Quantcast
Channel: Unlockmen
Viewing all 7776 articles
Browse latest View live

ยิ่งแก่ยิ่งพลาดง่าย “ผลวิจัยชี้ว่าผู้สูงอายุคือกลุ่มที่แชร์ข้อมูลผิด ๆ มากที่สุดในโลกโซเชียล”

$
0
0

พ่อแม่ลุงป้าที่เคยบ่นเคยห้ามไม่ให้เราติดมือถือมากไป วินาทีหันไปจะคุยกับพวกท่าทีไรกลายเป็นว่า “โถ ติดมือถือหนักกว่าเราไปอีก!” เรียกได้ว่าตอนนี้ผู้สูงอายุใช้โซเชียลมีเดียมากขึ้นไม่ว่าจะเป็น Line หรือ Facebook ก็ตามแต่

ข้อดีที่เห็นได้ชัดคือการทำให้ช่องว่างระหว่างวัยของสมาชิกในครอบครัวลดน้อยลง ผู้สูงอายุเหงาน้อยลงและได้ติดต่อกับเพื่อนมากขึ้น แต่ข้อเสียนั้นก็ถือว่าเป็นสิ่งที่น่าจับตามองอย่างใกล้ชิด เพราะเหล่าผู้สูงอายุมักจะชอบแชร์ข่าวสารข้อมูลผิด ๆ ที่ส่งต่อกันโดยไม่รู้ว่าข่าวที่ตัวเองอ่านนั้นเป็นความจริงหรือไม่

การติดมือถือมากไปยังพอเยียวยาได้ แต่ถ้าเป็นกรณีที่หนักขึ้นมาอย่าง การแชร์ข้อมูลเรื่องสุขภาพแบบผิด ๆ ที่จะส่งผลต่อชีวิต หรือข่าวของเหล่าคนดังที่จะส่งผลให้เกิดการปลุกระดมเรื่องของความเกลียดชังอย่างไม่ถูกต้อง ก็เป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วงไม่น้อย

ปัญหานี้ไม่ได้มีให้เห็นแค่ในประเทศไทยเท่านั้น ในสหรัฐฯ เองก็มีอยู่บ่อยครั้งที่ผู้สูงอายุมักมีแนวโน้มที่ชอบแบ่งปันข่าวปลอมต่าง ๆ ใน Facebook และโซเชียลมีเดียอื่น ๆ กันเป็นจำนวนมาก เมื่อเกิดปัญหาดังกล่าว ทีมวิจัยจาก New York Universitiy และ Princeton Universitiy ได้ร่วมกันค้นหาคำตอบจากการทำวิจัยและสำรวจว่ากลุ่มคนในช่วงอายุใดมักจะแชร์ข่าวปลอมมากกกว่ากัน

งานวิจัยนี้ตีพิมพ์ลงใน Science Advance แสดงให้เห็นถึงการตรวจสอบพฤติกรรมของผู้ใช้งานโซเชียลเน็ตเวิร์คในช่วงระยะเวลาหนึ่ง โดยรวบรวมผู้คนกว่า 3,500 คนที่ใช้งาน Facebook ไม่แบ่งเพศและอายุและขอให้เปิด Public เพื่อให้เหล่านักวิจัยสามารถเข้าถึงฟีดทั้งหมดได้ว่ากลุ่มตัวอย่างนั้นได้แชร์เรื่องราวอะไรกับเพื่อนใน Facebook บ้าง

เป็นเรื่องน่าตกใจเมื่อผลสำรวจพบว่าผู้ใช้งาน Facebook ที่มีอายุ 65 ปีขึ้นไป คิดเป็นเพียงแค่ 3% ของกลุ่มตัวอย่างเท่านั้น แต่กลับแชร์ข่าวปลอมมากกว่าสองเท่าของกลุ่มผู้ใช้ที่มีอายุน้อยกว่า

ไม่ใช่เพียงแค่ข่าวปลอมเท่านั้น เรื่องราวเกี่ยวกับสุขภาพที่ถูกบิดเบือนก็เช่นกัน โดยจะเห็นได้ชัดว่าอะไรก็ตามที่เกี่ยวกับมะเร็งผู้คนจะแชร์เยอะ รองลงมาคือเบาหวาน รวมถึงโรคไตและความดัน การแชร์เหล่านี้จะเป็นการเปิดโอกาสให้กับมิจฉาชีพเข้ามาโฆษณาสินค้าเกินจริง อย่างยาที่กินแล้วหายจากการเป็นโรคหัวใจหรือมะเร็ง หรือแชร์วิธีรักษาง่าย ๆ ทำนองว่า “พิสูจน์แล้ว มะเร็งรักษาง่าย ๆ ด้วยมะนาว” ผลคือคนที่ทำตามต้องเสียชีวิต โดยที่ผู้ส่งต่อไม่รู้เลยว่าได้มีส่วนร่วมในทางที่ผิดโดยไม่รู้ตัว เพราะในความเป็นจริงโรคเหล่านี้จะต้องพบแพทย์เพื่อรับการรักษาที่ถูกวิธีเท่านั้น ไม่มีทางที่กินยาเพียงกระปุกเดียวแล้วจะหาย แต่ผู้สูงอายุกลับเชื่อคำชวนเชื่อนี้ง่ายกว่ากลุ่มวัยรุ่น

การวิจัยไม่ได้ให้ข้อสรุปที่ชัดเจนว่าเพราะเหตุใดกลุ่มผู้สูงอายุที่ใช้งานโซเชียลมีเดียนั้นมีแนวโน้มที่จะถูกสื่อปลอมหลอกได้มากกว่าวัยอื่น ๆ แต่ที่เห็นได้ชัดตามสำนวนที่ว่า ไม้อ่อนดัดง่าย ไม้แก่ดัดยาก การที่ลูกหลานจะบอกเหล่าผู้สูงอายุในครอบครัวว่าข่าวที่พวกเขาแชร์นั้นเป็นข่าวปลอมก็เป็นเรื่องที่ทำได้ยาก เนื่องจากคนรุ่นก่อนนั้นเติบโตมากับการรับสารไม่กี่ช่องทาง และด้วยความที่มีตัวเลือกน้อย ผู้สูงอายุจึงมักเชื่อถือบุคคลที่ออกสื่อมาก (แม้แต่สื่อปลอมก็ตาม)

นอกจากนั้นผู้สูงอายุเข้าสู่โลกออนไลน์ในตอนที่อายุมากแล้วจึงขาดความเท่าทันสื่อออนไลน์ ต่างจากเด็กในปัจจุบันที่เติบโตมากับสื่อเหล่านี้ ผู้สูงอายุจึงไม่เชื่อว่าภาพต่าง ๆ สามารถรีทัชได้

รวมถึงมุมของของผู้ใหญ่ที่เห็นลูกหลานตั้งแต่ยังเล็ก จึงคิดว่าลูกหลานของเขานั้นมีประสบการณ์ชีวิตที่น้อยกว่าตัวเอง จึงมักไม่เชื่อคำแย้งและคำเตือนจากสมาชิกในครอบครัว แต่สำหรับคนรุ่นใหม่ที่เติบโตมากับโซเชียลเน็ตเวิร์คและเห็นข่าวปลอมทั้งในอีเมล์และสื่อออนไลน์ต่าง ๆ จนชินตา จึงเป็นเรื่องปกติที่จะรู้ทันและพยายามตรวจสอบที่มาที่ไปมากกว่า

เพื่อแก้ปัญหาการแชร์ข่าวปลอม WhatsApp เริ่มพัฒนาโปรแกรมเพื่อส่งเสริมการรู้หนังสือดิจิทัลในอินเดียซึ่งผู้ใช้ 200 ล้านคน รวมถึงสำนักงานสืบสวนกลางแห่งสหรัฐ ฯ ก็จัดทำเว็บไซต์สำหรับกระจายข่าว เพื่อลดการส่งต่อข่าวปลอมของกลุ่มผู้ใช้งานโซเชียลมีเดียอีกด้วย

แต่ถึงจะกังวลเรื่องของข่าวปลอมและข้อมูลที่ผิด ๆ แต่ผู้คนส่วนใหญ่มักไม่อยากให้รัฐบาลหรือองค์กรอะไรก็ตามแต่เข้ามาควบคุมการใช้โซเชียลมีเดียของตัวเอง จึงมีเพียงประเทศจีนและอังกฤษเท่านั้นที่ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่อยากให้รัฐบาลเข้ามาดูแลเรื่องการใช้อินเทอร์เน็ต

ในยุคที่ใครจะสามารถพิมพ์อะไรลงไปในโซเชียลก็ได้ การมีวิจารณญาณในการกรองข่าวต่าง ๆ จึงเป็นสิ่งจำเป็นที่มองข้ามไม่ได้ เพราะสิ่งที่เรากดส่งต่อไปนั้นมันสามารถส่งผลกระทบเป็นวงกว้างได้อย่างคาดไม่ถึง

 

SOURCE


ย้อนรอยความยิ่งใหญ่ วิหคแห่งความสงบสุข ‘WOODSTOCK’ครบ 50 ปีที่กลับมาโลดแล่นอีกครั้ง

$
0
0

สำหรับปีที่ผ่านมา ถือว่าเป็นปีที่วงการดนตรีมีความคึกคักมากกว่าปกติ ทั้งศิลปินที่ห่างหายไปนานได้กลับเข้าสตูดิโอเข็นอัลบั้มใหม่แกะกล่องออกมาให้แฟน ๆ ได้หายคิดถึง หรือแม้แต่ศิลปินที่มีผลงานในขณะนั้นก็ไม่ยอมแพ้ ปล่อยเพลงใหม่ ๆ ออกมาเรียกเสียงฮือฮาเช่นกัน แต่อะไรจะเรียกเสียงฮือฮาได้เท่าการกลับมาของเทศกาลดนตรีเกิดขึ้นเพียงหนึ่งครั้งแต่เป็นที่จดจำตลอดไปอย่าง Woodstock 1969 เมื่อ The Bird Of Peace กลับมาโบยบินอีกครั้งหลังจากห่างหายไปถึง 50 ปี มาดูความยิ่งใหญ่ของเทศกาลดนตรีครั้งนี้เมื่อในอดีต

The Bird Of Peace

เมื่อปี 1969 ช่วงกลางเดือนสิงหาคม Woodstock Music & Art Fair ได้ถือกำเนิดขึ้น ด้วยความตั้งใจของสี่หัวหอกอย่าง Artie Kornfeld, Michael Lang, John Roberts และ Joel Rosenman ผืนแผ่นดินเขียวชอุ่มกว่า 600 เอเคอร์ในฟาร์มของนาย Max Yasgur ณ เมือง Bethel, NY ถูกใช้เป็นพื้นที่ตั้งเวทีและรองรับคนดูที่ต้องตั้งแคมป์สำหรับการกินนอนที่นี่ถึงสามวันสามคืน พื้นที่สำหรับการดื่มด่ำเสียงดนตรีแบบใกล้ชิด ศิลปินมากหน้าหลายตาที่ขึ้นโชว์ใน Line-Up ครั้งนี้ Jefferson Airplane, Jimi Hendrix, the Grateful Dead, the Who, Janis Joplin and Crosby, Stills, Nash & Young และอีกมากมายที่จะมาจรรโลงพื้นที่ให้เต็มไปด้วยความสงบสุขของ The Bird Of Peace บัตรกว่า 100,000 ใบถูกจำหน่ายหมดตั้งแต่ก่อนวันงาน เพราะทุกคนล้วนอยากมาเป็นส่วนหนึ่งของคอนเสิร์ตที่ยิ่งใหญ่ครั้งนี้ ที่เป็นอีกหนึ่งเหตุการณ์ครั้งสำคัญในประวัติศาสตร์ร็อกแอนด์โรลของนิตยสาร Rolling Stone

แม้งานจะจัดขึ้นในวันศุกร์ที่ 15 ถึงวันอาทิตย์ที่ 18 แต่ผู้คนราว ๆ 60,000 คนต่างทยอยเดินทางไปถึงงานตั้งแต่วันพุธพร้อมกับตั้งเต็นท์ส่วนตัวของตัวเองเรียบร้อยพร้อมเมามันส์ไปกับเสียงดนตรี ขนาดยังไม่ถึงวันจริงคนยังมาแบบถล่มทลายขนาดนี้ พอถึงงานจริงวันแรกนั้นไม่ต้องพูดถึง ถนนคราคร่ำไปด้วยรถยนต์ที่เดินทางมาที่งาน จนศิลปินต้องเปลี่ยนการเดินทางมาทางอากาศแทน ในวันงานแม้จะมีฝนพรำตามฤดูกาล นั่นไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อผู้รักในเสียงเพลง แต่กลับเป็นความชุ่มฉ่ำชื่นใจที่ธรรมชาติมอบให้

ความยิ่งใหญ่ของงานนี้ที่ใคร ๆ ต่างกล่าวถึง ไม่ใช่แค่ Line-Up ที่รวมศิลปินไว้มากมาย แต่สิ่งที่ดึงดูดผู้คนจำนวนกว่าครึ่งล้านมาไว้ที่นี่และทำให้คนนับล้านที่ไม่ได้มาเยือนต่าง Hype กับคอนเสิร์ตครั้งนี้คือความเสรีต่อคนดู ชาวฮิปปี้ทั้งหลายต่างพกเครื่องมือแห่งความสุขติดตัวมาด้วยและใช้มันอย่างเปิดเผย แม้คนจะมาเยือนจำนวนมหาศาลแค่ไหน แต่กลับเกิดเหตุวุ่นวายน้อยมากถ้าเทียบกับจำนวนคน ภาพแห่งความอบอุ่น รอยยิ้ม เสียงหัวเราะ ถูกส่งผ่านมาในรูปแบบของภาพถ่ายที่เราคุ้นเคยหลายภาพ โดยเฉพาะภาพคู่รักที่ห่มผ้าให้กันภายใต้อ้อมกอดที่ชวนให้รู้สึกอบอุ่นขึ้นมาในใจ

ในปีถัดมา งานนี้ไม่อาจจัดขึ้นได้ในที่เดิมอีกครั้ง เนื่องจาก Max Yasgur ต้องการกลับไปทำฟาร์มของตัวเองแล้ว จึงเป็นอันต้องล้มเลิกไป ถึงอย่างนั้นเรื่องราวก็ไม่ได้จบลงแบบบริบูรณ์ ยังมีสารคดีในชื่อเดียวกันบันทึกเรื่องราวครั้งนี้เอาไว้ 

จากวันนั้นจนถึงวันนี้ คอนเสิร์ตยิ่งใหญ่ระดับโลกที่เคยสร้างปรากฏการณ์คนดูกว่าครึ่งล้านอย่าง Woodstock จะกลับมาสร้างสีสันให้กับวงการดนตรีอีกครั้งในโอกาสครบรอบ 50 ปี ซึ่งคอนเสิร์ตในวาระรำลึกถึง Original ในครั้งนี้จะจัดขึ้นที่ Watkins Glen, New York สามวันสามคืนในวันที่ 16–18 สิงหาคมปีนี้

ทางผู้จัดแง้มข่าวมาว่าจะมี Line Up ที่ผสมผสานดนตรีหลากหลายแนวไว้ด้วยกัน วงระดับตำนาน หรือแม้แต่การรียูเนียนของวงรุ่นเก๋าที่เคยได้ขึ้นแสดงก็อยู่ในแพลนของพวกเขาด้วยเช่นกัน ถือว่าเป็นอีกปรากฏการณ์ทางดนตรีที่น่าจับตามองในปีนี้ มาลุ้นกันว่าวงหน้าใหม่วงไหนที่จะเจ๋งจนเข้าตาผู้จัด ได้ขึ้นไประเบิดความมันส์บนเวทีระดับตำนาน และวงรุ่นเก๋าวงไหนที่จะกลับมาเซอร์ไพรส์แฟน ๆ เหมือนครั้งที่เคยได้ขึ้นเล่นในวันวาน

สำหรับหนุ่มสาวคนไหนที่อยากมีความทรงจำที่ยอดเยี่ยมในเทศกาลดนตรีสุดยิ่งใหญ่ครั้งนี้สักครั้งในชีวิต รีบเตรียมตัวกันให้ดี เพราะโอกาสแบบนี้คงไม่ได้มีมาบ่อย ๆ แน่นอน 

SOURCE

“พ่อค้ายาฯ ก็อยากรักษ์โลก”ผุดไอเดียเปลี่ยนบรรจุภัณฑ์โคเคนเพื่อลดปริมาณพลาสติก

$
0
0

ขึ้นชื่อว่า “พ่อค้ายาเสพติด”ซึ่งภาพลักษณ์เต็มไปด้วยความเลวร้ายก็ดูไม่มีทางจะไปกันได้กับ “ความดี”หรือ”ความรับผิดชอบต่อสังคม”เลย แต่จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อกลุ่มพ่อค้ายาเสพติดกลุ่มหนึ่งดันกลับตาลปัตรใส่ใจปัญหามลภาวะและพยายามคิดหาวิธีขายโคเคนพร้อมกับรักษาสิ่งแวดล้อมไปพร้อม ๆ กันโดยเลือกใช้บรรจุภัณฑ์แบบ Class A ที่สามารถนำกลับมาใช้ในการซื้อยาเสพติดครั้งต่อไปได้อีก

teenchallengenwcn

เมื่อลูกค้าสั่งยาเสพติดปริมาณน้อย พ่อค้ายามักใส่ยาเสพติดในถุงพลาสติกเล็ก ๆ ที่มีซิปล็อก จากนั้นต้องห่อสองชั้นด้วยกระดาษล็อตตารี่และใช้น้ำมันหรือฟิล์มเพื่อยึดห่อยากับกระดาษไว้ด้วยกัน ก่อนจะนำมาส่งให้ลูกค้า การทำบรรจุภัณฑ์เพื่อส่งยาเสพติดให้ถึงมือลูกค้าแต่ละครั้งนั้นจึงยุ่งยากและสร้างขยะเป็นจำนวนมาก

รายงานฉบับหนึ่งในนิตยสาร The Metro ซึ่งลงพื้นที่สำรวจตลาดยาเสพติดท้องถิ่นพบว่ามีตัวแทนจำหน่ายมากกว่าหนึ่งเจ้าเริ่มขายโคเคนในรูปแบบบรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมเพื่อให้นำกลับมาใช้ซ้ำได้ เพราะการใช้ถุงซิปล็อกแบบเดิมนั้นใช้ได้เพียงแค่ครั้งเดียว

ผู้ใช้โคเคนรายหนึ่งในเมืองเบอร์มิงแฮมบอกกับสื่อออนไลน์ว่า ตอนแรกคิดว่าพ่อค้ายาของเขาล้อเล่นตอนที่ยื่นโคเคนหนึ่งกรัมในขวดขนาดจิ๋วมาให้ โดยพ่อค้ายาบอกเขาว่าต่อไปนี้จะไม่ใส่โคเคนในถุงซิบล็อกหรือห่อกระดาษอีกต่อไป แต่ให้เก็บขวดนี้ไว้ เมื่อมาซื้อครั้งต่อไปก็ให้เอาขวดมาแลกกับยา

ถึงพ่อค้ายาจะบอกแบบนั้น แต่ผู้ซื้อรายนี้ก็ยังคิดว่าเป็นแค่การล้อเล่น ท้ายที่สุดท่าทีของพ่อค้ายากลับจริงจังจนน่าตกใจ อาจเป็นเพราะการส่งยาแต่ละครั้งพวกพ่อค้าใช้ถุงพลาสติกและกระดาษเป็นจำนวนมาก พลาสติกและกระดาษเหล่านี้จึงมีส่วนสร้างมลภาวะ

รวมถึงการใส่ยาในขวดช่วยให้จำหน่ายได้รวดเร็วขึ้นเพราะไม่ต้องมานั่งห่อซ้ำแล้วซ้ำอีก พ่อค้ายายังทิ้งท้ายไว้ว่าเขามั่นใจว่าจะต้องมีลูกค้าหัวใหม่ที่ชอบทั้งโคเคนและชอบแนวคิดรักโลกแบบนี้แน่นอน

labconco

อย่างไรก็ตามการรักษาสิ่งแวดล้อมของพ่อค้ายาจำนวนหนึ่งคงไม่สามารถชดเชยความเสียหายจากการสร้างมลภาวะได้ทั้งหมด จากการวิจัยเรื่องสิ่งแวดล้อมในปี 2011 โดย State University of New York System พบว่าการผลิตยาเสพติดไม่ว่าจะชนิดไหนก็มีส่วนในการตัดไม้ทำลายป่าโดยเฉพาะกับประเทศโคลอมเบียที่เป็นแหล่งวัตถุดิบเจ้าใหญ่ของโลก

นอกจากนี้ Liliana M. Dávalos  นักนิเวศวิทยาที่ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งมีชีวิตกับสิ่งแวดล้อมกล่าวว่าทางตอนใต้ของโคลอมเบียสูญเสียป่าจำนวนมากใกล้กับแหล่งเพาะปลูกต้นโคคาซึ่งเป็นวัตถุดิบหลักในการผลิตโคเคน ยิ่งมีโคเคนอยู่มากเท่าไหร่ จำนวนป่าก็จะลดลงเท่านั้น

Verywell Mind

แม้การเปลี่ยนบรรจุภัณฑ์ของยาเสพติดแบบผงจะช่วยลดมลภาวะได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น แต่ก็ยังดีกว่าการไม่เริ่มทำอะไรเลยจริงไหมล่ะครับ ที่น่าสนใจคือเรื่องการซ้อนทับระหว่างความเป็นพ่อค้ายาที่ดูจะเป็นผู้ร้ายของสังคมสุด ๆ กับความรับผิดชอบต่อสังคมอย่างการพยายามลดขยะ จนเราอาจต้องเริ่มถามตัวเองบ้างเหมือนกันว่าถึงตาเราพยายามลดขยะบ้างแล้วหรือยัง ?

 

SOURCE

ส่อง “STARSHIP สุดยอดจรวดของ ELON MUSK”ที่จะพาเหล่ามหาเศรษฐีทยานรอบดวงจันทร์

$
0
0

ฝันของมนุษย์ที่จะท่องไปในอวกาศอันเวิ้งว้างเริ่มดูเป็นรูปเป็นร่างและใกล้ความเป็นจริงเข้าไปอีกขั้น เมื่อไอรอนแมนในโลกแห่งความจริงอย่าง Elon Musk อวดโฉมจรวดทดสอบ Starship ที่มีไว้รองรับการเดินทางทัวร์รอบดวงจันทร์สำหรับเหล่ามหาเศรษฐีที่อยากท่องอวกาศ

Engadget

ก่อนหน้านี้บริษัทขนส่งทางอวกาศชื่อดังอย่าง SpaceX ของนักธุรกิจหนุ่มอัจฉริยะอย่าง Elon Musk เปิดตัวโครงการพามนุษย์เดินทางไปดาวอังคารด้วยระบบขนส่งระหว่างดาวแต่ละดวงในชื่อ ITS หรือ Interplanetary Transportation System โดยใช้กระสวยอวกาศชื่อ BFR หรือ Big Falcon Rocket

BFR คือยานพาหนะที่จะพาเราท่องอวกาศที่มาพร้อมเครื่องยนต์ Raptor Engine ที่ใช้พลังงานเป็นมีเทนเหลวมากถึง 42 ตัว เพื่อให้เกิดแรงยกกว่า 126 ล้านนิวตัน เทียบเท่าจรวดรุ่นก่อนหน้าอย่าง Flacon 9 ทั้งหมด 16 ตัว และ BFR สามารถบรรทุกผู้โดยสารได้กว่า 200 คน เพื่อเดินทางไปยังดาวอังคารและดาวอื่น ๆ ในระบบสุริยะจักรวาล

Business Insider

BFR สามารถบินขึ้นจากบริเวณใดก็ได้ในโลกและลงจอดได้ดั่งใจ SpaceX ก็พิสูจน์ให้เห็นว่าสามารถทำได้จริง แม้ขนาดจะใหญ่เทอะทะจนคนเอาไปล้อจาก Big Falcon Rocket เพี้ยนไปเป็น Big Fucking Rocket หรือที่เรียกว่า “จรวดที่โคตรพ่อโคตรแม่ใหญ่” เพราะความสูงถึง 106 เมตร ถือเป็นยานอวกาศที่ใหญี่สุดในโลกและยังไม่มีใครมาล้มความใหญ่นี้ได้

แต่ชื่อ BFR ในปัจจุบันจะไม่มีอีกต่อไปเมื่อ Elon Musk ประกาศเปลี่ยนชื่อจรวดดังกล่าวมาเป็น Starship ซึ่งเป็นชื่อที่เข้าใจง่ายและสื่อความหมายตรงตัวว่ายานอวกาศ

The Columbian

เขาตั้งใจจะนำยาน 2 ลำ ลงจอดบนดาวอังคารในปี 2022 และไม่ใช่แค่เพียงจรวดเพื่อตะลุยอวกาศ แต่ SpaceX คิดไปไกลกว่านั้น โดยการวางแผนสร้างสถานีอวกาศบนดวงจันทร์และดาวอังคาร พร้อมกับพัฒนายานพาหนะความเร็วสูงที่สามารถพาเราบินไป-กลับระหว่างสถานีได้อย่างรวดเร็ว

สิ่งที่ Elon Musk คิดเริ่มมีเป็นรูปเป็นร่างชัดเจนมากขึ้นไปอีก เมื่อเขาเผยภาพจรวดทดสอบของจริงผ่านทางทวิตเตอร์และกล่าวว่าทางบริษัทได้เริ่มทดสอบ Starship ณ ฐานของ SpaceX ในรัฐเทกซัส ซึ่งเป็นภาพจรวดจริง ๆ ที่ใช้งบประมาณในการสร้างราว 5,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือราว 1.6 แสนล้านบาท และยังทิ้งท้ายว่าจรวดเวอร์ชั่นที่จะใช้สำหรับพาเหล่าผู้ที่ต้องการทัวร์อวกาศนั้นจะหนาและรูปร่างสูงใหญ่กว่านี้

กลุ่มลูกค้ารายแรกที่จะร่วมเดินทางไปกับ Starship คือเศรษฐีชาวญี่ปุ่นวัย 43 ปี นามว่า ยูซากุ มาเอะซาวะ เจ้าของเว็บไซต์ค้าปลีกแบรนด์แฟชั่นในญี่ปุ่น รวมถึงเหล่าคนในวงการแฟชั่นและศิลปินร่วมเดินทางไปกับเขาด้วย ส่วนศิลปินที่ว่าจะเป็นใครทาง SpaceX ก็ยังไม่ได้เปิดเผยรายละเอียด

แน่นอนว่าเมื่อมีทริปอวกาศที่น่าสนใจและใกล้ความจริงขนาดนี้ สิ่งที่หลายคนต่างอยากรู้ก็คือราคาของตั๋วเพื่อที่จะร่วมเดินทางรอบดวงจันทร์ไปพร้อมกับ Starship นั้นมีราคาเท่าไหร่ ซึ่ง SpaceX ยังไม่ได้เป็นเผยให้สาธารณชนได้รับรู้ แต่สื่อต่างประเทศต่างคาดเดาว่าราคาตั๋วต่อใบคงจะไม่ต่ำกว่า 35 ล้านดอลลาร์ หรือถ้าคิดเป็นเงินไทยก็ราว 1 พันล้านบาทต่อหนึ่งที่นั่ง

bgr

แม้ราคาตั๋วไปทยานรอบดวงจันทร์และตะลุยอวกาศจะดูไกลจนเกินมือคนอย่างเราจะเอื้อมถึงไปบ้าง แต่ในอีกทาง Starship ก็กลายเป็นสัญลักษณ์แห่งความภูมิใจและความยิ่งใหญ่ของมวลมนุษยชาติที่ฝันได้ไกลและกำลังจะไปถึงได้จริงในอีกไม่กี่ปีข้างหน้านี้แล้ว

SOURCE

OTAKU 101: ไม่ได้มีดีแค่ซีรีส์! 5 แอนิเมชั่นญี่ปุ่นโคตรสนุก หาดูได้ง่าย ๆ บน NETFLIX

$
0
0

ปฏิเสธไม่ได้ว่าทุกวันนี้สตรีมมิ่งออนไลน์อย่าง ‘Netflix’ เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของพวกเราไปแล้ว ด้วยจำนวนคอนเทนต์มากมายที่มีให้เลือกเสพ จนบางครั้งเราอาจลืมเพื่อนเก่าอย่างรายการโทรทัศน์ไปเสียสนิท และเมื่อพูดถึง Netflix แน่นอนว่าทุกคนคงต้องนึกถึงซีรีส์หรือละครชุดที่หลายเรื่องโด่งดังจนกลายเป็น Talk of the Town ไม่ว่าจะเป็น Stranger Things, Narcos, Black Mirror และอีกมากมาย

แต่จริง ๆ แล้วใน Netflix ยังมีคอนเทนต์อีกประเภทที่หลายคนมองข้าม นั่นก็คือ ‘แอนิเมชั่นญี่ปุ่น’  แม้ช่วงแรกจำนวนแอนิเมชั่นจะมีน้อยมาก แต่ตอนนี้ Netflix ซื้อลิขสิทธิ์เข้ามาเพิ่ม รวมถึงการออกทุนสร้างเป็น Original Netflix เองด้วย จนตอนนี้จำนวนแอนิเมชั่นก็มีมากจนตามดูไม่ทันแล้ว

ในจำนวนแอนิเมชั่นมากมายนี้ เรื่องไหนสนุกคุ้มค่าที่จะเสียเวลาดูบ้าง วันนี้เราจะมาแนะนำทุกคนเอง กับ 5 แอนิเมชั่นญี่ปุ่นโคตรสนุก หาดูได้ง่าย ๆ บน Netflix

Baki
ปัจจุบัน 1 ซีซั่น 13 ตอน

Netflix

เชื่อว่าผู้ชายทุกคนที่เกิดในยุค 80-90 น่าจะรู้จักมังงะบ้าพลังในตำนานอย่าง ‘บากิ’ เป็นอย่างดี เพราะนี่คือมังงะสายต่อสู้เพียว ๆ ยุคบุกเบิก ผลงานของอาจารย์  เคสุเกะ อิตางากิ ตีพิมพ์ครั้งแรกในปี 1991 และด้วยความมันส์แบบดิบ ๆ ของมัน บากิได้รับความนิยมอย่างถล่มทลาย จนทำให้มังงะเรื่องนี้มีภาคต่อรวมถึงภาค Spin Off มากมายนับร้อยเล่ม

และด้วยความนิยมของมัน ทันทีที่ Netflix ประกาศว่าจะทำแอนิเมชั่นเรื่องนี้ แฟน ๆ ทั่วโลกก็ Hype กันเต็มที่ เพราะถึงแม้ในอดีต บากิจะเคยถูกทำเป็นแอนิเมชั่นมาแล้วแต่มันก็เลวร้ายเสียจนไม่อยากจดจำ

แต่ครั้งนี้ความผิดหวังไม่ซ้ำรอย Netflix สร้างสรรค์บากิฉบับภาพเคลื่อนไหวออกมาได้อย่างยอดเยี่ยม ถึงงานภาพอาจจะยังไม่เข้าขั้นไร้ที่ติ แต่โดยรวมก็ถือเป็นแอนิเมชั่นที่ควรค่าแก่การดูโดยเฉพาะแฟนบากิที่ไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวง

สามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับบากิเวอร์ชั่น Netflix ได้ตามลิงก์นี้ unlockmen.com/baki-netflix/

One Punch Man
ปัจจุบัน 1 ซีซั่น 12 ตอน

Netflix

จุดเริ่มต้นมาจากมังงะลายเส้นเด็กประถมของอาจารย์ One ที่วาดเล่น ๆ ลงในอินเตอร์เน็ตเป็นงานอดิเรกยามว่างจากงานประจำที่เขาทำอยู่ แต่เนื้อเรื่องที่สนุกน่าติดตาม ทำให้ One Punch Man กลายเป็นมังงะออนไลน์ยอดนิยมภายในเวลาไม่นาน

ผลงานเรื่องนี้ก็ดันไปเตะตาอาจารย์ ยูสึเกะ มูราตะ นักวาดมังงะมืออาชีพ เจ้าของผลงาน Eyeshield 21 จึงติดต่ออาจารย์ One เพื่อขอร่วมสร้างมังงะเรื่องนี้อย่างจริงจัง เมื่อสุดยอดเนื้อเรื่องมาอยู่ในมือของปรมาจารย์นักวาดจึงออกมาเป็นมังงะเรื่องเยี่ยมที่ทุกคนต้องจับตามอง

แน่นอนว่า One Punch Man ได้รับความนิยมถล่มทลาย กลายเป็นมังงะแถวหน้าได้อย่างรวดเร็ว ดังนั้นสิ่งที่ตามมาทันทีคือสิทธิ์การเป็นแอนิเมชั่น ซึ่งนั่นยิ่งทำให้ไม่มีอะไรจะหยุด One Punch Man ได้อีกต่อไป เพราะแอนิเมชั่นที่ออกมานั้นคุณภาพเข้าขั้นยอดเยี่ยม ไม่ผิดเพี้ยนจากต้นฉบับแม้แต่น้อย เห็นดังนั้น Netflix ก็ไม่รอช้า ซื้อลิขสิทธิ์มาไว้ใต้ชายคาทันที

One Punch Man คือเรื่องราวของ ‘ไซตามะ’ อดีตพนักงานบริษัททั่วไปที่หมั่นฝึกวิชาการต่อสู้อยู่เป็นประจำ จนกระทั่งวันหนึ่งเขาก็เก่งกาจขึ้น (พร้อมเส้นผมที่หลุดร่วง) จนไม่มีใครทัดทานได้ ไม่ว่าคู่ต่อสู้จะร้ายกาจขนาดไหนเขาก็จัดการได้ภายในหมัดเดียว เขาจึงเริ่มเข้าสู่วงการฮีโร่ปราบปรามเหล่าร้าย

ถ้าอยากรู้ว่า One Punch Man มันส์ขนาดไหน รีบเปิด Netflix โดยด่วน!

Haikyuu!
1 ซีซั่น 25 ตอน

Rave It Up

Haikyuu! คือการ์ตูนกีฬาเลือดใหม่ที่พุ่งทะยานขึ้นมาสู่แถวหน้าได้อย่างไม่น่าเชื่อ จนสามารถพูดได้เต็มปากว่า Haikyuu! คู่ตบฟ้าประทาน คือเสาหลักของการ์ตูนกีฬายุคใหม่อย่างแท้จริง

สารภาพตามตรงว่าในตอนแรกเราค่อนข้างอคติกับการ์ตูนเรื่องนี้พอสมควร เนื่องจาก Haikyuu! นำเสนอเรื่องราวเกี่ยวกับกีฬาวอลเล่ย์บอลที่ค่อนข้างไกลตัวเราพอสมควร แต่เมื่อได้ลองเปิดใจดู ถึงกับต้องร้องว่า ‘เหี้_! แม่-งโคตรสนุกเลยว่ะ’ ต้องชื่นชมอาจารย์ ฮาราอิชิ ฟูรุดาเตะ ที่สร้างสรรค์เรื่องราวออกมาได้อย่างยอดเยี่ยม

Haikyuu!  เล่าเรื่องราวของ ฮินาตะ โชโย เด็กหนุ่มผู้เริ่มต้นเล่นวอลเลย์บอลหลังจากที่ได้เห็น ‘สมอลล์ไจแอนท์’ ในสมัยที่เขายังเรียนในระดับประถมศึกษา หลังจากนั้นฮินาตะได้ทุ่มเทให้การเล่นวอลเลย์บอล จนเขาสามารถพาทีมโรงเรียน ยูคิงาโอกะ เข้าร่วมการแข่งขันวอลเลย์บอลเป็นครั้งแรก

แต่ทีมโรงเรียนยูคิงาโอกะของฮินาตะนั้นต้องพบกับความพ่ายแพ้อย่างย่อยยับให้กับทีมโรงเรียน คิตางาวะไดอิจิ ที่มีผู้เล่นอย่าง คาเงยามะ โทบิโอะ นักวอลเลย์บอลอัจฉริยะ ฉายา ‘ราชาแห่งสนาม’ อยู่ในทีม แม้การแข่งขันจะสิ้นสุดลง แต่สำหรับฮินาตะนั้นเขากลับมีความมุ่งมั่นและตั้งใจว่าสักวันหนึ่งเขาจะต้องเอาชนะคาเงยามะให้จงได้

เอาเป็นว่าใครอยากเสพการ์ตูนกีฬาที่แปลกใหม่ แต่ยังคงไว้ซึ่งความสนุก เรียนเชิญที่ Netflix ได้เลย

Terror in Resonance
1 ซีซั่น 11 ตอน

Netflix

Terror in Resonance หรือในชื่อไทย ความหวาดกลัวในโตเกียว ถือว่าค่อนข้างแตกต่างจากเรื่องอื่น ๆ ในลิสต์นี้ เนื่องจากแอนิเมชั่นแนวดราม่าอาชญากรรมเรื่องนี้ไม่ได้ดัดแปลงมาจากมังงะชื่อดัง แต่ในเรื่องความสนุกไม่น้อยหน้าใครเลย และต่อให้คุณจะไม่ใช่โอตาคุหรือคอแอนิเมชั่นตัวยงก็ไม่ใช่ปัญหา เพราะ Terror in Resonance นั้นไม่ได้ต่างอะไรจากซีรีส์อาชญากรรมน้ำดีเนื้อหาเข้มข้นสักเรื่องเลย เพียงแต่มันถูกนำเสนอออกมาในรูปแบบ 2 มิติเท่านั้นเอง

Terror in Resonance เล่าเรื่องของเด็กหนุ่มวัยมัธยมปลาย 2 คนที่ใช้โค้ดเนมว่า ‘ไนน์’ และ ‘ทเวล์ฟ’ พวกเขาได้วางแผนก่อวินาศกรรมครั้งใหญ่ขึ้นในกรุงโตเกียวด้วยเหตุผลบางประการ ซึ่งแน่นอนว่าเมื่อมีฝ่ายอาชญากรก็ต้องมีฝ่ายไล่ล่า ซึ่งความสนุกของมันอยู่ตรงนี้แหละ ต่างฝ่ายต่างใช้ไหวพริบหักเหลี่ยมเฉือนคมกันไปมา รู้ตัวอีกทีก็ดูจบไปหลายตอนแล้ว

ถึงจะไม่ใช่แอนิเมชั่นชื่อดัง แต่ Terror in Resonance คือแอนิเมชั่นที่ทุกคนไม่ควรพลาด

My Hero Academia
3 ซีซั่น 63 ตอน

Netflix

ถ้าจะพูดถึงมังงะสไตล์ Shonen Jump My Hero Academia คือตัวอย่างที่เห็นได้ชัดที่สุดในปัจจุบัน เพราะมันคือการ์ตูนที่ว่าด้วยพลังมิตรภาพ ฝ่ายธรรมะต่อกรกับฝ่ายอธรรม ความดีต้องชนะสิ่งชั่วร้าย เมื่อเป็นเช่นนี้จึงไม่แปลกใจเลยที่ My Hero Academia จะกลายเป็นมังงะยอดนิยมหลังจากตีพิมพ์ลงในนิตยสาร Weekly Shonen Jump ได้เพียงไม่กี่ตอน

เรียกได้ว่า My Hero Academia ตีคู่มากับ One Punch Man เลยก็ว่าได้ ในฉบับมังงะก็ได้รับความนิยมถล่มทลายทั้งคู่ เมื่อมาเป็นแอนิเมชั่นภาพเคลื่อนไหว ก็ไม่มีใครยอมใคร ระเบิดความมันส์จนคนคลั่งทั่วบ้านทั่วเมือง และ Netflix ก็ตัดสินใจหิ้วแอนิเมชั่นซูเปอร์ฮีโร่เรื่องนี้มาร่วมชายคาด้วยอีกราย

My Hero Academia เล่าเรื่องราวของโลกในยุคที่มีการแบ่งผู้คนออกเป็น 2 ประเภทคือผู้มีพลังพิเศษกับผู้ไม่มีพลังพิเศษ ซึ่งตัวเอกของเรา ‘มิโดริยะ อิซึคุ’ เป็นเด็กหนุ่มจืดชืดที่ไม่มีพลังพิเศษใด ๆ แต่ความใฝ่ฝันของเขาคือการเป็นฮีโร่ซึ่งเป็นอาชีพที่จำเป็นต้องมีพลังพิเศษ แต่แล้ววันหนึ่งเหมือนสวรรค์เข้าข้าง มิโดริยะได้รับถ่ายทอดพลังพิเศษจากฮีโร่ที่แข็งแกร่งที่สุดในประวัติศาสตร์อย่าง ‘ออลไมท์’ เมื่อได้รับพลังมาเขาก็ไม่รอช้าที่จะทำตามความฝันด้วยการสอบเข้าเรียนในโรงเรียนฝึกสอนฮีโร่ทันที ซึ่งที่นี่เองเขาจะต้องพบเจอการผจญภัยมากมายอย่างคาดไม่ถึง

 

เริ่มต้นที่ 5 เรื่องนี้ก่อน รับรองว่าคุณจะติดใจจนอยากหาแอนิเมชั่นเรื่องอื่นมาเสพต่อแน่นอน แล้ววันหลัง Otaku 101 ของเราจะมาแนะนำแอนิเมชั่นสนุก ๆ แบบนี้อีก รอติดตามได้เลย

กายของเธอ เงินของผม: USHA BANK ธนาคารเพื่อโสเภณีภารตะ เริ่มที่ 300 รูปี โตสู่ 300 ล้านรูปีต่อปี

$
0
0

แลกร่างเพรียวบางกับเงินตรา ระบำโยกย้ายทุกส่วนสัดเพื่อสร้างความสุขบนเรือนกายชาย โลกแห่งโลกีย์และความหอมหวานเหล่านี้คงมีเพื่อนชายเราหลายคนเคยสัมผัสในฐานะผู้ซื้อ อาชีพค้าร่าง ค้าบริการ ช็อกการี หรือโสเภณี สุดแต่จะเรียกเป็นอีกหนึ่งอาชีพที่เก่าแก่ เป็นสากล และมีไว้เพื่อบริการผู้ชายเราทั่วทุกมุมโลก แต่น้อยแห่งนักที่จะมองอาชีพนี้เป็นอาชีพดีที่มีเกียรติ จึงเป็นเหตุให้มีการตั้งทั้งศาลเตี้ยและศาลสูงออกมากำหนดสิทธิและตำแหน่งที่พวกเธอควรยืนในสังคม

เชื่อว่าสำหรับผู้ชาย อาชีพดอกไม้สาธารณะนี้คืออาชีพปกติอาชีพหนึ่ง ไม่ได้สูงหรือต่ำไปกว่าอาชีพไหนเป็นพิเศษและเป็นอาชีพสุจริต เหงื่อผุดพรายกับการแสดงบทบาทสาวนักรักมืออาชีพบนเตียง แม้ใช้เวลาชั่วครู่ก็ได้เงินก้อน แต่การเล่นสมบทบาทเหล่านั้นก็สมควรที่เราจะจ่าย

หลายคนเข้าใจว่าเงินพวกนี้ที่หาง่ายเธอคงได้ใช้กันคล่อง นั่นก็ใช่สำหรับที่ที่เสรีหน่อย แต่คงไม่ใช่กับบางมุมของโลกอย่างอินเดีย แดนแห่งทวยเทพที่ไม่ได้อ้าแขนรับอาชีพโสเภณี และลิดรอนสิทธิแม้กระทั่งเงินที่หามา จึงเป็นที่มาของธุรกิจเฉพาะที่สร้างขึ้นมาเพื่อแก้ปัญหานี้อย่าง “ธนาคารเพื่อโสเภณี” ธนาคารที่ไม่รับการเปิดบัญชีของบุคคลอาชีพอื่นยกเว้นโสเภณีเท่านั้น

โสเภณี อาชีพต้องคำสาปของสังคมอินเดีย

ก่อนจะเล่าไปถึงธุรกิจกันจริงจัง ต้องเกริ่นก่อนว่าขายบริการที่อื่นจะสบายอย่างไรเราไม่รู้ แต่ที่นี่อินเดีย! ประเทศที่มีจำนวนหญิงค้าบริการทั้งประเทศรวมกว่า 20 ล้านคน แต่ยังคงมองว่าการค้าบริการเป็นธุรกิจมืด ในอดีตแม้เปิดซ่องได้แต่ไม่ได้เสรีขนาดรับลูกค้าลำพังโดยไม่ผ่านแม่เล้า ดังนั้น ไม่ว่าคุณจะค้าบริการที่นี่แล้วรับแขกไปกี่สิบกี่ร้อยคน ก็ใช่ว่าคุณจะได้เก็บเงินล่ำซำแบบเต็มเม็ดเต็มหน่วยไว้ปรนเปรอตนเองให้เต็มปอดนัก เพราะคุณเข้าไม่ถึงสิทธิแหล่งทุนและแหล่งออมพื้นฐานทางการเงินอย่างธนาคาร…มีเงินก็ไม่มีที่เก็บเนื่องจากธนาคารเขาไม่ยอมรับฝากเมื่อคุณทำอาชีพนี้ และถ้าคิดว่าจะมีสิทธิเก็บไว้กับตัวง่าย ๆ ควักใช้จ่ายสบายก็ต้องบอกเลยว่าเป็นแค่ฝันเลือนลาง เงินทุกบาทที่สู้หามันเข้าไปอยู่กับ “มาดาม” หมด ซึ่งมาดามก็ไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นแม่เล้าเจ้าของซ่องนี่แหละ

สู่ธุรกิจธนาคารสานแพสชั่นของหญิงงามเมือง

ความงามนั้นโรยรา แน่นอนว่าสาวงามเหล่านี้ก็รู้ดี และพยายามดิ้นรนหาทางออกจากวงจรการเป็นโสเภณี แต่จนแล้วจนรอดเรื่อง “อิสรภาพทางเงิน” ที่พวกเธอเข้าไม่ถึงก็ทำให้ต้องตกอยู่ในสภาพจำยอมออกจากตรงนี้ไปไม่ได้ จาก 2 สาเหตุหลักน้ี

  1. อาชีพโสเภณีเป็นอาชีพที่สร้างเงินหมุนเวียนในระบบมหาศาล แต่เจ้าของเม็ดเงินกลับไม่ใช่เจ้าของร่างกาย ถ้าอยากใช้เงินก็ต้องไปกู้เงินกู้นอกระบบดอกเบี้ยโหดแบบไม่มีทางเลือก สุดท้ายก็ต้องรับกรรมจ่ายหนี้ขายร่างกายต่อ
  2. สิทธิทางธุรกรรมเป็นของต้องห้ามสำหรับหญิงสาวเหล่านี้ แม้การประกอบอาชีพจะเป็นไปอย่างเปิดเผย และ Kolkata เมืองใหญ่อันดับ 4 ของอินเดียได้รับขนานนามว่าเป็นแหล่งซื้อบริการที่ใหญ่ที่สุดของเอเชีย แต่สังคมจะหาทางลงโทษทั้งตัวเธอ รวมทั้งทายาทของพวกเธอที่ไม่ได้ประกอบอาชีพนี้ด้วย เช่น หญิงสาวตำแหน่งผู้ช่วยในธนาคารเพื่อโสเภณี เผยว่าเดิมเธอเคยทำงานบริษัทปกติ แต่เมื่อแม่ของเธอที่เป็นโสเภณีเสียชีวิต เพื่อนร่วมงานและเจ้านายรับรู้ พวกเขาปฏิบัติตัวกับเธอเปลี่ยนไปเธอจึงออกมาทำงานนี้ เพราะแม้จะไม่สวยหรูแต่ก็สบายใจกว่า และได้ช่วยเหลือทุกคนด้วย
23 ปีกับการเป็นธนาคารที่เติบโตอย่างมั่นคงไร้คู่แข่ง

ด้วยเหตุผลทั้ง 2 ประการด้านบนที่หยั่งรากลึกมานาน ทำให้กลุ่มสาวที่เป็นโสเภณีลุกขึ้นมาดำเนินการก่อตั้งธนาคารของตัวเองเพื่อกลบ painpoint นี้ จึงเกิดเป็น Usha Bank ธนาคารของโสเภณี โดยโสเภณีเพื่อโสเภณีขึ้น

Credit Photo: www.newsgram.com

ภายในธนาคารไม่ต้องสวยหรู แต่เนืองแน่นด้วยความสบายใจและความมั่นคง ทั้งลูกค้าและคนทำ // Credit Photo: newsgram.com

แม้ประชากรที่เป็นสาวค้าบริการจะมีจำนวนนับล้านคน แต่การก่อตัวของธนาคารก็ไม่ง่าย เพราะต้องอาศัยทั้งความกล้าแหละแหล่งทุน พวกเธอต้องต่อสู้กับการขัดผลประโยชน์ ถึงขั้นว่ามีการข่มขู่จะทำร้ายไม่ให้เปิด และควักเนื้อเงินทุนตั้งต้นขณะนั้นซึ่งมีจำนวนเพียง 300 รูปี หรือ 15,000 บาทในการดำเนินกิจการ ทว่าเมื่อพวกเธอฝ่าฟันมาและสามารถเปิดธนาคารอย่างถูกกฎหมายได้สำเร็จ Usha Bank จึงเป็นทั้งความหวังและคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นของพวกเธอ

เดินทางมาเบิกพร้อมสมุดบัญชี // Credit Photo: Partha Paul/The Indian Express

หลายคนใช้เงินก้อนนี้ส่งเสียบุตรหลาน ญาติ ดูแลคนที่รัก และเก็บออมเงินเพื่ออนาคตในวันที่โรยรา ที่สำคัญที่นี่ยังมีจุดเด่นที่ทำให้พวกเราที่เป็นคนธรรมดาอยากไปทำธุรกรรมด้วย จากสิทธิประโยชน์เหล่านี้

  1. พนักงานธนาคารจะไปรับเงินถึงสถานที่ของสาวค้าบริการถึงที่ คุณไม่ต้องเดินทางไปที่ธนาคารจนกว่าจะดำเนินการถอนเงิน
  2. ดอกเบี้ยเงินฝากของที่ธนาคารแห่งนี้ให้อัตราสูงกว่าธนาคารพาณิชย์แห่งอื่น
  3. ดอกเบี้ยเงินกู้ของธนาคารแห่งนี้ต่ำกว่าธนาคารพาณิชย์ เพราะหนี้เสียที่ไม่ก่อรายได้น้อยมาก

ถ้าวิเคราะห์ในแง่ธุรกิจ เรามองว่ายังไงธนาคารแห่งนี้คงไม่มีวันล้มลงง่าย ๆ เพราะเป็นธนาคารที่มีเงื่อนไขการเติบโตแตกต่างที่อื่น ต่อให้ target ลูกค้าของเขาจะเป็นลูกค้าเฉพาะกลุ่ม ก็ไม่สั่นคลอนเรื่องรายได้อย่างแน่นอน เพราะแทบไม่มีใครแย่งมาเป็นคู่แข่ง ที่สำคัญคือหนี้เสียน้อยกว่าที่อื่นอย่างเห็นได้ชัดเพราะว่าพวกเธอซื่อสัตย์ จ่ายหนี้ครบ

สำหรับรายได้เหนาะ ๆ ที่คุณอาจจะสงสัยว่าแค่ไหนถึงคิดว่าจะไม่ล้ม อ่ะย้ำให้ฟังอีกนิด เริ่มจาก 300 รูปี หรือ 15,000 บาท วันนี้มีมูลค่าสูงถึง 300 ล้านรูปี หรือ 150 ล้านบาทต่อปีแล้ว!

 

SOURCE: 1 / 2 / 3

 

PORSCHE 911 CARRERA CABRIOLET เจ้าชายกบในโหมดเปิดประทุน มาพร้อมขุมพลัง 443 แรงม้า

$
0
0

หลังจากเปิดตัว 911 Carrera S และ Carrera 4S รหัสตัวถัง 992 ในโมเดล Coupe ออกมาให้ยลโฉมกันแล้วก่อนหน้านี้ ล่าสุดทาง Porsche ก็ได้เสนอทางเลือกในการเสียเงินให้กับแฟน ๆ ของค่ายด้วยโมเดลขาประจำอย่าง Cabriolet หรือในลุคเปิดประทุนออกมา ซึ่งจะมีฟังก์ชันอะไรแตกต่าง ๆ จากรุ่นก่อนหน้าบางไปชมกันเลย

Porsche

แม้จะเปิดตัวพร้อมกันในงาน Los Angeles Auto Show แต่ดูเหมือนทาง PORSCHE ตั้งใจจะปล่อย 911 Carrera S และ 911 Carrera 4S ซึ่งเป็นระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ ในโมเดล Cabriolet ออกมาตามหลังรุ่น Coupe โดยในสายการผลิตล่าสุด ทางค่ายตั้งใจออกแบบให้มีลักษณะคล้ายกับโมเดลดั้งเดิมในขนาดที่ใหญ่ขึ้น ซึ่งอาจทำให้แฟน ๆ ที่ต้องการเห็นความเปลี่ยนแปลงของมันต้องผิดหวัง แต่สำหรับผู้ที่ชื่นชอบเสน่ห์ที่แบบเดิม ๆ จะต้องถูกใจอย่างแน่นอน

ด้านขุมกำลังของ 911 CCarrera S Cabriolet และ 911 Carrera 4S Cabriolet ไม่แต่งต่างจากตัว Coupe คือมาพร้อมเครื่องยนต์ เครื่องยนต์ 6 สูบ Twin-turbochanged ขนาด 3.0 ลิตร ที่ให้กำลังมากถึง 443 แรงม้า พร้อมสั่งการด้วยชุดเกียร์ PDK 8-Speed ซึ่งให้อัตราเร่ง 0-100 ใน 3.7 วินาทีสูงสุดที่ 305 กิโลเมตร/ชั่วโมงในรุ่น Carrera S และอัตราเร่ง 0-100 ใน 3.6 วินาที สูงสุดที่ 302 กิโลเมตร/ชั่วโมง ในรุ่น Carrera 4S แต่หาเพิ่มการทำงานร่วมกับฟังก์ชันของ Porsche Sport Chrono Package จะสามารถหล่นเวลาลงอีก 0.2 วินาทีในส่วนของอัตราการเร่ง

Porsche

Cabriolet รุ่นล่าสุดทั้ง 2 คันมาพร้อมหลังคาอ่อน (Soft-top) ซึ่งใช้เวลาเปิดหรือปิดภายใน 12 วินาที ซึ่งจะทำงานได้ในขณะที่หยุดนิ่งหรือเคลื่อนที่ในความเร็วไม่เกิน 50 กิโลเมตร/ชั่วโมง ด้วยระบบไฮดรอลิกซึ่งพัฒนาใหม่ล่าสุด พร้อมระบบกันลมควบคุมไฟฟ้า ที่ช่วยเพิ่มสุนทรียะระหว่างการขับขี่ในขณะในแบบเปิดประทุน

ทาง Porsche ได้เปิดเผยราคาของโมเดล Cabriolet ทั้งสองคันออกมาแล้วคือในรุ่น Carrera S จะมีราคาอยู่ที่ 127,350 ดอลล่าร์สหรัฐหรือประมาณ 4,100,000 บาท ส่วนในรุ่น Carrera 4S จะมาพร้อมราคา 134,650 ดอลล่าร์สหรัฐหรือประมาณ 4,300,000 บาท โดยคาดว่าทั้ง 2 จะถูกปล่อยออกมาต่อจากรุ่น Coupe ในช่วงกลางปีนี้อย่างแน่นอน

Porsche

SOURCE 1  SOURCE 2

NIKE PG3 x NASA คอลเลกชั่นที่ได้แรงบันดาลจากชุดนักบินอวกาศ ACES SUIT

$
0
0

ประกาศวันเปิดตัวออกมาอย่างเป็นทางการสักทีสำหรับรองเท้า Signature รุ่นล่าสุดของ Paul George ฟอร์เวิร์ดชื่อดังแห่งวงการยัดห่วง NBA โดยคราวนี้ไม่ได้เลือกใช้แรงบันดาลใจจากเครื่อง Playstation เหมือนกับสองรุ่นที่ผ่านมา แต่เลือกใช้ Nasa Space Suit มาเป็นต้นแบบแทน

nike

Nike PG3 “NASA” มาพร้อมกับดีไซน์ใหม่ซึ่งถูกพัฒนาต่อจาก PG 2.5 ซึ่งทางชายผู้รับหน้าการออกแบบครั้งนี้อย่าง Tony Hardman ก็ให้เหตุผลว่าต้องการถอดส่วนไม่จำเป็นรวมทั้งได้เปลี่ยนวัสดุที่ใช้ให้มีน้ำหนักเบามากยิ่งขึ้น ผลที่ออกมาคือการหายไปของสายคาด พร้อมส่วน Upper ที่ผลิตจากผ้าตาข่ายรวมถึง Midsole ซึ่งมีน้ำหนักเบามากขึ้น เพื่อรองรับการใช้งานจริงในสนามแข่ง

แต่เรื่องดีไซน์และความสวยแปลกตาของ Nike PG3 “NASA” ก็ทำออกมาได้ดีเช่นกันเริ่มจากสีส้มเป็นสีหลักที่เลือกใช้โดยรับแรงบันดาลใจมาจากชุดนักบินอวกาศสีส้มที่เรียกว่า Advanced Crew Escape Suit (ACES) ซึ่งหลายคนน่าจะคุ้นเคยกันดี รวมไปถึงสี Matallic Silver เป็นตัวแทนของชิ้นส่วนยานอวกาศ และก็ไม่ลืมสีแดงกับน้ำเงินซึ่งเป็นสี NASA มาตกแต่งไว้ที่รองเท้าทั้งสองข้างอีกด้วย

nike

นอกจากนี้ยังมีรายละเอียดต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นธงชาติสหรัฐอเมริกาในส่วนลิ้นรองเท้า หรือป้ายแท็กสีแดงพร้อมข้อความว่า “REMOVE BEFORE FLIGHT” รวมถึงป้ายของ NASA และโครงการ Apollo 14 ถูกติดเอาไว้บริเวณ Heeltap ของรองเท้าแต่ละข้าง แต่ที่ดูจะมีความหมายมากที่สุดคงจะเป็นตัวเลข “93552” ซึ่งเป็นรหัสไปรษณีย์ของเมืองที่ Paul George อาศัยอยู่ ซึ่งเป็นการแสดงออกว่าเด็กชายจากย่านเล็ก ๆ ย่านหนึ่งจาก Palmdale, California สามารถทะยานได้ไกลและประสบความสำเร็จมากแค่ไหน

แต่นอกจากรองเท้าอย่าง Nike PG3 “NASA” ภายในคอลเลกชั่นยังประกอบไปด้วย Track Suit, Hat, Crewneck และ Backpack  โดยทั้งหมดดีไซน์ออกมาสอดคล้องกับแรงบันดาลของตัวรองเท้าที่ถูกปล่อยออกมา

NIKE PG3 x NASA Limited-edition คอลเลกชั่นนี้เตรียมวางขายให้คนที่สนใจได้มีโอกาสเป็นเจ้าของแล้วในวันที่ 26 มกราคมนี้ แต่ยังไม่มีการเปิดเผยในเรื่องของราคาและช่องทางการจำหน่ายออกมา  เราคงต้องติดตามกันให้ดีเพราะหนุ่ม ๆ สายอวกาศคงไม่อยากพลาดไอเทมชิ้นโปรดชิ้นนี้ไป

Nike

SOURCE 1  SOURCE 2


WEEKLY PLAYLIST: เคลิบเคลิ้มไปกับ 20 เพลง BEDROOM POP ขับกล่อมให้คืนนี้ SLEEP TIGHT

$
0
0

การฟังเพลงมันเป็นกิจกรรมที่ทำได้ทุกที่ทุกเวลา ไม่เว้นแม้แต่ตอนก่อนนอน จริง ๆ ช่วงก่อนนอนก็เป็นเวลายอดฮิตของคนรักการฟังเพลงเหมือนกัน ถ้าหากเหนื่อยล้ามาทั้งวัน ได้เพลงเคลิ้ม ๆ มาบำบัดอารมณ์ให้รู้สึกพร้อมเข้าภวังค์ก็คงจะดีไม่น้อย โดยเฉพาะคนที่นอนไม่หลับ การฟังเพลงก็เป็นอีกวิธีที่จะช่วยให้เข้าสู่ห้วงนิทราได้ง่ายขึ้น ไม่ว่าคุณจะเป็นคนหลับยาก หลับง่าย หรือคอเพลงหรือไม่ก็ตาม ลองกล่อมตัวเองด้วย Bedroom Pop ที่จะมาขับกล่อมคืนนี้ให้ล่องลอยเข้าสู่ห้วงนิทรา PLAYLIST นี้กันได้ เผื่อจะติดใจการฟังเพลงก่อนนอนเหมือนกับเรา

สำหรับใครที่สะดวกฟังบน Spotify ตามไป Follow Playlist ของเราได้เหมือนเดิม

Still Woozy – Habit

Clairo – Heaven

Ralph Castelli – Thinking On My Own

Ralph Castelli – Shot Down

Omar Apollo – Erase

Mac DeMarco – Still Beating

Billy Lemos – 12:34 AM

CUCO x CLAIRO – DROWN

small talk – postcard boy

Gus Dapperton – I’m Just Snacking

Mellow Fellow – Dancing

Peach Pit – Hot Knifer

Frankie Cosmos – Outside With The Cuties

Triathalon – Courtside

Pizzagirl – Seabirds

Still Woozy – Cooks

HOMESHAKE – Midnight Snack

Men I Trust – Seven

Michael Seyer – I Feel Best When I’m Alone

Michael Seyer – Lucky Love

Your bed is ready to give you a hug, you should be ready to have a rest, and say goodbye to all the stress. Good night!

‘TECH TATTOOS’นวัตกรรมใหม่แห่งรอยสัก ที่จะทำให้คุณสามารถเปลี่ยนสี หรือแม้แต่ลบทิ้งได้อย่างง่ายดาย

$
0
0

‘รอยสัก’ คือหนึ่งในวัฒนธรรมทางสังคมที่ผู้คนมีความเห็นขัดแย้งกันที่สุด บ้างก็ว่ามันสวยงาม บ้างก็ว่ามันมีเสน่ห์ บ้างก็ว่ามันดูเซ็กซี่ แต่บ้างก็ว่ามันดูสกปรกน่ารังเกียจ อย่างไรก็ตามต้องยอมรับว่ารอยสักคือวัฒนธรรมเก่าแก่ของโลก ตามหลักฐานทางประวัติศาสตร์ระบุว่ารอยสักเริ่มต้นครั้งแรกเมื่อกว่า 12,000 ปีก่อน

แม้จะเดินทางผ่านกาลเวลามาอย่างยาวนาน แต่สิ่งหนึ่งที่ไม่เคยเปลี่ยนคือ เมื่อรอยสักฝังลงไปในผิวหนัง มันจะติดตัวไปชั่วชีวิต ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงแก้ไขได้

แต่อย่างที่เรารู้กันดี รอยสักที่อยู่บนร่างกายคือตัวแทนของอารมณ์ ความรู้สึก หรือเจตนารมณ์ในช่วงเวลาหนึ่งของชีวิต ซึ่งสิ่งพวกนี้ไม่จีรังยั่งยืน สามารถเปลี่ยนแปลงได้เสมอตามประสบการณ์ชีวิตที่ได้รับ แต่รอยสักที่ลงหมึกไปแล้วนั้นไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ จะลบทิ้งก็ทั้งเจ็บตัวทั้งเสียเงินมหาศาล หลายคนจึงเลือกที่จะทนอยู่กับรอยสักที่ไม่รู้สึกชอบอีกแล้วไปตลอดชีวิต

แต่ตอนนี้ทุกสิ่งกำลังเปลี่ยนไป…

Carson Bruns ผู้อำนวยการห้องทดลองวัสดุ CU’s Emergent Nanomaterials Lab มีความตั้งใจแรงกล้าที่จะปฎิวัติประวัติศาสตร์แห่งรอยสัก 12,000 ปี เขาริเริ่มโปรเจ็กต์ที่กล้าหาญ เนื่องจากสิ่งที่ต้องเจอคือการโจมตีจากผู้รักรอยสักสายอนุรักษ์นิยมที่บอกว่าสิ่งที่เขากำลังจะทำนั้นทำลายวัฒนธรรมดั้งเดิมของรอยสัก

“ผมหลงใหลในรอยสัก มันคือแขนงหนึ่งของศิลปะที่ผมชื่นชอบ มันสะท้อนอัตลักษณ์ของแต่ละบุคคลออกมาได้อย่างชัดเจน และคุณไม่สามารถเปลี่ยนแปลงมันได้หลังจากตัดสินใจไปแล้ว” Bruns กล่าว

“แต่ผมตระหนักได้ว่ากลับไม่มีใครสนใจศึกษาเรื่องรอยสักในแง่มุมวิชาการอย่างจริงจังเลย”

ถึงแม้ Carson Bruns จะเป็นผู้ชายสายวิทยาศาสตร์ เขาเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่เชี่ยวชาญเรื่องการใช้สสารและกฎควอนตัม แต่เขากลับสักเต็มตัว ไว้ผมยาว นั่นน่าจะเป็นสิ่งบ่งบอกได้ดีว่าผู้ชายคนนี้หลงใหลในรอยสักขนาดไหน

Carson Bruns

“หมึกสักเป็นเพียงอนุภาคเม็ดสีในของเหลว และสิ่งที่มันทำคือดูดซับความถี่ของแสงและเปลี่ยนสีผิวของคุณ” Bruns อธิบาย

“หมึกของเราก็เป็นเช่นนั้น แต่แทนที่จะใช้อนุภาคเม็ดสีรูปแบบเดิม เราเปลี่ยนเป็นใช้อนุภาคเม็ดสีจากเปลือกพลาสติกกลวงเหล่านี้”

อนุภาคเหล่านั้นสามารถเติมเต็มด้วยของเหลวชนิดใดก็ได้ที่ Bruns ต้องการ และเขามีความคิดที่น่าสนใจสำหรับสิ่งที่เขาจะใส่เข้าไป

“ผมเริ่มคิดว่าถ้าเราสามารถใช้นาโนเทคโนโลยีเพื่ออัพเกรดอนุภาคหมึกสักได้บางทีเราอาจทำให้พวกมันทำสิ่งดี ๆ ได้” Bruns กล่าว

Bruns’s Lab

หากเขาสามารถทำให้อนุภาคหมึกเหล่านั้นไวต่อรังสี UV เขาก็สามารถสร้างรอยสักที่สามารถเปลี่ยนสีภายใต้แสงแดดได้ หรือแม้กระทั่งรอยสักที่ตอบสนองต่ออุณหภูมิก็สามารถเป็นไปได้เช่นกัน และอาจจะไปได้ไกลถึงขนาดสร้างหมึกสักที่ไวต่อน้ำตาลเพื่อบ่งบอกถึงปริมาณอินซูลินได้

ในเมื่อมันไปไกลถึงขนาดนั้น ประเด็นเรื่องรอยสักลบได้ก็กลายเป็นเรื่องเล็กไปในทันที เพราะสิ่งที่ Bruns กำลังสร้างคือการปฏิวัติประวัติศาสตร์แห่งรอยสักอย่างแท้จริง

“รอยสักเหล่านั้นจะคงอยู่ถาวร เว้นเสียแต่คุณต้องการจะลบหรือแก้ไขมัน” Bruns กล่าวทิ้งทาย

Colorado Public Radio

ด้วยการเดินทางอย่างไม่มีวันหยุดของเทคโนโลยี โลกแห่งการสักกำลังเปลี่ยนไปตลอดกาล

Carson Bruns จำชื่อนี้ไว้ให้ดี สำหรับบางคนเขาคือชายขบถแหกคอกผู้กำลังทำลายขนบธรรมเนียมแห่งการสัก แต่สำหรับบางคนเขาคือชายผู้กล้าหาญที่จะเปลี่ยนแปลง และไม่ว่าคุณจะคิดยังไงเกี่ยวกับเรื่องนี้ ทุกอย่างกำลังจะเปลี่ยนไป…

 

SOURCE1

ZERO TO HERO: ทุกความหลงใหลมีพลังขับเคลื่อน เรียนรู้จากนักสะสมที่มอบแรงบันดาลใจให้เรามากที่สุด

$
0
0

Passion หรือ แรงบันดาลใจ คำพูดที่ครั้งหนึ่งเคยถูกเอามาใช้เป็นตัวชี้วัดถึงความตั้งใจของคนเรา ซึ่งบางครั้งถูกใช้อย่างฟุ่มเฟือยจนหลายคนมองว่ามันก็เป็นแค่คำพูดเท่ ๆ ที่เอาไว้ใช้ตอบคำถามอย่างมีสไตล์ในกลุ่มคนที่ไม่เคยลงมือทำอะไรจริง ๆ จัง ๆ เท่านั้น

แต่สำหรับบางคนแล้วคำว่า Passion มีอยู่จริงแถมยังเป็นเหมือนก้อนพลังงานชั้นดีที่คอยกระตุ้นให้พวกเขาฟันฝ่าอุปสรรค รวมไปถึงคำดูถูกที่เคยได้รับมา เช่นเดียวกับเหล่า Collector และ Creator ประจำปี 2018 ทั้ง 5 คนที่ UNLOCKMEN มีโอกาสได้พูดคุยรวมถึงรับฟังเรื่องราวของชีวิตที่ใช้ความหลงใหลเป็นแรงบันดาลใจในการขับเคลื่อน

สิ่งที่ทั้ง 5 คนมีเหมือนกันก็คือ พวกเขารู้ว่าตัวเองต้องการที่จะใช้ชีวิตอยู่กับอะไร จากนั้นจึงพลิกโจทย์ดังกล่าวมาเป็นแรงผลักดันจนในที่สุดก็สร้างชีวิตในแบบที่ตัวเองต้องการได้สำเร็จ มาย้อนฟังแนวความคิดและการใช้ชีวิตอันสุดโต่งจากกลุ่มคนที่ประสบความสำเร็จบนเส้นทางที่เลือกด้วยตัวเอง หวังว่าจะเป็นพลังที่ส่งต่อให้ผู้ชายทุกคนกล้าออกไปเสี่ยงกับความฝันของตัวเองดูสักครั้ง ในปีต่อไปที่กำลังจะมาถึง

 

หมอโดม DOGTOR GARAGE
ความหลงใหลคือการได้คืนชีพรถคลาสสิกให้กลับมามีชีวิตอีกครั้ง

มองภายนอกอาจดูเหมือนกับผู้ชายที่ชื่นชอบในรถยนต์ทั่วไป แต่สำหรับ หมอโดม สุทธิพงษ์ ธีติปริวัติร์ แห่ง Dogtor Garage เป็นอะไรที่มากกว่านั้น เริ่มจากความชื่นชอบรถคลาสสิกมาตั้งแต่จำความได้ ด้วยเหตุผลว่ารถทุกคันมีความแตกต่างของตัวมันเอง แต่ละคันล้วนมีเอกลักษณ์และเรื่องราวที่สะท้อนวัฒนธรรมของยุคสมัยนั้น ๆ ได้เป็นอย่างดี

แต่แน่นอนว่าการใช้ชีวิตอยู่กับสิ่งที่หลงใหลในทุกวัน ๆ อาจมองดูไม่มีอนาคตในสายตาคนอื่น ซึ่งตัวเขาเองก็ยอมทำตามแนวทางของสังคม คือการเรียนและใช้ชีวิตแบบที่คนรอบข้างอยากให้เป็นในฐานะเป็นสัตวแพทย์ แต่ดูเหมือนคำที่เขาเคยพูดไว้ว่า “สักวันหนึ่งเวลาจะบอกเราเอง” เมื่อถึงวันที่ตัวเขาตื่นมาตั้งคำถามกับตัวเองว่า “อีก 20,000 วันที่เหลือของชีวิต มึงจะใช้ชีวิตแบบนี้ไปตลอดจริงหรอ ?” ซึ่งต่อมาได้พลิกชีวิตของหมอรักษาสัตว์สู่บทบาทหมอรักษารถคลาสสิกในที่สุด

จะมีสักกี่คนที่ยอมหันหลังให้กับสายอาชีพทางการแพทย์ที่มั่นคง สู่การเป็นช่างซ่อมรถเต็มตัว และเต็มใจจะเปลี่ยนยูนิฟอร์มจากชุดกาวน์และถุงมือ เป็นเสื้อช็อปและผิวหนังที่เปื้อนน้ำมันเครื่อง เพื่อใช้ชีวิตอยู่กับทำงานสร้างสรรค์ดัดแปลงและคืนชีพรถคลาสสิกจนกลายเป็นที่ยอมรับจากคนในวงการทั่วประเทศในฐานะ Dogtor Garage ต้นแบบความสำเร็จที่ชัดเจนที่สุดของการเดินออกจากลู่ทางที่คนอื่นเป็นคนขีดเส้น  สู่ชีวิตที่ตื่นขึ้นมาอยู่กับสิ่งที่ตัวเองรักทุก ๆ วัน

อ่านบทสนทนาฉบับเต็มได้ที่ : CONVERSATION WITH หมอโดม DOCTOR GARAGE 

 

เต้น สีหบุตร ชุมสาย ณ อยุธยา
ความหลงใหลคือ
รถยนต์ PORSCHE

คลั่งไคล้ คำพูดแทนความรู้สึกที่แสดงออกได้เป็นอย่างดีว่าคนเรามีความรู้สึกหลงใหลต่อสิ่ง ๆ หนึ่งได้มากแค่ไหน ซึ่งเป็นความรู้สึกเดียวกันกับที่คุณ เต้น-สีหบุตร ชุมสาย ณ อยุธยา มีต่อรถยนต์ Porsche มาตลอดเส้นทางชีวิต

ความชื่นชอบในพาหนะ 4 ล้อได้รับมาจากคุณพ่อผู้นิยมเล่นรถในรุ่นที่ไม่ค่อยเหมือนคนอื่น ซึ่งตัวเขาก็มีแนวทางที่ชัดเจนของตัวเองตั้งแต่วัยรุ่น ในขณะที่เพื่อนคนอื่นเลือกที่จะซื้อโปสเตอร์ของ Ferrari หรือ Lamborghini มาประดับผนังห้องเพื่อสร้างแรงบันดาลใจ แต่เขากับเลือกที่จะหยิบโปสเตอร์ของ Porsche กลับบ้านแทนเพราะดีไซน์อันแตกต่างของมัน

ก่อนเดินทางสู่ความรู้สึกหลังพวงมาลัยครั้งแรกจากรถของคนรู้จัก ที่สร้างความประทับใจฝังรากแน่นยิ่งกว่าการอยากได้แค่โปสเตอร์ และเริ่มความฝันที่จะเป็นเจ้าของด้วยตัวเองให้ได้ ซึ่งแน่นอนว่าเขาทำมันได้จริง ๆ กับ Porsche 5 คันสุดงามในคอลเลกชันไม่ว่าจะเป็นโมเดล 365, 911 Shot Wheelbase, 911 Turbo , 964  Turbo และ 996 Turbo พร้อมกับเนรมิตบ้านของตัวเองให้กลายเป็นโรงจอด Porsche ที่เป็นเหมือนความฝันของผู้ชายทุกคน

สำหรับหลายคนชีวิตที่มีได้ขนาดนี้คงถือว่าประสบความสำเร็จมาก ๆ แล้วแต่คนที่ยอมรับว่าเป็นสุขนิยมอย่างคุณเต้นที่ชอบทำในทุกสิ่งที่ตัวเองต้องการ ก็ยังมีเป้าหมายใหญ่ต่อไปของชีวิตคือการเดินตามรอยประวัติศาสตร์การแข่งขันรถยุโรป ซึ่งเป็นเป้าหมายที่เขาบอกว่าไม่มีลังเล ไม่มีข้อแม้ ไม่มีกลัว เพราะชีวิตคนเราต้องรีบทำทุกอย่างที่อยากทำให้หมด เพราะชีวิตมันสั้นจนบางทีเราเองไม่รู้ตัวว่าวันสุดท้ายจะมาถึงตอนไหน

อ่านบทสนทนาฉบับเต็มได้ที่ : THE COLLECTOR: เยือนอาณาจักร เต้น – สีหบุตร

 

เบียร์ พันธวิศ ลวเรืองโชค
ความหลงใหลของผมคือ
ไอเดียจากสิ่งรอบตัว

พ่อมดแห่งวงการอีเวนต์ผู้อยู่เบื้องหลังงานเจ๋ง ๆ ด้วยความคิดสร้างสรรค์ที่ไม่เคยหมดไปตลอดช่วงเวลา 13 ปี เบียร์ พันธิวิศ ลวเรืองโชค แห่งอาณาจักร Apostrophys รวมถึงอีก 4 บริษัทที่ล้วนขับเคลื่อนด้วยไอเดียสร้างสรรค์ซึ่งทั้งหมดเริ่มจากการเป็นคนชอบเรียนรู้และไม่เคยปล่อยเวลาอันมีค่าให้เสียไปโดยเปล่าประโยชน์

ในช่วงวัยรุ่นที่หลายคนเลือกจะใช้ชีวิตสุดเหวี่ยงไปกับความสนุก แต่ในเวลาเดียวกันคุณเบียร์เลือกจะใช้ช่วงเวลาดังกล่าวไปกับการทำงานรับจ้างเพื่อสะสมความรู้และประสบการณ์ในศาสตร์แขนงต่าง ๆ ที่ตัวเองสนใจ รวมถึงสร้างคอนเน็คชั่นกับลูกค้าเพื่อวางแผนเปิดบริษัทของตัวเองในอนาคต

หลายคนอาจคิดว่าเจ้าของธุรกิจอาจต้องมีเงินถุงเพื่อใช้ในการเริ่มต้น แต่เขาก็พิสูจน์ให้ทุกคนเห็นแล้วว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดในการเป็นเจ้าของธุรกิจคือความตั้งใจกับแนวความคิดเจ๋ง ๆ ที่สามารถส่งต่อและสร้างแรงบันดาลใจให้กับทีมงานได้ ด้วยการสร้างพิพิธภัณฑ์ที่เก็บสะสมสุดของสุดไฮป์จากตัวทุกมุมโลก ไม่ว่าจะเป็น เสื้อผ้า, รองเท้า, เฟอร์นิเจอร์ รวมถึงของที่ระลึกต่าง ๆ โดยจะมีการหมุนเวียนผลัดเปลี่ยนไป เพื่อสร้างแรงบันดาลใจในการครีเอทงานใหม่ ๆ ให้เกิดขึ้นตลอดเวลา

แต่นอกจากเส้นทางอันสนุกสนานกับงานที่ตัวเองมีความสุข คุณเบียร์ก็สารภาพว่า ไม่ใช่ว่างานอีเวนต์ที่ทำอยู่จะตายไม่เป็น และการทำในสิ่งที่ตัวเองรักก็มีจังหวะเวลาที่ต้องปะทะกับความเครียดเช่นกัน ซึ่งบางครั้งความรักในสิ่งที่ทำอย่างเดียวอาจไม่สามารถขับเคลื่อนทุกอย่างไปข้างหน้าได้ รวมถึงต้องเรียนรู้จากบทเรียนในอดีตเพื่อวางแผนให้พร้อม แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือความเป็นมืออาชีพด้วยความตั้งใจเต็มร้อย ไม่ใช่แค่ทำงานให้เสร็จไปวัน ๆ

อ่านบทสนทนาฉบับเต็มได้ที่ : NEVER ENDING IDEA เบียร์-พันธวิศ ผู้นำ APOSTROPHYS

Mactec แม็ก-อดิสรณ์ เจริญศักดิ์
ความหลงใหลของผมคือความสุดกว่าที่คนอื่นเขาทำกัน

“เห็นรถแรงม้าโหดทีไรแล้วหัวใจมันโคตรสั่นเลยหวะ” คำพูดจากปากของคุณ แม็ก-อดิสรณ์ เจริญศักดิ์ ซึ่งแสดงออกได้เป็นอย่างดีว่าสิ่งที่เขาโปรดปรานมากที่สุดคือพาหนะ 4 ล้อ ซีซีโหด ที่ผู้ชายทุกคนล้วนอยากจะครอบครอง โดยเส้นทางชีวิตก่อนจะกลายมาเป็นผู้นำโลกแห่งความเร็วอย่าง Mactec Group นั้น สามารถนำมาเป็นแรงบันดาลใจในการใช้ชีวิตให้กับหลายคนได้อย่างแน่นอน

ผู้ชายสุดเจ๋งที่มีพื้นฐานความชอบในรถยนต์มาตั้งแต่เด็ก ซึ่งเป็นอิทธิพลที่ส่งต่อมาจากคุณพ่อผู้ชื่นชอบการโมดิฟายรถยนต์เป็นความสนุกของชีวิต ในวันเสาร์-อาทิตย์ของเด็กในวัยเดียวกันที่อาจใช้เวลาวิ่งเล่นกับเพื่อน แต่ภารกิจประจำวันของคุณแม็กคือการโดนลากไปอู่ซ่อมรถ ซึ่งเป็นช่วงเวลาในการเรียนรู้และซึมซับสิ่งต่าง ๆ เกี่ยวกับรถยนต์

แต่ด้วยความหวังดีจากครอบครัวทำให้เขาต้องอยู่ห่างสิ่งที่รักอยู่สักพักนึง ต้องทำงานบริษัทที่แม้จะได้เงินเดือนหลักแสน แต่ในเมื่อมันไม่ใช่ตัวกู ก็ไม่รู้จะทนทำต่อไปทำไม จุดนี้เองที่ทำให้ตัวเขาพร้อมมุ่งเป้าเข้าสู่เส้นทางการเป็นเจ้าของอู่รถแบบเต็มตัว เพื่อเติมเต็มความฝันในการเป็นนักโมดิฟายรถซึ่งอยากจะเป็นมาตั้งแต่เด็ก บวกกับแนวคิดการทำงานที่ Work Hard Play Harder ยิ่งทำให้เขากลายเป็นเจ้าของกิจการสายลุยผู้ประสบความสำเร็จจากแนวความคิดที่ว่า “จะทำอะไร ก็ต้องทำให้สุดกว่าคนทั่วไป”

แต่ขณะเดียวกันชีวิตของคุณแม็ก-อดิสรณ์ เจริญศักดิ์ ก็ไม่ได้มีแต่เรื่องงาน งาน งาน เพราะการเล่นและการใช้ชีวิตก็สุดไม่แพ้กัน เรียกได้ว่าจัดครบจบทุกแนวทั้งแข่งรถ, ยิงปืน, เล่นนาฬิกา หรือออกรอบตีกอล์ฟ รวมถึงโปรเจกต์บ้า ๆ ที่กำลังจะเกิดขึ้น เรียกได้ว่าเป็นผู้ชายที่ใช้ชีวิตได้อย่างน่าอิจฉาที่สุดคนหนึ่งซึ่งก็เกิดจากแนวทางที่ชัดเจนของเขานั่นเอง

อ่านบทสนทนาฉบับเต็มได้ที่ : CONVERSATION WITH MACTEC ตำนานรถบ้านพันแรงม้า 

 

แทม พศิน อัธยาตมวิทยา
ความหลงใหลของผมคือการ
ตอบสนองกิเลสของตัวเอง

จากเด็กหนุ่มวัย 20 ที่มีหนังสือเกี่ยวกับการถ่ายภาพเป็นของตัวเองในชื่อ Speed Of Light สู่บทบาทผู้กับกำโฆษณาไฟแรงฝีมือดี ซึ่งสิ่งที่เขาทำทุก ๆ อย่างล้วนมีจุดเริ่มต้นจากการเรียนรู้ ลองผิดลองถูกด้วยตัวเองภายใต้แรงผลักดันที่ว่า “กูอยากได้รถอะ แต่ที่บ้านไม่ยอมซื้อให้ งั้นก็หาเงินมาซื้อเองสิวะ”

เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เด็กหนุ่มคนนั้น วิ่งเสนอตัวเพื่อฝึกฝนศาสตร์และศิลป์ที่เกี่ยวข้องกับการถ่ายภาพกับรุ่นใหญ่ในวงการ เพราะมันเป็นสิ่งที่เขาสนใจมากที่สุดในเวลานั้น โดยช่วงระยะเวลาตลอด 7 ปีที่อยู่ในวงการก็ได้แสดงถึงพรสววรค์เรื่องแสง นำมาสู่การเปิดคอร์สสอน ต่อด้วยการทำหนังสือในเวลาต่อมา

เมื่อเริ่มเป็นที่รู้จักมากขึ้น บวกกับความท้าทายในสายอาชีพที่ค่อย ๆ ลดน้อยลงไป ทำให้ แทม พศิน อัธยาตมวิทยา เริ่มหันเข้าสู่วงการผู้กำกับพร้อมกับอีโก้มากมายที่ติดตัวมา แต่เมื่อได้มาสัมผัสอารมณ์และการทำงานร่วมกับคนอื่น ๆ ซึ่งเขาบอกมามันเป็นการเรียนรู้อย่างหนึ่ง ที่แม้แต่คนที่มีบทบาทเล็กอย่างทีมไฟก็สามารถสอนอะไรเราได้ เช่นเดียวกับเราที่สามารถให้อะไรแลกเปลี่ยนกลับไป และแน่นอนว่าเงินบางส่วนที่ได้มาก็ต้องเอาไปสนองกิเลสในความรักรถของตัวเขา

Mercedes Bens Classic, 500 SLC, Porsche Boxster และ Alfa Romeo GTV  ทั้งหมดคือรถในฝันที่วันนี้เค้าได้มาครอบครองแล้วทั้งหมดจากน้ำพักน้ำแรงและฝีมือของตัวเขาเอง ซึ่งเป็นเครื่องยืนยันได้เป็นอย่างดีถึงความหลงใหลที่มีต่อพาหนะ 4 ล้อเหล่านี้ แถมในอนาคตความฝันของเขาในการเป็นช่างซ่อมรถก็อาจเป็นเป้าหมายต่อไปที่เราจะได้เห็นอีกด้วย

อ่านบทสนทนาฉบับเต็มได้ที่ : CONVERSATION WITH แทม พศิน อัธยาตมวิทยา

 

ทั้งหมดคือเหล่า Collector ที่มอบแรงบันดาลใจชั้นเยี่ยมให้เราในปีที่ผ่านมา
แล้วความหลงใหลที่เป็นพลังขับเคลื่อนชีวิตของคุณคืออะไร ค้นหามันเจอหรือยัง?

ADIDAS ฉลองครบรอบ 70 ปี ปรับโฉมรองเท้าฟุตบอลโคปา 70 สร้างสรรค์ใหม่จากรุ่นออริจินัล 1982

$
0
0

อาดิดาส ฟุตบอล ฉลองครบรอบ 70 ปีของแบรนด์อาดิดาสที่ก่อตั้งเมื่อปี 1949 ด้วยการเปิดตัว โคปา 70 (COPA70) รองเท้าฟุตบอลที่ยึดรูปแบบสไตล์คลาสสิกเหนือกาลเวลาของรุ่นออริจินัล ที่ถือกำเนิดขึ้นในปี 1982 พร้อมผสานเทคโนโลยีสมัยใหม่ด้วยการใช้วัสดุไพรม์นิต (Primeknit)

รองเท้าฟุตบอลโคปา 70 ถือเป็นตัวแทนองค์ประกอบสำคัญของอาดิดาสในด้าน “พัฒนาการที่ก้าวหน้าอย่างแท้จริง” โดยรองเท้าฟุตบอลคู่นี้มีการนำเอารูปแบบโครงสร้างในอดีตมาผสมผสานกับเทคโนโลยีแห่งยุคปัจจุบันเพื่อแสดงให้เห็นถึงวิวัฒนาการอันยิ่งใหญ่ของอาดิดาส ฟุตบอล ตลอดช่วงระยะเวลา 70 ปีที่ผ่านมา

นอกจากดีไซน์ของตัวรองเท้าที่ได้มาจากรุ่นดั้งเดิมเมื่อปี 1982 แล้ว อาดิดาสยังผสมผสานอดีตกับปัจจุบันเพื่อคืนชีพรองเท้าฟุตบอลระดับตำนาน โดยการใช้วัสดุไพรม์นิตในการผลิตตัวรองเท้าเพื่อแสดงให้เห็นถึงอาดิดาสยุคปัจจุบัน พร้อมใช้วัสดุหนังแท้ในการบุด้านในรองเท้า ซึ่งแสดงถึงจุดเริ่มต้นในวงการฟุตบอลของอาดิดาสนั่นเอง ยิ่งไปกว่านั้น รองเท้าฟุตบอลโคปา 70 ยังมีการติดปุ่มสตั๊ดสีแดง ซึ่งมีที่มาที่ไปมาจากยุค 70 อีกด้วยเช่นกัน

ขณะที่รองเท้าฟุตบอลโคปา 70 แบบเทรนเนอร์ จะมีการติดพื้นชั้นนอกสีน้ำตาลและป้ายโลโก้อาดิดาสสีฟ้าที่ลิ้นรองเท้า ซึ่งก็ถือเป็นอีกหนึ่งเอกลักษณ์ของรองเท้าฟุตบอลโคปา รุ่นปี 1982 โดยรองเท้าถูกบรรจุมาในกล่องแบบพิเศษ ซึ่งสามารถเลือกซื้อได้ทั้งแบบเชือกสั้นตามแฟชั่นสมัยใหม่และแบบเชือกยาวสไตล์คลาสสิก

รองเท้าฟุตบอลโคปา 70 จะวางจำหน่ายตั้งแต่วันที่ 11 มกราคม 2562 เป็นต้นไป รุ่นสเตเดี้ยม สีดำ ราคา 8,500 บาท รุ่นเทรนเนอร์ สีดำและสีขาว ราคา 6,000 บาท สามารถเลือกซื้อได้ที่ร้านอาริ ฟุตบอล คอนเซ็ปต์สโตร์ เท่านั้น

 

DRIVE: หลายข้อดีที่เรายกให้ SUZUKI CIAZ เป็นรถที่น่าสนใจ ตอบโจทย์ครบจบในคันเดียว

$
0
0

“อยากได้รถที่คุ้มค่า ประหยัดน้ำมัน ออพชั่นเพียบ พร้อมพื้นที่กว้างขวางเพื่อความสะดวกสบาย”

นี่น่าจะเป็นความคิดแรกที่คนอยากได้รถคิดในใจ แต่ในความเป็นจริงคงจะยากที่จะหาตัวเลือกที่ตอบโจทย์ครบได้ทุกข้อ การจะเลือกซื้อรถยนต์สักคัน ถือเป็นช่วงเวลาที่สนุกสนานสำหรับผู้ชาย แต่การจะเลือกซื้อแบบเดินเข้าไปจิ้มสุ่มสี่สุ่มห้าคงจะไม่ดี เพราะโดยเฉลี่ยช่วงเวลาที่เราจะอยู่กับรถหนึ่งคันนั้นยาวนานถึงราว 5-7 ปี เราจึงควรเลือกรถยนต์ที่ตอบโจทย์ความต้องการใช้งานของตัวเองจริง หลายคนแอบปรึกษาเพื่อนรอบข้าง ถามคำแนะนำให้ช่วยเลือกให้ แต่อย่าลืมว่าแต่ละคนก็มีไลฟ์สไตล์ต่างกัน ความชอบต่างกัน การจะเปรียบว่ารุ่นไหนดีที่สุดจึงเป็นสิ่งนานาจิตตัง เพราะมีข้อดีแตกต่างกันออกไป

ที่จริงรถยนต์แต่ละรุ่นจากแต่ละแบรนด์ ถูกออกแบบขึ้นมาโดยมีจุดเด่นและวัตถุประสงค์ในการใช้งานต่างกัน เพื่อให้ลูกค้าได้เลือกรถยนต์ที่เข้ากับไลฟ์สไตล์และตอบโจทย์การใช้รถยนต์ของตัวเอง บางคนอยากได้รถที่ดูดีมีความสปอร์ตที่สุด บางคนอยากได้รถที่ประหยัดมากที่สุด บางคนอยากได้รถที่มีพื้นที่มากที่สุด หรือบางคนอาจจะอยากได้รถที่มีออพชั่นทันสมัยให้มากที่สุด

จากตัวเลือกที่มีมากมายในตลาด หลายคนจึงอยากให้เราแนะนำรถยนต์ที่ให้ได้มากกว่าในราคาที่คุ้มค่า เป็นรถที่มีในบ้านคันเดียวจบ ตอบโจทย์ได้ครบทุกไลฟ์สไตล์ วันนี้เราจึงยกตำแหน่งรถสุดคุ้ม พื้นที่ใหญ่ ราคาเล็ก ให้กับ Suzuki Ciaz Eco Sedan

Suzuki Ciaz Eco Sedan เป็นรถ Eco Sedan ในราคาเริ่มต้นตั้งแต่ 480,000 – 675,000 บาท ที่ได้ชื่อว่ามีพื้นที่ในห้องโดยสารกว้างใหญ่กว่าใครใน Segment เดียวกัน จึงเป็นรถที่เน้นความสะดวกสบายในการเดินทางมากกว่า แถมยังมีจุดเด่นเรื่องประหยัดน้ำมัน เพียบพร้อมด้วยออพชั่นทันสมัยที่ใส่มาให้มากกว่าใคร ตอบทุกความต้องการในการใช้รถยนต์ในชีวิตประจำวันได้จริง และทั้งหมดนี้คือเหตุผลที่เราคิดว่ามันเจ๋ง และคุณน่าจะต้องรักมัน

 

MORE SPACE : ด้วยมิติขนาดตัวรถที่ใหญ่กว่าของ Suzuki Ciaz แม้จะเป็น Eco Sedan แต่มิติตัวรถใหญ่ไม่แพ้ B-Segment เครื่อง 1.5 ลิตร และใหญ่กว่าใครใน Segment เดียวกัน จึงมีพื้นที่สำหรับทั้งผู้ขับและผู้โดยสารมากกว่า จากการทดสอบนั่งด้านหลัง ผู้โดยสารสูง 170 cm. ยังมีพื้นที่วางเท้า พื้นที่ระยะหัวเข่ากับเบาะหน้า และพื้นที่บริเวณเหนือศีรษะเหลือเฟือ จึงมั่นใจได้ว่า Suzuki Ciaz เป็นรถที่พร้อมพาครอบครัว เพื่อน หรือสาว ๆ เดินทางได้อย่างสบายเต็มอัตรา 5 คน นั่งกันกว้างขวางสะดวกทั้งคนขับและผู้โดยสาร ไม่ว่าจะใช้งานในเมือง หรือใช้งานในวันพักผ่อนต่างจังหวัดก็ยังได้

 

MORE PURPOSES : ไม่ใช่แค่มีพื้นที่มากกว่า แล้วจะหมายความว่าดีกับผู้โดยสารตอนหลัง หรือเหมาะกับการใช้งานในระยะทางไกล แต่ใน Suzuki Ciaz มีออพชั่นอำนวยความสะดวกมาให้มากกว่า เช่น ช่องแอร์สำหรับผู้โดยสารด้านหลัง เพื่อกระจายความเย็นได้มากกว่า และพื้นที่เก็บสัมภาระที่ขนของได้เหลือเฟือถึง 565 ลิตร ไม่ว่าจะสำหรับตัวเอง ครอบครัว หรือเพื่อน ก็ตอบโจทย์ทุกการใช้งานได้ในคันเดียว

 

EQUIPMENTS : คำว่าจัดเต็มน่าจะเหมาะสมกับสิ่งที่ Suzuki ใส่เข้ามาไว้ใน Ciaz ซึ่งถ้าเทียบอุปกรณ์มาตรฐานและออพชั่นต่าง ๆ ที่จัดมาให้เทียบกับ Eco Sedan ใน Segment ถือว่ามากกว่า สร้างอารมณ์ให้รถคันนี้มีความทันสมัย อัดแน่นไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกและฟังก์ชันการใช้งาน ไม่ว่าจะเป็นโคมไฟหน้าแบบ Projector พร้อมไฟตัดหมอก ให้อารมณ์สปอร์ตและช่วยให้ทัศนวิสัยดีขึ้น เข้ากับชุดแต่ง RS Exclusive ชุดสเกิร์ตหน้า สเกิร์ตข้าง สเกิร์ตหลัง และสปอยเลอร์หลังพร้อมไฟเบรกทรงสปอร์ต พร้อมล้ออะลูมิเนียมลายสปอร์ตขนาด 16 นิ้ว เสริมบารมีให้ Suzuki Ciaz ดูเท่โฉบเฉี่ยวขึ้นหลายเท่าในรุ่น RS

ส่วนภายในห้องโดยสารที่กว้างขวางให้อารมณ์สปอร์ตจากการออกแบบคอนโซลในโทนสีดำตัดเงิน พวงมาลัยหุ้มหนัง 3 ก้านแบบ Multifunction สามารถควบคุมเครื่องเสียงและโทรศัพท์ได้จากพวงมาลัยโดยไม่ต้องปล่อยมือ ความหรูหราจากการสัมผัสอุปกรณ์วัสดุตกแต่งบนแผงคอนโซลด้านหน้า และทันสมัยกว่าด้วย Suzuki Smart Connect อุปกรณ์ล้ำ ๆ ภายในที่ทันสมัยกว่าใครด้วยจอขนาด 7 นิ้วพร้อมระบบ Touchscreen Entertainment Display มี Navigator ในตัว สามารถเชื่อมต่อผ่าน Bluetooth Connectivity กับ Smartphone ทั้งฟังเพลงหรือคุยโทรศัพท์ได้โดยไม่ต้องใช้สาย USB ด้วย Apple CarPlay และ Mirror Link ขยายขอบเขตการใช้งานและความบันเทิงให้มากกว่า แถมยังมี Cruise Control ล็อคความเร็วให้การเดินทางยาว ๆ ทำได้สบายขึ้น

 

FUEL EFFICIENCY : การประหยัดน้ำมันเป็นข้อดีของรถ Eco Sedan อยู่แล้ว ด้วยเครื่องยนต์ 1.2 ลิตรของ Suzuki Ciaz ให้พละกำลังสูงสุด 91 แรงม้าที่ 6,000 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 118 นิวตัน-เมตร ที่ 4,800 รอบต่อนาที ส่งกำลังผ่านเกียร์ CVT เป็นรถที่ถูกเซ็ทให้มีช่วงอัตราเร่งแบบยาว ๆ เน้นขับสบาย มีพละกำลังมากพอสำหรับใช้งานในเมืองหลวงที่การจราจรหนาแน่น เน้นนั่งสบาย ๆ ในช่วงรถติดไฟแดง หรือจะขับไปพักผ่อนต่างจังหวัดบนถนนโล่ง ๆ ก็แค่ปรับเกียร์เป็นโหมด S เมื่อต้องการแซง ก็สามารถทำความเร็วเร่งแซงได้อย่างปลอดภัย สามารถประหยัดพลังงานได้มากถึงเกือบ 20 กิโลเมตรต่อลิตร

 

Our Verdict : Eco Sedan ที่กว้างขวาง ของเร้าใจใส่มาเต็มที่กว่าใครใน Segment

Suzuki Ciaz เป็นรถที่มีจุดเด่นชัดเจนมาก ซึ่งเราเชื่อว่าแม้จะไม่ใช่คนที่รู้เรื่องรถยนต์มากนักก็น่าจะสังเกตได้ทันทีว่าทำไมถึงอยากจะเลือกรถคันนี้ ซึ่งเราคิดว่า Suzuki Ciaz เหมาะสำหรับคนที่ต้องการรถยนต์ที่สามารถตอบโจทย์ความต้องการใช้รถยนต์ได้ในหลากหลายสถานการณ์ เพราะต่อให้เครื่องยนต์แรงแค่ไหน แต่ถ้าไม่สามารถพาคนที่เรารักนั่งไปได้ครบทุกคน หรือบรรทุกสัมภาระที่ต้องพกไปไม่ได้ก็ไร้ประโยชน์ และจุดเด่นที่ Suzuki Ciaz ทำได้ดีกว่าคือนอกจากพื้นที่กว้างขวาง อารมณ์ที่ได้จากหน้าตาของรถคันนี้ถือว่าโดดเด่น ยิ่งมีอุปกรณ์ชุดแต่ง RS เข้าไปยิ่งเท่ แถมยังมีสิ่งอำนวยความสะดวกทันสมัยที่ใช้งานได้จริง ในราคาที่เป็นเจ้าของได้สบาย ๆ โดยเฉพาะเมื่อเราเทียบค่าใช้จ่ายระหว่างการผ่อนเช่าซื้อรถ Suzuki Ciaz คันนี้ กับค่าใช้จ่ายการเดินทางด้วยวิธีอื่น ๆ เช่น Grab, Taxi, BTS ต่อมอเตอร์ไซค์ บวกกับค่าเสียเวลาเดินทางในแต่ละวัน จะเห็นว่าการผ่อนจ่ายเดือนละแค่หกถึงเจ็ดพันบาท เป็นทางเลือกที่น่าสนใจไม่น้อยทีเดียวครับ

NiceFeet™ x DEE SWEET DRUG “SPACE OUT” COLLECTION AVAILABLE ON 02.02.2019

$
0
0

เริ่มต้นจากร้านขายรองเท้าสนีกเกอร์ที่ขายทางออนไลน์ในปี 2016 เปิดร้านครั้งแรก ณ สยามสแควร์ซอย 2 ในปี 2017 จนต่อมาในปี 2018 พวกเราเริ่มทรงตัวได้ดี และยังไม่ลืมความฝันที่อยากจะมีคอลเล็คชั่นเสื้อผ้าเป็นของตนเอง ซึ่งพวกเราก็ทำมันสำเร็จในปี 2019 …

ในคอลเลคชั่นแรกของเรา ก็อยากจะบอกเล่าเรื่องราวถึงการผจญภัยต่างๆ ในสิ่งที่เราพบเจอ หลงใหล ภายใต้ภาพของจักรวาล และ อวกาศ ซึ่งการเดินทางครั้งนี้ ก็ทำให้เราได้พบ อุปสรรคมากมาย แต่สิ่งเหล่านั้นก็สอนให้เราได้เรียนรู้ อย่างไม่มีวันสิ้นสุด

พวกเราได้ถ่ายทอด Art Direction ทั้งหมด ผ่านฝีไม้ลายมือศิลปินกราฟฟิตี้ฝีมือฉกาจอย่างคุณดี “ Sweet Drug” ผู้มีประสบการณ์โชกโชนไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้า แฟชั่น กราฟฟิตี้ และงานจิตรกรรม ด้วยลายเส้นเอกลักษณ์ที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากยุค 70s ยุคแห่งความฝันและเสรีภาพเฟื่องฟู ซึ่งเอาอยู่ในทุกเนื้อเส้นและความชัดเจนของตัวละคร

จากการร่วมงานในครั้งนี้ ก็ทำให้เกิดเสื้อผ้าคอลเล็คชั่นนี้ออกมาอย่างเป็นที่น่าพอใจ ถึงแม้บางอย่างอาจจะไม่ได้ตรงตามที่เราตั้งใจไว้ในตอนแรก แต่พวกเราก็ทำกันอย่างสุดฝีมือ และ พวกเราสัญญาว่า พวกเราจะไม่หยุดพัฒนางานที่เรารัก ในทุกรายละเอียด จนถึงฝั่งฝันที่เราตั้งใจไว้แน่นอน …

พิเศษ ! สำหรับผู้ที่สั่งซื้อสินค้าตั้งแต่รอบพรีออเดอร์ จะได้รับสติกเกอร์ประจำคอลเล็คชั่นเป็นของสมณาคุณ และยังมีสิทธิ์จับฉลากเพื่อลุ้นรับ …

รางวัลที่ 1 NiceFeet™ Space pants “Sample” Size M28-32 , และสิทธิ์เข้าร่วมงานอีเวนท์เปิดตัว NiceFeet™ x Dee Sweet Drug “Space Out” Collection ณ Gaysorn Plaza ในวันที่ 01/02/2019 ฟรี 2 ท่าน

รางวัลที่ 2 รับ Captain Ngaing NiceFeet™ Camo Shorts Size M (28-32) และ สิทธิ์เข้าร่วมงานอีเวนท์เปิดตัว NiceFeet™ x Dee Sweet Drug “Space Out” Collection ณ Gaysorn Plaza ในวันที่ 01/02/2019 ฟรี 2 ท่าน

รางวัลที่ 3 รับสิทธิ์เข้าร่วมงานอีเวนท์เปิดตัว NiceFeet™ x Dee Sweet Drug “Space Out” Collection ณ Gaysorn Plaza วันที่ 01/02/2019 ฟรี 2 ท่าน

 

**ท่านที่สั่งซื้อพรีออเดอร์สามารถรับของที่ร้าน NiceFeet Siam Square Soi 2 หรือจัดส่งสินค้าในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2019 เป็นต้นไป

1.) NiceFeet™ “M.O.S. Camo” Hoodie
Price = 2,190฿
Sizing : M อก 46” , L อก 50” , XL อก 54”

2.) NiceFeet™ “Captain Ngaing” Camo Shorts
Price =1,590฿
Sizing : M เอว 28-32” , L เอว 32-36” , XL เอว 36-40”

3.) NiceFeet™ Space Team Jacket
Price = 2,890฿
Sizing : M อก 44” , L อก 48”

4.) NiceFeet™ Space Pants
Price = 1,990฿
Sizing : M เอว 28-32” , L เอว 32-34” , XL เอว 36-40”

5. ) NiceFeet™ “ Split Space-Out” Oversized Tee
Color – Black , White
Price = 1,290 ฿
Sizing : Free Size

6. ) NiceFeet™ Space Team Cap
Price = 890฿

7.) NiceFeet™ Duo Sweater
Price = 2,290฿
Sizing – Free size

8.) NiceFeet™ “3 Ngaing” Bucket Hat
Price = 890฿

9.) NiceFeet™ “Space Maps” Tees
Colors – Slate , Burgundy , Grey
Price = 990 ฿
Sizing – M อก 40” , L อก 44” , XL อก 48”

10.) NiceFeet™ SpaceCarpet : 3,690฿  (ขายเฉพาะในงานอีเวนท์ NiceFeet™ x Dee Sweet Drug “Space Out” Collection ณ Gaysorn Plaza วันที่ 01/02/2019 เท่านั้น )

 

WATCHLIST: ‘5 หนังหม่นหมอง ของ TIM BURTON’ที่แฝงพลังบวกและข้อคิดเอาไว้ใต้ความเศร้า

$
0
0

เอ่ยชื่อ Tim Burton ขึ้นมา ความดาร์กก็เข้าปกคลุม (เหมือนสภาพอากาศในตอนนี้ไม่มีผิด) ความแฟนตาซีของตัวละคร คาแร็กเตอร์อันแปลกประหลาด เข้ามาสร้างสีสันในฉากอันหม่นหมอง ทำให้ภาพยนตร์ของเขามัน Weird มากขึ้น จนเราติดภาพว่ามันเป็น Trademark ของเขาไปแล้ว ภายใต้ความแฟนตาซีแบบดาร์ก ๆ เหล่านั้น ยังมีเรื่องราวพลังบวกและข้อคิดที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังอย่างแยบยล UNLOCKMEN ชวนหนุ่ม ๆ มาเสพความดาร์กของหนัง Tim Burton 5 เรื่องที่เราคัดมาให้

Big Fish (2003)

Will Bloom (Billy Crudup) ผู้เบื่อหน่ายพ่อตัวเองเต็มที เพราะ Edward Bloom (Albert Finney/Ewan McGregor) ผู้เป็นพ่อนั้นชื่นชอบการเล่าเรื่องในวันวาน สมัยที่เขายังเป็นหนุ่มแน่น แต่เรื่องราวเหล่านั้นช่างแฟนตาซีจนเกินที่จะเชื่อว่ามันคือความจริง ผู้คนที่ได้ฟังต่าง Hype ไปกับเรื่องราวเหล่านั้นหมด ยกเว้นลูกชายอย่าง Will นี่แหละ ที่ไม่เคยเชื่อว่าพ่อของเขาจะมีชีวิตวันวานที่แฟนตาซีขนาดนั้น จนถึงขั้นที่อยากจะพิสูจน์ความจริงกับสิ่งที่พ่อเขาเล่าให้ฟัง เพราะอยากจะให้พ่อของเขาเลิกโม้เสียที มาดูกันว่าสุดท้ายแล้วไอ้ที่พ่อเขาโม้ ๆ ไว้นั้นเป็นเรื่องจริงหรือเรื่องโม้กันแน่

Edward Scissorhands (1990)

เรื่องราวสุดแฟนตาซีตามสไตล์ของ Tim Burton ผู้กำกับคู่บุญของ Depp นั่นเอง เรื่องราวของ Edward หนุ่มน้อยที่ถูกสร้างขึ้นมาด้วยฝีมือของนักวิทยาศาสตร์คนหนึ่ง แต่ไม่อาจสร้างเขาได้สมบูรณ์ก็ลาโลกนี้ไปซะแล้ว มือของหนุ่มน้อยเลยกลายเป็นกรรไกรแทนที่จะเป็นนิ้วมือแบบคนอื่น ๆ จน Peg ที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้านได้พบเขาในปราสาทและพาเขามาอยู่ด้วยกันในหมู่บ้าน ด้วยความไร้เดียงสาเหมือนกับเด็กคนหนึ่งของ Edward ทำให้เขาเกิด Popular ขึ้นมา เพราะเขาสามารถตัดอะไรก็ได้เป็นรูปร่างตามใจนึก พูดง่าย ๆ คือโดนหลอกใช้ให้ทำนู่นนี่นั่นแหละ โดยที่เขาคิดว่าทุกคนรักเขาจริง ๆ ฟังแค่นี้ก็เศร้าแทนแล้ว เอาเป็นว่าไปลองดูกันในเรื่องนี้ได้ว่าหนุ่มน้อยคนนี้ จะสามารถใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับคนที่หลอกใช้เขาไปได้นานแค่ไหนกัน

Charlie and the Chocolate Factory (2005)

Willy Wonka เจ้าของโรงงานช็อกโกแลตอันเลื่องชื่อ ที่ใคร ๆ ก็รักขนมของเขา ได้เปิดโรงงานให้เข้าชมด้วยการซื้อขนมและหาตั๋วทองที่ซ่อนอยู่ในห่อช็อกโกแลต เพื่อแลกกับการทัวร์โรงงานภายใต้การแนะนำของเขาเอง และ Charlie หนุ่มน้อยที่จิตใจดีเสียจนไม่น่าเชื่อ ได้ตั๋วมาแบบฟลุ๊ก ๆ การเข้าไปทัวร์โรงงานครั้งนี้ ทำให้เขาต้องเจอเรื่องราวสุดมหัศจรรย์มากมาย ทั้งที่เกิดกับตัวเขาเองและคนอื่น ซึ่งภายใต้ความแฟนตาซีของหนัง Tim Burton เราจะได้ความ Feel-Good ที่แทรกอยู่ในเรื่องราวสุดประหลาดทั้งหลายที่โผล่มาในเรื่อง ว่าสุดท้ายแล้วความยากจนข้นแค้นของเจ้าหนูน้อย Charlie มันคือเรื่องดีที่สุดที่เกิดขึ้นกับชีวิตของเขา

Sweeney Todd: The Demon Barber of Fleet Street (2007)

โดนทำลายชีวิตจนพัง ใครบ้างที่จะไม่แค้น ? ผู้พิพากษา Turpin ต้นเหตุของความสูญเสียในชีวิตของ Sweeney Todd ที่ถูกใส่ร้ายและแย่งเอาภรรยาพร้อมลูกสาวไป ส่วนตัวเขาเองต้องเข้าซังเตไปตามระเบียบ เวลาผ่านไปเนิ่นนาน เขากำลังจะถูกชำระแค้น เมื่อ Sweeney Todd กลับมาจากขุมนรกและกลับมาใช้ชีวิตอย่างแนบเนียนในฐานะช่างตัดผมที่แฝงความแค้นเอาไว้อยู่เต็มเปี่ยม จับตามองผู้พิพากษา Turpin อยู่ห่าง ๆ และรอวันที่จะได้ทวงคืนทุกอย่างที่ควรจะเป็นของเขา

เรื่องนี้แสดงออกถึงลายเซ็นของ Tim Burton อย่างเต็มเปี่ยม โทนสีหม่น ตัวละครสุดดาร์ก บวกกับความเป็น Musical เข้าไป ยิ่งทำให้เข้าทางของ Tim Burton มากขึ้น รวมทั้งที่มาที่ไปของการกระทำของตัวละครที่ชี้ว่า ใช่ว่าทุกคนจะเกิดมาโหดร้ายเสียตั้งแต่แรก

Corpse Bride (2005)

ผลงานการกำกับของ Tim Burton ผู้มีเอกลักษณ์ของตัวเองแบบสุด ๆ และเรื่องนี้ คอหนังก็เดาได้ไม่ยากว่านี่คือหนังของเขา เรื่องราวของ Victor พากย์เสียงโดย Johnny Depp ชายหนุ่มผู้ที่กำลังจะเข้าพิธีวิวาห์ของตัวเอง เลยวิ่งเข้าไปซ้อมพิธีในป่า สวมแหวนลงบนกิ่งไม้ที่บังเอิญไม่ใช่กิ่งไม้ธรรมดา แต่เป็นนิ้วมือของเจ้าสาวศพ จึงเป็นการปลุกเจ้าสาวให้ลุกขึ้นมาจากหลุมและกลายเป็นเจ้าสาวจริง ๆ ของเขา มาดูกันว่าเขาจะทำอย่างไรเมื่อมีเจ้าสาวสองคน ความรักที่ไม่อาจเป็นไปได้ระหว่างคนกับศพมันจะเกิดขึ้นจริงได้หรือไม่ มาดูกัน

เบื้องหลังความหม่นหมองและความแปลกประหลาดซ่อนไว้ด้วยเรื่องราวดี ๆ ที่ให้ข้อคิดกับเราได้อยู่ไม่น้อย เลือกสักเรื่องที่ถูกใจแล้วดื่มด่ำไปกับเรื่องราวสุดแฟนตาซีเหล่านี้กัน


รัฐบาลทำอะไรอยู่ครับ? ชวนดูวิธีแก้ปัญหาของรัฐบาลประเทศอื่นเมื่อฝุ่นพิษกำลังฆ่าประชาชน

$
0
0

สายแล้ว ลืมตาตื่น เอื้อมมือกดปิดเสียงนาฬิกาปลุกที่แผดเสียงมาจากสมาร์ตโฟนที่วางอยู่บนหัวนอน เปิดม่าน … แวบแรกหลงคิดว่าหมอกเช้าแห่งเดือนมกราช่างน่าตื่นตาตื่นใจ ก่อนจะขยี้ตาซ้ำ ๆ อีกทีแล้วตระหนักได้ว่า “ฝุ่นเหี้ยอะไรเยอะแยะขาวโพลนขนาดนี้วะ!?”

2-3 วันนี้เราล้วนตื่นมาพร้อมความตื่นตระหนก เพราะแค่มองด้วยตาเปล่ายังสัมผัสได้ว่าปริมาณฝุ่นหนาแน่นมากกว่าปกติ แล้วไหนจะปริมาณที่ตามองไม่เห็นอีก นี่จึงเป็นอีกช่วงหนึ่งที่พูดได้เต็มปากเต็มคำว่าเรากำลังผจญวิกฤตฝุ่น PM 2.5 ครั้งใหญ่อีกครั้งหนึ่ง

อย่างไรก็ตามวิกฤตเรื่องฝุ่นไม่ได้มีแค่ไทยที่เผชิญมันอยู่เพียงลำพัง หลายประเทศก็กำลังเผชิญปัญหานี้ หลายประเทศผ่านมันมาได้แล้ว โดยรัฐบาลแต่ละประเทศต่างก็มีมาตรการ แนวทาง หรือนโยบายเด็ดขาดในแบบของตัวเองเพื่อแก้ปัญหามลภาวะทางอากาศกันทั้งนั้น

ในวันที่เราเองก็กำลังสูดฝุ่นเข้าปอดปริมาณมาก ๆ อยู่ UNLOCKMEN ชวนดูวิธีที่รัฐบาลประเทศอื่น ๆ แก้ปัญหากับวิกฤตฝุ่นในประเทศตัวเองในวันที่ฝุ่นพิษกำลังบุกฆ่าประชาชน

เมื่อฝุ่นบุกเกาหลี: โรงไฟฟ้าฯ ลดการผลิต ประชาชนลดเวลาทำงานและเลี่ยงกิจกรรมกลางแจ้ง

แดนกิมจิเองก็เป็นอีกประเทศที่ประสบวิกฤตฝุ่นพิษในช่วงเวลาไล่เลี่ยกับเรา แต่ไม่ต้องอ้อยอิ่งรีรอทางการก็ออกมาตรการเร่งด่วนทั้งบู๊ ทั้งบุ๋น โดยทั้งแจ้งเตือนประชาชนให้หลีกเลี่ยงกิจกรรมกลางแจ้ง กิจกรรมกลางแจ้งอย่างลานไอซ์สเก็ต หลายแห่งก็งดให้บริการ และออกตัวว่าจะคืนเงินให้ลูกค้าด้วย

ส่วนกระทรวงสิ่งแวดล้อมก็ไม่นิ่งเฉยออกมาตรการเด็ดขาดกับภาคอุตสาหกรรมโดยสั่งให้โรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนในพื้นที่ที่มีค่าฝุ่นละอองเกินค่ามาตรฐานลดกำลังการผลิตลงมากว่า 80% เมื่อเทียบกับเวลาปกติ

ไม่ใช่แค่นั้นภาครัฐยังสั่งการให้โรงงานและสถานที่ต่าง ๆ ของรัฐที่ปล่อยมลภาวะสู่อากาศลดเวลาทำงานลง โดยยึดมาตรการที่องค์กรของแต่ละท้องถิ่นแนะนำอย่างเคร่งครัด

เมื่อฝุ่นบุกจีน: ตั้งตำรวจสิ่งแวดล้อม คอยบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง

จีนเป็นอีกประเทศที่มีปัญหามลภาวะหนักหน่วงเข้าขั้นวิกฤต นายกเทศมนตรีกรุงปักกิ่งจึงผลักดัน “ตำรวจสิ่งแวดล้อม”ขึ้นมาเป็นหน่วยที่ดูแลบังคับใช้กฎหมายที่เกี่ยวเนื่องกับสิ่งแวดล้อมและการสร้างมลภาวะโดยเฉพาะ ไม่ว่าจะเป็นการตรวจตราบังคับเรื่องการเผาขยะและมวลชีวภาพและกวดขันให้ผู้คนงดกิจกรรมที่ใช้ถ่านหินและการเผาไหม้ที่ทำให้เกิดควันอย่างจริงจัง

นอกจากนั้นทางกรุงปักกิ่งยังประกาศว่าจะปิดโรงงานไฟฟ้าถ่านหินในเมือง เลิกการใช้ยานพาหนะเก่าราว ๆ 300,000 คัน สั่งปิดโรงงานที่ปล่อยมลภาวะ รวมถึงปรับปรุงโรงงานราว ๆ 2,000 แห่งเพื่อให้ได้มาตรฐานการบำบัดมลพิษ

รัฐเองก็ให้ความสำคัญประชาชนด้วยการประกาศห้ามผู้คนออกทำกิจกรรมกลางแจ้ง รวมถึงการติดเครื่องฟอกอากาศให้โรงเรียนอีกด้วย

เมื่อฝุ่นบุกอินเดีย: จำกัดการใช้รถส่วนตัว สนับสนุนให้คนใช้รถสาธารณะ

อินเดียเองก็ถือเป็นประเทศที่ติดอันดับต้น ๆ เรื่องฝุ่นควันและมลภาวะในอากาศมาโดยตลอด รัฐจึงต้องพยายามเป็นอย่างยิ่งในการออกมาตรการสารพัดอย่างออกมาเพื่อดูแลประชาชนในประเทศก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป

มาตรการหนึ่งคือการจำกัดการใช้รถยนต์ส่วนตัว เช่น การขึ้นราคาค่าที่จอดรถให้แพงขึ้น 4 เท่า เพื่อให้คนหันมาใช้บริการขนส่งมวลชนมากขึ้น รวมถึงมาตรการห้ามใช้รถยนต์ขนาดใหญ่ที่มีเครื่องยนต์แรงม้ามากกว่า 2,000 ซีซี

ไม่เพียงเท่านั้นอินเดียยังประเทศที่เต็มไปด้วยความเชื่ออันหลากหลาย พลุจึงเป็นส่วนหนึ่งของพิธีกรรมในศาสนาและลัทธิจำนวนมาก ทางการอินเดียก็มีมาตรการห้ามการจุดพลุด้วยเช่นกัน

เมื่อฝุ่นบุกสหรัฐอเมริกา: ก็จับฝุ่นกลายเป็นสินค้าควบคุมซะเลย

ประเทศพัฒนาแล้วอย่างสหรัฐอเมริการก็มีพัฒนาการการแก้ปัญหาเรื่องฝุ่นมายาวนาน ผ่านการขับเคลื่อนของภาคประชาชนเอง จนในปี 1970 ประธานาธิบดีในขณะนั้นผลักดัน US-EPA ที่เป็นองค์กรกลางผู้มีอำนาจการตัดสินใจเรื่องสิ่งแวดล้อมโดยเฉพาะ

ในหลายเมืองของสหรัฐฯ จึงมีข้อกำหนดของตัวเองว่าแต่ละวันทั้งเมืองต้องปล่อยมลพิษออกมาไม่เกินเท่าไหร่ (รวมทุกอุตสาหกรรม) และกำหนดโควตาที่ชัดเจนให้แต่ละโรงงานว่าปล่อยออกมาได้ไม่เกินเท่าไหร่ ในวันที่โรงงานเราปล่อยมลพิษเกิน เราต้องเจรจาต่อรองคล้าย ๆ การแลกเปลี่ยนซื้อขายกับโรงงานที่ปล่อยมลพิษออกมาไม่เกินอัตราที่กำหนด

กระบวนการทั้งหมดจะมีองค์กรท้องถิ่นและองค์กรกลางที่ดูแลเรื่องค่ามลพิษที่ปล่อยออกมาโดยเฉพาะเพื่อให้มาตรการนี้ยังคุมมลพิษได้ผล แต่ก็ไม่หย่อนยานจนเอื้อประโยชน์ให้แค่โรงงานใหญ๋ ๆ ที่มีทุนและพร้อมจะควักเงินจ้าย รวมถึงมีองค์กรที่ได้มาตรฐานที่คอยตรวจสอบร่องรอยทางเคมีที่โรงงานแต่ละแห่งปล่อยออกมาด้วย

เมื่อปัญหามลพิษทางอากาศคลืบคลานเข้ามารัฐบาลแต่ละประเทศล้วนพยายามอย่างสุดความสามารถที่จะแก้ปัญหาเฉพาะหน้า รวมถึงมาตรการระยะยาวที่กำหนดทั้งภาคอุตสาหกรรม ภาคการคมนาคม ภาคเอกชนให้ลดการปล่อยมลพิษสู่อากาศอย่างเป็นรูปธรรม

ในฐานะประชนผู้อาศัยอยู่ในประเทศที่ฝุ่นกำลังคุกคามชีวิตและสุขภาพเราอยู่ นอกจากดูแลตัวเองสุดกำลังความสามารถแล้ว ก็ได้แต่หวังว่ารัฐบาลจะเห็นค่าของชีวิตประชาชนและลงมือทำอะไรอย่างจริงจังกับเขาบ้างสักที

SOURCE, SOURCE2SOURCE3

 

2019 OSCARS PREDICTIONS: ช็อตต่อช็อต นักแสดงนำหญิงออสการ์ ใครจะคว้าตุ๊กตาทองไปครอง

$
0
0

มาถึงตอนที่ 2 กันแล้วสำหรับซีรีส์ 2019 Oscars Predictions ของ UNLOCKMEN หลังจากตอนที่แล้วเราได้ฟันธงลงความเห็นไปแล้วว่านักแสดงนำชายที่จะคว้าตุ๊กตาทองไปนอนกอดในปีนี้คือ Christian Bale ที่ยอมลงทุนเพิ่มน้ำหนักหลายสิบปอนด์เพื่อรับบท Dick Cheney อดีตรองประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ใครที่ยังไม่ได้อ่านบทวิเคราะห์ของเราสามารถย้อนไปอ่านได้ที่  2019 OSCARS PREDICTIONS: ช็อตต่อช็อต นักแสดงนำชายออสการ์ใครจะคว้าตุ๊กตาทองไปครอง

ส่วนตอนนี้เราจะพูดถึงรางวัลนักแสดงนำหญิงกันบ้าง ด้วยข้อมูลที่มากขึ้น เพราะล่าสุด Golden Globe รางวัลที่เปรียบเสมือนออสการ์ของฝั่งอังกฤษได้ประกาศผลออกมาเรียบร้อยแล้ว ภาพของ 5 นักแสดงหญิงที่มีลุ้นเข้าชิงตุ๊กตาทองสาขานักแสดงนำหญิงจึงค่อนข้างชัดเจนขึ้น แต่จะมีใครกันบ้าง และใครจะเป็นผู้ชนะ ไปอ่านบทวิเคราะห์จากเราได้เลย

Emily Blunt – Mary Poppins Returns

Collider

นักแสดงสาวเจ้าบทบาทจาก The Devil Wears Prada และ Edge of Tomorrow ไม่ทำให้ผู้ชมผิดหวังกับการรับบทบาทเป็นตัวละครที่ทุกคนคิดถึงอย่าง Mary Poppins ในภาพยนตร์เรื่อง Mary Poppins Returns ซึ่งถือว่าเป็นภาคต่อจาก Mary Poppins ในปี 1964 ภาพยนตร์ระดับตำนานที่กวาดรายได้มหาศาลในยุคนั้น

Emily Blunt สานความยอดเยี่ยมของ Julie Andrews Mary Poppins คนก่อนได้อย่างไร้รอยต่อ เธอแสดงให้เห็นว่าตัวละครพี่เลี้ยงผู้มีเวทมนตร์คนนี้เป็นตัวละครที่ไร้กาลเวลา เรียกว่าแทบจะแบกหนังทั้งเรื่องไว้บนบ่า เอาเป็นว่าทุกคนที่ได้ดู Mary Poppins Returns ต้องตกหลุมรักตัวละครตัวนี้แน่นอน

Glenn Close – The Wife

Time Magazine

หรือในที่สุดนักแสดงหญิงอาวุโสผู้อยู่คู่ฮอลลีวูดมากว่า 40 ปี อย่าง Glenn Close จะสามารถคว้าออสการ์ไปครองได้สำเร็จสักที หลังจากที่เข้าชิงมาแล้วกว่า 6  ครั้ง แต่ก็พบกับความผิดหวังมาโดยตลอด?

คำตอบคือใช่ เพราะสำหรับเราในเวทีออสการ์คราวนี้ Glenn Close คือตัวเต็งอันดับ 1 การแสดงของเธอในบทบาทของ Joan Castleman ภรรยาผู้เป็นช้างเท้าหน้าให้สามีในภาพยนตร์เรื่อง The Wife นั้นยอดเยี่ยมไร้ที่ติ ถึงจะไม่มีฉากปล่อยของระเบิดอารมณ์แบบอลังการ แต่ทั้งสีหน้า แววตา น้ำเสียง นักแสดงวัย 71 ผู้นี้แสดงออกได้อย่างหมดจรดสมบูรณ์ ตลอด 100 นาทีของภาพยนตร์เรื่อง The Wife มีรังสีของเธอปกคลุมอยู่ตลอดเวลาต่อให้จะไม่มีเธออยู่ในซีนก็ตาม

‘นี่คือการแสดงที่ยอดเยี่ยมที่สุดในชีวิตของ Glenn Close’

Melissa McCarthy – Can You Ever Forgive Me?

Rolling Stone

อีกหนึ่งสิ่งที่ออสการ์ชื่นชอบไม่แพ้การลงทุนแปลงโฉมตัวเองแบบ Christian Bale ก็คือการพลิกบทบาทของตัวเองโดยสิ้นเชิง ตัวอย่างเช่น Nicolas Cage กับบทดราม่าเข้มข้นครั้งแรกในชีวิตใน Leaving Las Vegas หรือ Brie Larson ก่อนที่เธอจะคว้าออสการ์ตัวแรกจากภาพยนตร์เรื่อง Room จากบทแม่ผู้ยิ่งใหญ่ ก่อนหน้านั้นเธอก็วนเวียนอยู่ในภาพยนตร์บล็อกบัสเตอร์หรือภาพยนตร์รอม-คอมมาโดยตลอด

คุณอาจจะเคยรู้จัก Melissa McCarthy มาก่อน แต่จงลบภาพเจ้าแม่คอมเมดี้จาก Spy หรือ The Heat ให้หมด เพราะใน Can You Ever Forgive Me? นักแสดงร่างท้วมขวัญใจมหาชนคนนี้รับบทเป็น Lee Israel นักเขียนอัตชีวประวัติบุคคลสำคัญในยุค 70-80 ซึ่งเป็นบทดราม่าหนักหน่วง ขัดกับภาพลักษณ์ของเธอโดยสิ้นเชิง แต่ปรากฏกว่า Melissa เซอร์ไพร์สคนทั้งโลก เธอแสดงออกมาได้ยอดเยี่ยมจนลืมไปเสียสนิทว่านี่คือนักแสดงสายคอมเมดี้

‘Can You Ever Forgive Me? คือภาพยนตร์ที่ Melissa ใช้บอกกับคนทั้งโลกว่าเธอคือนักแสดงคุณภาพคนหนึ่งแห่งฮอลลีวูด’

Lady Gaga – A Star is Born

Elle

ไม่ปฏิเสธว่า Lady Gaga คือสุดยอดศิลปินแห่งวงการเพลง แต่สำหรับวงการภาพยนตร์จะพูดว่าเธอคือหน้าใหม่ก็คงไม่ผิดนัก ซึ่งในตอนแรกที่ภาพยนตร์เรื่อง A Star is Born ประกาศรายชื่อนักแสดงออกมา ก็เกิดการถกเถียงกันพอสมควรว่าเธอจะทำได้ดีแค่ไหน แต่ปรากฏว่าการแสดงของเธอในภาพยนตร์เพลงเรื่องนี้กลับยอดเยี่ยมจนสามารถกลบปากนักวิจารณ์ได้สนิท

ต่อให้ไม่นับในพาร์ตการร้องเพลงซึ่งเธอถนัดอยู่แล้ว ในพาร์ตอื่นเธอก็ทำได้อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง จนทำให้ตัวละคร Ally ใน A Star is Born กลายเป็นหนึ่งในตัวละครที่ผู้ชมตกหลุมรักที่สุดในปีที่ผ่านมา

Olivia Colman – The Favourite

Screen Daily

อีกหนึ่งตัวเต็งจ๋าที่น่าจะเข้าชิงแบบนอนมาก็คือ Olivia Colman นักแสดงสาวชาวอังกฤษ ที่ในภาพยนตร์เรื่อง The Favourite เธอโชว์ฟอร์มได้โดดเด่นจนสามารถคว้ารางวัลลูกโลกทองคำในสาขานักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยม ประเภทภาพยนตร์ตลกหรือเพลงได้สำเร็จ จากบทบาท Queen Anne ราชินีผู้เปราะบางที่เปี่ยมไปด้วยความหลากหลายทางมิติอารมณ์ แม้ในเรื่องบทของเธอจะโดนขโมยความโดดเด่นไปไม่น้อยจาก Rachel Weisz ซึ่งรับบทเป็น Lady Sarah เพื่อนสนิทขององค์ราชินี แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้ความเปล่งประกายของเธอลดลงแม้แต่น้อย

 

นี่คือหน้าตาของนักแสดงหญิงทั้ง 5 ที่เราคาดว่าน่าจะเข้าชิงออสการ์ครั้งนี้ แต่คนที่โดดเด่นกว่าใครและคาดว่าน่าจะคว้ารางวัลไปครองคือ Glenn Close จาก The Wife การแสดงของเธอน่าทึ่งจนเหลือเชื่อ และสำหรับประสบการณ์กว่า 40 ปีที่บ่มเพาะมา น่าจะถึงเวลาของเธอเสียที

ผ่านไปแล้ว 2 สาขา ยังเหลืออีก 2 สาขาที่เราจะเขียนถึงคือผู้กำกับยอดเยี่ยมและภาพยนตร์ยอดเยี่ยม รอติดตาม 2019 Oscars Predictions ตอนต่อไปของเราได้เลย

ALONE BUT ALRIGHT: หนุ่มโสดไม่เหงา เมื่อเราอยากปลูกต้นไม้ในห้อง ต้องเตรียมตัวยังไงบ้าง ?

$
0
0

หนุ่มโสดอย่างเรา กลับห้องมาก็เงียบเชียบมีเพียงตัวเองและเสียงเพลงอยู่เป็นเพื่อน เมื่อการหาใครสักคนมาอยู่ข้าง ๆ มันไม่ง่ายขนาดนั้น ครั้นจะเลี้ยงสัตว์สถานที่ก็ไม่เอื้ออำนวย (เงินในกระเป๋าก็เช่นกัน) พาลให้ต้องมารับผิดชอบอีกหนึ่งชีวิตอย่างจริงจัง ลองเปลี่ยนมาเป็นอะไรที่ง่ายกว่านั้นอย่างการปลูกต้นไม้ เพิ่มความสดชื่นด้วยสีเขียวชอุ่ม พักหลังนี้เทรนด์การปลูกต้นไม้ในห้องมาแรงอยู่ไม่น้อย หนุ่มเหงาลองเอาเจ้าเพื่อนสีเขียว (หมายถึงต้นไม้) มาเป็น Oasis หล่อเลี้ยงความรู้สึกยามก้าวเท้าเข้าห้องว่าอย่างน้อยก็ไม่ได้มีเราเป็นเพียงสิ่งมีชีวิตสิ่งเดียวในห้องนี้

สำหรับใครที่เริ่มสนใจอยากจะลองลงมือปลูกต้นไม้ในห้อง UNLOCKMEN ขอแนะนำสิ่งที่เราควรต้องรู้เพื่อเตรียมตัวและสถานที่ของเราให้พร้อม ก่อนที่เพื่อนสีเขียวของเราจะมาถึง

เลือกต้นไม้ให้เหมาะกับห้อง

ใช่ว่าต้นไม้ที่ปลูกในร่มได้ จะเอาไปวางตรงไหนก็ได้ เหมาะกับทุกห้องไปหมด ต้นไม้แต่ละชนิดมีความต้องการและต้องได้รับการดูแลที่แตกต่างกัน ถามคนขายหรือเสิร์ชข้อมูลให้ชัวร์ว่าชนิดนี้ต้องการการดูแลแบบไหน แล้วเลือกห้องให้เหมาะกับต้นไม้ชนิดนั้น อย่างห้องน้ำ เหมาะกับต้นไม้ที่ต้องการความชื้น ไม่ต้องการแดดมากนัก เพราะเป็นห้องที่แดดส่องไม่ค่อยถึง ส่วนต้นที่ต้องการแดด อากาศแห้ง แนะนำให้ไว้ที่ห้องนอน เพราะเป็นห้องที่แสงแดดส่องถึง หรือจะเอาเพื่อนสีเขียวไปนอนเล่นที่ระเบียง พบปะกับพระอาทิตย์บ้างบางวันก็ยังได้ ขณะที่บางห้องอาจไม่เหมาะกับการปลูกต้นไม้เลย อย่างห้องครัว หรือโรงจอดรถ เนื่องจากเป็นมุมอับที่แดดไม่มาเยี่ยมเยียน เราจำเป็นต้องหลีกเลี่ยงโลเกชั่นเหล่านั้นไปก่อน

เปลี่ยนกระถางเชย ๆ ในตอนแรกทิ้งไป

เลือกต้นไม้ เลือกห้อง เลือกมุมเท่ ๆ กันไปแล้ว อย่าลืมเลือกภาชนะให้ชิกตามไปด้วย ในตอนที่ซื้อมาจากร้านเรามักจะได้กระถางพลาสติกสีดำเป็นมาตรฐานเดียวกันหมด ลองมองหากระถางปูนเท่ ๆ เซรามิก ตะกร้าหวาย หรือภาชนะใดก็ได้ที่คุมโทนกับห้อง ไม่ทำให้เจ้าต้นไม้นี่โดดขึ้นมาแบบขัดหูขัดตาก็ช่วยให้ดึงดูดสายตาและผ่อนคลายขึ้น

นอกจากจะคำนึงถึงเรื่องความสวยงามแล้ว ยังต้องดูเรื่องขนาดเผื่อเอาไว้ด้วย เพราะเจ้าเพื่อนสีเขียวของเราอาจจะโตไวกว่าที่คิด กะขนาดเผื่อเอาไว้ใหญ่กว่าขนาดที่ซื้อในตอนแรกเสียหน่อยก็จะดี จะได้ไม่ต้องคอยเปลี่ยนกระถางกันบ่อย ๆ โตทีเปลี่ยนที เพราะการเปลี่ยนกระถางไม่ใช่เรื่องง่ายเอาเสียเลยสำหรับมือใหม่

เพราะต้นไม้แต่ละชนิด ต้องการการดูแลต่างกัน

อย่าลืมว่าต้นไม้ก็คือสิ่งมีชีวิตที่ต้องการการดูแล ไม่ต่างจากสัตว์เลี้ยง และมันเดินไปหาน้ำ หาแดดเอง ไม่ได้อีกด้วย เพราะฉะนั้นสิ่งที่เราจำเป็นต้องรู้ คือต้นนั้นต้องการน้ำแค่ไหน ปริมาณต่อครั้ง ความถี่ ความต้องการแสง มากน้อยเท่าไหร่  ต้องการดินหรือปุ๋ยชนิดใดเป็นพิเศษหรือไม่ ท่องง่าย ๆ น้ำ แสง ดิน สามสิ่งนี้คือสิ่งที่เราต้องรู้เป็นพื้นฐาน ไม่อยากพลาดลองถามก่อนตัดสินใจซื้อก็ยังได้ เพราะเราก็ต้องมาดูก่อนว่าเรามีเวลาดูแลมากแค่ไหน มากเท่าที่มันต้องการหรือเปล่า เพราะบางต้นก็ต้องการการรดน้ำหลายครั้งต่อวัน ต้องการโดนแดดในช่วงเช้า แต่ใบจะไหม้หากโดนแดดนานเกินไป ซึ่งหากเราอยู่ในวัยเรียนหรือทำงานก็คงไม่มีเวลาพาต้นไม้เข้าออกห้องได้ทุกวัน

เผื่อพื้นที่รอบข้างสำหรับการเติบโต

ต้นไม้โตได้และอาจโตไวกว่าที่เราคิด อย่าลืมเหลือพื้นที่ให้ต้นไม้เติบโตตามแบบของมัน ทั้งไม้ยืนต้นที่ต้องเติบโตขึ้นไปในแนวดิ่ง หรือไม้เลื้อย ไม้พุ่ม ที่อาจเติบโตแบบออกด้านข้าง เตรียมพื้นที่ว่างให้มันได้แผ่ขยายตัวเองออกไป เก็บของบริเวณนั้นให้ห่างไกลจากต้นไม้ เพราะถ้าหากมันโตแล้วดันไปติดชั้นวางของข้างบน ชั้นหนังสือ หรืออะไรก็ตามที่ขวางทาง อาจทำให้ต้นไม้เสียทรงไปเลยก็ได้

เก็บห้องก่อนเลย

อยากมีต้นไม้ แต่ต้นไม้ไม่มีที่วาง ลำพังที่จะเดินก็ยังไม่มี (ห้องหนุ่มโสดนี่หว่า) ก่อนเอาเข้าห้องเล็งมุมที่อยากจะวางไว้ก่อนเลย แล้วลงมือเก็บของแถบนั้นให้เป็นระเบียบ ไม่มีของระเกะระกะในรัศมี 30 เซนติเมตร เหตุผลแรกคือจะได้มีพื้นที่วาง  คำนวณเพิ่มเผื่อพื้นที่ของกระถาง ที่สำคัญไม่ควรมองข้ามเรื่องการรดน้ำ เวลารดอาจกระเซ็นบ้างนิดหน่อย รวมทั้งอาจมีเศษดินกระเด็นออกจากกระถางเวลารดน้ำด้วย ดังนั้น หากไม่อยากให้ของในห้องโดนน้ำหรือเศษดินไปแบบน่าเสียดาย  เก็บของที่เสียหายได้ให้มิดชิด และห่างไกลจากรัศมีต้นไม้

อยากได้ของตกแต่ง แต่อย่าลืมว่าต้นไม้ก็คือสิ่งมีชีวิตที่ต้องได้รับการดูแล เช่นเดียวกับคนเรานี่แหละ

เช้าแล้วแต่เศร้าจนอยากไม่อยากลุกจากที่นอนหรือเปล่า? ถ้าใช่ ลองวิธีต่อไปนี้

$
0
0

ในบางครั้งเราอาจรู้สึกโดดเดี่ยวและคิดว่ามีเพียงแค่เราเท่านั้นที่ไม่สามารถจัดการกับความรู้สึกแย่และผิดหวังให้ออกไปจากใจได้ แต่แท้จริงแล้วในโลกใบนี้มีคนมากกมายกำลังเผชิญกับความรู้สึกด้านลบและพยายามกำลังจัดความรู้สึกแย่ ๆ ออกไปอยู่เช่นกัน ดังนั้น UNLOCKMEN จึงอยากตบบ่าแนะนำวิธีที่จะทำให้คนที่กำลังเผชิญหน้ากับความเครียด ความเศร้าและความรู้สึกแย่ ๆ ให้สามารถผ่านมันไปให้ได้

เพราะโลกไม่ได้มีเพียงเราแค่คนเดียวที่กำลังเครียด จากการสำรวจในงานวิจัยชิ้นหนึ่งพบว่าชาวอเมริกันจำนวนกว่า 16 ล้านคน ไม่สามารถจัดการกับความรู้สึกแย่ ๆ ได้ และจากความเครียดที่ต้องเผชิญจึงทำให้โรคซึมเศร้ากลายเป็นอาการทางจิตเวชที่พบมากเป็นอันดับหนึ่งในสหรัฐ ฯ

บุคคลที่ทางการแพทย์ให้คำนิยามว่าเป็น โรคซึมเศร้า จะมีอาการหลายอย่างที่แสดงออกมาอย่างเช่น ความเครียด ความเศร้า ไม่อยากทำอะไร ไม่อยากเคลื่อนไหวร่างกายมากนัก หรือลดความสนใจในกิจกรรมที่เคยชื่นชอบ ไม่อยากอาหาร รวมถึงนอนหลับไม่สนิท

บางคนอาจจะยังไปไม่ถึงคำว่าโรคซึมเศร้า หากมีความเครียดอยู่ในหัวตลอดไม่ว่าจะมากหรือน้อยก็ตาม การใช้ชีวิตในแต่ละวันจะมีความยากลำบากมากขึ้น อย่างเช่นการสะบัดผ้าห่มแล้วลุกออกจากเตียงอาจกลายเป็นสิ่งที่ทำได้ยาก และความเครียดจะก่อให้เกิดความรู้สึกว่าไม่พร้อมก้าวออกจากเตียงเพื่อเผชิญหน้ากับสิ่งต่าง ๆ ในแต่ละวัน

เพราะมวลความเครียดที่กระจายอยู่ทั่ว ผู้เชี่ยวชาญทางด้านสุขภาพจิตหลายคนจึงได้แบ่งปันเคล็ดลับที่จะทำให้ผู้ที่มีความเครียดหรือความกังวลใจสามารถเริ่มต้นวันใหม่ได้อย่างราบรื่น

 

วางแผนล่วงหน้าก่อนลุกจากเตียง

หากวันไหนเริ่มรู้สึกว่ากลุ่มก้อนความสิ้นหวังกำลังคืบคลานเข้ามาใกล้ตัวมากขึ้นเรื่อย ๆ การสำรวจอารมณ์ของตัวเองในตอนเช้ารวมถึงวางแผนเตรียมรับมือกับสิ่งที่กำลังจะเจอเมื่อลุกจากเตียงคือการเริ่มต้นที่ดี เช่น การตั้งปลุกล่วงหน้าอย่างน้อยหนึ่งชั่วโมงก่อนที่จะตื่นขึ้นจริง ปกติเราอาจตื่นตอน 8 โมงเช้า ก็ให้เปลี่ยนไปตั้งปลุกเป็น 7 โมง และลุกออกจากเตียงอีกหนึ่งชั่วโมงให้หลัง

Harben Bradford นักจิตวิทยาในรัฐจอร์เจียกล่าวว่า การตั้งเวลาตื่นล่วงหน้าหนึ่งชั่วโมงจะทำให้เรามีเวลาในการสร้างความรู้สึกผ่อนคลายมากขึ้น เพราะหากตื่นตามเวลาปกติทุกอย่างจะต้องรีบเร่งเหมือนเคย ต้องรีบอาบน้ำ แต่งตัว กินข้าว ออกเดินทางไปเรียนหรือทำงาน ความยุ่งเหยิงตั้งแต่เช้าจะทำให้อารมณ์ขุ่นมัวไปทั้งวันได้อย่างง่ายดาย และนั่นไม่ใช่เรื่องที่ดีเพราะระดับความเครียดจะพุ่งสูงขึ้นเรื่อย ๆ โดยไม่รู้ตัว

การตื่นเช้าก่อนเวลาที่ตื่นเป็นปกติอาจจะเป็นเรื่องที่ดูทำได้ยากและไม่น่าจะลดความเครียดได้ แต่นักจิตวิทยาก็ยืนยันอย่างหนักแน่นว่าวิธีนี้สามารถสร้างแต้มต่อทางอารมณ์ที่ดีในแต่ละวันได้จริง

 

บางครั้งการใจดีกับตัวเองบ้างก็ไม่ใช่เรื่องเสียหาย

เมื่อเวลาล้มตัวลงนอน ในบางครั้งอาจเกิดความรู้สึกเห็นอกเห็นใจตัวเองได้ คิดว่าตัวเองนั้นควรจะได้อะไรดี ๆ กับเขาบ้าง หากวันไหนล้มตัวลงนอนแล้วเกิดความรู้สึกแบบนี้นั้นคือสัญญาณที่ดี

Barbara Markway นักจิตวิทยาจาก St. Louis และผู้เขียนหนังสือการสร้างความรู้สึกเชื่อมั่นและเห็นคุณค่าในตัวเองอย่าง The Self-Confidence Workbook: A Guide to Overcome Self-Doubt กล่าวว่า เธอเข้าใจว่ามันยากแค่ไหนที่จะลุกจากเตียงในแต่ละวัน แต่ก็ไม่อยากให้ใครต้องหดหู่ หนึ่งสิ่งที่จะช่วยกำจัดความรู้สึกแย่ได้คือการรู้สึกภูมิใจในตัวเอง บอกกับตัวเองว่าเราทำดีแล้วและครั้งต่อไปมันจะต้องดีแบบนี้ไปเรื่อย ๆ และเลิกโทษตัวเอง

รวมถึงการให้รางวัลกับตัวเองบ้างในบางครั้งสามารถสร้างสุขภาพจิตที่ดีได้ อย่างเช่นการให้รางวัลตัวเองด้วยการออกไปทานอาหารร้านโปรด ซื้อของหัวตัวเอง ถึงแม้จะต้องเสียเงินแต่ความรู้สึกที่ได้สิ่งที่ต้องการจะช่วยทำให้ลดความเครียดลงได้ เพราะการมีน้ำใจต่อตัวเองเพียงเล็กน้อยนั้นต้องดีกว่าการกล่าวโทษตัวเองอย่างแน่นอน

 

คิดในแง่บวก

แน่นอนว่าเมื่อได้อ่านข้อความที่เขียนว่าให้คนที่เจอกับความเครียดคิดในแง่บวก ก็อาจจะเกิดความรู้สึกติดลบและคิดว่ามันเป็นสิ่งที่พูดง่ายทำยาก แต่ถ้าหากอยากพาตัวเองออกจากความเครียดและความผิดหวังแล้วล่ะก็ ไม่ว่าอย่างไรสิ่งที่ต้องทำให้ได้ก็คือการคิดบวกนี่แหละ

การสร้างความรู้สึกในเชิงบวกสามารถทำได้โดยการจดบันทึกและทำสมาธิ (ที่ฟังดูน่าเบื่อแต่ใช้ได้จริง) เพราะการจดบันทึกและทำสมาธิคือวิธีที่ดีที่สุดในการเข้าถึงอารมณ์ของตัวเอง Arille Schwarz นักจิตวิทยาในรัฐโคโลราโดกล่าวว่า ในบางครั้งสมองจะสั่งการให้จดจำเรื่องราวที่น่าเศร้าได้ง่ายกว่าจดจำเรื่องราวดี ๆ

แต่เราก็สามารถดึงความทรงจำดี ๆ ออกมาได้และเมื่อเราจดบันทึกเกี่ยวกับความทรงจำที่ดีรวมถึงทำสมาธิ การดึงความทรงจำเรื่องราวที่น่าประทับใจในวันเก่าก่อนก็จะเป็นเรื่องง่ายขึ้นเรื่อย ๆ  และสามารถช่วยยกระดับอารมณ์ได้

 

ออกกำลังกายสลายความเครียด

หลากหลายงานวิจัยเขียนไปในทิศทางเดียวกันว่าการออกกำลังกายสามารถลดความเครียดและช่วยรักษาอาการโรคซึมเศร้าได้จริง แต่ถ้าอยู่ ๆ จะให้ลุกจากเตียงแล้วไปวิ่งลู่อย่างดุเดือดก็คงจะไม่ดีนัก Shawna Murray นักจิตอายุรเวทและแพทย์ด้านจิตเวชในบัลติมอร์ได้ให้คำแนะนำที่น่าสนใจว่า ให้ลองเริ่มจากอะไรง่าย ๆ อย่างการออกไปเดินเลย หรือเสริมด้วยการเปิดเพลงโปรดที่มีจังหวะเร็ว ๆ  จะทำให้เราสามารถรู้สึกดีได้

เป็นเรื่องแปลกแต่จริงที่การทำสมาธิรวมทั้งการเคลื่อนไหวสามารถยกระดับจิตวิญญาณจากการขยับร่างกายให้สอดคล้องตามจังหวะเพลง การบังคับพลังงานและอารมณ์ของตัวเองไปในทิศทางที่ถูกต้องสามารถทำให้เห็นมุมมองของโลกใบใหม่ที่แตกต่างไปจากเดิม ดังนั้น หากในวันหยุดไม่มีแพลนจะทำอะไร แทนที่จะนอนติดเตียงด้วยอารมณ์ขุ่นมัว ลองลุกมาออกกำลังกายดูก็ไม่ใช่เรื่องเสียหาย

 

รู้ว่าเวลาไหนควรคุยกับใครสักคน หรือควรที่จะอยู่คนเดียว

ไม่จำเป็นจะต้องเป็นนักจิตวิทยาหรือแพทย์เท่านั้น แต่คนที่มีความเครียดสามารถเริ่มต้นพูดคุยด้วยการโทรหาคนที่มอบพลังงานบวกให้กับคุณในตอนเช้าก็จะสร้างแรงกระตุ้นที่ดีได้ แต่นอกจากจะพูดคุยแล้วในบางครั้งการอยู่คนเดียวก็จะช่วยปรับระดับอารมณ์ของเราได้เช่นกัน

Calla Jo นักจิตวิเคราะห์และนักสังคมสงเคราะห์ในนิวยอร์กกล่าวว่าการมีคนคอยฟังและอยู่ข้าง ๆ สามารถทำให้เราและคนรอบข้างสามารถตรวจสอบอารมณ์ความรู้สึกของกันและกันได้

แต่การอยู่คนเดียวก็สามารถสร้างสุขภาพจิตที่ดีได้เช่นกัน เพราะบางครั้งความเครียดก็อาจเกิดจากคนรอบตัว (ครอบครัวหรือเพื่อน) ที่ไม่เข้าใจสิ่งที่เรากำลังรู้สึก และคาดหวังให้เราต้องอารมณ์ดีตลอดเวลาซึ่งมันทำไม่ได้ง่าย ๆ เวลาที่คนเริ่มปรึกษากับคนใกล้ชิดจะได้คำตอบกลับมาว่า “สู้ ๆ นะ” หรือ “เดี๋ยวก็หาย” ซึ่งประโยคสั้น ๆ เหล่านี้สร้างความรู้สึกตะขิดตะขวงใจแทนที่จะรู้สึกดี เพราะความรู้สึกด้านลบที่มีอยู่แล้วจะทำให้คิดว่า คนที่บอกให้เราสู้และก้าวต่อไปไม่เข้าใจความเครียดที่เรากำลังเผชิญอยู่เอาเสียเลย

อย่างไรก็ตามการกำจัดความเศร้านั้นในแต่ละคนอาจจะมีวิธีที่แตกต่างกันไป การแบ่งเวลาที่เร่งรีบในแต่ละวันเพื่อลองทำความรู้จักตัวเองอีกครั้งอาจจะได้เห็นความสุขที่เคยมองข้ามไปก็เป็นได้

 

SOURCE

เมื่อ GUCCI จับลูกหมูสามตัวมาอยู่บนเครื่องแต่งกายร่วมฉลองเทศกาลตรุษจีน

$
0
0

ผู้ชายไทยอย่างเรารู้ดีว่าปีนี้คือปีหมู แต่ใช่ว่าคนทั้งโลกจะรู้ไปกับเราด้วยเพราะชาติตะวันตกนั้นไม่ได้มีการนับปีตามปฏิทินนักษัตรเหมือนอย่างประเทศในทวีปเอเชียตะวันออก แต่ถ้าเป็นเรื่องของแฟชั่นนั้นย่อมไม่มีคำว่าขอบเขตหรือเชื้อชาติ เพราะ Gucci แบรนด์แฟชั่นระดับโลกก็อินกับปีหมูและออกคอลเลกชันเพื่อต้อนรับเทศกาลปีใหม่จีนด้วยการนำหมูมาอยู่ในงานดีไซน์ได้อย่างลงตัว

Gucci

Gucci ภายใต้การนำของ Alessandro Michele ดีไซเนอร์หนุ่มมากความสามารถที่มีแนวคิดไม่เหมือนใคร ได้หยิบตัวการ์ตูนชื่อดังตั้งแต่สมัย 1993 อย่าง Three Little Pigs หรือที่คนไทยรู้จักกันได้ในชื่อ ลูกหมูสามตัว จากค่ายการ์ตูนชื่อดังอย่าง Disney นิทานเก่าแก่ที่ยังคงอยู่ในทุกยุคทุกสมัยมาสร้างสรรค์เป็นผลงานแฟชั่นได้อย่างสนุกสนาน

เพราะปีนี้คือปีหมู และ Alessandro Michele คือแฟนคลับตัวยงของ Disney เขาจึงไม่พลาดที่จะหยิบเรื่องราวของลูกหมูสามตัวที่บอกเล่าเรื่องราวของความขยันและขี้เกียจมาปัดฝุ่นใหม่อีกครั้งโดยการนำลูกหมูทั้งสามตัวมาอยู่บนเสื้อผ้าในคอลเลกชั่น Ready-to-Wear ทั้งเสื้อผ้าสำหรับสุภาพบุรุษและสุภาพสตรีเพื่อต้อนรับเทศกาลปีใหม่จีนที่กำลังจะมาถึง

Gucci

สำหรับลายปัก Three Little Pigs หรือลูกหมูสามตัวจะถูกปักไว้บนไอเทมต่าง ๆ ของคอลเลกชันนี้ ไม่ว่าจะเป็นกระเป๋าสตางค์ กระเป๋าสะพาย แว่นกันแดด ผ้าพันคอ หมวก นาฬิกาข้อมือ หรือกระเป๋าสุดคูลที่ผู้ชายคอแฟชั่นควรมีอย่าง Beanie Tote Bag

รวมไปถึงเสื้อผ้าที่ขนกันมาทุกแบบทุกสไตล์ ทั้งเสื้อโปโล เสื้อเชิ้ต รวมถึงเสื้อแจ๊คเก็ตที่ปัก และไฮไลต์อย่างรองเท้าสนีกเกอร์ยอดฮิตของแบรนด์อย่าง Ace ที่เปลี่ยนความเรียบง่ายให้เป็นความเท่เฉพาะตัวด้วยเจ้าลูกหมูสามตัวที่แปะทับลายสัญลักษณ์แถบสามสีของ Gucci ซึ่งนอกจากเพื่อจุดประสงค์หลักอย่างการต้อนรับเทศกาลตรุษจีนที่ใกล้เข้ามาทุกทีแล้ว เจ้าลูกหมูสามตัวยังมีหน้าที่เพื่อสร้างรอยยิ้มและอารมณ์ขันให้กับผลงานของ Gucci อีกด้วย

Gucci

ไม่น่าเชื่อว่าเจ้าลูกหมูสามตัวที่ดูน่ารักจากนิทานที่ได้ฟังในสมัยเด็กจะสามารถเข้ากับแฟชั่นของผู้ชายได้ แต่ Gucci ได้ทำให้เห็นแล้วว่าเรื่องในวัยเด็กก็สามารถผสมผสานความเท่ได้อย่างน่าประทับใจ

Gucci ภายใต้การนำของ Alessandro Michele ผู้ที่พลิกเกมให้ Gucci เข้ามาทวงบัลลังก์ในโลกแฟชั่นอีกครั้ง จากครั้งก่อนที่สร้างความประทับใจกับความโรแมนติกในยุคศตวรรษที่ 19 นั้นสร้างสีสันให้กับวงการแฟชั่นได้อย่างต่อเนื่อง และในครั้งนี้เขาก็สร้างสรรค์ผลงานที่ไม่เหมือนใครอีกครั้ง

สำหรับใครที่สนใจคอลเลกชันรับปีใหม่จีนนี้สามารถเข้าไปดูได้ที่ GUCCI CHINESE NEW YEAR CAMPAIGN

Viewing all 7776 articles
Browse latest View live