีนผู้ล่วงลับที่ครอบครองเขตพื้นที่แถบสามเหลี่ยมทองคำทางภาคเหนือของไทยและใช้เป็นฐานการผลิตยาเสพติด ได้รับการจัดอันดับให้เป็นพ่อค้ายาที่ร่ำรวยที่สุดในโลกอันดับ 5 ด้วยเม็ดเงินที่ได้มาจากการค้าฝิ่น เฮโรอีน รวมถึงธุรกิจใต้ดินต่าง ๆ

ขุนส่ามีอิทธิพลมากต่อระบบการเมืองของพม่าเพราะเขาคือผู้นำกองทัพเมิงไตที่ร่วมต่อสู้เพื่อเรียกร้องเอกราชให้กับชนกลุ่มน้อยชาวไทใหญ่ในประเทศพม่า จนกระทั่งลุกลามเป็นสงครามฝิ่น ค.ศ. 1967 ถึงแม้ว่าจะมีรายได้มากมายจากการค้ายา แต่ขุนส่าได้กล่าวถึงธุรกิจของตัวเองว่าที่ทำไปทั้งหมดเพราะต้องการจะปลดแอกตัวเองจากการกดขี่ของกองทัพพม่าตั้งแต่ปี 1947 และเฮโรอีนคือหนทางทำเงินที่รวดเร็วที่สุดเพื่อนำเงินทั้งหมดทุ่มไปกับการซื้ออาวุธสงครามเพื่อต่อสู้

 

4. Jorge Luis Ochoa Vásquez
ทรัพย์สินราว 6 พันล้านเหรียญ

สามพี่น้องตระกูล Ochoa นำโดย Jorge Luis Ochoa Vásquez ที่มีจุดเริ่มต้นจากครอบครัวที่ยากจนในประเทศโคลอมเบีย แต่เติบโตและกอบโกยอำนาจเงินทองได้อย่างรวดเร็วด้วยการก้าวเข้าสู่วงการยาเสพติด

Jorge, Juan และ Fabio คือสามพี่น้องที่มีชื่อเสียงในตลาดยาเสพติด เพราะเป็นทั้งผู้ผลิต ทำการตลาด และจำหน่ายโคเคน ที่เรียกได้ว่าครบวงจรภายใต้องค์กรค้ายาเสพติดชื่อดังอย่าง Medellín Cartel ที่มีพ่อค้ายาชื่อก้องโลกอย่าง Pablo Escobar อยู่ในเครือข่ายนี้ด้วย

 

3. Dawood Ibrahim Kaskar
ทรัพย์สินราว 6.7 พันล้านเหรียญ

ดาวูด อิบราฮิม กัสการ์ พ่อค้ายาชาวอินเดียที่หลบหนีจากการจับกุมของตำรวจสากลหลายต่อหลายครั้ง และเป็นชายที่รัฐบาลอินเดียต้องการตัวมากที่สุด เพราะเขาคือผู้ก่อตั้งองค์กรอาชญากรรม D-COMPANY ที่มีสมาชิกอยู่ในเครือข่ายมากกว่า 5,000 คน D-Company ทำธุรกิจสีดำแทบจะทุกประเภททั้งค้ายาเสพติดไปจนถึงค้ามนุษย์ รวมทั้งลงทุนในตลาดอสังหาริมทรัพย์

กัสการ์ถือเป็นผู้ต้องหาจากเหตุก่อการร้ายข้ามชาติที่หลายประเทศต้องการตัว ผู้คนส่วนใหญ่คิดว่ากัสการ์มีความเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ระเบิดครั้งใหญ่ในเมืองบอมเบในประเทศอินเดีย ที่มีผู้เสียชีวิตกว่า 257 ราย และบาดเจ็บกว่า 700 คน

นอกจากนั้นยังโยงไปอีกว่ากัสการ์มีเอี่ยวกับเครือข่าย Al-Qaeda ของ Osama bin Laden รวมถึงกลุ่มก่อการร้ายตาลีบันอีกด้วย การที่จะสร้างเครือข่ายได้ใหญ่โตขนาดนี้ก็ต้องใช้เงินจำนวนไม่น้อยแต่ทรัพย์สินของเขาก็ยังมีมากกว่า 6 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ

 

2. Amado Carrillo Fuentes
ทรัพย์สินราว 25 พันล้านเหรียญ

อมาโด การ์ริโญ ฟูเอนเตส คือหัวหน้าแก๊งค้ายาเสพติดชื่อดังอย่าง ฮัวเรซ ที่ก่อตั้งขึ้นในปี 1993 มีฐานอยู่ที่เมืองซิวดาด เจ้าพ่อผู้ครองตลาดยาในประเทศเม็กซิโกหนึ่งในประเทศที่ผลิตและส่งออกยาเสพติดมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก

แก๊งฮัวเรซต่อสู้กับรัฐบาลอย่างดุเดือดมาโดยตลอด เริ่มจากการฆ่าตัดหัว แขวนคอ ลอบสังหาร และเพิ่มความรุนแรงเป็นวงกว้างจนเกิดการคาร์บอมบ์ในหลายพื้นที่จนได้ชื่อว่าเป็นเครือข่ายยาเสพติดที่มีความโหดเหี้ยมที่สุดในเม็กซิโก

แก๊งฮัวเรซสร้างรายได้มหาศาลจากการลักลอบส่งโคเคนไปให้ผู้ซื้อรายใหญ่อย่างสหรัฐ ฯ ด้วยความร่ำรวยนี้เองจึงทำให้แก๊งฮัวเรซภายใต้การนำของฟูเอนเตส สามารถเข้าไปมีอิทธิพลด้านการเมืองของเม็กซิโกบ่อยครั้ง และนำเงินส่วนมากที่ได้จากการค้ายาไปซื้ออาวุธต่อสู้กับรัฐบาลและแก๊งค้ายาคู่แข่ง

 

1. Pablo Escobar
ทรัพย์สินราว 30 พันล้านเหรียญ

Pablo Escobar หรือ ปาโบล เอสโกบาร์ ที่เริ่มต้นจากลูกชาวนาที่ยากจนในประเทศโคลอมเบีย สู่การก้าวขึ้นมาเป็นพ่อค้ายาเสพติดที่ร่ำรวยและมีอิทธิพลมากที่สุดในโลก เขาเป็นทั้งพ่อพระและซาตานของชาวโคลอมเบีย

เอสโกบาร์ได้ชื่อว่าเป็นอาชญากรที่ร่ำรวยและประสบความสำเร็จมากที่สุดในประวัติศาสตร์ เขาเป็นผู้ก่อตั้งกลุ่มสหพันธ์ธุรกิจ Medellin ที่ครอบครองตลาดโคเคนกว่า 80% ที่กระจายอยู่ทั่วทุกมุมโลก

ในเรื่องของรายได้ เอสโกบาร์สร้างเงินเป็นกอบเป็นกำจากธุรกิจสีดำคิดเป็นเงินได้สัปดาห์ละกว่าหมื่นล้านบาท และมีทรัพย์สินรวมกว่า 1.08 ล้านล้านบาท ถึงแม้ว่าจะเป็นอาชญากรแต่เอสโกบาร์ติดอันดับมหาเศรษฐีที่ร่ำรวยที่สุดในโลกจากการจัดอันดับของ Forbes ถึง 7 ปีติดต่อกัน ตั้งแต่ ค.ศ. 1987-1993

 

แม้ตัวเลขรายได้ของเหล่าพ่อค้ายาจะสูงจนน่าประทับใจ แต่เงินที่ได้มานั้นก็ไม่ใช่เงินสะอาดและต้องแลกด้วยการปกปิดรวมถึงหลบหนีไล่ล่าของตำรวจอยู่ตลอดเวลา ถึงแม้จะรวยแต่จุดจบของพ่อค้ายาเหล่านี้ก็อยู่ห่างไกลกับคำว่าสวยงามอยู่มากโข หรือเรียกง่าย ๆ ว่าจบไม่สวยนั่นเอง

SOURCE

GUIDE: เพราะเม็กซิโกไม่ได้มีแค่ทาโก้ ‘5 ร้านอาหารเม็กซิกัน’ที่อร่อยจนต้องร้อง DELICIOSO!

$
0
0

14,922 กิโลเมตร คือระยะทางระหว่างเม็กซิโกกับประเทศไทย เรียกว่าห่างไกลกันคนละซีกโลก แต่ดูเหมือนว่านั่นจะไม่ใช่อุปสรรคต่อการเดินทางของวัฒนธรรมแต่อย่างใด เพราะคนไทยค่อนข้างรู้จักดินแดน ‘จังโก้’ แห่งนี้เป็นอย่างดี

ไม่ว่าจะเป็นเรื่องราวด้านบันเทิง กีฬา หรือแม้กระทั่งอาหาร ที่ไม่น่าเชื่อเหมือนกันว่าในบ้านเราจะมีร้านอาหารเม็กซิกันเกิดขึ้นมากมาย เราสันนิษฐานว่าน่าจะเป็นเพราะรสชาติของอาหารที่ไม่แตกต่างกันมากนัก มีความจัดจ้านเหมือนกัน

‘อยากทานอาหารเม็กซิกันจังเลย แต่ไม่รู้จะหาทานได้ที่ไหน’ ใครกำลังประสบปัญหานี้ วันนี้เรามีร้านอาหารเม็กซิกันรสชาติเลิศ บรรยากาศเยี่ยม มาแนะนำด้วยกันทั้งหมด 5 ร้าน

The Missing Burro

FB The Missing Burro

ร้านอาหารเม็กซิกันพันธุ์แท้ย่านทองหล่อ ที่กล้าบอกว่าพันธุ์แท้เนื่องจาก The Missing Burro ก่อตั้งโดยพี่น้องชาวเม็กซิกันที่ย้ายมาอาศัยในประเทศไทยเป็นเวลานาน ดังนั้นรสชาติที่ The Missing Burro นำมาเสิร์ฟจะเป็นรสชาติสไตล์เม็กซิกันแท้ ๆ ไร้การฟิวส์ชั่นใด ๆ ทั้งสิ้น

ตัวร้านเป็นตู้คอนเทนเนอร์ตั้งอยู่ท่ามกลางบรรยากาศสบาย ๆ ในย่านทองหล่อ ซึ่งเราว่ามันดูเหมาะสมกับวิถีชีวิตของชาวเม็กซิกันที่เป็นคนสบาย ๆ เน้นความสนุกสนานเป็นหลัก เรียกว่าเมื่อได้หย่อนตัวนั่งแล้วแทบไม่อยากลุกเลยทีเดียว

FB The Missing Burro

อาหารที่นี่ก็มีครบครัน เรียกว่ายกแผ่นดินจังโก้มาตั้งในทองหล่อเลยก็ว่าได้ ไม่ว่าจะเป็นนาโช, ทาโก้, เบอริโต้, Carnitas และอีกมากมาย เลือกสั่งได้เต็มที่เลย ใครอยากนั่งทานอาหารเม็กซิกันแท้ ๆ ในบรรยากาศสบาย ๆ The Missing Burro คือตัวเลือกที่น่าสนใจ

Location:  145 ซอยทองหล่อ 7 เขตวัฒนา กรุงเทพมหานคร

Open: 5.00 pm – 11.00 pm

Contact: 09-0913-2131

Facebook: The Missing Burro

The Mexican – Cantina and Comedor

FB The Mexican – Cantina and Comedor

จากบรรยากาศสบาย ๆ ที่ The Missing Burro เพิ่มความเป็นทางการขึ้นอีกหน่อยกับ The Mexican – Cantina and Comedor ร้านอาหารเม็กซิกันที่ตั้งเด่นตระหง่านอยู่ในสุขุมวิทซอย 2

ตั้งแต่ก้าวแรกที่ย่างกรายเข้าไปใน The Mexican คุณสามารถรู้ได้ทันทีว่านี่คือร้านอาหารเม็กซิกันพันธุ์แท้ เนื่องจากการตกแต่งของทางร้าน โดยเฉพาะ รูปวาด La Cavalera Catrina ขนาดใหญ่บนผนัง ที่ตั้งอยู่กลางร้าน คอยดึงดูดสายตาของแขกผู้มาเยือน

FB The Mexican – Cantina and Comedor

เรื่องอาหารต้องบอกว่าที่นี่ครอบเครื่องเรื่องเม็กซิกัน แต่นอกเหนือจากนั้นคือโซนบาร์ที่มีค็อกเทลสไตล์เม็กซิกันไว้คอยเสิร์ฟ นั่งจิบ พลางทานนาโช่ บอกเลยว่าโคตรชิล

Location: โรงแรมราชาคอมเพล็กซ์ ซอยสุขุมวิท 2  เขตวัฒนา กรุงเทพมหานคร

Open: 11.00 am – 12.00 pm

Contact: 09-4330-0390

Facebook: The Mexican – Cantina and Comedor

Slanted Taco

FB Slanted Taco

อีกหนึ่งร้านอาหารเม็กซิกันที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว เนื่องจากที่ Slanted Taco ในซอยสุขุมวิท 23 แห่งนี้ตกแต่งด้วยสังกะสี อิฐ ไม้ และรูปภาพที่เห็นแล้วคิดถึงบรรยากาศชายทะเลแถบแคริเบียน นอกจากนั้นยังมีเสียงเพลงสไตล์ละตินให้ครึกครื้นยิ่งขึ้นไปอีก

FB Slanted Taco

ถ้าพูดถึงเรื่องอาหารของที่  Slanted Taco คงต้องพูดถึง Jorge Bernal เชฟมากประสบการณ์ผู้อยู่เบื้องหลังร้านอาหารเม็กซิกันชื่อดังมากมาย เขาได้เข้ามาออกแบบเมนูและควบคุมคุณภาพอาหาร มุ่งมั่นที่จะเสิร์ฟอาหารเม็กซิกันแบบต้นตำรับ และยืนยันที่จะใช้วัตถุดิบออแกนิกเป็นหลัก

Slanted Taco พร้อมเสิร์ฟอาหารเม็กซิกันคุณภาพเยี่ยมให้ทุกคนได้ลิ้มลอง

Location: 16 ซอยสุขุมวิท 23 เขตวัฒนา กรุงเทพมหานคร

Open: 4.00 pm – 1.00 am

Contact: 0-2258-0546

Facebook: Slanted Taco

Changwon Express

FB Changwon Express

เอาเป็นว่าแค่คอนเซ็ปต์ที่นี่ก็กินขาดแล้ว เนื่องจาก Changwon Express คือร้านอาหารฟิวส์ชั่นสไตล์เม็กซิกัน- เกาหลี ใช่แล้ว คุณอ่านไม่ผิดหรอก เม็กซิกัน-เกาหลี จริง ๆ เป็นสองประเทศที่ดูแตกต่างกันสุดขั้ว แต่คุณ Ted Ahn สามารถนำมาผสมผสานกันได้อย่างลงตัว

Changwon Express ตกแต่งร้านด้วยสไตล์ลอฟต์สีเหลืองโดดเด่นสะดุดตา เห็นได้ชัดตั้งแต่เดินออกจาก MRT เพชรบุรี

FB Changwon Express

ถ้าคุณกำลังคิดว่าจะได้เจอทาโก้กิมจิในร้านนี้แล้วล่ะก็ บอกเลยว่าคุณคิดถูก! เนื่องจากคุณ Ted Ahn ได้นำอาหารเกาหลีที่ตัวเองถนัดมาฟิวส์ชั่นกับอาหารสไตล์เม็กซิกัน-อเมริกัน ซึ่งนอกจากกิมจิทาโก้แล้ว ที่ Changwon Express ยังมีอาหารฟิวส์ชั่นเจ๋ง ๆ มากมายให้คุณได้ลิ้มลอง สุดท้ายที่ขาดไม่ได้เลยคือเบียร์ และที่นี่เองก็มีเบียร์แท็ปมากมายไว้คอยบริการ

ใครอยากลองลิ้มรสอาหารฟิวส์ชั่นแปลกใหม่ ลองมาที่ Changwon Express สักครั้งสิ

Location: MRT เพชรบุรี 37 ถนนอโศกดินแดง เขตราชเทวี กรุงเทพมหานคร

Open: 5.00 pm – 12.00 pm

Contact: 09-2251-8661

Facebook: Changwon Express

Barrio Bonito

FB Barrio Bonito at The Commons – Thonglor 17

ถ้าใครไปเยือนเกาะช้าง จังหวัดตราดบ่อย ๆ น่าจะรู้จักร้านอาหารเม็กซิกันชื่อดังอย่าง Barrio Bonito เป็นอย่างดี แต่ตอนนี้ไม่ต้องเดินทางไกลหลายร้อยกิโลเพื่อทานอาหารเม็กซิกันรสเลิศแล้ว เพราะ Barrio Bonito ได้มาเปิดสาขาใหม่ใจกลางกรุงเทพ ที่ The Common ย่านทองหล่อ

Barrio Bonito สาขาทองหล่อตกแต่งสไตล์ดิบ ๆ ด้วยอิฐบล็อกและปูนเปลือย มีขวดเหล้าที่ถูกดัดแปลงเป็นโคมไฟห้อยละลานตา โดดเด่นด้วยภาพวาด La Cavalera Catrina ขนาดใหญ่

FB Barrio Bonito at The Commons – Thonglor 17

ถึงแม้ทางเชฟ Mariana Villalobos Torres และ Julien Chardonnet เจ้าของร้านจะทำการปรับเปลี่ยนเมนูและวิธีการเสิร์ฟใหม่เพื่อให้เข้ากับร้านสาขาทองหล่อ แต่อาหารทั้งหมดยังคงวัตถุดิบและวิธีการปรุงแบบเม็กซิกันแท้ ๆ เพราะฉะนั้นเชื่อขนมกินเรื่องรสชาติได้เลย

Location: โครงการ The Commons ซ.สุขุมวิท 55 ซ.ทองหล่อ 17 แขวงคลองตันเหนือ เขตวัฒนา กรุงเทพมหานคร

Open: 11.00 am – 11.00 pm

Contact: 09-2331-5203

Facebook: Barrio Bonito at The Commons – Thonglor 17

 

ใครกำลังเบื่ออาหารเดิม ๆ ไม่รู้จะทานอะไรดี เลิกงานวันนี้ลองเปิดใจให้กับอาหารเม็กซิกันสักครั้งสิ

Viewing all 7776 articles
Browse latest View live