Quantcast
Channel: Unlockmen
Viewing all 7776 articles
Browse latest View live

เรื่องราวแห่งความสำเร็จตลอด 10 ปีของนวัตกรรมเรือนเวลารุ่น PanoInverse ด้วยดีไซน์ที่แตกต่างและความซับซ้อนเชิงเทคนิค

$
0
0

ปี ค.ศ. 2008 กลาสฮุตเตอ ออริกินาล (Glashütte Original) เปิดตัวศิลปะแห่งเรือนเวลาสุดพิเศษรุ่นพาโนอนิ เวิร์ส เอ็กแอล (PanoInverse XL) ที่เผยให้เห็นถึงความงดงามด้านใน ที่โชว์ชุดปรับสวอน-เนคแบบคู่ (Duplex Swan-neck Fine Adjustment) ให้เห็นอย่างชัดเจนบนหน้าปัดนาฬิกา จนกลายเป็นเอกลักษณ์อันโดดเด่น ทุกวันนี้มีนาฬิกาจากคอลเล็คชั่นพาโน (Pano) ทั้งหมด 2 โมเดลที่ยังคงตอกย้ำ ถึงเรื่องราวแห่งความสำเร็จจากจุดเริ่มต้นของพาโนอินเวิร์ส เอ็กแอลตั้งแต่ปี ค.ศ. 2008

ดีไซน์ที่แตกต่าง และความซับซ้อนเชิงเทคนิค

ความสวยงามของเรือนเวลาจากกลาสฮุตเตอ ออริกินาลมีหลากหลายด้าน ไล่ตั้งแต่ดีไซน์สวยงามไม่เคยตกยุค การใช้วัสดุที่ล้ำค่าและความสลับซับซ้อนที่แสดงผ่านรูปลักษณ์ และเทคนิค รวมไปถึงความปราณีตบรรจงในการรังสรรค์กลไกของนาฬิกา

ในปีค.ศ. 2008 ด้วยวิธีการสลับด้านของกลไกในหลาย ๆ ส่วน ทำให้บาลานซ์บริดจ์ (Balance Bridge) แกะสลักบนระบบชุดปรับถูกนำขึ้นมาแสดงบนหน้าปัดนาฬิกาได้เป็นครั้งแรก ทั้งที่โดยปกติแล้วระบบดังกล่าวจะสามารถมองเห็นได้ผ่านกระจกคริสตัลแซฟไฟร์ด้านหลังเท่านั้น

และด้วยการสไตล์การออกแบบแบบเยื้องศูนย์ (Off-centre Design) ของคอลเล็คชั่นพาโน ทำให้การจัดวางระบบชุดปรับสวอน-เนคแบบคู่ที่ถูกกคิดค้นโดยกลาสฮุตเตอ ออริกินาล เป็นไปได้อย่างลงตัวไร้ที่ติ โดยระบบชุดปรับนี้มีไว้เพื่อช่วยปรับแต่งอัตราและการแกว่งตัว ในขณะทำงานของกลไกนาฬิกาให้เป็นไปได้อย่างเที่ยงตรงแม่นยำ

ความสวยงามที่โดดเด่นของระบบดังกล่าวนี้เองเป็นแรงบันดาลให้วิศวกร และนักออกแบบทำการปรับปรุงกลไกไขลานรหัส 66 ขึ้นใหม่ โดยพยายามวางตำแหน่งระบบชุดปรับสวอน-เนคแบบคู่ที่มีลักษณะคล้าย “ผีเสื้อ” เป็นจุดดึงความสนใจบนหน้าปัด และเพื่อจะทำให้ความคิดดังกล่าวกลายเป็นเรื่องจริง กลไกหลายจุดต้องถูกปรับปรุง อีกทั้งพัฒนาส่วนประกอบบางส่วนขึ้นมาใหม่ อาทิ เพลท (Plate) ทั้งสามชิ้นรวมถึงจักรของกลไกล และพลังงานสำรอง

ความงดงามจากด้านใน และด้านนอก

การกลับกลไกด้านหลังของนาฬิกามาแสดงบนหน้าปัดของกลาสฮุตเตอ ออริกินาล นั้นประสบความสำเร็จเป็นอย่างสูง จึงทำให้ช่วงปีค.ศ. 2010 นาฬิการุ่นพาโนอินเวิร์ส เอ็กแอล มีการเปิดตัวเวอร์ชั่นสเตนเลสสตีลมาเพิ่มจากเวอร์ชั่นไวท์โกลด์ และโรสโกลด์ที่เปิดตัวไปก่อนหน้า โดยหน้าปัดยังเต็มไปด้วยรายละเอียดอันสวยงามของเพลทแบบทรี-ควอเตอร์ (Tree-quarter Plate) และบริดจ์รูปผีเสื้อที่ทำหน้าที่เสมือนฐานรองให้แก่ระบบควบคุมความเที่ยงตรงที่มาพร้อมกับสกรูบาลานซ์ (Screw Balance) ทองคำ

อีกสองปีให้หลัง ช่วงปีค.ศ. 2012 นาฬิการุ่นใหม่ในขนาดที่ใหญ่ขึ้น เป็น 42 มม.อีกสองรุ่นก็ได้เปิดตัวตามมา ได้แก่ เรือนไวท์โกลด์พร้อมเข็มบอกเวลาสีน้ำเงินบลูสตีล (Blue Steel) ที่เป็นรุ่นลิมิเต็ด อิดิชั่น ผลิตเพียง 200 เรือน และเรือนสเตนเลสสตีลประดับวงแหวนสีดาบนหน้าปัด ที่ยังคงอยู่ในคอลเล็คชั่น มาจนถึงปัจจุบัน โดยแสดงกลไกขึ้นลานด้วยมือรหัส 66-06 อย่างสง่างาม

กลาสฮุตเตอ ออริกินาลได้นำแนวทางการออกแบบดังกล่าวมาต่อยอดอีกครั้งในปีค.ศ. 2014 โดยได้นำเสนอนาฬิการุ่นพาโนเมติกอินเวิร์ส (PanoMaticInverse) ที่ใช้กลไกอัตโนมัติรหัส 91-02 ที่พัฒนาขึ้นมาใหม่โดยสามารถสำรองพลังงานได้ 42 ชม. นาฬิกามีขนาด 42 มม. บริเวณหน้าปัดแสดงเวลาชั่วโมง นาที และวินาทีแบบเยื้องศูนย์อันเป็นเอกลักษณ์

นาฬิการุ่นรุ่นพาโนเมตกิ อินเวิร์สนี้เต็มไปด้วยรายละเอียดของศิลปะแห่งเรือนเวลาระดับสูง อาทิ น็อตบลูสกรู (Blued Screws) และทับทิมที่ประดับอยู่บนเพลทแบบทรี-ควอเตอร์โรเดียมขัดลายกลาสฮุตเตอสไตรปส์ (Glashütte Stripes) เข็มบอกเวลาสีน้ำเงินบลูสตีลเคลือบด้วยสารเรืองแสง จานแสดงวันที่แบบพาโนรามาเดท (Panorama Date) และระบบชุดปรับสวอน-เนคแบบคู่บริเวณสกรูบาบลานซ์ที่เปรียบเสมือนหัวใจของเรือนเวลาถูกออกแบบให้มองเห็นได้อย่างชัดเจนโดยอยู่ด้านล่างของบาลานซ์บริดจ์ ที่ถูกแกะสลักอย่างสวยงาม


ปีใหม่ต้องได้ภาษาใหม่ “กลยุทธ์เรียนภาษาเห็นผลไว”พัฒนาได้ใน 6 เดือน

$
0
0

ขึ้นปีใหม่บรรยากาศแห่งการเริ่มต้นใหม่และการพัฒนาตัวเองทั้งทางด้านร่างกาย จิตใจและทักษะก็อบอวลไปทั่ว ทักษะอย่างหนึ่งที่ผู้ชายหลายคนนึกอยากคว้ามาประดับตัวทุก ๆ ครั้งที่ปีใหม่มาถึงก็คือ “ทักษะทางด้านภาษา”

ในโลกที่ผู้คนเชื่อมถึงกันอย่างง่ายดาย โลกทั้งใบเหลือแคบนิดเดียว การได้ภาษายิ่งมากก็ยิ่งได้เปรียบ เราจึงมักตั้งปณิธานกับตัวเองไว้ว่าปีใหม่นี้ต้องเรียนภาษาใหม่ ๆ กับเขาเพื่อเพิ่มโอกาสให้กับตัวเอง แต่วิธีเรียนกับตัวเองวิธีไหนที่จะได้ผล ? แล้วยิ่งรับรองว่าได้ผลภายใน 6 เดือนอีก ? มีวิธีนั้น! แถมเป็นคำแนะนำจากนักภาษาศาสตร์

Chris Lonsdale คือนักภาษาศาตร์ชาวนิวซีแลนด์ ผู้พยายามควานคว้าหาคำตอบที่เราก็ถามตัวเองอยู่ทุกวันคือ “เรียนภาษาอย่างไรให้ได้เร็วขึ้นและได้ผล” โชคดีที่เขาใช้เวลาเฟ้นหาคำตอบจนออกมาเป็นกลยุทธ์ต่อไปนี้

ฟังไว้ก่อน เดี๋ยวดีเอง

เราล้วนเติบโตมาในสิ่งแวดล้อมที่ทำให้เราเขาใจว่าการพัฒนาหรือการเรียนต้องผูกอยู่กับการเขียนการอ่านซึ่งดูเป็นรูปธรรม หลายครั้งที่การเรียนภาษาที่ 2 หรือ 3 ของเราจึงมักเริ่มต้นด้วยการจับปากกา อ่านตำรา ทั้ง ๆ ที่วิธีพื้นฐานอย่างการฟังนี่แหละที่ไม่ควรมองข้าม

การฟังคือทักษะพื้นฐานเริ่มแรกในการเรียนภาษาของมนุษย์ และถือเป็นหัวใจสำคัญ (นึกถึงตอนคุณยังเด็กแล้วเริ่มเรียนรู้ภาษาไทย คุณว่าคุณเริ่มอ่านเขียนก่อน หรือฟังก่อน?) โดยวิธีที่นักภาษาศาสตร์แนะนำก็คือฟังไปเถอะ ฟังไปเรื่อย ๆ เหมือนเอาน้ำสาดเข้าผนัง แต่นี่คือการสาดความรู้ใส่สมอง ไม่ว่าภาษาอะไรที่เราเลือกเรียนให้เปิดเพลง เปิดวิทยุ เปิดพอดแคสต์ ฯลฯ ของภาษานั้น ๆ แล้วฟังให้มากที่สุด

เข้าใจไม่เข้าใจไม่เป็นไร ยังไม่ต้องกังวลเรื่องคำศัพท์ ความหมายใด ๆ เราฟังเพื่อเข้าใจจังหวะ น้ำเสียง รูปแบบของภาษานั้น ๆ ซึ่งเป็นรากฐานที่สำคัญที่เรามักมองข้าม

จดจ่อที่การสื่อสารให้เข้าใจก่อน

เวลาเราพูดภาษาที่สองอย่างภาษาอังกฤษ เทียบกันระหว่างคุยแบบเห็นหน้าตัวต่อตัวกับตอนคุยโทรศัพท์ รู้สึกไหมว่าตอนคุยโทรศัพท์เราจะกังวลมากกว่า รู้สึกว่าสื่อสารได้เข้าใจน้อยกว่า ? นั่นเป็นเพราะการที่เราจะเรียนรู้ เข้าใจและใช้ภาษานั้น ๆ ได้จริง มันไม่ได้แปลว่าเราต้องจดจ่อแต่การเรียนในตำรา แต่การสื่อสารให้เข้าใจนั่นแหละที่สำคัญมาก

เพราะการสื่อสารประกอบขึ้นจากหลายองค์ประกอบ นอกจากตัวภาษาเอง ยังมีน้ำเสียง จังหวะที่พูด สีหน้า ไปจนถึงท่าทางร่างกาย หลายครั้งที่เราพูดภาษาใดภาษาหนึ่งไม่คล่อง แต่การได้สนทนากันตรงหน้าและคาดเดาเอาจากน้ำเสียง สีหน้า ท่าทางและภาษากาย จึงช่วยให้เราเข้าใจได้มากขึ้น

ดังนั้นถ้ามีโอกาสได้ลองฝึกสนทนาในภาษาที่เรากำลังเรียนอย่ามัวโฟกัสว่าเราไม่รู้ศัพท์เลย ความหมายของรูปประโยคนี้คืออะไร แต่ให้ปล่อยตัวสบาย ๆ ไหลไปกับจังหวะ สีหน้า ท่าทาง แล้วการสื่อสารจะราบรื่นกว่าที่เคย

ฝึกผสมคำศัพท์

อย่ามัวรอให้ตัวเองรู้คำศัพท์ของภาษานั้นเป็นร้อยเป็นพันแล้วค่อยเริ่มเรียนภาษา เพราะกว่าจะถึงตอนนั้นมันอาจจะสายก่อนไป การเรียนภาษาไม่ใช่ขั้นตอนที่ใครกำหนดว่าต้องมีคลังคำศัพท์ในหัวมากพอถึงจะเริ่มฟังพูดอ่านเขียนได้

ตอนเรายังอายุ 2-4 ขวบ คลังคำศัพท์ภาษาไทยของเราก็มีไม่มากเท่าไหร่ แต่ในไม่กี่คำพื้นฐานที่เรารู้ เราสามารถนำมันมาผสมกันจนกลายเป็นโยคสื่อสารได้สารพัดรูปแบบอย่างไม่น่าเชื่อ

การเรียนภาษาอื่นให้ได้ผลก็เช่นกัน เราอาจจะรู้คำนามสัก 10 คำ คำกริยา 10 คำและคำคุณศัพท์ในจำนวนเท่า ๆ กัน แค่นี้เราก็สามารถผสมคำศัพท์เหล่านี้สลับที่ไปมาจนกลายเป็นประโยคพันประโยคได้แล้ว ดังนั้นอย่ามัวรอให้รู้มาก เริ่มเลยตอนนี้ ผสมคำศัพท์ที่มีในหัว พูดกับตัวเองบ้าง พูดในใจบ้าง เขียนลงบันทึกประจำวันสั้น ๆ บ้าง ไม่ยากเกินไปแน่นอน

ขยับสู่คำศัพท์จำนวนที่มากกว่า

ถ้าคำศัพท์ 10 คำจากแต่ละชนิดคำทำให้เราสามารถสร้างประโยคเพื่อพูดได้เป็นพันประโยค จินตนาการว่าถ้าเรามีคำศัพท์เพิ่มจำนวนเป็นหลักหลายสิบหลายร้อย นอกจากเราจะพูดได้เป็นพันเป็นหมื่นประโยคแล้ว เราจะเริ่มเข้าใจรูปประโยค เข้าใจว่าใครพูดอะไรมากขึ้นตามไปด้วย

สำหรับภาษาอังกฤษ ถ้าคุณรู้คำศัพท์เพียง 1,000 คำ (ใช้คำว่าเพียง 1,000 เพราะไม่ว่าจะศัพท์ง่ายแค่ไหน Cat, Dog, Fan เราก็นับหมด) เราจะสามารถเข้าใจภาษาอังกฤษได้ราว ๆ 85% ของประโยคทั่ว ๆ ไปในชีวิตประจำวัน ในขณะที่ถ้าเรารู้ศัพท์ 3,000 คำ เราจะเข้าใจ 98%

ดังนั้นฟังเยอะ ๆ ดูเยอะ ๆ อ่านบ้าง เพื่อเก็บเกี่ยวจำนวนคำศัพท์เข้าหัวและเข้าใจหัวใจของภาษานั้น ๆ ได้ดีขึ้น

ภาษาต้องการคุณพ่อ คุณแม่

มันจะดีมากถ้าเรามีใครสักคนที่รู้ภาษาที่เรากำลังเรียนอยู่ในระดับที่สามารถช่วยดูแลและเป็นพื้นที่ปลอดภัยให้เราได้ เทียบกับตอนเราเป็นเด็กเหมือนเดิม เราเริ่มจากการฟัง พูด และรู้ศัพท์ไม่กี่คำ แต่จากการผสมคำจนเป็นประโยคไม่กี่ประโยคเราสามารถพัฒนาอย่างก้าวกระโดดได้ด้วยการที่พ่อแม่หรือคนที่ดูแลเราคอยช่วยเหลือ

เด็กน้อยพูดไม่เก่งมีพ่อแม่คอยโต้ตอบกลับ บอกเราว่าคำนี้ต้องออกเสียงแบบนี้ ถ้าต้องการน้ำต้องพูดแบบนี้ ถ้าอยากเข้าห้องน้ำต้องพูดแบบนี้ เราจะเรียนรู้แถมเป็นการเรียนรู้ในบรรยากาศที่ปลอดภัย ไม่กลัวผิด ไม่กลัวที่จะลอง ไม่กลัวที่จะถาม ซึ่งการมี language parent นี้ต่างจากการเรียนในห้องเรียนที่เรามักจะกลัวครูดุ กลัวเพื่อนล้อ กลัวโดนหักคะแนน

ฉะนั้นหาเพื่อนที่พูดภาษานั้นได้ แฟนสักคน หรือใครที่เรารู้สึกว่าคนนี้เป็นพื้นที่ปลอดภัย ไม่กลัวผิด กล้าที่จะลองได้อย่างไม่เขินอาย

รูปปาก วิธีการออกเสียงก็สำคัญ

บางภาษาที่เราเลือกเรียนมันห่างไกลจากความคุ้นเคยทางภาษาของเราไปไกลพอสมควร เช่น บางเสียงไม่มีในภาษาไทย บางรูปแบบการพ่นลมไม่มีในภาษาไทย (หรือภาษาอังกฤษที่เราพอคุ้นอยู่บ้าง)

อีกหนทางการเรียนรู้ได้ไวเพื่อให้เราใช้ภาษานั้นได้คล่องง่ายขึ้นกว่าเดิมก็คือการสังเกตว่าคนที่พูดภาษานั้น ๆ เขาพูดกันอย่างไร ทำรูปปากอย่างไร (เช่นบางคำต้องห่อปาก ต้องเอาลิ้นออกมามาก ออกมาน้อย)

การที่เราสังเกต จดจำ และนำไปใช้เมื่อเราต้องพูดเองโดยพยายามเลียนแบบให้มากที่สุดจะทำให้เราคุ้นชินกับการพูดภาษานั้น ๆ ได้ดีขึ้น เวลาเราจะพูดภาษานั้นรูปปากเราจะทำให้ง่ายต่อการออกเสียงโดยอัตโนมัติโดยเราไม่ต้องพยายาม

ต่อให้ติดด้วยรูปภาพ

การท่องจำด้วยการเขียนย้ำ ๆ ทำให้เราจำคำศัพท์ในรูปแบบตัวอักษรซึ่งมักเป็นกันมากเวลาเรียนภาษาใหม่ ๆ แต่ให้ลองนึกดูว่าถ้าเราพูดคำว่า แมว ในภาษาไทย เราเห็นภาพอะไรในหัว ? เมื่อพูดคำว่าแมว เราก็มักเห็นภาพแมวโผล่ขึ้นมา เราไม่ได้จำแมวเป็นสระแอ-ม.ม้า-ว.แหวน เราถึงจำมั่นได้แม่น เห็นแมวก็รู้เลยว่านี่คือแมว

การใช้คำศัพท์โดยเชื่อมโยงไปที่ภาพจึงตรึงอยู่กับเราและสร้างความเข้าถึง เข้าใจที่แท้มากกว่าการจำหรือท่องแค่ว่าคำนั้นสะกดอย่างไร ดังนั้นอีกหนทางเรียนรู้ได้ไวคือการพยายามจำคำศัพท์นั้นคู่กับการนึกภาพในหัวให้ได้ รับรองว่าถ้าทำได้จะเรียนรู้ได้ไวกว่าแสง

การเรียนภาษาใหม่ ๆ อาจจะเป็นเรื่องที่ดูท้าทายความสามารถมากจนผู้ชายอย่างเรากลัว ไม่กล้าแม้แต่จะคิด หรือหลายครั้งที่คิดจะเริ่มแต่กลับต้องล้มเหลวไม่เป็นท่า จากนี้ลองพกกลยุทธ์นี้ไปใช้ แล้วมาดูกันหน่อยว่าอีก 6 เดือนข้างหน้าพัฒนาการทางภาษาเราจะเป็นอย่างไร ?

UNLOCKMEN เป็นกำลังใจให้เสมอ ลุย!

 

SOURCE 

COOL RESTAURANTS: เมนูเบสิกแต่ไปสุดที่ ‘กะเพราผัด รัชบาร์ 32’จิบเบียร์เย็น ๆ แกล้มกะเพราเนื้อรสเด็ดเผ็ดถึงใจ

$
0
0

เมนูยอดฮิตของร้านตามสั่งอย่าง “กะเพรา”เป็นอีกเมนูที่รสชาติจัดจ้านถูกปากคนไทยจึงครองใจคนทุกเพศทุกวัยไปแบบขาดลอย วันนี้เมนูกะเพราไม่ได้เป็นแค่เมนูซิกเนเจอร์ในร้านอาหารตามสั่งทั่วไปอีกแล้ว แต่ยังเป็นเมนูซิกเนเจอร์ของร้านนั่งดื่มบรรยากาศดีอย่าง “กะเพราผัด รัชบาร์ 32” ที่หยิบเอาเมนูนี้มาขายจนเป็นจานเด็ดของร้านที่ไม่สั่งไม่ได้

แค่กะเพราธรรมดาก็คงจะเหมือนร้านอื่นเกินไป มาลองกะเพรารสเด็ดเผ็ดถึงใจ ด้วยวัตถุดิบที่ตั้งใจคัดมาอย่างดีเหมือนกับทำกินเองของร้านนี้ แกล้มเบียร์เย็น ๆ ในร้านบรรยากาศอบอุ่นเป็นกันเองด้านใน หรือจะเป็นสวนด้านนอกที่ร่มรื่น ชวนให้ดื่มด่ำกับบรรยากาศแห่งความหรรษากันแบบ Open Air ลองไปทำความรู้จักกับเมนูเด็ดของร้านนี้ที่มันส์ไม่แพ้เมนูของพวกเขาไปพร้อม ๆ กัน ก่อนที่จะหยิบกุญแจรถออกเดินทางไปพิสูจน์ความเผ็ดร้อนกันในคืนนี้

 

ร้านนี้ซ่อนตัวอยู่ในซอยรัชดา 36 เดินทางง่ายใกล้ MRT ลาดพร้าว เข้าซอยมาให้มองทางขวามือไว้ จะเห็นบรรยากาศร่มรื่นที่ยื่นออกมานอกรั้วเล็กน้อย นั่นแหละ ถึงร้านแล้ว แม้ชื่อร้านจะชวนให้คิดว่านี่คือร้านอาหาร แต่ความจริงพรั่งพร้อมด้วยเครื่องดื่มบาดคอให้เราได้เมามายไปพร้อมกับบรรยากาศด้วยเช่นกัน บริเวณของร้านแบ่งเป็นสองส่วน คือส่วนด้านในบ้านและสวนด้านนอก ใครสะดวกนั่งตรงไหนสามารถจับจองพื้นที่กันได้ตามใจชอบ

เดิมทีร้านนี้เป็นเหมือนร้านที่เพื่อนหลาย ๆ คนหุ้นกันทำ ความตั้งใจแรกคือเปิดร้านขายเฉพาะกะเพรา เพราะทุกคนชอบกินกะเพราเหมือนกันหมด แต่กะเพราเฉย ๆ ก็คงจะเบสิกเกินไป เติมรสชาติจัดจ้านจึงเป็นอีกหนึ่งจุดเด่นของร้าน ความเผ็ดร้อน เข้มข้น ดุเดือด ซ่อนตัวอยู่ในเนื้อฉ่ำ ๆ ทุกจาน ที่สำคัญยังไม่ต้องกลัวว่าปรุงใหม่แล้วรสชาติไม่เหมือนกัน เพราะทางร้านคิดถึงความง่ายและสะดวกจึงคิดค้นซอสกะเพราสูตรลับของร้านที่ปรุงขึ้นมาเองเป็นตัวชูรสขึ้นมาใช้ ส่วนใครที่ไม่สันทัดความเผ็ดระดับปรอทแตกไม่ต้องกังวล สามารถสั่งเลเวลความเผ็ดได้เช่นกัน

 

“กะเพราโคคลั่ง” เนื้อสับโคขุนคุณภาพเยี่ยม ผัดซอสกะเพรารสจัดจ้าน กลิ่นหอมของพริกแห้งอบอวลแข่งกับกะเพรา โปะบนไข่เจียวร้อน ๆ เมนูซิกเนเจอร์ที่ไม่ใช่แค่ลูกค้าเองที่ชอบ เจ้าของร้านก็ชอบเหมือนกัน

 

 

“กะเพราแสบดาก” ไม่ใช่แค่เนื้อที่นำไปผัดเพื่อรับรสกะเพราเผ็ดร้อน แม้แต่ข้าวในเมนูนี้ก็ถูกนำไปคลุกกับน้ำพริกกากหมูเพิ่มความเผ็ดจี๊ดจ๊าดด้วยเช่นกัน ตีบวกความจัดจ้านแบบปรอทแตก เผ็ดร้อนในทุกเลเยอร์ที่เข้าปาก

 

 

“กระทะร้อน” ร้อนแรงไม่แพ้สองเมนูแรกกับเมนูยอดฮิตขายดีตลอดกาลอย่างเมนูกะทะร้อน ที่มีเนื้อทั้งสองแบบมาให้ลิ้มชิมรสคู่กับไข่ดาว เครื่องเคียงคู่ขวัญตลอดกาล เป็นอีกเมนูที่ทางร้านแนะนำให้ลอง

นอกจากเมนูเด็ด เผ็ดจัดจ้านของสารพัดกะเพราแล้ว ยังมีเมนูกับแกล้มอื่น ๆ ที่ขายดีไม่แพ้กันอย่าง “หมูแดดเดียว” ปรุงด้วยสูตรลับอันพิถีพิถันที่แม้แต่เจ้าของร้านก็ไม่รู้สูตร เพราะแม่ครัวไม่ยอมบอก หรือเมนูยำอีกนับไม่ถ้วนที่รอให้เราไปพิสูจน์ความเด็ดกันได้ที่ร้านนี้

เพราะการดื่มด่ำร่ำสุรา นอกจากเพื่อนรู้ใจ บรรยากาศดี ๆ หากมีกับแกล้มรสเยี่ยมจะยิ่งช่วยเสริมให้ช่วงเวลาแห่งการล้อมวง กลายเป็นช่วงเวลาที่น่าจดจำในทุกดีเทล หากยังไม่มีจุดหมายปลายทางที่ไหนในใจ ลองมาที่รัชบาร์เพื่อลิ้มรสกะเพราจากความตั้งใจ ความจัดจ้านที่ชวนให้ซดเบียร์ดับความร้อนแรงแก้วแล้วแก้วเล่าอย่างลื่นคอ

หากต้องการรายละเอียดเพิ่มเติม ตามไปดูได้ที่ Ratchabar32 กะเพราผัดรัชบาร์

WEEKLY PLAYLIST: 20 เพลง INDIE FOLK ฟังสบายบนความเรียบง่ายที่เป็นหัวใจของดนตรี FOLK

$
0
0

อีกต้นกำเนิดแห่งความชิล ชนิดที่ว่าเปิดเมื่อไหร่เป็นอันต้องขยับตัว เอนกายไปข้างหลังเล็กน้อย แล้วดื่มด่ำบรรยากาศรอบตัวไปกับเพลง Indie Folk ที่รับเอากลิ่นอายจากดนตรีหลายแนวมาไว้ในตัวเอง ไม่ว่าจะเป็น Folk, Country, Indie Rock ล้วนแต่สร้างบรรยากาศสุดชิลให้เราได้ทั้งนั้น UNLOCKMEN ชวนหนุ่ม ๆ มาปล่อยตัวปล่อยใจให้เคลิบเคลิ้มไปกับเสียงเพลงโฟล์กที่เราเลือกมาให้ อาจจะคุ้นบ้างไม่คุ้นบ้าง ถือว่าเป็นการเปลี่ยนบรรยากาศ แลกเปลี่ยนเพลงกันฟัง และเพิ่มเติมเพลงใหม่ ๆ ให้ Playlist ของเราเองไปในตัว

สำหรับใครที่สะดวกฟังบน Spotify เราจัด Playlist ไว้ให้แล้วเหมือนเดิม

Bon Iver – for Emma

Fleet Foxes – He Doesn’t Know Why

Iron & Wine – Passing Afternoon

Elliott Smith – Twilight

Iron & Wine – Flightless Bird, American Mouth

Damien Rice – Delicate

Live That Long – Lewis Del Mar

Del Water Gap – Love Song for Lady Earth

Sufjan Stevens – Mystery of Love

Foy Vance – She Burns

The White Album – Kings and Aces

Passenger – Hell Or High Water

Barns Courtney – Fire

The Shins – Australia

Alvvays – Archie, Marry Me

Houndmouth – Sedona

Grizfolk – Bob Marley

Milmine – Altered State Of Mind

Hippo Campus – way it goes

Cage The Elephant – Cigarette Daydreams

ดื่มด่ำไปกับเพลงโฟล์กทั้งจากศิลปินรุ่นเก๋าและหน้าใหม่ไฟแรง หากใครอยากฟังเพลงแนวไหน สามารถแนะนำกันเข้ามาได้เหมือนเดิม

เลือก GAMING LAPTOP สเปคโหดรุ่นใหม่ ให้โดนใจทั้ง GAMER สายจริงจัง และสายทำงาน

$
0
0

วันนี้หลายคนน่าจะรู้แล้วว่าการเล่นเกมมีประโยชน์มากมาย ไม่ใช่แค่ความบันเทิง แต่ยังช่วยให้เรามีกระบวนการคิดและตัดสินใจได้ฉับไว แถมยังฉลาดแม่นยำมากขึ้น สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่แค่ทำให้เราเล่นเกมเก่ง แต่ยังช่วยให้สมองคิดงานได้อย่างสร้างสรรค์ รวดเร็ว มีสมาธิ เรียนรู้สิ่งใหม่เพื่อพัฒนาความสามารถตัวเองได้ดีขึ้น

ในอดีตการเล่นเกมอาจจะเป็นเพียงการเรียนรู้ที่สนุกสนาน แต่ปัจจุบันในประเทศไทย การเล่นเกมสามารถพัฒนาไปเป็นอาชีพที่น่าภาคภูมิใจ สามารถสร้างชื่อเสียงในฐานะนักกีฬาที่แข่งขันในระดับเวทีโลก ซึ่งถ้าดูจากเทรนด์โลกไม่ว่าจะเป็นเกาหลี หรือสิงค์โปร์ ที่หน่วยงานรัฐบาลมีบทบาทในด้านการแข่งขันเกม หรือแม้แต่ธุรกิจที่เปิดสอนนักกีฬาให้เป็น Professional Gamer โดยเฉพาะ (และจะเกิดขึ้นในประเทศไทย 100%) ทำให้หลายคนเริ่มหันมาสนใจเอาจริงเอาจังด้าน Gamer กันมากขึ้น

สำหรับคนที่ไม่ได้เดินบนเส้นทางสาย Gamer มาตั้งแต่แรก แล้วคิดจะลองหันมาเอาดีทางด้านนี้เพื่อตามหาตัวเองว่าอยากจะเป็น Professional Gamer หรือไม่ อาจจะเจอกับเรื่องหนักใจด่านแรกเกี่ยวกับ Hardware ว่าจะเปลี่ยนไปใช้ Laptop รุ่นไหนดีที่จะช่วยตอบโจทย์เป้าหมายความต้องการของเรา ซึ่ง Gaming Laptop นั้นไม่เหมือนคอมพิวเตอร์สำหรับใช้งานปกติ เพราะต้องมีประสิทธิภาพและกราฟฟิกที่แรงเหมาะสม รองรับ Requirement ของเกมต่างๆ รวมถึงการอัพเดทในอนาคต เพื่อให้เล่นได้อย่างลื่นไหลไม่สะดุด เพราะการติดขัดแม้เพียงเล็กน้อย อาจทำให้เราเสียเปรียบ เสียโอกาส และเสียอารมณ์ได้

แต่ก่อนจะควักเงินจ่ายเพื่อให้ได้ Gaming Laptop ที่ดี เราควรถามตัวเองก่อนว่า “เป็น Gamer สายไหน” จะเป็น Gamer สายจริงจัง ที่ตั้งใจจะเห็นอนาคตของตัวเองในฐานะตัวแทนทีมชาติฟาดฟันกับคู่แข่งทั่วโลก หรือจะเป็น Gamer สายทำงาน ที่พร้อมลุยสร้างสถิติทุกครั้งที่ได้ Log-in เข้าเกมในเวลาว่าง และเป็นคนทำงานที่ยอดเยี่ยมกระเทียมดองจนทุกคนในบริษัทต้องยกนิ้วโป้งให้

 

PROFESSIONAL GAMER – PREDATOR HELIOS 300

เพราะสถิติมีไว้ทำลาย การได้เปรียบแม้เพียงเสี้ยววินาทีถือเป็นเรื่องคอขาดบาดตายที่สำคัญ สำหรับคนที่อยากจะเดินหน้าไปเป็น Gamer สายจริงจังในอนาคต เราแนะนำให้เลือก Gaming Laptop ที่ถูกออกแบบมาสำหรับเล่นเกมโดยเฉพาะไปเลยอย่างเช่นตระกูล Predator เพราะสำหรับนักเล่นเกม Laptop ก็เปรียบเสมือนหัวใจและสมองที่ต้องพร้อมตอบสนองทุกประสาทสัมผัสอันฉับไว เป็นอาวุธชิ้นสำคัญในโลกแห่งความจริงที่ Gamer จะครอบครองได้ โดยเฉพาะโมเดลใหม่ล่าสุด Predator Helios 300 Gaming Laptop ในตระกูล Predator ที่คุ้มค่าสำหรับการสัมผัสประสบการณ์ Hardcore Gaming มีไว้ข้างกายยิ่งดูน่าเกรงขาม ข่มขวัญคู่แข่งได้อยู่หมัดตั้งแต่ยังไม่เริ่มเกม

Predator Helios 300 เครื่องนี้จะมาปลุกไฟให้การต่อสู้ในทุกเกมของเราได้ด้วยสเปคที่แรงเหลือเฟือเพื่อประสบการณ์การเล่นเกมที่ลื่นไหลสมบูรณ์แบบ ด้วยชิปประมวลผลสูงสุด 8th Generation Intel®Core™i7-8750H Processor (2.2GHz up to 4.1GHz, 9MB Smart Cache) พร้อมเปิดทุกรายละเอียดภายในเกมให้คมจัดชัดเจนไม่มีสะดุดด้วยการ์ดจอเทพ ๆ NVIDIA® GeForce® GTX 1060 6GB GDDR5 VRAM ชิงความได้เปรียบในทุกจังหวะที่เล่น เสียงกระหึ่มเร้าใจและอารมณ์ในการเล่นด้วย Acer TrueHarmony™ Plus + Dolby Audio™ Premium

Predator Helios 300 มีสองสเปคให้เลือก ความแตกต่างอยู่ที่ความจุของ RAM และ SSD คือ RAM 16GB DDR4, SSD 256GB PCIe NVMe + HDD1TB และ RAM 8GB DDR4, SSD 128GB PCIe NVMe + HDD1TB ให้ Professional Gamer ได้เลือกตามความเหมาะสม หรือถ้าวันนึงรู้สึกว่าสเปคติดเครื่องยังไม่พอ ก็สามารถ Upgrade HDD และ Memory ได้ด้วย Compartment Door ที่ออกแบบให้ใช้งานได้ง่ายใต้ฝาเครื่อง

 

การระบายความร้อนเป็นจุดสำคัญที่ต้องดูในการเลือก Gaming Laptop เพราะเครื่องจะทำงานหนักและมีอุณหภูมิสูง ใน Predator Helios 300 จึงออกแบบระบบ Cooling ด้วย Dual AeroBlade 3D Fan ที่บางเพียง 0.1 mm. ถึง 2 ตัว ไม่ว่าจะรีดกราฟฟิกใน predatorSense ให้โหดหนักแค่ไหน ก็วางใจได้ว่าเครื่องจะไม่มีการกระตุกมากวนใจให้เสียโอกาสในช่วงเวลาสำคัญ มีหน้าจอแบบ FHD IPS คมชัดไม่สะท้อนแสงให้เลือก 2 ขนาดคือ 15.6 นิ้ว และ 17 นิ้ว (1920 x 1080 pixel) 144Hz และเวอร์ชั่น Special Edition สีขาวหรูหราสวยงามน่าสะสม

Predator Helios 300 ราคาเริ่มต้นตั้งแต่ 43,990 – 54,990 บาท (รุ่น Special Edition) 

 

WORK AND PLAY GAMER – ACER NITRO 5

 

เพราะการเล่นเกมเป็นแรงบันดาลใจ แต่ก็ต้องทำงานที่รักเพื่อหารายได้และความก้าวหน้าในบริษัทไปพร้อมกัน หลายคนน่าจะอยากลองสัมผัสโลกแห่ง Gamer ดูก่อนว่าจะเทิร์นโปรได้ตอนไหน เราแนะนำให้เลือก Gaming Laptop ที่มีความแรงพอสมควรสำหรับเล่นเกม รองรับเกมโหด ๆ ได้ทั้งหมด ทำงานและโหลดเกมเล่นได้อย่างรวดเร็วไม่ต้องรอนาน ใช้ทำงานก็ครอบคลุมทุกอาชีพและไลฟ์สไตล์ ขอแนะนำ Acer Nitro 5 เป็น Laptop ที่ช่วยเปิดโลก Gamer ได้ในราคาไม่แรง ออกแบบให้เล่นเกมได้ลื่นไหลด้วยขุมพลังที่มีให้เลือกมากมายหลายสเปคตามความต้องการถึง 6 รุ่น

ความแตกต่างในแต่ละรุ่นอยู่ที่สเปคและความแรง โดยจะมีชิปประมวลผล 8th Generation Intel® Core™ i7-8750H Processor (2.2GHz up to 4.1GHz, 9MB Smart Cache) และ  8th Generation Intel® Core™ i5-8300H Processor (2.3GHz up to 4GHz, 8MB Smart Cache) การ์ดจอ NVIDIA® GeForce® GTX 1050Ti 4GB GDDR5 / GTX 1060 6GB GDDR5 VRAM และ GTX 1050 4GB GDDR5 และหน่วยความจำ RAM 8GB DDR4 รวมถึง Storage ที่มีให้เลือกว่าจะเน้นเร็วแค่ไหน ถ้าเร็วจัดสะใจแนะนำให้เลือก SSD 256GB PCIe NVME + HDD 1TB หรือถ้าเร็วปกติก็มี HDD 1TB ให้เลือกใช้เช่นกัน

หรือถ้าใครเป็นแฟน AMD ก็มีรุ่นที่ใช้ชิปประมวลผล AMD RYZEN™ 5 2500U Processor (2.0GHz up to 3.6GHz) การ์ดจอ AMD Radeon™ RX 560X 4GB DDR5 RAM 8GB DDR4 HDD 1 TB การันตีว่ารวดเร็วทันใจเมื่อทำงาน และทะยานสู่ความเร้าใจยามเล่นเกมแน่นอน

 

แม้จะไม่ใช่ Hardcore Gaming Laptop เหมือน Predator แต่ใน Acer Nitro 5 ก็ยังมีคุณสมบัติที่รองรับการเล่นเกมอยู่พอสมควร ไม่ว่าจะเป็นการระบายความร้อนด้วย Dual Fans plus Acer Coolboost หรือความสามารถในการปรับแต่งรีดพลังจาก Acer NitroSense เพิ่มพลังการทำงานของตัวระบายความร้อน หรือควบคุมอุณหภูมิของ CPU พร้อมความดุดันจากการออกแบบเครื่องด้วย Carbon-fiber texture และหน้าจอลดเงาสะท้อนแบบ FHD IPS ขนาด 15.6 นิ้ว ซึ่งทั้งหมดนี้ยังมีประโยชน์ในการใช้งานทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นการทำงานข้อมูลหนัก ๆ การทำงานที่ต้องใช้โปรแกรม Graphic ต่าง ๆ หรือจะเป็นด้าน Entertainment อื่น ๆ ก็ทำได้สบายหูสบายตาเช่นกัน เครื่องเดียวครบถ้วนและครอบคลุมทั้งการเล่นและการงาน

Acer Nitro 5 ราคาเริ่มต้น 22,990 บาท (AMD processor) ส่วนชิป Intel เริ่มต้นตั้งแต่ 24,990 – 35,990 บาทเท่านั้น

 

ไม่ว่าคุณจะเป็น Gamer สายจริงจัง หรือ Gamer สายทำงาน ก็ควรจะไปลองสัมผัส Acer และ Predator Laptop แต่ละรุ่นด้วยตัวคุณเองก่อนตัดสินใจ เพราะคนที่จะตอบได้ว่าคุณต้องการ Laptop แบบไหน สุดท้ายคงต้องถามใจตัวเองเมื่ออยู่ตรงหน้ามัน แต่ขึ้นชื่อว่า Acer ก็รับประกันได้เลยว่ารองรับความต้องการของทุกคนได้อย่างแน่นอน

สำหรับผู้สนใจอยากดูรายละเอียดของ Predator Helios 300 และ Acer Nitro5 แต่ละรุ่นมีสเปคต่างกันอย่างไร และเราจะเลือกรุ่นไหนให้เหมาะสมเพียงพอกับการใช้งาน สามารถเข้าไปดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.acerthailand.com และ www.predatorthailand.com

 

 

2019 OSCARS PREDICTIONS: ช็อตต่อช็อต นักแสดงนำชายออสการ์ ใครจะคว้าตุ๊กตาทองไปครอง

$
0
0

เมื่อเริ่มเข้าสู่ศักราชใหม่ ก็เปรียบเสมือนสัญญาณบอกคอหนังอย่างเราว่าเวลาแห่ง ‘ออสการ์’ ใกล้มาถึงแล้ว คงไม่ใช่แค่เราที่ในทุก ๆ ปีจะตื่นเต้นกับงานประกาศรางวัลนี้ เชื่อว่าบรรดา Cinephile ทั่วทั้งโลกต่างก็ตั้งตารอไม่แพ้กัน เพราะนี่คือรางวัลสำหรับภาพยนตร์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก ที่คนในวงการหนังทุกคนต่างเฝ้าฝันถึง

สำหรับกีคออสการ์อย่างเราคงไม่มีคอนเทนต์ไหนที่เราจะอยากเขียนไปกว่า Oscars Prediction หรือการทำนายผลล่วงหน้า เพราะถึงแม้เราจะไม่มีส่วนร่วมในการตัดสิน แต่อย่างน้อยก็ขอแสดงความเห็น ร่วมคิดวิเคราะห์ลับสมองและการให้เหตุผลไปด้วยก็ยังดี ความตื่นเต้นจะได้ลดน้อยลงบ้าง

วันนี้เราขอประเดิมด้วยสาขา ‘นักแสดงนำชายยอดเยี่ยม’ อีกหนึ่งสาขาสำคัญที่ทุกคนจับตามอง ใครจะเป็นม้ามืด ใครจะเป็นตัวเต็ง และใครจะคว้าตุ๊กตาทองไปนอนกอดที่บ้านได้สำเร็จ ไปดูกันเลย!

 

Christian Bale – Vice

Annapurna Pictures

อย่าว่าแต่ฝีมือการแสดงเลย แค่เห็นรูปลักษณ์ภายนอกก็น่าทึ่งแล้ว นี่ถ้าไม่มีรายชื่อนักแสดงบอกเราคงจำไม่ได้ว่าดารานำในภาพยนตร์อิงประวัติศาสตร์การเมืองเรื่อง Vice คือ Christian Bale เนื่องจากอดีตแบทแมนขวัญใจมหาชนคนนี้ลงทุนเพิ่มน้ำหนักตัวเองขึ้นหลายสิบปอนด์ นอกจากนั้นยังต้องใช้เวลาหลายชั่วโมงในกองถ่ายเพื่อเมคอัพให้ตัวเขานั้นออกมาคล้าย Dick Cheney อดีตรองประธาธิบดีสหรัฐอเมริกาที่เขารับบทมากที่สุด

ในเรื่องฝีมือการแสดงนั้นคงไม่ต้องพูดถึงกันแล้ว Christian Bale พิสูจน์ตัวเองมาแล้วแทบทุกบทบาท และนับวันฝีมือการแสดงของเขาก็ยิ่งจัดจ้านขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะใน Vice เรื่องนี้ที่ถือว่าเข้าขั้น ‘ท็อปฟอร์ม’ แต่อีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ทำให้ Christian Bale กลายเป็นตัวเต็งในออสการ์ครั้งนี้คือการลงทุนแปลงโฉม เพราะที่ผ่านมาออสการ์แสดงให้เห็นมาโดยตลอดว่าพวกเขาให้น้ำหนักกับการลงทุนแปลงโฉมมากแค่ไหน

ไม่ว่าจะเป็นรางวัลสมทบชายของตัว Bale เอง จากเรื่อง The Fighter ที่ลงทุนลดน้ำหนักจนเนื้อติดกระดูก รางวัลนำชายของ Matthew McConaughey จากเรื่อง Dallas Buyers Club ที่ลดน้ำหนักไปหลายสิบปอนด์เช่นเเดียวกัน และรางวัลนำชายของ Eddie Redmayne จากเรื่อง The Theory of Everything กับการต้องรับบทเป็น Stephen Hawking ที่ต้องอยู่บนรถเข็นทั้งเรื่อง

รอติดตามกันว่าการลงทุนครั้งนี้จะพา Christian Bale ไปถึงฝั่งฝันได้หรือไม่

 

Bradley Cooper – A Star Is Born

Billboard

ยังคงรักษามาตรฐานการแสดงอันยอดเยี่ยมได้อย่างต่อเนื่องสำหรับ Bradley Cooper พระเอกมาดเท่ของเรา แม้ที่ผ่านมาเขาจะเคยเข้าชิงรางวัลออสการ์มาแล้วถึง 3 ครั้ง แต่ก็ต้องอกหักทุกครั้ง

อย่างไรก็ตามครั้งนี้ดูจะมีความหวังมากกว่าครั้งที่ผ่านมา เนื่องจากบท ‘Jack’ ในภาพยนตร์เรื่อง A Star is Born ฝีมือการกำกับของตัวเขาเองนั้นเป็นบทบาทที่ปลดปล่อยศักยภาพของนักแสดงหนุ่มวัย 43 ปีออกมาได้อย่างเต็มที่ ไม่ใช่แค่ทักษะการแสดงเท่านั้น เพราะสิ่งที่ทำให้ทุกคนทึ่งยิ่งกว่าคือฝีมือด้านดนตรีของเขาที่ฉายแสงอย่างเด่นชัดจนสามารถเล่นประกบกับ Lady Gaga ป็อปสตาร์ระดับโลกได้อย่างไม่เคอะเขิน

Jeff Bridges ยังเคยคว้ารางวัลนำชายมาแล้วจากเรื่อง Crazy Heart ด้วยบทบาทที่คล้ายคลึงกัน แล้วทำไม Bradley Cooper จะทำบ้างไม่ได้ล่ะ

 

Viggo Mortensen – Green Book

Universal Pictures

จาก ‘อารากอน’ สุดเท่ในมหากาพย์ภาพยนตร์ The Lord of the Rings สู่นักแสดงสายรางวัลเต็มตัว พิสูจน์ได้จากการเข้าชิงออสการ์นำชายถึง 2 ครั้งใน 11 ครั้งล่าสุด (จาก Eastern Promises และ Captain Fantastic ) มาในปีนี้ เป็นอีกครั้งที่ตอกย้ำความเป็นนักแสดงยอดฝีมือของเขา

บทบาท ‘Tony Lip’ คนขับรถผิวขาวที่ต้องรับหน้าที่เป็นสารถีให้นักร้องผิวสีชื่อดังในยุคที่การเหยียดผิวยังเข้มข้นในภาพยนตร์เรื่อง Green Book นั้นอาจจะไม่ได้เป็นบทบาทที่มีซีนอารมณ์มากมายเท่าผู้ท้าชิงคนอื่น ๆ แต่สิ่งที่ทำให้ Viggo Mortensen โดดเด่นจนติดโผตัวเต็งคือความเป็นธรรมชาติจนแทบไม่รู้สึกเลยว่าเขากำลังแสดงอยู่ แต่สิ่งนี้จะพาอดีตนักดาบคนนี้คว้าออสการ์ตัวแรกมาครอบครองได้หรือไม่ต้องรอติดตาม

 

Rami Malek – Bohemian Rhapsody

20th Century Fox

สำหรับนักแสดงอเมริกันเชื้อสายอียิปต์คนนี้ ทุกคนน่าจะคุ้นเคยกับผลงานการแสดงในปีที่ผ่านมาของเขาที่สุด เนื่องจากภาพยนตร์เรื่อง Bohemian Rhapsody ภาพยนตร์ชีวประวัติวง Queen ซึ่งเขารับบทเป็น Freddie Mercury นั้นได้รับความนิยมอย่างล้นหลามและทำรายได้ถล่มทลายทั่วโลก ไม่เว้นแม้แต่ประเทศไทย

Rami Malek สยบทุกข้อกังขาด้วยฝีมือการแสดงของเขา เขาสามารถเข้าถึงบทบาทของตำนานนักร้องระดับโลกคนนี้ได้อย่างไร้ที่ติ เรียกว่าเขาสวมวิญญาณของ Freddie ลงไปในทุกอากัปกิริยา ซึ่งถ้าจะพูดว่า Copy Paste มาเลยก็คงไม่ผิดนัก แต่เราก็ไม่รู้เหมือนกันว่าความเหมือนชนิดช็อตต่อช็อตนี้จะครองใจกรรมการออสการ์ได้มากแค่ไหน

 

Ryan Gosling – First Man

The Weekly Standard

ในเรื่องหน้าตาหรือบุคลิกแน่นอนว่าไม่มีใครกังขา เขาคือหนึ่งในผู้ชายที่ได้รับการยกย่องว่าเท่ที่สุดในโลก แต่ในเรื่องฝีมือการแสดงเขาก็ไม่เป็นสองรองใครเช่นเดียวกัน เพราะออสการ์ครั้งนี้น่าจะเป็นครั้งที่ 3 แล้วที่ดาราหนุ่มขวัญใจมหาชนอย่าง ‘Ryan Gosling’ มีชื่อเข้าชิง

ในภาพยนตร์เรื่อง First Man พระเอกจาก La La Land ของเรารับบทเป็น Neil Armstrong ชายผู้เหยียบดวงจันทร์คนแรกในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ ซึ่งแน่นอนว่าในภารกิจครั้งนั้นไม่ได้มีแค่ด้านดี แต่มันเต็มไปด้วยอุปสรรคมากมาย ซึ่งนั่นหมายถึงมิติทางอารมณ์อันซับซ้อนที่ Ryan ต้องถ่ายทอดออกมา และเขาก็ไม่ทำให้ผิดหวัง Ryan พาผู้ชมดิ่งลึกลงไปในห้วงอารมณ์ของชายผู้แบกภารกิจอันยิ่งใหญ่ไว้บนบ่า หรือว่านี่จะถึงเวลาแล้วสำหรับออสการ์ตัวแรกของเขา

 

ทั้ง 5 รายชื่อล้วนแล้วแต่ถ่ายทอดการแสดงอันยอดเยี่ยมออกมาให้คนดูอย่างเรารู้สึกทึ่ง ทุกคนโดดเด่นในแบบของตัวเอง แต่ในเมื่อนี่เป็นคอนเทนต์ Oscars Prediction เราจำเป็นต้องเลือก 1 รายชื่อที่จะเป็นผู้ชนะ ซึ่งเราคิดว่าคน ๆ นั้นจะเป็น Christian Bale เนื่องจากอย่างที่บอกไปว่าออสการ์ให้รางวัลเรื่องการลงทุนแปลงโฉมค่อนข้างมาก และในเรื่องการแสดง Bale ก็โดดเด่นไม่แพ้ใคร เราจึงคิดว่าครั้งนี้น่าจะถึงเวลาแล้วสำหรับออสการ์ตัวที่ 2 ในชีวิตของเขา แต่จะแม่นหรือมั่ว 26 กุมภาพันธ์นี้รู้กัน

KEVIN SELF DEFENSE HANDGUN ปืน SUB-COMPACT ตัวเล็ก พกไว้ป้องกันตัวในยามฉุกเฉิน

$
0
0

ปืนพกแบบ Sub-Compact หนึ่งในทางเลือกสำหรับอาวุธป้องกันตัวชั้นเยี่ยมที่ได้รับความนิยมมาเป็นเวลานาน ด้วยขนาดที่กระทัดรัด พกพาง่าย และซ่อนจากสายตาผู้คนได้อย่างมิดชิด  แต่ในเวลาเดียวกันระยะหวังผลและพลังทำลายของมันกลับไวใจได้สวนทางกับขนาดตัวของมัน ในอดีตหลายคนอาจจะคิดว่าปืนพกยิ่งใหญ่โตยิ่งดีเพราะมีประสิทธิภาพสูง แต่ในด้านการใช้งานจริงแล้ว การพกพาและหยิบขึ้นใช้งานได้รวดเร็วจะได้เปรียบกว่ามาก เพราะจะกระสุนขนาดไหนโดนเข้าไปก็สามารถหยุดอันตรายจากโจรขโมยหรือเอาให้ถึงตายก็ยังได้ วันนี้เราจึงขอแนะนำ Kevin Self Defense Handgun ปืน .38 ที่พกง่ายสุด ๆ ด้วยขนาดที่เล็กสุด ๆ

Kevin Self Defense Handgun เป็นปืนพกขนาด .38 ที่ได้รับการออกแบบโดย Prokop Strnka นักออกแบบผลิตภัณฑ์มากฝีมือ ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจมาจากปืน Sub-Compact ในตำนานอย่าง ZVI Kevin และมีลักษณะเหมือนกับ Micro Dessert Eagle ที่เกิดใหม่ในรูปทรงที่ย่อส่วนและล้ำสมัยมากขึ้น จนออกมาเป็น Hand Gun ที่มีดีไซน์ภายนอกสวยงามมาก

ปืนมาพร้อมลำกล้องขนาด 2.22 นิ้ว พร้อมเฟรมขนาดเล็กที่เหมาะกับการพกพา จุดประสงค์หลักในการออกแบบคือต้องการให้มันเป็นอาวุธป้องกันตัวสำหรับเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยและตำรวจในระหว่างปฏิบัติหน้าที่ โดย KSDH มาพร้อมความจุยอดนิยมของ Sub-Compact คือแบบ Six-Plus-One ด้วยกระสุน 6 นัดในแม็กกาซีนและ 1 นัดในรังเพลิง พร้อมระยะหวังผลในการยิงที่ 15 เมตร (45ฟุต) มากเกินพอสำหรับจัดการอันตรายจากระยะประชิดด้วยกระสุนเพียงนัดเดียว

สำหรับหนุ่มที่สนใจอยากได้มาเป็นเจ้าของ Kevin Self Defense Handgun ยังมีออปชั่นสำหรับการสร้างสีสันของดีไซน์ภายนอก ซึ่งไม่ได้มีเพียงแค่สีดำล้วนเท่านั้น แต่มาพร้อมโทนสีดำลายจุดส้ม รวมถึงแนวทูโทนกับเฟรมสี Black Camo กับสไลด์สี Grey และแบบเฟรมสี Green Camo กับสไลด์ปืนสี Blingy Gold ที่สวยงามลงตัวทั้ง 4 กระบอก

อย่างไรก็ตาม พวกเราคงต้องรอกันไปก่อนเพราะ KEVIN SELF DEFENSE HANDGUN ยังอยู่ในช่วงของการพัฒนา ซึ่งคงต้องติดตามราคาและช่องทางวางขายกันต่อไป ขอออกตัวก่อนว่า UNLOCKMEN ไม่ได้มีเจตนาส่งเสริมให้ทุกคนใช้ความรุนแรงจากอาวุธปืน เพียงแค่ต้องการนำเสนออาวุธป้องกันตัวที่น่าสนใจสำหรับคนที่มีใบอนุญาตซื้อปืนหรือนักสะสมเท่านั้น ไม่ควรใช้ในการหาเรื่องหรือรุกรานใครเป็นอันขาดเพราะมันไม่ใช่วิสัยของลูกผู้ชายเขาทำกัน มันควรมีไว้สำหรับป้องกันตัวเองในกรณีฉุกเฉินเท่านั้น

 

 

SOURCE 1   SOURCE 2

รูปภาพหน้าปกและภาพประกอบจาก : behance.net

GARAGE: เรื่องราวก่อนกลับโลกของ ‘J PENGUIN VILLA’กับอัลบั้มใหม่ที่ทุ่มเทเวลาสร้าง 14 ปีเต็ม

$
0
0

“ขอบันไดหน่อย” ในยุคหนึ่ง หลายคนร้องเพลงนี้ตามอย่างออกรสชาติ อินไปกับความรักเด็ดดอกฟ้าของหนุ่มวัยรุ่น ชื่อของ “Penguin Villa” เริ่มเป็นที่รู้จักในวงกว้างและติดหูเหล่าคนฟังเพลงมากขึ้นเรื่อย ๆ แต่หลังจากอัลบั้มปกส้มนั้น ทางวงไม่ได้มีอัลบั้มเต็มให้เราได้ฟังอีกเลย มีเพียงซิงเกิ้ลออกมาบ้างประปรายพอให้หายคิดถึงกันได้ในเพลง Good Morning กับเพลง ร้อยล้านวิว

นั่งรอนอนรอกันมาเนิ่นนาน นานแค่ไหนน่ะหรอ 14 ปีเต็ม! กว่าอัลบั้มที่สองอย่างอัลบั้ม “J” จะได้ออกมาให้แฟน ๆ ได้กลับมาหลงรักบรรยากาศเดิม ๆ ที่ Penguin Villa เคยทิ้งไว้ให้เราเมื่อสิบกว่าปีก่อนนี้

เราได้มาพูดคุยกับ “พี่เจ เจตมนต์” ที่บ้านของพี่เจเอง บรรยากาศสบาย ๆ และอบอุ่น จากทั้งสภาพแวดล้อมและการต้อนรับ ตั้งแต่สวนหน้าบ้านที่มีพื้นที่ให้นั่งเล่น พร้อมกับกินฝรั่งบ้านพี่เจที่หวานกรอบไปด้วย ชั้นล่างของบ้านเป็นสตูดิโอทำเพลงของพี่เจ ที่ให้ความเป็นส่วนตัวเหมือนกับว่านี่คืออีกโลกหนึ่ง เราเลือกขึ้นมาพูดคุยกับพี่เจที่ระเบียงชั้นบน ที่ให้ความรู้สึกเหมือน Cottage ริมทะเลเอามาก ๆ การพูดคุยของเราเป็นไปแบบง่าย ๆ เหมือนมาพูดคุยกันในวันสบาย ๆ

ตอนนี้พี่เจทำอะไรอยู่บ้าง ?

“ผลงานล่าสุดคืออัลบั้ม J จาก Penguin Villa เป็นอัลบั้มชุดที่สองของ Penguin Villa งานประจำ ทำเพลงโฆษณาอยู่ที่สมอลรูมครับ”

ช่วงที่หายไปนาน ๆ (สิบสี่ปี) ไปทำอะไรมาบ้าง ?

“สิบสี่ปีจากอัลบั้มแรกเนี่ย หลังจากทำอัลบั้มแรก มันจะมีช่วงเวลาที่โปรโมต ต้องไปเล่นเพลงในอัลบั้มแรก เหมือนงานหลักที่สมอลรูม เพลงโฆษณา ก็ยังมีหนาแน่น ช่วงที่ทำอัลบั้ม จะขอหยุดงานเพลงโฆษณา เพราะทำพร้อมกันไม่ได้ เหมือนลาพักร้อนครับ แค่เดือนเดียว ทำทุกอย่างให้เสร็จ แล้วไปเล่นคอนเสิร์ตนู่นนี่

“แต่ด้วยเพลงโฆษณาก็เป็นรายได้หลักของสมอลรูมเหมือนกัน ก็เลยต้องกลับมาทำเพลงโฆษณาแบบเต็มตัวอีกครั้ง เพลงตัวเองก็ไม่ได้ทำต่อ หลังจากอัลบั้มแรกประมาณ 7-8 ปี ตอนนั้นสมอลรูมเริ่มใหญ่ขึ้นจากที่ผมทำชุดแรก เริ่มมี Tattoo Colour, Slur วงเริ่มมีคนรู้จักมากขึ้น มีโปรเจ็กต์ที่ดึงให้คนที่ชอบวงอื่นมาชอบวงในค่ายด้วย ซึ่งก็มี Penguin Villa ด้วย นั่นก็คือช่วงตรงกลางอัลบั้มแรกกับอัลบั้มที่สอง มีเพลง Good Morning ตอนนั้นมีข่าวแว่ว ๆ ว่าจะทำอัลบั้มที่สอง ผมก็เลยเริ่มทำ Demo มาสี่ห้าเพลง หาซิงเกิ้ลต่อจาก Good Morning ก็ยังไม่ได้” 

“ตอนนั้นการแข่งขันสูงมากในทุก Platform ซิงเกิ้ลสองก็ไม่ลงตัวซะที เพราะ Good Morning เองก็ได้ผลตอบรับดีมันเลยกดดัน (หัวเราะ) ห่างจาก Good Morning ไปปีกว่าแล้วยังไม่ได้ซะที ก็เลยพักไว้แล้วกลับมาทำเพลงโฆษณา หลังจากนั้นประมาณ 4-5 ปี ก็เริ่มมี Event ที่เรียกร้องให้ Penguin Villa ไปเล่น อย่างงานแคท ฟังใจ แต่กลับมาครั้งนี้เป็นผมทำคนเดียวเหมือนตอนอัลบั้มแรก พอเล่นไปแล้วก็รู้สึกผิดที่จะเล่นแต่เพลงเก่า เลยส่งเพลงเธอคือความจริงให้คนฟังว่ามีเพลงนี้ จะเล่นในงานนี้นะ แล้วมันเวิร์ค พี่รุ่ง เจ้าของค่ายเลยจัดให้เป็นซิงเกิ้ลใหม่ กระแสตอบรับดี คนก็เริ่มฮือฮาว่าจะมีอัลบั้มใหม่

“ผมเองก็ยังก้ำกึ่ง เพราะไม่ได้ทำ Penguin Villa เต็มตัวมานาน คราวที่แล้วบอกไว้แล้วก็ทำไม่เสร็จ เลยไม่กล้าพูดแล้ว”

“หลังจากเธอคือความจริงสักพักนึงก็มีงานเล่นบ้าง ก็เขินที่จะเล่นเพลงเก่าอีกแล้ว เลยทำเพลงร้อยล้านวิว ไม่บอกว่ามีอัลบั้ม ทำเพลงไปเรื่อย ๆ เอา คนที่รอฟังก็ชอบ พี่รุ่งก็บอกให้ทำอัลบั้มได้แล้ว ผมเองก็ยังไม่มั่นใจจนได้คุยจริงจังว่าเพลงพวกนั้น คือเพลงที่ผมทำ Demo ตอนทำ Good Morning มารวมกับเพลงนั้นเพลงนี้ สิบเพลงแล้วว่ะ เป็นอัลบั้มได้แล้ว

หายไปนานขนาดนี้ พอกลับมาลงมือทำผลงานของตัวเองแบบจริงจัง มีจุดไหนที่ติดขัดบ้างมั้ย ?

“มีนิดหน่อยครับ ด้วยความที่เป็นคนสบาย ๆ เลยไม่ติดอะไรเท่าไหร่ แต่เพลงลำพังเนี่ย เป็นซิงเกิ้ลที่อยู่บนความคาดหวังของทางค่าย เพราะพวกเขาฟัง Demo เพลงนี้มาหกเจ็ดปี ผมทำ Master ไปแบบ Neo Soul ผมมองตัวเองว่าผมคงไม่ต้องชวนให้ทุกคนชูมือขึ้น ร้องตามผม สาดกีต้าร์ รวดร้าวอะไรแบบนั้น (หัวเราะ) ผมอยากเล่นคนเดียว ชิล ๆ มากกว่า คนดูสัก 100 คน แฮปปี้อบอุ่น แล้วพอพี่รุ่งได้ฟัง พี่รุ่งบอกว่า มึงน่ะ เธอคือความจริง คือเจ้าพ่อ Ballad Rock ไปทำมาใหม่ เขามองภาพเพลงลำพังเป็นเพลงที่มี Power ไม่ใช่เพลงเหงา ๆ ที่ระเบียงคอนโดอะไรแบบนั้น”

ระยะห่างระหว่างอัลบั้มแรกและอัลบั้มที่สองมันห่างกันมาก ๆ รู้สึกว่าตัวตนของเราในตอนนั้นกับตอนนี้ยังเหมือนเดิมมั้ย ?

“มีบางอย่างที่มันคล้ายกัน เป็นคน ๆ เดียวกัน เพราะมันทำมาเรื่อย ๆ ด้วยแหละครับ ไม่ใช่ว่าหายไปแล้วเพิ่งกลับมาทำปีนี้ แต่สิ่งที่เล่าหลาย ๆ อย่างเปลี่ยนแปลงไปมากครับ ภาษาที่เล่า มันเป็นกลุ่มก้อนมากขึ้น อัลบั้มแรกจะมีเพลงที่แต่งมานาน มันยังมีความวัยรุ่นอยู่ อัลบั้มนี้เล่าเรื่องแบบร้องเองแล้วไม่เขิน”

ทำเพลงโฆษณามาเยอะ พอทำเพลงของตัวเอง ได้เอาทักษะอะไรจากการทำงานลูกค้ามาช่วยในงานตัวเองบ้างมั้ย ?

“สิ่งที่ติดมาคือการแก้ปัญหาครับ ปัญหาในที่นี้คือสิ่งที่เราสร้างขึ้นเอง เช่นเราอยากให้ท่อนนี้มันขึ้นกว่านี้ เราเอาอาวุธทั้งหลายตอนทำเพลงโฆษณามาใช้ ทำไงเพลงมันถึงจะ Emotional ขึ้น ใช้หลายอย่างเลยครับ

ทำทั้งงานลูกค้าและงานตัวเอง จริง ๆ แล้วชอบอะไรมากกว่ากัน ?

“ถ้าให้เลือกจริง ๆ ก็ต้องเพลงตัวเองอยู่แล้ว มันทำไปแล้วก็ไม่มีใครมาแก้ มันไม่ต้องถอดวิญญาณมาก งานลูกค้าอาจจะมีเฟลบ้าง ต่อให้ทำตาม Ref แต่พอมันโดนแก้ก็มีเฟลบ้าง เพลงเราเองเนี่ย อยากทำอะไรก็ได้ ลูกค้าในที่นี้ก็คือคนฟังนี่แหละครับ ผมคิดถึงคนหลาย ๆ แบบ ไม่ได้ส่วนตัวมาก” 

ตอนนี้ประสบความสำเร็จหรือยัง ?

“ไม่เคยมองเรื่องความสำเร็จเลย เหมือนเราขึ้นมาอยู่บนภูเขาลูกนึง ขึ้นมาสำเร็จแล้ว มันมีเขาอีกหลายลูก ขุนเขาอีกหลายลูกที่เราต้องขึ้นไป เป็นงานที่ทำไปเรื่อย ๆ ถ้าคิดว่าสำเร็จแล้วอาจทำให้เราคิดว่าไม่ได้อยากทำต่อ”

“ถ้าเป็นความพอใจในชีวิต มันมากมายจนผมรู้สึกว่าไม่ต้องทำแล้วมั้งอัลบั้ม ตอนทำเสร็จก็ไม่ได้เหมือนยกภูเขาออกจากอก รู้สึกว่าภูเขาลูกใหม่มันได้ก่อกำเนิดขึ้นมาแล้ว มันก็เป็นงานของเราแหละครับ” 

“ผมเป็นคนนึงที่รอเพลงของศิลปิน พอมีคนมาถามเราว่าเมื่อไหร่จะมีเพลงใหม่ ผมเชื่อว่าเขาคงไม่ได้ถามไปอย่างนั้น ผมเลยรู้สึกว่า เออ ต้องทำแล้วล่ะ”

อัลบั้มที่สองนี้ เป็นเหมือนอัลบั้มที่สั่งสมประสบการณ์ ความรู้สึก ความทุ่มเทของพี่เจเอาไว้ในทุกเพลง ตั้งแต่ Demo ลำลองในวันนั้น ซิงเกิ้ลแก้ขัดเพื่อไม่ให้แฟน ๆ ต้องร้องแต่เพลงเดิมอยู่เรื่อยไปที่ขึ้นเล่นคอนเสิร์ต รวบรวมและตกผลึกออกมาเป็นอัลบั้ม J ที่ยังคงความเป็น Penguin Villa ที่เรายังคิดถึงอยู่เหมือนเดิม ในเวอร์ชั่นที่เติบโตขึ้น ความรักที่เป็นผู้ใหญ่มากขึ้น ไม่ได้เป็นเพียงรักข้างเดียว เด็ดดอกฟ้า อย่าง “ขอบันไดหน่อย” แบบที่เคยอีกแล้ว ทั้งนี้ทั้งนั้น ถือว่าสมการรอคอยถึงสิบสี่ปีของแฟน ๆ มาก ๆ สำหรับอัลบั้มดี ๆ อย่างอัลบั้มนี้


เตรียมตัวกันไว้ให้พร้อมกับ 6 สนีกเกอร์ควรค่าแก่การรอคอยที่จะถูกปล่อยออกมาในปี 2019

$
0
0

สำหรับปี 2018 ที่ผ่านมา เราเชื่อเหลือเกินว่าหนุ่มไทยทุกคนทั้งรุ่นเล็กและรุ่นใหญ่ คงจะสนุกกับการเลือกซื้อสนีกเกอร์หลากรุ่นหลายโมเดลที่ถูกปล่อยออกมาตลอดทั้งปี เรียกได้ว่ากะไม่ให้เหลือเงินไว้ซื้อไอเทมของปีนี้เลยก็ได้ แต่ดูเหมือนว่าในปี 2019 ที่กำลังจะมาถึงตลาดก็ยังคึกคักไม่ต่างกัน เพราะมีรองเท้าหลากหลายรุ่น กำลังรอคอยกำหนดเวลาในการเปิดตัว ซึ่งปีนี้จะมีคู่ไหนควรค่าให้เรารอคอยและเสียเงินบ้างมาชมกันเลย

Sean Wotherspoon x Nike Air Max 97/1  (Second Wave)

sneakers-magazine

คงไม่ต้องอธิบายกันให้มากความ สำหรับรองเท้างานคอลแลปส์สุดไฮป์ระหว่าง Nike และหนุ่ม Sean Wotherspoon หลังจากรองเท้าคู่แรกอย่าง Sean Wotherspoon x Nike Air Max 97/1 ที่มาพร้อมส่วน Upper ของ Air Max 97 และ Mid-Sole จาก Air Max 1 และผ้าลูกฟูกสีแสบที่ถูกปล่อยออกมาเมื่อช่วงต้นปี 2018 ประสบความสำเร็จอย่างงดงาม จนหลายคนยกให้เป็น Sneaker Of The Year เลยทีเดียว โดยผลงานล่าสุดที่มีรูปหลุดออกมา ก็ใช้วัสดุใกล้เคียงกับคู่แรก แต่เลือกใช้เป็นสีฟ้าตลอดทั้งคู่และอาจมีออกมามากกว่าสีเดียวด้วย ซึ่งเท่านั้นก็เพียงพอแล้วสำหรับคนกำลังรอการวางขายของมันอย่างใจจดใจจ่อ

 

Adidas Yeezy Boost 350 V2 “Glow in the Dark”

thesolesupplier

หนึ่งในรองเท้าที่หนุ่ม Kanye West เปิดเผยภาพเรนเดอร์ออกมาสร้างความตื่นเต้นให้แฟน ๆ ผ่านทาง Twitter กับโมเดลยอดฮิตอย่าง Adidas Yeezy Boost 350 V2 พร้อมสีที่ต้องบอกว่าคงถูกใจผู้ชายสายปาร์ตี้แน่นอนคือสี “Glow in the Dark” ซึ่งสามารถเรืองแสงในที่มืดได้ โดยทาง Adidas ได้ให้ข่าวออกมาว่ารองเท้าคู่ดังกล่าวจะถูกวางขายในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2019 คงต้องมาดูกันว่าของล็อตนี้จะขายดีเหมือนเดิมหรือเปล่าหลังจากแฟน ๆ พากันบ่นว่า 350 V2 ทำออกมาเยอะเกินไปจนเกลื่อน แต่เราคาดว่าถึงจะบ่นยังไงก็คงขายเกลี้ยงสต๊อกอยู่ดี

 

Sacai x Nike Hybrid Collection

Sole Collector

Sacai x Nike Hybrid Collection ถูกเปิดตัวครั้งแรกใน Paris Fashion Week และประกาศไว้อย่างชัดเจนว่าจะเป็นรองเท้าที่วางขายในช่วง SS19 โดยสนีกเกอร์ที่เกิดจากความร่วมมือจาก Nike และ Sacai แบรนด์ Luxury Fashion สัญชาติญี่ปุ่น ซึ่งทำดีไซน์ออกมาได้อย่างน่าสนใจด้วยรูปแบบ Double Layer กับลิ้นรองเท้า 2 ชั้น โลโก้ Swoosh 2 ชั้นรวมถึงเชือกด้วย ทั้งหมดมาพร้อมสีแสบสัน ถ่ายทอดลงไปโมเดลเลือดผสมของ Nike ซึ่งคู่แรกจะเป็นการรวมกันระหว่าง Nike Daybreak กับ Nike LDV ส่วนอีกคู่จะเป็น Nike Dunk และ Blazer ผสมโรงกัน เรียกได้ว่าเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจทั้งสองคู่

 

Travis Scott x Air Jordan 1 Retro OG

JustFreshKicks2

หลังหยิบจับโมเดล Air Jordan 4 จนให้กำเนิดสี Cactus ออกมาจนกลายเป็นรองเท้าที่โคตรไฮป์ของวงการ ดูเหมือนแร็ปเปอร์หนุ่มอย่าง Travis Scott ก็อยากจะโชว์ฝีมือกับค่าย Jump Man อีกครั้งกับโมเดลยอดฮิตตลอดกาลอย่าง Air Jordan 1 โดยผลงานล่าสุดของเขามาในโทนขาวและน้ำตาล พร้อมส่วน Upper จะเป็นส่วนผสมหนัง Suede กับหนังสังเคราะห์ แต่ทีเด็ดของมันคือการวางโลโก้ Swoosh กลับหัวกลับหางรวมถึงเปลี่ยนด้าน เหมือนของไม่ผ่าน QC ที่มักหลุดออกมาแล้วมีราคาโคตรแรงอย่างไรอย่างนั้น

 

Adidas Yeezy Boost Basketball

JustFreshKicks

ถึงชื่อจะบอกว่าเป็นรองเท้าบาสเก็ตบอล แต่ก็เหมือนกับโมเดลของรองเท้าบาสยอดนิยมทั้งหลาย ที่มักนิยมถูกนำมาสวมใส่เป็นรองเท้าแฟชั่นทำให้ Yeezy Boost Basketball คืออีกโมเดลที่น่าจับตามองโดยเฉพาะสำหรับสาวกทั้งหลาย อีกหนึ่งเรนเดอร์ที่กำลังพัฒนาและถูกเปิดเผยออกมาผ่าน Instragam ของ Yeezy Mania โดยภาพร่างแสดงให้เราเห็นถึงดีไซน์ของรองเท้ามากับรูปทรง High Top สีดำที่มาพร้อม In-Sole และส่วน Upper แบบเรืองแสงได้ ซึ่งรูปเต็ม ๆ คาดว่าจะได้เห็นในช่วงไตรมาส 1 หรือ 2 ของปีนี้แน่นอน

 

Air Jordan 11 “Bred” 2019

nicekicks

หนึ่งในโมเดลรองเท้าของ Air Jordan ที่ได้รับความนิยมและชื่นชมมากที่สุดจากแฟนทุกครั้งที่ผลิตออกมาซึ่ง 3 สีในตำนานของมันคือ Space Jam, Concord และ Bred เมื่อสีแรกก็เวียนผ่านไปแล้วตอนนี้ก็ถึงเวลาของ Bred ที่จะกลับมาอีกครั้งในปี 2019 เพราะครั้งล่าสุดที่สีนี้ทุกปล่อยออกมาต้องย้อนกลับไปถึงปี 2012 เลยทีเดียว แม้รายละเอียดของ Air Jordan 11 “Bred” 2019 จะยังไม่ถูกเปิดเผยออกมามากนัก โดยเฉพาะเบอร์ที่จะใส่ลงไปในรองเท้า ซึ่งอาจเป็นเบอร์ 23 แบบดั้งเดิมหรือเบอร์ 45 เหมือนกับ Holygail คู่ล่าสุด แต่คำตอบทั้งหมดจะชัดเจนในช่วงกลางปีนี้อย่างแน่นอน

 

นอกจาก 6 คู่ที่แนะนำเราเชื่อว่าภายในปีนี้ค่ายรองเท้าต่าง ๆ ยังคงเก็บงำคู่เด็ดของตัวเองไว้ค่อยเซอร์ไพรส์แฟน ๆ อยู่แน่นอน มารอดูกันว่าตลอดทั้งปีจะมีสนีกเกอร์คู่ไหนออกมาสร้างปรากฏการณ์ได้บ้าง ยังไงก็เตรียมเก็บพลังเอาไว้แคมป์กันไว้ด้วยนะครับหนุ่ม ๆ ทุกคน

“อูมามิ”ตั้งแต่ยังไม่ตักเข้าปาก คุยกับ “เซิร์ฟ -พฤทธิ์ เติมไพสิฐ” หนุ่มนักยั่วน้ำลายกับธุรกิจ FOOD DESIGN

$
0
0

ร้านอาหารอร่อยที่คนแห่กันต่อคิวยาว ๆ เพื่อให้ได้ลิ้มรสชาติ หรือเนื้อย่างวากิวชิ้นพอคำจากร้านอิซากายะชั้นเลิศที่เราต้องดั้นด้นไปกินสักครั้ง กับบาร์ Hidden Gems ที่มีเครื่องดื่มเย็นสุดพิเศษรออยู่

คุณยังจำมันได้อยู่ไหมว่าครั้งแรกที่ตัดสินใจไปเป็นเพราะอะไร ทำไมเราถึงต้องไป ทั้งที่ร้านนั้นเรายังไม่เคยชิมมันสักครั้ง มาคิดให้ดีก็ไม่เคยมีคนรู้จักคนไหนบอกว่ามันอร่อยสักคน ถ้ามันเป็นเพราะภาพติดตาจากคลิปซอสชุ่มฉ่ำที่เยิ้มอยู่บนเนื้อนุ่มเด้งกับเสียงฉ่าในคลิป หรือไอน้ำเกาะขอบแก้วขึ้นฝ้าจาง ๆ กับสโมคบาง ๆ ของไอเย็นในรูปภาพค็อกเทลที่เจอในฟีดโซเชียล ทุกสิ่งที่เร้าความรู้สึกอาจมีเขาคนนี้ เซิร์ฟ – พฤทธิ์ เติมไพสิฐ จาก SHAPE Food Design อยู่เบื้องหลังการสร้างสรรค์ประสบการณ์เหล่านั้น

ความเท่และความดิบของเขา ถือเป็นอาหารทางใจที่โคตรอร่อยจนเราต้องลุกมาบอกต่อ รวมถึงประโยคน้ำจิ้มสุดประทับใจเราที่เขาสารภาพกันตรง ๆ ซึ่ง ๆ หน้า จากช่วงท้ายของการสนทนาครั้งนี้…บอกสิว่าคุณไม่อยากรู้เรื่องของเขา?

“คือทำมาผมไม่รู้เลยว่าจุดสำเร็จมันอยู่ตรงไหน อันนี้จริง ๆ เลยนะ ผมก็ไม่อยากพูดเท่ ๆ ว่าเราทำอะไรก็สำเร็จไปหมด มันก็มีวันที่เรารู้สึกว่าเราสำเร็จมาก วันนี้ก็โดนด่าเยอะมาก ผมเลยพยายามเลิกคิดไปแล้วว่าประสบความสำเร็จมันคืออะไร

เหมือนถ้าเตะบอลได้แชมป์โลก เดี๋ยวอีกสี่ปีมันก็เตะใหม่ มันไม่ใช่อะไรที่เราต้องไปโฟกัส ผมพยายามดูจุดเดียวคือดูแลลูกค้าคนที่ไว้ใจเราให้ดีที่สุด ผมโฟกัสตรงนั้นมากกว่าแล้ว เพราะว่าประสบความสำเร็จมันแค่ชั่วคราว เดี่ยวเราก็เฟล เดี๋ยวเราก็ขึ้นอีก แล้วก็ลงอีก”

เริ่มต้นจากเส้นทางฝืน สู่หนทางฝันรสชาติเยี่ยม

กว่าจะเป็น SHAPE – Food Design Agency บริษัทครบวงจรด้านการดีไซน์อาหารและให้บริการด้านการตลาดของธุรกิจอาหารที่สร้างผลงานชวนหิวกระตุ้นโสตขนาดนี้ CEO หนุ่มวัยไม่ถึง 30 ของเรานั่งจับเข่าคุยกันตรง ๆ เล่าชีวิตที่เริ่มต้นมาไม่ง่ายของเขาว่า เขาเกือบจะต้องซิ่วการเรียนมหาวิทยาลัยปีสุดท้ายก่อนเรียนจบเพราะรู้สึกทรมานกับสิ่งที่เรียน และต้องไปไล่ฝึกวิชาในสิ่งที่วันนั้นยังไม่มีคณะให้ลงเรียนจริงจังซึ่งวันนี้ก็ยังถือว่าเป็นแรร์ไอเทมหายากอย่าง “Food Stylist”

เมื่อตกผลึกและมิกซ์ความฝันเข้ากับเส้นทางตัวเองได้สำเร็จ หลังเรียนจบเขาจึงนำวิชาที่ได้จากประสบการณ์การฝึกงานที่นิตยสาร Food Stylist การค้นคว้าหาข้อมูลเองมาและเริ่มรับงานฟรีแลนซ์ด้านนี้ร่วมกับแฟนสาว 2 คน ทำหน้าที่ซ้อนกันได้ทุกตำแหน่ง เรียกง่าย ๆ ว่าถ้าแฟนคือ Food Stylist เขาคือคนถ่ายภาพ ขณะเดียวก็ทำอาร์ตเวิร์กวางเลย์เอาต์ให้สวยงามได้ด้วยสลับกันไปต่อเนื่องมาประมาณหนึ่งปี จึงนำเงินก้อนนี้มาขยายทีมและสร้างบริษัท Shape Food Design ขึ้น

“ความหมายของ Shape ที่ผมตั้งขึ้น มันพ้องเสียงกับ Chef ทำอาหาร กับอีกอันคือนัยของคำว่า Shape ที่แปลว่าทำให้เป็นรูปเป็นร่าง เพราะเวลาลูกค้าเข้ามาส่วนใหญ่จะมีไอเดีย มีความฝัน เรามาช่วย Shape ความฝันเขาให้เป็นรูปเป็นร่างครับ”

 

ศิลปะสร้างความหิวที่เบื้องหลังกินจริงไม่ได้

เป็นอันรู้กันหลังจากเราเห็นบางคลิปในอินเทอร์เนตว่าความจริงภาพเพื่อการโฆษณาอาหารมักซุกซ่อนเทคนิคประหลาดอย่างการใส่หินล่างซุปเพื่อดุนอาหาร ใส่น้ำแข็งปลอมในแก้ว ซึ่งทุกอย่างมันกลืนลงท้องไม่ได้ แต่ก็ยังดึงความน่ากินออกมาได้อยู่ดี แต่ทำไมเราถึงไม่นำของกินได้มาถ่าย และทำไมคนที่ไม่ได้ทำอาหารได้อร่อยที่สุดถึงได้ดึงความ “อูมามิ” ออกมาได้

“ถ้าทำของจริงมาวางมันจะใช้ไม่ได้เลย ความยากของอาหารคือมันมีความเปลี่ยนแปลงในตัวเองตลอดเวลา อย่างพวกการถ่ายเครื่องดื่ม เวลาถ่ายถ้าช็อตเนี๊ยบ ๆ เราใช้เวลาถ่ายค่อนข้างนาน รูปนึงก็ 1-2 ชั่วโมง เพราะฉะนั้นเครื่องดื่มปกติก็ต้องละลาย

“เรื่องเทคนิคที่รู้ว่าจะใช้อะไรเป็นเรื่องของประสบการณ์ครับ ทั้งที่ผมโชคดีที่ได้ไปอยู่กับคนเก่ง ๆ มาก่อน ศึกษาจากหนังสือ และเรียนรู้ผ่าน youtube จริง ๆ อาหารเป็นเรื่องธรรมชาติมาก วัตถุดิบอาหารทุกอย่างมันเป็นธรรมชาติ ผมมองว่ามันมีความสวยงามของมันอยู่แล้ว ทีนี้หน้าที่ food stylist คือการดึงองค์ประกอบต่าง ๆ ออกมาให้มันดีที่สุดเท่านั้นเอง อย่างผักเราก็เลือกอันที่สีมันดีที่สุด ผักเวลาน่ากินมันก็คือผักที่สด อาหารทุกอย่างเวลาที่มันดีน่ากินที่สุดคือความสด food stylist ต้องมีพื้นฐานในการคัดเลือกก่อนอย่างแรกและเข้าใจสิ่งที่มันควรเป็นทุกอย่าง ผักสดมันก็ควรจะมีหยดน้ำ สิ่งที่ทำให้ดูสด พวกนี้ผมว่ามันเป็นองค์ประกอบที่ถ้าคนชอบอาหารก็ต้องสั่งสมมาเรื่อย ๆ

ถ้าของดีทุกอย่างมารวมอยู่ในจาน มีการบาลานซ์สีที่ดี ของร้อนควรดูร้อน ของเย็นควรดูเย็น ความน่ากินก็จะเกิดครับ เป็นหลักเบสิกเลยของ food stylist”

 

ความลับเหนือเมนู กลยุทธ์ที่ทำให้ร้านอาหารอยู่ได้

ไม่เพียงแค่ความอร่อยแต่การอยู่ได้ของร้านอาหารคือสิ่งสำคัญ หนุ่มตรงหน้าพูดในเรื่องที่เราต้องทึ่งว่าเมนูที่เราสั่งทุกวันนี้ของร้านอาหารก็ยังต้องการกุนซือในการจัดวาง ไม่เช่นนั้นร้านอาจจะเจ๊งราบคาบได้

“ออกแบบเมนูมันก็มีศาสตร์ของมันนะ การวาง layout มันเป็นกลยุทธ์ทั้งหมด เพราะว่าร้านต้องการกำไร อยู่ได้เพราะเมนูกำไรสูง เราจะคุยกับลูกค้าก่อนว่ามีเมนูไหนที่มีกำไรและขายดี คือเราต้องรู้เรื่องนี้ก่อน เราจะไม่วางมั่ว ถ้าเอาตัวที่กำไรต่ำแล้วก็ขายได้ดีมาวางไว้เนี่ยร้านอาจจะได้ยอดขายจริง แต่ว่ากำไรน้อย สุดท้ายก็อยู่ไม่ได้เพราะฉะนั้นต้องเป็นตัวที่กำไรสูงด้วยและเป็นตัวที่ขายง่ายขายดี

เมนูแนะนำถ้าร้านได้ทำบ่อยจริง ๆ มันเป็นข้อดีครับ ทั้งสต๊อกก็หมุนเวียนเร็ว เชฟทำจนคล่อง เสิร์ฟได้เร็ว ส่วนเรื่องความโดดเด่นของร้านก็สำคัญเพราะแต่ละร้านมันควรมีเมนูที่คนนึกถึง ร้านนี้ต้องคิดถึงอันนี้ ถ้าร้านไม่มีตรงนี้ก็จะยาก เป็นจุดที่ผมพยายามแนะนำลูกค้าแม้มันจะไม่ใช่หน้าที่แต่ผมรู้ว่ามันเป็นจุด success จริง ๆ ถ้ามีเมนูที่คนจดจำได้แค่อย่างหรือสองอย่างก็พอ ก็ขายดีมากแล้ว แล้วก็โปรโมตแต่อันนี้ ทำให้เรายิ่งเป็นเจ้าแห่งอะไรสักอย่าง อันนี้ก็โอเคแล้ว”

 

สไตล์ธุรกิจตามใจปาก ที่ไม่ตามใจอยาก

แม้ว่าตลาดอาหารในบ้านเราถือว่าเป็นตลาดใหญ่เพราะทุกหัวมุมมักมีร้านอาหาร และคนสามารถใช้สมาร์ตโฟนสร้างคอนเทนต์ในโซเชียลตลอดเวลา แต่เซิร์ฟยืนยันว่าธุรกิจเอเจนซี่อาหารครบวงจรยังมีการแข่งขันน้อยและเป็นตลาดที่ niche มาก niche ทั้งเรื่องจำนวนคู่แข่งและเรื่องการหาลูกค้า

“ก็ทำอะไรโง่ ๆ ไปเยอะครับ ไปวิ่งหาลูกค้า เข้าไปแนะนำตัว มีช่วงหนึ่งที่อยากหาลูกค้าให้ได้เยอะ ๆ เราก็นั่งเปิด facebook ร้านอาหารขึ้นมา 50 เจ้าแล้วก็ส่งแนะนำตัวเข้าไป 50 เจ้าเลย (หัวเราะ) ไม่มีใครตอบรับเลย มีแต่อ่าน เงียบ ปฏิเสธ

เพราะฉะนั้นผมมองว่ามันเป็นธุรกิจที่ดูไม่ค่อยดีถ้าเราจะกระเหี้ยนกระหือรือในการอยากจะเข้าไปอะไรอย่างนั้น พอรู้มันผิดทางแล้ว ผมไม่ทำแบบนั้นแล้วนะ เราก็มาเปลี่ยนวิธีการเอาครับ

พอเราทำผลงานของเราให้ดี เวลาคน search แล้วเจอเรา อันนี้ก็เป็นลูกค้าที่เข้ามา ผมว่าพอร์ตสำคัญที่สุดนะ เหมือนสมัยเรียนไม่มีใครสนหรอกว่าเรียนจบมาได้เกรดเท่าไหร่ อยู่ที่พอร์ตเรามันดีแค่ไหน ผมว่ามันหลักการเดียวกัน ผมก็เอางานที่ดี ๆ เป็นเครื่องมือ”

สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าที่ทำให้หนุ่มอายุน้อยอย่างเขาขยายธุรกิจจนเติบโตเข้าตาแบรนด์ใหญ่ได้อีกอย่างคือความเข้าใจธุรกิจ แบรนด์ดิ้ง และความจริงใจกับลูกค้า

“จุดที่สำคัญมากของเชฟเนี่ยคือเราไม่ทำงานตามสไตล์ตัวเอง ผมเป็นคนไม่ได้มีสไตล์อะไรมาก ผมไม่ใช่เด็กที่ติสต์แตกอะไรขนาดนั้น เวลาเราทำงานลูกค้าเราโฟกัสกับแบรนด์ดิ้งนะ ไม่ได้โฟกัสกับตัวเราเอง

เวลาในทีมคุยกันเราจะคุยประโยชน์ของลูกค้ามากกว่า จะไม่คุยว่าเราต้องชอบเลอะ ๆ แล้วทำ ถ้าลูกค้าอยากได้เนี๊ยบก็ต้องเนี๊ยบ ทำให้เราไม่ตัน ที่สำคัญคือในทีมเป็นสายกิน เรามีงานอดิเรกอย่างการเดินซุปเปอร์ ตามไปกินร้านใหม่ ๆ เพราะฉะนั้นเวลาคุยกับลูกค้า สิ่งที่ลูกค้าชอบคือเราคุยรู้เรื่อง เรารู้ว่าถ้าเขาอยากเปิดร้านซีฟู๊ดคู่แข่งของเขาคือร้านอะไรบ้าง รู้ว่าจะวางเขาอย่างไรให้ฉีก วางโทนอย่างไรให้ไม่ให้ซ้ำคนอื่น ตรงนี้ผมว่าเป็นจุดสำคัญเลยที่ลูกค้าชอบเรา เพราะว่าเขาอยากได้คนที่รู้เรื่องมาช่วยดูแลเขาครับ”

ส่วนเคล็ดลับความก้าวกระโดดแบรนด์คือจุดต่อจุด พอร์ตเล็กของร้านที่ดี และการพูดถึงปากต่อปากในวงการคือจุดสร้างสปอตไลต์ให้แบรนด์ใหญ่มองเห็น

“จริง ๆ คือผมว่าทำให้ดี ทำอย่างต่อเนื่อง อันนี้ของจริง เพราะว่าในเกมจริง ๆ มันเป็น long run มันไม่ใช่อะไรที่แปป ๆ จบครับ”

 

UNLOCK HIS POTENTIAL

ดีแล้วยังดีกว่าเดิมได้เป็นเรื่องที่เราเชื่อเสมอ คนมีความสามารถและมุ่งมั่นมักไม่ขีดกรอบความสำเร็จของตัวเองและยังอยากทำสิ่งอื่นที่สร้างเวอร์ชั่นดี ๆ ของตัวเองในรูปแบบอื่นเสมอ ซึ่งบางทีวันหนึ่งคุณอาจจะเป็นส่วนหนึ่งของความฝันเขาก็ได้

“ถ้า unlock ใหญ่ ๆ เลยคือผมอยากเห็นภาพรวมธุรกิจอาหารไทยมันดูดีขึ้น มีภาพลักษณ์ดีขึ้น สิ่งที่อยากทำอีกอย่างหนึ่งคือเรื่องการสอน ผมรู้ว่าบางเจ้าไม่มีกำลังจะจ้างเราจริง ๆ ผู้ประกอบการเวลาตอนเริ่มมันก็เหมือนสมัยผมเริ่ม เราต้องพยายามทำทุกอย่างด้วยตัวเราเอง เราต้องพยายามทำอะไรเป็นมากที่สุดเพราะว่ามันลด cost ได้

ผมคิดว่าการสอนมันอาจจะตอบโจทย์ตรงที่ทำให้เขาทำเป็น แล้วก็ทำได้เองก่อนในช่วงเริ่ม แล้ววันนึงเขาอยากจะจ้างผมอยู่แล้วแหละ วันที่เขาเริ่มลอยลำแล้ว วันที่เขาต้องคิดอะไรที่เป็นภาพใหญ่ขึ้น อยากหาคนไว้ใจมาดูแล ยังไงเขาก็จะคิดถึงเราอยู่แล้ว ถ้าเราได้ทำตรงนี้มันจะได้วงกว้างอีกเยอะเลยแล้วก็ได้ประโยชน์จริง ๆ ด้วย”

เต็มอิ่มกับเรื่องราวของเซิร์ฟแล้ว เราขอปิดคอร์สด้วยประโยคดี ๆ ที่จะทำให้คุณเองก็มีโอกาสหาแพสชันของตัวเองได้เจอ อย่ากลัวกับความผิดหวังเพราะมันทำให้เราเข้าใกล้ความสำเร็จ และบางครั้งสิ่งที่เราไม่เคยพูดออกมาอาจส่งสัญญาณบางอย่างว่านี่คือแพสชันของเรา ไว้เจอกันอีกครั้งในบทสัมภาษณ์หน้า…คนที่เราพูดคุยด้วยอาจเป็นคุณ

“ต้องเริ่มให้เร็วที่สุดเท่าที่ทำได้ คือเฟลเดี๋ยวมันก็ผ่านไปประสบความสำเร็จเดี๋ยวมันก็ผ่านไป แต่ว่ายังไงต้องกล้าเริ่มเลย ผมอยากขอบคุณตัวเองในวัยเด็กนะ คือผมไม่แน่ใจเลยว่าถ้าวันนี้ผมต้องมาเริ่มแบบนั้น ผมจะฟิตเท่าวันนั้นหรือเปล่า แต่ว่าในวันนั้นผมรู้สึกว่าตัวเองบ้าคลั่งมาก พฤติกรรมคือเราคิดแต่เรื่องนี้ นอนปุ๊ปตื่นมากดคอม นอนตื่นกดคอม คือเราทำไม่มีเสาร์อาทิตย์ ไม่มีการมาคุยถึงวันหยุด ทำอย่างเดียวจริง ๆ

และสำคัญเลยคือต้องรู้จักตัวเองก่อน อันนี้ก็รู้สึกว่าตัวเองก็โชคดีว่าโอเคถ้าย้อนไปในสมัยเรียนผมรู้เลยว่าผมชอบอะไร ผมไม่ชอบอะไร พยายามหาเรื่องที่อยู่กับมันได้นาน ๆ มันต้องเป็นอะไรที่ทำได้ทุก ๆ วัน แล้วไม่ต้องไปคิด ถ้าพูดว่าชอบบางทีมันอาจจะไม่ได้ชอบจริง ต้องลองสังเกตตัวเองก่อนว่าอะไรที่เราทำบ่อย ๆ ไอ้ที่ทำบ่อย ๆ นั่นบางทีนั่นน่ะอาจจะเป็นสิ่งที่ชอบจริงนะ อาจจะเป็นสิ่งที่ไม่ได้พูดออกมาแต่พออยู่ด้วยนาน ๆ แล้วมันจะไม่ทรมาน”

จากผู้ปราบกบฏสู่การเป็นกบฏ “ไซโง ทากาโมริ”ชายที่โลกขนานนามว่าซามูไรคนสุดท้าย

$
0
0

ก่อนหน้านี้ UNLOCKMEN นำเสนอเรื่องราวของชาย(อีกคน)ที่ถูกขนานนามว่าซามูไรคนสุดท้ายไว้ที่ วิถีซามูไร ฮาราคีรี และมิชิมะ ยูกิโอะ ผู้ที่เรียกตัวเองว่าซามูไรคนสุดท้าย ในนั้น เรากล่าวถึง “ไซโง ทากาโมริ” ไปแล้วเล็กน้อย ใครหลายคนที่กระหายจะเสพเรื่องราวของเขา วันนี้ไม่ต้องรออีกต่อไป เราพร้อมตีแผ่ชีวิตของเขาเพื่อค้นหาคำตอบว่าเพราะเหตุใดไซโงถึงได้เป็นซามูไรที่ครองใจชาวญี่ปุ่นมาจนถึงปัจจุบัน

ไซโง ทากาโมริ คือหนึ่งในซามูไรผู้ทรงอิทธิพลที่สุดในประวัติศาสตร์ญี่ปุ่น เหล่านักประวัติศาสตร์และนักวิชาการต่างก็ยอมรับ และเรียกเขาว่าเป็น The Last True Samurai หรือ ซามูไรที่แท้จริงคนสุดท้าย เขามีจุดเริ่มต้นธรรมดาทั่วไปจากการเป็นซามูไรระดับล่างที่ผลักดันตัวเองขึ้นมาเป็นหนึ่งในซามูไรผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งยุค

stmed.net

บุคลิกเข้มแข็ง ความตรงไปตรงมา ความเป็นผู้นำ และเอาจริงเอาจังกับงานของตัวเองเสมอ ไซโง ทากาโมริจึงได้รับความไว้วางใจจากผู้บังคับบัญชาอยู่บ่อยครั้ง ในช่วงที่ญี่ปุ่นแบ่งออกเป็นฝักเป็นฝ่าย ต่อสู้ฟาดฟันกันเองและเกิดกบฏอยู่บ่อยครั้ง ไซโง ทากาโมริตั้งกลุ่มพันธมิตรซามูไรเพื่อสร้างความแน่นแฟ้นในหมู่พรรคพวกของตัวเอง

สิ่งที่ไซโงต้องการคือการตั้งกลุ่มยอดฝีมือเพื่อป้องกันซามูไรกลุ่มอื่นที่จะบุกโจมตีพระราชวังหลวงในกรุงเกียวโต เขาได้รับการแต่งตั้งจากโชกุนให้เป็นผู้บัญชาการกองทัพเพื่อปราบกบฏตามเมืองต่าง ๆ เหตุการณ์ดังกล่าวสร้างชื่อเสียงให้กับไซโงเป็นอย่างมาก เพราะกลุ่มกองกำลังฝ่ายกบฏถูกตีแตกพ่ายภายในเวลาไม่กี่วัน

แต่เพราะความรอบคอบและเฉลียวฉลาดของเขา ในศึกบางครั้งแทนที่จะใช้กำลังเข้าห้ำหั่นปราบปราบเพียงอย่างเดียว เขาเลือกเจรจาลับกับกลุ่มซามูไรที่เป็นกบฏนับเป็นกลยุทธ์ที่ลดความสูญเสียได้มาก

ต่อมาเมื่อโชกุนโทกุงาวะประกาศสละอำนาจและคืนสิทธิทุกอย่างให้กับสมเด็จพระจักรพรรดิเพื่อเป็นการรวมญี่ปุ่นให้เป็นปึกแผ่นและเปิดประเทศและถือเป็นการสิ้นสุดระบอบโชกุน เข้าสู่การฟื้นฟูประเทศในสมัยเมจิ ไซโง มากาโมริ มีท่าทีไม่เห็นด้วยเพราะเขาไม่ต้องการให้ชาติตะวันตกเข้ามามีอิทธิพลในญี่ปุ่น รวมไปถึงหากเกิดการปฏิรูปประเทศ บทบาทของซามูไรจะต้องลดน้อยลง

เขาจึงจัดเตรียมทัพเพื่อบุกเข้าปราสาทเอโดะ แต่รัฐบาลได้ส่งคนมาขอทำเรื่องสงบศึกโดยการเจรจาเป็นการส่วนตัว ผลคือไซโงยอมจำนนต่อเหตุผลของรัฐบาลอย่างไม่เต็มใจนัก แต่ผลที่ดีที่สุดจากการเจรจาในครั้งนี้คือการทำให้บ้านเมืองรอดพ้นจากสงครามครั้งใหญ่ไปอีกครั้ง

The Mad Monarchist

เมื่อญี่ปุ่นเริ่มดำเนินนโยบายทำประเทศให้ทันสมัย ไซโง ทากาโมริ ถือว่าเป็นซามูไรที่มีบทบาทสำคัญต่อรัฐบาลอยู่โดยเขาเป็นผู้ควบคุมและจัดระเบียบการเกณฑ์ทหารตามแบบชาติตะวันตก อีกทั้งยังได้รับมอบหมายให้ดูแลคณะรัฐบาลรักษาการแทนเหล่าเสนาบดีที่ออกเดินทางไปกับคณะทูต

แต่ด้วยความเป็นซามูไรที่มีความเป็นญี่ปุ่นในตัวสูงมาก ไซโง ทากาโมริ จึงไม่เห็นด้วยที่จะทำประเทศญี่ปุ่นให้ทันสมัยตามแบบชาติตะวันตก ทั้งการเปิดการค้าเสรีกับต่างชาติ และลดบทบาทซามูไร เขารู้สึกเห็นใจกลุ่มซามูไรที่โดนลดบทบาททางสังคมจากการปฏิรูปประเทศ

ซามูไรบางคนที่ปรับตัวได้ก็เข้ามาเป็นทหารหรือคนของรัฐบาลเหมือนอย่างเขา แต่ซามูไรบางคนก็ไม่สามารถปรับตัวกับความเปลี่ยนแปลงนี้ได้ จากซามูไรผู้มียศศักดิ์และมีหน้ามีตาในสังคม บางคนกลายมาเป็นคนตกงาน ไร้เงิน และมาขอความช่วยเหลือจากเขา จึงทำให้ไซโงพยายามยื่นเรื่องต่อรัฐบาลหลายครั้งแต่ก็ไม่สำเร็จ

นอกจากเรื่องบทบาทของซามูไรที่ลดลงแล้ว ความไม่พอใจจนถึงจุดแตกหักนั้นมาจากข้อเสนอของเขาที่ต้องการให้ญี่ปุ่นเปิดฉากทำสงครามกับเกาหลี ด้วยเหตุผลเพราะเกาหลีไม่ยอมรับว่าจักรพรรดิเมจิคนปัจจุบันเป็นประมุขโดยชอบธรรม ทั้งยังดูหมิ่นองค์จักรพรรดิซึ่งในสมัยนั้นการออกท่าทีแบบนี้จะถูกมองว่าเป็นไม่ให้เกียรติต่อญี่ปุ่น

ไซโงจึงเสนออุบายว่าจะเดินทางไปยังเกาหลีและยั่วยุให้เกิดการทำร้ายร่างการเพื่อจะได้เป็นสาเหตุทำให้เกิดสงครามแม้ตัวจะตายก็ไม่เป็นไร แต่โชคดีที่ความคิดแบบสุดโต่งของไซโงได้รับการต่อต้านจากคนอื่น ๆ เพราะการทำสงครามในแต่ละครั้งจะต้องใช้เงินจำนวนมาก อีกทั้งความสามารถในการป้องกันตัวเองจากชาติตะวันตกจะลดลงเพราะต้องไปทำสงครามกับเกาหลี

เมื่อรัฐบาลปฏิเสธข้อเสนอครั้งนี้จึงทำให้ไซโง ทากาโมริ ตัดสินใจลาออกจากทุกตำแหน่งที่เขาได้รับและเดินทางกลับบ้านเกิดที่เมืองคาโงชิมะ ซึ่งใครจะคิดว่าท่าทีที่ไม่เห็นด้วยของซามูไรเพียงคนเดียวจะเป็นหนึ่งในสาเหตุของสงครามครั้งใหญ่ในช่วงเวลาต่อมา

O Salsichão do Amor

หลังจากที่ไซโง ทากาโมริ ลาออกจากการทำงานให้กับรัฐบาล เมืองคาโงชิมะซึ่งเป็นบ้านเกิดได้มีการจัดตั้งโรงฝึกสำหรับชาวญี่ปุ่นที่ยังมีความศรัทธาในวิถีซามูไร (หนังสือบางเล่มก็บอกว่านี่คือโรงฝึกที่ไซโงเป็นคนเปิดขึ้นมาเอง แต่บ้างก็ยังไม่ยืนยันว่าเขาคือผู้ริเริ่มจริงหรือไม่)

จุดประสงค์ที่ชัดเจนของโรงฝึกนี้คือมีไว้เพื่อเรียนรู้วิถีบูชิโด ฝึกสอนศาสตร์โบราณตามแบบซามูไร รวมไปถึงเรื่องของศิลปะและวัฒนธรรม แต่การเปิดสถานศึกษาแบบนี้สร้างความกังวลให้กับรัฐบาลเป็นอย่างมาก และมองว่าเหล่าซามูไรที่เมืองคาโงชิมะมีความกระด้างกระเดื่องและเป็นอันตราย

รัฐบาลจึงได้ยกเลิกเบี้ยหวัดซามูไรในปี ค.ศ. 1877 ทั้งยังถอนกำลังทหารและอาวุธปืนออกจากเมืองคาโงชิมะ รวมไปถึงเรื่องเล่าที่ว่ารัฐบาลพยายามส่งคนไปลอบสังหารไซโง ด้วยเหตุผลหลายอย่างจึงทำให้เขาต้องจับพลัดจับพลูมาขึ้นมาเป็นหัวหน้ากลุ่มกบฏซามูไรและต่อสู้กับรัฐบาล

กลุ่มกบฏซามูไร

กลุ่มกบฏนี้คือเหล่าซามูไรที่มากไปด้วยฝีมือ รัฐบาลจึงต้องทุ่มกำลังในการปราบปราบกลุ่มกบฏซามูไรโดยจัดตั้งกองทัพใหญ่กว่า 3 แสนคน ที่เป็นทั้งอดีตซามูไรและทหารเกณฑ์ จัดเต็มเรื่องอาวุธปืนทั้งปืนใหญ่ ปืนกลไฟ ปืนกลแกงลิงที่ได้มาจากชาติตะวันตก เพื่อปราบกลุ่มกบฏซามูไรที่มีจำนวนเพียง 40,000 คน

ด้วยอาวุธที่ทันสมัยกว่ารวมถึงจำนวนคนที่เป็นต่อของรัฐบาล ทำให้ในเวลาไม่นานซามูไรจำนวนกว่า 40,000 คน ก็ลดลงเหลือเพียงแค่ 400 คนเท่านั้น ทางกองทัพของรัฐบาลพยายามที่จะเจรจาครั้งสุดท้ายแต่ไซโง ทากาโมริ ก็ได้ปฏิเสธอย่างหนักแน่น ถึงจะรู้ว่าอย่างไรก็ตามเหล่าซามูไรที่มีจำนวนแค่หยิบมือต้องพ่ายแพ้ แต่พวกเขาก็จะขอสู้อย่างถึงที่สุด

Gypzyworld

ในช่วงการต่อสู้ไซโง ทากาโมริได้รับบาดเจ็บสาหัสที่สะโพกข้างซ้าย และไม่มีใครทราบสาเหตุที่แน่ชัดเรื่องการเสียชีวิตของเขาเลย แต่จากคำบอกเล่าของซามูไรคนสนิทอ้างว่าหลังจากที่ไซโงได้รับบาดเจ็บสาหัส เขาได้ทำการเซ็ปปุกุหรือที่เรียกกันว่าการทำฮาราคีรีด้วยตัวเอง แต่บ้างก็ว่าไซโงได้ขอให้สหายของเขาเป็นผู้ลงมือทำอัตวินิบาตกรรมให้กับเขา

อย่างไรก็ตาม นักประวัติศาสตร์กลับไม่ค่อยเห็นด้วยกันแนวคิดดังกล่าวเพราะจากบาดแผลที่สาหัสขนาดนั้นไซโงอาจขยับตัวหรือพูดไม่ได้ด้วยซ้ำ และมีความเป็นไปได้สูงว่ากลุ่มผู้ภักดีเป็นคนตัดศีรษะของเขาเพื่อให้เป็นการตายอย่างมีศักดิ์ศรีและสมกับฐานะของเขา ซึ่งการเสียชีวิตของไซโง ทากาโมริ ทำให้การต่อสู้ที่ดุเดือดได้จบลงพร้อมชัยชนะของรัฐบาล

The Last Samurai

ถึงจะขึ้นชื่อว่าเป็นกบฏแต่ไซโง ทากาโมริ นั้นเป็นที่นับถือของชาวญี่ปุ่นเป็นอย่างมากเพราะความเป็นคนมีวินัย ยึดมั่นในอุดมการณ์ และเป็นตัวอย่างที่ดีของผู้ที่ทำตามแบบวิถีซามูไรอย่างเคร่งครัด เป็นบุคคลที่ชาวญี่ปุ่นมองว่าถึงจะหัวรุนแรงไปบ้างในบางครั้ง แต่เขาคือคนที่มองประโยชน์ส่วนรวมมาก่อนเสมอ ไม่ยึดติดกับอำนาจ และยอมตายเพื่ออุดมการณ์ของตัวเอง จึงเกิดการเรียกร้องของประชาชนเพื่อให้รัฐบาลญี่ปุ่นอภัยโทษย้อนหลัง ถึงแม้รัฐบาลจะไม่เต็มใจนักแต่ก็ไม่อาจต่อต้านกระแสของประชาชนได้ ทำให้ในปี ค.ศ. 1889 รัฐบาลประกาศอภัยโทษย้อนหลังให้กับไซโง ทากาโมริ

หลังจากไซโงจบชีวิตลงในสนามรบ เรื่องราวชีวิตของเขาถูกนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์อยู่บ่อยครั้ง และไม่ใช่แค่ในวงการหนังของญี่ปุ่นเท่านั้น วงการฮอลลีวูดก็เคยนำเรื่องราวของไซโงมาเป็นแรงบันดาลใจในการสร้างภาพยนตร์เรื่อง The Last Samurai ที่มีตัวละครชื่อว่า ไซโง คัตสึโมโตะ นำแสดงโดย เคน วาตานาเบะ

ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้กระพือชื่อเสียงของไซโง ทากาโมริ ให้คนทั่วโลกได้รู้จักถึงวิถีซามูไรและตัวของเขามากขึ้นในฐานะที่เป็นซามูไรคนสุดท้าย และมีอนุสาวรีย์ตั้งอยู่ในสวนสาธารณะอูเอโนะ ณ กรุงโตเกียว

จากผู้ที่เคยเป็นแม่ทัพในการไล่ปราบกบฏ จนกลายมาเป็นกบฏเสียเอง แต่ไซโง ทากาโมริคือบุคลที่มีเจตนาดีต่อบ้านเมืองที่เขารัก และพร้อมที่จะทำสิ่งที่เห็นว่าถูกต้องตามอุดมการณ์ของเขา ถึงแม้วิถีซามูไรที่เจนจัดจะจบลงไปพร้อมกับไซโง ทากาโมริ ที่โลกขนานนามว่าเป็นซามูไรคนสุดท้าย แต่แนวคิดแบบวิถีซามูไรก็ยังคงมีให้เห็นได้ในสังคมญี่ปุ่นยุคปัจจุบัน เพราะนี่คือความเท่ที่น่าภาคภูมิของวัฒนธรรมญี่ปุ่นที่ต่อให้จะผ่านไปนานแค่ไหนก็ไม่อาจลบล้างได้

SOURCE1 SOURCE2

หาเงินยังไงให้รวย? วิธีหาเงินของ 5 เซเลบฯ ที่รวยที่สุดในโลกแห่งปี 2018 โดย FORBES

$
0
0

เมื่อถึงช่วงสิ้นปีเก่าขึ้นปีใหม่ อันดับและสถิติต่าง ๆ ก็จะดาหน้าออกมาให้เราได้รับชมกัน นิตยสารธุรกิจและการเงินชื่อดังของสหรัฐฯ อย่าง Forbes ก็ไม่พลาดที่จะจัดอันดับในหัวข้อเซเลบริตี้ที่มีรายได้มากที่สุดในโลกประจำปี 2018 โดยวัดจากรายได้ก่อนหักภาษีและค่าธรรมเนียม รวมถึงอ้างอิงจากเว็บไซต์การเงิน และผู้เชี่ยวชาญในวงการต่าง ๆ ซึ่ง UNLOCKMEN จะพาไปดูว่าเหล่าเซเลบฯ ที่รวยที่สุด  5 อันดับแรกสร้างรายได้มหาศาลจากอะไรกันบ้าง

 

5. Dwayne Johnson
มูลค่าทรัพย์สิน 124 ล้านเหรียญ หรือราว 4,040,000,000 ล้านบาท

Just Jared

ในปีนี้ Dwayne Johnson คือหนึ่งในนักแสดงชายที่ทำงานหนักตลอดทั้งปี จนปีนี้นอกจากจะติดในอันดับ 5 เซเลบฯ ที่มีรายได้มากที่สุดในโลกแล้ว เขายังกลายเป็นนักแสดงฮอลลีวูดที่ทำรายได้สูงสุดในประวัติศาสตร์ตั้งแต่มีการจัดอันดับมากว่า 20 ปี

เจ้าตัวก็เคยให้สัมภาษณ์ว่าจากนักมวยปล้ำที่ได้ค่าตัว 40 เหรียญ (ประมาณ 1,300 บาท) ต่อการแข่งหนึ่งแมท ก็ไม่คิดเหมือนกันว่าตัวเองจะมาได้ถึงขนาดนี้ Dwayne Johnson ยังบอกอีกว่าเขามีวันนี้ได้แม้ไม่ใช่นักธุรกิจที่จบมาจากมหาวิทยาลัยชื่อดัง แต่เขาตั้งใจทำงานทุกครั้ง และเรียนรู้ถึงความผิดพลาด จนในที่สุดก็สามารถประสบความสำเร็จได้

 

4. Judy Sheindlin
มูลค่าทรัพย์สิน 147 ล้านเหรียญ หรือราว 4,776,000,000 ล้านบาท

fanpop

รายการเกมโชว์ Judge Judy ที่จะมาตัดสินคดีความต่าง ๆ ของผู้ชมทางบ้านหรือผู้ชมที่อยู่ในรายการ โดยผู้ตัดสินคดีคือนักกฎหมายชื่อดังอย่าง Judy Sheindlin รายการนี้เริ่มออกฉายตั้งแต่ซีซั่นแรกจนตอนนี้มาถึงซีซั่นที่ 22 แล้ว มีผู้ชมกว่า 10 ล้านคนต่อวัน

จึงไม่น่าแปลกใจที่เธอได้เงินจากรายการดังกล่าวกว่า 47 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ต่อปี และคว้ารางวัลจากเวที Emmy Awards ที่จะให้รางวัลกับนักแสดง ผู้กำกับ ซีรีส์รวมถึงรายการต่าง ๆ ที่ฉายทางโทรทัศน์ได้ถึง 3 ครั้ง รวมถึงยังเป็นผู้สร้างซีรี่ส์ชื่อดังอย่าง Hot Bench เธอเป็นผู้หญิงที่ทำงานหนัก จึงไม่น่าแปลกใจที่เธอจะสามารถคว้าอันดับ 4 เซเลบริตี้ที่ทำรายได้สูงสุดมาครองได้ในปีนี้

 

3.Kylie Jenner
มูลค่าทรัพย์สิน 166.5 ล้านเหรียญ หรือราว 5,409,000,000 ล้านบาท

Elle

ปีนี้ถือว่าเป็นปีทองของน้องสาวคนเล็กตระกูล Kardashian-Jenner จากเด็กสาวธรรมดาที่เป็นเน็ตไอดอล สู่หญิงสาวที่ร่ำรวยที่สุดในตระกูลด้วยอายุเพียงแค่ 21 ปี

รายได้มหาศาลจากการขายผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางที่เธอสร้างขึ้นมาเองกับมืออย่างแบรนด์ Kylie Cosmetics ที่สร้างเงินให้เธอในหลักพันล้านบาท รวมถึงงานถ่ายแบบและนิตยสารต่าง ๆ ที่ถึงแม้เธอจะเป็น CEO แบรนด์เครื่องสำอางแล้ว ก็ยังไม่หยุดรับงานอื่น ๆ ที่เข้ามา

 

2. George Clooney
มูลค่าทรัพย์สิน 239 ล้านเหรียญ หรือราว 7,783,000,000 ล้านบาท

NY Daily News

ถึงแม้ในปีนี้นักแสดงชายชื่อดังแห่งวงการฮอลลีวูดอย่าง George Clooney แทบจะไม่แตะงานแสดงเลย แต่เขากลับสร้างรายได้มหาศาลได้จากการการผลิตเหล้าเตกีล่าเป็นของตัวเองภายใต้ชื่อแบรนด์ว่า Casamigos

ไม่ใช่แค่ทำขึ้นมา แต่ George Clooney ขายมันให้กับบริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง Diageo ในราคา 700 ล้านเหรียญ รวมถึงยอดขายจากเตกีล่าดังกล่าวที่จะแบ่งเข้ากระเป๋าสตางค์ของเขาอีกกว่า 300 ล้านเหรียญ ส่งผลให้เขาเป็นนักแสดงชายของฮอลลีวูดที่แทบไม่รับงานแสดงแต่กลับมีรายได้มากที่สุดติดการจัดอันดับโพลต่าง ๆ ของปี 2018 อย่างง่ายดาย

เห็นไหมว่าเราสามารถหารายได้มากกว่าหนึ่งทางได้จริง ๆ

 

1. Floyd Mayweather
มูลค่าทรัพย์สิน 285 ล้านเหรียญ หรือราว 9,256,000,000 ล้านบาท  

uk.businessinsider

Floyd Mayweather นักชกไร้พ่ายที่ได้รับฉายาว่าเป็นนักสู้ที่ดีที่สุดตลอดกาลที่ตอนนี้กลายเป็นนักกีฬาและคนดังที่มีรายได้สูงที่สุดในโลกจากการได้รับเงินค่าตัว 275 ล้านเหรียญสหรัฐ ฯ หรือว่า 7 พันล้านบาท ในศึกกำปั้นครั้งประวัติศาสตร์กับ Conor McGregor ในปีที่ผ่านมา

รวมถึงรายได้ที่มาจากการเป็นพรีเซ็นเตอร์ให้กับแบรนด์ต่าง ๆ อีกกว่า 10 ล้านเหรียญ แต่กว่าจะมีวันนี้ Mayweather ก็เริ่มต้นเหมือนกับคนอื่น ๆ จากเด็กผู้ชายธรรมดาที่เติบโตมาจากครอบครัวที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติด มาสู่บุคคลที่มีชื่อเสียงและมีรายได้มากเกือบแตะหลักหมื่นล้าน ซึ่งถือว่าไม่ใช่เรื่องง่ายเพราะกว่าจะได้มามันต้องแลกด้วยหยาดเหงื่อและความพยายาม

ความพยายาม แพสชั่น ต้นทุนที่สั่งสมมาตลอดหลายปียังเป็นอีกปัจจัยสำคัญที่ทำให้เซเลบฯ เหล่านี้ทำเงินได้มากมายมหาศาลจนติดอันดับโลก สำหรับเราชาว UNLOCKMEN ไม่ว่าจะมีโอกาสติดอันดับความร่ำรวยกับเขาหรือไม่ แต่ที่เราไม่อยากให้ทิ้งไปเพราะมันต่อยอดโอกาสในชีวิตได้แน่นอนก็คือ”ความพยายามและแพสชั่น” อย่างพวกเขานี่แหละ

 

SOURCE1

อยากประสบความสำเร็จในชีวิตทำงาน ต้องเลิกคิดและเลิกทำสิ่งเหล่านี้ให้ได้ก่อน

$
0
0

ใครๆ ก็อยากประสบความสำเร็จกันทั้งนั้น ไม่ว่าจะมีความฝันที่แตกต่างกันแค่ไหน เราก็อยากไปถึงเป้าหมายที่เราวาดไว้เช่นเดียวกัน แต่กลับไม่ใช่ทุกคนที่จะไปถึงจุดที่หวังไว้ได้ แล้วอะไรบ้างที่เป็นปัจจัยให้เราก้าวไปถึงจุดสูงสุดที่ตัวเราได้ตั้งไว้ เงินทอง ความเก่งกาจที่มี หรือแท้จริงแล้วมันมีเรื่องไม่เป็นเรื่องที่ทำให้คุณเสียเวลา และเสียความตั้งใจกันแน่

วันนี้ UNLOCKMEN  จึงอยากพูดถึงสิ่งที่คุณจำเป็นต้องเลิกคิดให้ได้ก่อน ถ้าคุณอยากประสบความสำเร็จได้รวดเร็วอย่างที่ใจหวัง อย่าเอาเวลาที่มีค่าของคุณไปเสียให้กับสิ่งเหล่านี้เลย

 

เอาตัวเราไปเปรียบเทียบกับคนอื่นตลอดเวลา

การมีความฝัน มีความตั้งใจไม่ใช่เรื่องผิดแต่อย่างใด เราทุกคนก็ไม่ได้เกิดมาแล้วเก่งเลย ต้องใช้ความพยายามด้วยกันทั้งนั้น การที่คุณมองเห็นคนที่สำเร็จกว่า หรือมองไปที่เพื่อนร่วมงานเห็นเค้าได้ดี จนเกิดความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ เปรียบเทียบว่าเราไม่ดีอย่างนั้นอย่างนี้ตลอดเวลา เผลอๆ ก็ทำให้ตัวเองเสียกำลังใจ พาลทำให้อยากทิ้งทุกอย่างลงกลางครัน เราเข้าใจว่าทุกคนมักจะเผลอเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่นตลอดเวลา

เราอยากจะบอกว่า คิดแบบนั้นได้ แต่ควรนำแรงผลักดันนั้นมาพัฒนาตนเอง เอาชนะตัวเอง ไล่ตามเป้าหมายที่เราต้องการ อย่าเสียเวลาไปกับการเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่นจะดีกว่านะ เพราะยิ่งใช้เวลาเปรียบเทียบนานเท่าไหร่ ก็เสียเวลาฝึกฝนพัฒนาตัวเองมากเท่านั้น

 

เมื่อไรจะมีคนเห็นความดีของเรา

อันนี้เป็นอีกหนึ่งปัญหาที่ทำให้หลายคนรู้สึกท้อแท้ใจ ทำความดีไปแค่ไหน ก็รู้สึกว่าไม่เคยมึใครเห็นความดีของเรา เฮ้อ!ใจเย็นนะทุกคน หากคุณทำดีแล้ว ก็ขอให้ทำมันอย่างเต็มความสามารถไปก่อน ต่อให้วันนี้บอสหรือเพื่อนร่วมงานของคุณจะไม่เห็นค่าของมัน แต่หากคุณรักษาความดีของคุณเอาไว้ต่อไป อย่างไรก็ต้องไปถึงจุดที่คุณต้องการได้อยู่แล้ว ทุกวันนี้ให้ถือคติที่ว่า “เราทำ เราได้” นะ แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่มั่นใจว่าเราทำดีมากพอแล้ว ยังไม่เห็นมีอะไรเปลี่ยนแปลง ลองถามความเห็นจากเพื่อน ๆ หรือคนรอบข้างดูว่าจากมุมมองคนข้างนอกคิดเห็นอย่างไร เพราะบางทีปัญหาอาจจะมาจากผู้คนไม่โอเคจริง ๆ ก็ได้ ถ้าเป็นแบบนั้นก็อย่าเสียใจไป รีบเดินออกมาไปสู่สังคมใหม่ที่ดีกว่า รับรองว่าต้องมีคนพร้อมต้อนรับแน่นอน

 

คิดเรื่องหางานใหม่เสมอ

เชื่อว่าหลายคนที่ทำงานอยู่แล้วมีปัญหาจุกจิกไม่ลงล็อค ก็พาลทำให้นั่งหางานไปเรื่อยเปื่อย ยิ่งในยุคที่เราแค่ท่องไปในโลกอินเตอร์เน็ตก็สามารถหางานมากมายได้แล้ว ยิ่งทำให้จิตใจไม่นิ่งไม่สงบ แทนที่จะได้ทำงานที่กองอยู่ตรงหน้าให้เต็มที่ กลายเป็นว่าใจลอยไปอยู่กับการสมัครงานที่ใหม่ คิดว่าที่นั่นจะดีกว่าที่นี่ไหม แน่นอนว่าจะทำให้คุณกังวลใจ และสับสนมากทีเดียว

อันนี้ต้องคิดให้ดีนะ ว่าคุณอยากก้าวขาออกไปสู่งานใหม่ หรือแค่เบื่องาน เบื่อเจ้านายเพียงอย่างเดียวหรือเปล่า แนะนำว่าคิดให้ดีก่อนค่อยเริ่มต้นหางานใหม่ ที่สำคัญอย่าลืมดูว่าต้นตอของปัญหาคืออะไร เป็นที่ความสามารถของเราไม่เจ๋งจริง หรือเป็นปัญหาที่เพื่อนร่วมงาน เพราะหลายคนอาจจะมองข้ามจุดอ่อนของตัวเอง ไม่ว่าจะย้ายงานสักกี่ที่ใน 1 ปี ก็ไม่สามารถอยู่ที่ไหนได้นาน ๆ อยู่ดีนั่นเอง

 

คิดแต่จะโทษคนอื่น เมื่อเกิดความผิดพลาด

CEO ระดับโลกทุกคนที่ออกมาพูดเกี่ยวกับความสำเร็จของตัวเอง เขามักจะพูดถึงเรื่องนี้กันเสมอ ยามใดที่งานเกิดความผิดพลาด ต่อให้งานนั้นจะไม่ใช่ผลงานของคุณแค่คนเดียว เราขอแนะนำเลยว่าคนที่คุณต้องมองหามากที่สุดก็คือตัวเอง ถามตัวเองสิว่าเราทำอะไรพลาดไป งานชิ้นนี้ในส่วนของเรามันดีแล้วหรือยัง หากคิดว่าดีแล้วทำไมมันถึงยังไม่ถูกใจคนอื่น มันอาจจะมีหนทางที่ดีกว่านี้อีกไหม คิดให้แตก อย่าโยนความคิดเหล่านั้นให้คนอื่น คนที่รู้ตัวเองว่าผิด ย่อมแก้ไขมัน และก้าวไปข้างหน้าได้รวดเร็วกว่า คนที่ไม่รู้ตัวว่าผิด แล้วโทษผู้อื่นเสมอ แบบนี้อยู่ยากนะ

 

อิจฉาริษยา ใครได้ดีกว่าคุณไม่ได้ต้องโค่นมันให้จม

ความอิจฉาริษยาเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจากจิตใจของเราเอง และไม่ใช่เรื่องผิดปกติที่ใครจะรู้สึกอิจฉากัน เราเองก็ยังแอบอิจฉาคนเก่งๆ อยู่บ้างเหมือนกัน แต่เราก็ได้แค่อิจฉา ไม่ได้คิดถึงขั้นจะต้องโค่นเค้าให้จมลง อย่าคิดอิจฉาจนทนไม่ได้ที่เห็นคนอื่นได้ดีกว่า ควบคุมจิตใจของตัวเองให้ดี อย่าปล่อยให้ความรู้สึกมันอยู่เหนือสิ่งที่ควรจะเป็น เก็บสิ่งเหล่านั้นไว้เป็นแรงผลักดันให้ตัวเองก้าวไปข้างหน้า คนที่พยายามจะหั่นขาเก้าอี้คนอื่น จะไปถึงจุดต้องการได้เพียงแปปเดียวเท่านั้น โฟกัสอนาคตดีกว่าเสียเวลาไปกับเรื่องไม่เป็นเรื่อง

เราเชื่อว่าทุกคนสามารถประสบความสำเร็จในชีวิตได้ทั้งนั้น การประสบความสำเร็จในชีวิตของคนเราอาจไม่ได้แปลว่าเราต้องมีเงินในบัญชีมากมาย หรืออยู่ในจุดสูงสุดของตำแหน่งหน้าที่การงาน แต่มันควรเป็นสิ่งที่ทำให้คุณมีความสุข ไม่ต้องเครียดและทุกข์ร้อนใจ ความสำเร็จขึ้นอยู่กับความฝันที่คุณได้ตั้งเป้าหมายเอาไว้ อย่างไรก็ดีมีฝันแล้วไปให้ถึง  โฟกัสสิ่งที่อยู่ข้างหน้า แล้วลุยเลย

แง้มโฉมหน้า SUBARU WRX STI S209 SPECIAL EDITION ทำตลาด USA ONLY

$
0
0

เดือนตุลาคม ปี 1992 เป็นครั้งแรกที่พวกเราได้รู้จักกับรถยนต์เทคโนโลยีตัวแข่ง Rally จากการเปิดตัวของ Subaru WRX หลายคนอาจจะไม่รู้ว่าย่อมาจาก “World Rally eXperimental” เป็นรถระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ ช่วงล่างที่แข็งสำหรับรับมือความเร็วสูงจากเครื่องยนต์ Turbocharged 4 สูบ

แต่ดูเหมือนคนที่ชื่นชอบรถ Subaru จะยังไม่พอใจกับ WRX ทำให้อีก 2 ปีต่อมา Subaru ได้เปิดตัว STI (Subaru Tecnica International) ได้รับการปรับปรุงใหม่ให้มีสมรรถนะเดือดขึ้นกว่า WRX ทุกจุด เริ่มต้นทำตลาดแบบจำนวนจำกัดเฉพาะในประเทศญี่ปุ่นเท่านั้น ก่อนกระแสความนิยมจากเหล่านักขับรถแรงทั่วโลกจะเรียกร้องหา Subaru WRX STI จนเริ่มทำตลาดนอกญี่ปุ่นบ้าง โดยมักจะใช้สเปครถแยกกันระหว่างในญี่ปุ่นและอเมริกา

ความนิยมและตำนานของป้าย STI สามารถการันตีความพิเศษและสมรรถนะที่แตกต่างของ Subaru ได้เป็นอย่างดีมาโดยตลอดมาจนถึงปัจจุบัน และความเคลื่อนไหวจากคลิปวีดีโอเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาจาก Subaru เป็นการบอกใบ้ชัดเจนว่ากำลังจะมีการมาถึงของ WRX STI เวอร์ชั่นใหม่ล่าสุดเร็ว ๆ นี้แน่นอน

และแล้ววันนี้ก็มีการเคลื่อนไหวนล่าสุดอีกครั้ง กับการโพส Instagram เผยให้เห็นรายละเอียดที่น่าสนใจของ WRX STI มากขึ้น

https://www.instagram.com/p/BsV2qaxg1DO

Subaru WRX STI ที่กำลังจะเปิดตัวทำตลาดอเมริกาในงาน Detroit auto show ในวันที่ 14 มกราคมนี้ จะใช้รหัสว่า S209 เป็นโมเดลต่อยอดจาก STI S208 ที่ทำตลาดเฉพาะในญี่ปุ่น (JDM) เมื่อปีที่แล้ว จากสิ่งที่เราพอจะสังเกตได้ในรูป Instagram คือชุดแต่งที่ดูไม่ค่อยต่างจาก 2018 WRX STI Type RA ที่ทำตลาดอยู่ในปัจจุบัน พร้อมสปอยเลอร์หลังทรงคุ้นตาจากใน Type RA จึงสรุปได้ว่าชุดแต่งภายนอกน่าจะไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงมากนักนอกจากชุดแต่ง Wide Body ซุ้มล้อที่หนาตาขึ้นเพิ่มความดุดันได้ดี และป้าย S209 บ่งบอกความพิเศษบริเวณกระจังหน้ารถเท่านั้น

ด้านสมรรถนะ คาดว่า S209 จะได้รับการปรับแต่งให้แรงกว่า S208 ในอดีตที่ทำได้ 324 แรงม้า แรงกว่ารุ่น STI ปกติที่มี 310 แรงม้า จึงคาดว่าใน S209 อาจจะมีแรงม้าเพิ่มให้ราว ๆ 10 กว่าตัวเท่านั้น อย่าคาดหวังว่าจะแรงขึ้นผิดหูผิดตาอะไรแบบนั้น แต่ที่น่าลุ้นคือการลดน้ำหนักของ S209 ซึ่งถ้าทำได้ดี ก็น่าจะเพิ่มประสบการณ์การขับขี่ให้สนุกมันส์มากขึ้นได้ ก็จะถือเป็นเสน่ห์ที่ชาว Subaru ในอเมริการับได้ และน่าจะทำยอดขายที่ผลิตแบบจำนวนจำกัดได้ภายในเวลาอันรวดเร็วเหมือนเดิม

2018 SUBARU WRX STI TYPE RA

 

 

จากไปให้โลกจำ! FLASH DRIVE ไฮเทคจากญี่ปุ่นจับสมองปลาซิวตายมาจุข้อมูล

$
0
0

ทุกวันนี้เทคโนโลยีกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเราที่ขาดไม่ได้ เพราะนวัตกรรมทุกชิ้นได้รับการพัฒนารวมท้ังออกแบบมาให้ลงลึกเรื่องฟังก์ชั่นและตอบสนองไลฟ์สไตล์ของเรา ดังนั้น ใครที่มีชั่วโมงบินชีวิตเยอะหน่อยคงมีโอกาสเห็นความเปลี่ยนแปลงนี้ไม่ว่าจะเป็น มือถือเครื่องใหญ่กว่ารีโมตที่มีปุ่มใหญ่ ๆ พัฒนากลายเป็นสมาร์ตโฟนจอเรียบที่ใช้แค่การทัชสกรีน จอทีวีขาวดำกลายเป็นทีวีสีจนถึงทีวีจอแบนสีอิ่ม ฯลฯ แต่ทั้งหมดนี้ก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุดการพัฒนาลง

แผ่น floppy A ตำนานความจำปู่ USB

เช่นเดียวกับหน่วยความจำข้อมูลของคอมพิวเตอร์อย่าง Flash Drive ที่เราเคยเห็นตั้งแต่สมัยยังเป็นแผ่น Floopy A แผ่น drive สี่เหลี่ยมสำหรับเสียบ PC ที่มีความจุไม่ถึง GB ซึ่งยุคต่อมาได้พัฒนาเป็น Flash Drive แท่งกะทัดรัดสำหรับเสียบพอร์ต USB ขนาดความจุหลาย GB และ External HD ที่มีความจุเยอะระดับ TB แต่ทั้งหมดนี้ทุกเจ้าทุกยี่ห้อล้วนแข่งกันเรื่องความเร็วสำหรับการเซฟ ขนาดความจุ และดีไซน์โดนใจเท่านั้น ผิดกับของใหม่จากญี่ปุ่นชิ้นนี้ที่เรานำมาฝาก ที่เขาเปลี่ยนสมองปลาให้กลายเป็นแหล่งความจำสำหรับเก็บข้อมูล

ที่มาของนวัตกรรมสมองสตัฟฟ์ชิ้นนี้ผุดมาจากผู้ใช้ทวิตเตอร์ที่ใช้ชื่อว่า @ni28_xp นักศึกษาวิชาเคมีที่กำลังเรียนเกี่ยวกับเรื่องเรซิ่นที่ออกมาประกาศการประดิษฐ์นวัตกรรม USB สำหรับเก็บข้อมูลจากสมองปลาขนาดเล็กขึ้น โดยบันทึกหลักการประดิษฐ์ไว้ว่า USB แฮนด์เมดชิ้นนี้ใช้วิธีเชื่อมชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ต่าง ๆ เข้ากับปลาจิ๋วที่สตัฟฟ์ไว้ภายในเรซิ่น และใช้เทคโนโลยีสร้างความจุสำหรับกักเก็บเชื่อมเข้ากับสมองปลาทำให้จุได้มากถึง 32 GB เรียกได้ว่าไม่เล็กเหมือนขนาดของมันเลยจริง ๆ ซึ่งเราสามารถเห็นการทำงานทั้งหมดนี้ได้ทุกซอกมุมเพราะหล่อเปลือยไว้ในเรซิ่นใสแจ๋ว

แน่นอนว่ากระแสด่าหาว่าทารุณสัตว์จะหลั่งไหลเข้ามา แต่ความจริงเขาเฉลยว่าปลาทั้งหมดที่นำมาใช้ประดิษฐ์ USB เป็นปลาที่ตายแล้วทั้งสิ้น แถมขายในซุปเปอร์มาร์เก็ตธรรมดาเนี่ยแหละ ถ้าเขาไม่หยิบมาทำมันก็ต้องโดนหยิบเอาเข้าปากกินอยู่ดี

แม้หลายคนจะบอกว่าจะให้เสียบใช้งานมันสยองจะตาย แต่มองอีกแง่นึงมันก็เป็นการตายของปลาที่คาดไม่ถึงและมีคุณค่า เพราะมันจะอยู่กับเรา เซฟงานให้เรา แถม Format ใหม่ได้ไม่รู้จบและไม่เน่าเปื่อย

ใครที่อยากได้ USB ชิ้นนี้มาครอบครอง เขาจะจัดแสดงและวางขายในวันที่ 12 มกราคมนี้ ที่งาน HandMade In Japan Fes 2019 ในราคา 7,800 เยน หรือราว 2,300 บาท แถมยังจัดโปรโมชั่นลดเพิ่มอีก 20% ไว้ให้คนที่ฟอลทวิตเตอร์ของเขาด้วย

การออกแบบสุดโต่งขนาดนี้ แต่ใช้งานจริงไม่รู้ว่าจะสุดขนาดไหน คงต้องรอดูว่าจะสมราคาคุยที่ทำให้ทั้งโซเชียลแตกตื่นไหม ยิ่งถ้าเทียบเรื่องราคา 32 GB กับสองพันกว่าบาท ก็ออกจะสูงเอาเรื่องเหมือนกัน เพราะราคานี้ซื้อ External HD ตัวดี ๆ มาได้เลย ชาว UNLOCKMEN คนไหนอยากเป็นสายชัวร์ก็อย่าเพิ่งผลีผลาม รอดูผล feedback กันก่อน เพราะเราเชื่อว่าหลังซื้อไปไม่นานคงมีคนทยอยออกมารีวิวแน่ ๆ

 

SOURCE


ชวนมาดู ‘5 หนังคนโหดบทเข้ม’สุดท้าทายของ LEONARDO DICAPRIO ก่อนจะสอยออสการ์ไปครอง

$
0
0

ช่วงก่อนหน้านี้ เมื่อมีหนังฟอร์มใหญ่ที่แสดงนำโดย Leonardo DiCaprio ออกมาทีไร เขามักเป็นที่จับตามองอยู่เสมอ ไม่ใช่เพื่อลุ้นว่าเขาจะสามารถเข้าชิงออสการ์ได้หรือไม่ เพราะบทบาทและการแสดงของเขา นอนมาแบบไม่ต้องลุ้นก็ว่าได้ แต่เป็นลุ้นว่าเขาจะชวดรางวัลเหมือนที่ผ่านมาหรือไม่ต่างหาก จนเขาและออสการ์ที่ไม่เคยมาถึงกลายเป็น Meme บนโลกอินเทอร์เน็ตอย่างแพร่หลาย (พอ ๆ กับหน้ายิ้มของ Nicolas Cage จากเรื่อง Con Air) แต่ในที่สุดเมื่อปี 2015 อาถรรพ์เรื่องนี้ก็ต้องจบลง เมื่อ The Revenant พาให้เขาไปถึงฝั่งฝัน ได้ตุ๊กตาทองติดมือกลับบ้านไปในที่สุด

DiCaprio เอง เป็นนักแสดงที่เราคุ้นหน้ามาตั้งแต่สมัยวัยกระเตาะใน The Basketball Diaries หรือหนุ่มนักรักที่จุดประกายชื่อเสียงในวงการให้เขาอย่าง Romeo + Juliet ลองลืมภาพของเขาในลุคหนุ่มหน้าใสในวันวานกันไปก่อน UNLOCKMEN ชวนมาดู 5 หนังดราม่ารสเข้ม ในช่วงก่อนที่เขาจะได้ออสการ์ไปครอง

Blood Diamond (2006)

Director: Edward Zwick

อัญมณีที่ส่องประกายวิบวับยามเป็นเครื่องประดับล้ำค่าอย่างเพชรเม็ดงาม ใครจะรู้ว่าเบื้องหลังของสิ่งล้ำค่าเหล่านี้ต้องแลกมาด้วยเลือดอาบแผ่นดิน Sierra Leone แผ่นดินที่กำลังลุกเป็นไฟเพราะผลประโยชน์ของเหมืองเพชร ที่ทำให้เกิดกลุ่มกบฏเอาปืนจ่อหัวชาวบ้านให้เป็นแรงงานในเหมืองเพชร Danny Archer (Leonardo DiCaprio) อดีตทหารรับจ้างที่แสวงหาผลประโยชน์จากการค้าเพชรสีเลือดเหล่านี้ จับพลัดจับผลูไปรู้ว่า Solomon Vandy (Djimon Hounsou) เป็นคนที่มีเพชรเม็ดงามนับร้อยกะรัตอยู่ในมือ ทั้งสองจึงหาผลประโยชน์จากอีกฝ่ายเพื่อให้ได้ในสิ่งที่ตัวเองต้องการ Solomon อยากออกไปจากวังวนแรงงานในเมืองนรกแห่งนี้ ไปพบครอบครัวของตัวเอง ส่วน Danny ต้องการเพชรเม็ดนั้นเพื่อเม็ดเงินมหาศาลที่เขาเองก็ไม่อาจประเมินได้ มาดูกันว่าสุดท้ายแล้วเพชรเม็ดนั้นจะตกไปอยู่ที่มือใคร

เรื่องนี้ไม่ได้ดราม่าแค่การแสดงของ DiCaprio เท่านั้น แต่เนื้อหาของเรื่องที่เปิดโปงถึงเบื้องหลังความโหดร้ายที่ซ่อนอยู่ในความสวยงาม ที่คนบนโลกใบนี้อาจนึกไม่ถึงด้วยซ้ำ ว่าการเมือง ผลประโยชน์ จะดึงความโหดร้ายในตัวคนเราออกมาฟาดฟันเพื่อนมนุษย์ด้วยกันได้มากแค่ไหน

The Departed (2006)

Director: Martin Scorsese 

หนังแฝดสามในตำนาน ที่นักแสดงนำทั้งสามคนต่างมีหน้าตาละม้ายคล้ายกันจนเกิดความสับสนในช่วงแรก ๆ โดยเฉพาะสำหรับคนที่ไม่ได้รู้จักนักแสดงมาก่อน เรื่องราวของ Frank Costello (Jack Nicholson) เจ้าพ่อตัวเป้งที่ไม่มีใครกล้าแหยม ชุบเลี้ยงเด็กหนุ่มอนาคตริบหรี่แต่หัวสมองดีอย่าง Colin (Matt Damon) เอาไว้จนเติบใหญ่เป็นตำรวจหนุ่มไฟแรง ที่ทำหน้าที่เป็นนกรู้คอยส่งข่าวจากวงในทุกครั้ง และนั่นคือจุดประสงค์ของ Costello ที่ชุบเลี้ยงเขาเอาไว้ Billy (Leonado DiCaprio) เป็นเหมือนเรื่องราวอีกฝั่ง เขาเป็นตำรวจหนุ่มวัยไล่เลี่ยกับ Colin แต่เนื่องจากเขาใช้ชีวิตคลุกคลีอยู่กับพวกมาเฟียมาแต่ไหนแต่ไร จึงถูกส่งตัวไปเป็นหนอนในกลุ่มโจรอย่าง Costello ได้อย่างแนบเนียนจนได้รับความไว้วางใจมากเกินกว่าที่ตัวเองคิดไว้ ทั้งสองคนต่างมีบุญคุณของ Costello ค้ำคอจนอยู่ในภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก มาดูกันว่าหนอนทั้งสองฝั่งใครจะอยู่รอดอยู่ทนมากกว่ากัน

Shutter Island (2010)

Director: Martin Scorsese

คนไข้ที่เคยเป็นฆาตกรบนเกาะ Shutter หายตัวไป ตำรวจศาลอย่าง Teddy Daniels (Leonado DiCaprio) และคู่หูของเขา Chuck Aule (Mark Ruffalo) ต้องเดินทางไปยังเกาะเพื่อสืบหาฆาตกรและเรื่องราวที่เขาทิ้งไว้ ตั้งแต่ก้าวแรกที่เขามาถึงที่นี่ บรรยากาศที่หม่นหมองทำให้เขารู้สึกถึงความไม่ชอบมาพากลของสถานที่แห่งนี้ ยิ่งค้นความลับลึกเข้าไปเรื่อย ๆ ดูเหมือนว่าเขาจะหาทางกลับไปไม่ได้ และหาทางเดินต่อไปไม่ได้เช่นกัน เมื่อเขาพบว่าไม่มีวี่แววของฆาตกรที่หายตัวไปแม้แต่น้อย แต่กลับพบความลับของสถานที่แห่งนี้ ว่าสถานที่แห่งนี้ไม่ใช่ที่ที่เขาควรจะใช้เวลาอยู่นานเท่าไหร่นัก เพราะทุกคนต่างมีความลับไว้ในมือกันทั้งหมด

Django Unchained (2012)

Director: Quentin Tarantino

รับประกันความเลือดสาดกันตั้งแต่ชื่อผู้กำกับ เห็นแค่โปสเตอร์ก็รู้แล้วว่าเรื่องนี้จะโหดเข้มกันแค่ไหน เรื่องราวรายละเอียดอันยิบย่อยของหนังเควนติน ทำให้เราปวดหัวทุกครั้งที่จะเล่ามันออกมาให้มันย่อสมกับเป็นเรื่องย่อได้ เอาเป็นว่าคร่าว ๆ คือ Django (Jamie Foxx) เนี่ย ต้องการพาแฟนสาวที่เป็นทาสอยู่บ้านของ Calvin Candie (Leonado DiCaprio) กลับมาอยู่ในอ้อมอกของตัวเอง จึงต้องออกอุบายทำทีมาเจรจาธุรกิจกับ Candie แล้วจะพ่วงซื้อแฟนสาวที่เป็นทาสออกไปด้วย ทีนี้ความสนุกมันอยู่ที่การเฉือนคมกัน ว่าจะตบตาอีกฝั่งได้สำเร็จหรือไม่ อีกฝ่ายแกล้งโง่หรือตามไม่ทันกันแน่ เนื้อเรื่องรวยไดอะล็อกให้นั่งฟังกันแบบตึงทั้งเรื่อง รวมถึงฉากแอ็กชั่นของเควนตินที่ไม่เคยทำให้เราผิดหวัง

The Wolf of Wall Street (2013)

Director: Martin Scorsese

เรื่องนี้เราจะได้เห็น DiCaprio ไปสุดทางในบทบาทของ Jordan Belfort โบรกเกอร์หนุ่มที่ถีบตัวเองสุดแรงเกิด จากวันที่เขาเริ่มทุกอย่างจากศูนย์ด้วยหนึ่งสมองที่ไหวพริบเฉียบขาด และสองมือที่ไม่เคยหยุดผลักดันตัวเอง ทำให้เขาก้าวหน้าในวงการหุ้นไปไกลแบบก้าวกระโดด โดยที่ตัวเขาเองก็ไม่ทันรับมือกับความสำเร็จที่ถาโถมเข้ามาใส่ด้วยเช่นกัน เมื่อเงินมหาศาลอยู่ตรงหน้า เขานำมันมาเติมให้กับความต้องการข้างในแบบไม่รู้จบ เหล้า ยา ปาร์ตี้ เซ็กซ์ ของฟุ่มเฟือย ถูกนำมาเติมเต็มไลฟ์สไตล์แบบที่เขาเฝ้าฝันมาตลอด แต่เมื่อขึ้นไปจุดสูงสุดเวลาตกลงมามันเจ็บหนักไม่แพ้ความลำบากในตอนปีนขึ้นไป มาดูกันว่าเขาจะสามารถใช้ไหวพริบของเขาประคับประคองหน้าที่การงานเพื่อนำเงินมาเติมเต็มชีวิตของเขาได้ถึงไหนกัน

การดำเนินเรื่องเป็นไปอย่างรวดเร็ว กระชับ สนุกไปกับมุกตลกร้ายและการแสดงแบบสุดเหวี่ยงไม่ห่วงหน้าหล่อ ๆ ของ DiCaprio เลยสักนิด

ลองเลือกสักเรื่องที่ถูกใจ แล้วมาชมการแสดงทรงพลังของเขาที่เจ๋งไม่แพ้เรื่องที่ได้ออสการ์เลยแม้แต่น้อย

AIR MAX 2 LIGHT การกลับมาอีกครั้งของโมเดลรองเท้าสุดเก๋าในปีครบรอบ 25 ขวบ

$
0
0

สำหรับหนุ่ม ๆ ที่เป็นสาวกของรองเท้าตระกูล Air Max คงจะทราบข่าวกันดีว่า ในปี 2019 นี้ Nike กำลังมีแผนจะ Retro รองเท้าโมเดลสุดเก๋าอย่าง Air Max 2 Light ที่ผลิตครั้งแรกเมื่อ 25 ปีที่แล้วกลับมาปัดฝุ่นพัฒนาอีกครั้ง ซึ่งรองเท้าตัวล่าสุดก็เตรียมวางขายให้เราได้เป็นเจ้าของแล้ว พร้อมกับสีต่าง ๆ ที่คาดว่าจะตามออกมาอีกล็อตใหญ่

highsnobiety

Air Max 2 Light ถูกผลิตขึ้นครั้งแรกในปี 1994 เพื่อต่อยอดความสำเร็จของรองเท้ารุ่นแรกอย่าง Air Max Light ที่ผลิตเมื่อปี 1989 กับดีไซน์เอกลักษณ์ที่มีลวดลายปูดนูนขึ้นมา พร้อมกับก้อน Air ขนาดใหญ่ตรงส่วนด้านหลังของ Midsole คล้ายกับใน Air Max 95 ซึ่งการกลับมาในครั้งนี้ถือเป็นช่วงเวลาที่เหมาะเพราะรูปทรงแบบ Chucky ที่มีน้ำหนักเบาของมันต้องทำให้หลายคนได้กระเป๋าสั่นแน่นอน

หลังจากผ่านไป 25 ปีในที่สุด Nike ก็ได้นำมันกลับมาอีกครั้งกับคู่แรกของ  Air Max 2 Light ในสี “University Gold” ซึ่งต้องบอกก่อนว่าการกลับมาอีกครั้งไม่ใช่แค่เฉพาะการเปลี่ยนแปลงในเรื่องของสีสันเท่านั้นแต่ Nike ได้ยกเครื่องพัฒนามันใหม่ทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นวัสดุที่เลือกใช้ รวมไปถึงระบบต่าง ๆ ของตัวรองเท้าที่ทันสมัยมากยิ่งขึ้นเพื่อตอบโจทย์ด้านการใช้งาน

blog.size.co.uk

Air Max 2 Light “University Gold” มาพร้อมสีขาวและเหลืองเป็นโทนสีหลักและมีการใช้สีน้ำเงินในส่วนลิ้นรองเท้าและก้อน Air Max แต่ที่เด่นสุดก็คงจะเป็นโลโก้ Swoosh สี “Flash Crimson” ซึ่งทำออกมาลงตัวสวยงามมากทีเดียว ด้านนวัตกรรมภายในรองเท้าส่วนของ Midsole บริเวณด้านหน้าจะใช้เป็นระบบ Phylon เบาสบายและ Outsole แบบ Duralon ซึ่งรับประกันความทนทาน

โดย Air Max 2 Light “University Gold” จะถูกวางขายในวันนี้ 11 มกราคม 2561 กับราคาป้ายที่ 158 ดอลล่าร์สหรัฐหรือราว 5,070 บาท ซึ่งต้องรอดูราคาบวกค่าส่วนต่างในบ้านเราอีกทีว่าจะหยุดนิ่งอยู่ที่เท่าไหร่  ส่วนคนที่กำลังรอหรือมองหารองเท้าสีอื่นในโมเดลเดียวกันก็ลองดูตัวอย่างได้เลยว่าสีไหนจะเข้ากับความชอบของคุณมากที่สุด เพราะ Nike จะส่งทั้งหมดตามออกมาแน่นอนในปีนี้

hypebeast

SOURCE 1  SOURCE 2  SOURCE 3

รูปหน้าปกจาก  : asphaltgold.de

5 รูปแบบการจีบสาวบนโลกออนไลน์ที่ผู้หญิงส่วนใหญ่ลงมติว่าแย่จนไม่อยากปรายตามอง

$
0
0

โลกที่ผู้ชายอย่างเราทำงานหนักหน่วงจนไม่มีเวลามากพอให้ได้ไปนั่งเหม่อมองสาว ๆ เดินไปเดินมาตัวเป็น ๆ โลกออนไลน์กลายเป็นพื้นที่ที่เราเลื่อนหน้าจอแล้วเจอสาวสักคนที่ทำให้หัวใจเราเต้นแรงผิดจังหวะได้ จึงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรที่เดี๋ยวนี้เราจะได้ใช้สกิลการจีบสาวออนไลน์กันมากขึ้น

การจีบกันผ่านโลกเสมือนมีข้อดีตรงที่ว่าเราสามารถทำความรู้จักกันก่อนคร่าว ๆ ได้ ดูผ่าน ๆ ได้ว่าเธอมีไลฟ์สไตล์แบบไหน ชอบอะไร ไม่ชอบอะไร ที่สำคัญถ้าไม่ถูกใจ เราก็สามารถบอกลาชิ่งหนีได้อย่างแนบเนียนมากกว่าด้วย (ในกรณีที่แค่จีบ ๆ ดู ๆ ยังไม่จริงจังอะไร)

แต่เพราะการเห็นกันได้ง่าย ทักกันได้ง่าย ผู้ชายอย่างเราก็มักจะหลงคิดไปว่าอะไร ๆ มันก็คงง่ายไปหมด แต่ความเป็นจริงมันไม่ได้ราบรื่นเรียบง่ายอย่างที่เราคิด แถมการคิดว่ามันง่ายก็ยิ่งทำให้เราประมาทจนเผลอทำอะไรแย่ ๆ และพลาดสาวคนที่เราคิดว่าใช่ไปในที่สุด เพื่อไม่ให้พลาดซ้ำ หรืออย่างน้อย ๆ ก็เช็กตัวเองดูกันหน่อยว่าเราเผลอทำอะไรแบบนี้ไปหรือเปล่า คราวหน้าจะได้ลื่นไหลกว่าที่ผ่านมา

กดไลก์ย้อน

“กดไลก์ย้อน” ไม่ใช่ชื่อโรคเกี่ยวกับระบบทางเดินอาหารแต่อย่างใด แต่เป็นพฤติกรรมผู้ชายอย่างเราที่ชอบสาวสักคนและไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไรให้เธอรู้ตัวว่ากำลังสนใจเธออยู่ หรืออยากแสดงตัวตนเป็นพิเศษ จู่ ๆ ก็เลยนั่งไล่ดูรูปเธอหรือสิ่งที่เธอโพสต์ย้อนหลังไปเป็นเดือน (หรือเป็นปี) แล้วก็กดไลก์มันซะทุกรูปทุกโพสต์!

ใครที่รู้ตัวว่ากำลังทำแบบนี้เพื่ออยากจีบสาวสักคน เราแนะนำว่าให้หยุด ใช่ เธอออาจจะสงสัยว่าเราเป็นใคร กดไลก์อะไรเยอะขนาดนี้ แต่ในขณะเดียวกันมันก็ดูน่ากลัวมาก ๆ สำหรับพวกเธอ แทนที่จะได้ไปต่อ บางทีเธออาจจะบล็อกหนี หรือมองเราด้วยสายตาไม่ไว้ใจไปแล้ว เพราะฉะนั้นถ้าจะส่องก็ส่องเถอะ แต่ไม่จำเป็นต้องกดไลก์แสดงตัวตนขนาดนั้น

ซ้ำ ๆ เดิม ๆ ทุกวี่ทุกวัน

มันเป็นเรื่องปกติธรรมดาของคนคบกันนาน ๆ ที่บางทีความสัมพันธ์ บทสนทนา การทักทายมันก็ซ้ำ ๆ เดิม ๆ แต่มันไม่ใช่เรื่องปกติธรรมดาถ้าเราพยายามจีบใครสักคนด้วยการทักเขาไปด้วยประโยคซ้ำ ๆ เดิม ๆ

ทักครับ, กินข้าวยัง, นอนยัง, ทำไรอยู่ ฯลฯ ประโยคเดิม ๆ เหล่านี้สำหรับเราอาจหมายถึงการพยายามหาเรื่องคุย พยายามทักทาย แต่ถ้ามันซ้ำกันทุกวันในสายตาพวกเธอมันคือการไม่พยายามหาเรื่องคุยอื่น ๆ มันคือความน่าเบื่อกับการโต้ตอบในลักษณะที่ไม่น่าจะเกิดอะไรใหม่

ที่สำคัญเราไม่ใช่ผู้ปกครองเธอ ไม่ต้องถามอะไรให้เธอรู้สึกเหมือนโดนจับตามองขนาดนั้นก็ได้ ถ้าอยากหาเรื่องคุยลองหาบทสนทนาปลายเปิดที่พ้นไปจากการตื่น กิน นอน ดู เราจะได้รู้จักเธอมากขึ้นด้วย

ตื๊อเท่านั้นที่ครองโลกมันไม่ใช่คำตอบเสมอไป

ผู้ชายหลายคนโตมาในยุคแห่งประโยค “ตื๊อเท่านั้นที่ครองโลก” แต่นี่ปี 2019 แล้วฮะพี่ ยุคที่สาว ๆ เธอก็มีสิทธิเลือก มีสิทธิปฏิเสธ มีสิทธิเจอทางใหม่ ๆ ได้ทุกวัน ดังนั้นถ้าเราชวนคุย แต่เธอถามคำตอบคำ กดส่งกลับมาแค่สติกเกอร์หรือรูปนิ้วโป้งกดไลก์ แล้วเป็นอย่างนี้อยู่สองสามวัน ขอให้พอก่อน พักก่อนนะพี่นะ อย่าถือคติตื๊อเท่านั้นที่ครองโลกแล้วก็ทักไปไม่หยุดหย่อน เพราะมันจะไม่รอดแน่นอน

เราอาจถอยมาตั้งหลัก ทบทวนตัวเองว่าอยากหยุดหรือไปต่อ ถ้าอยากไปต่อก็ต้องพยายามหาหนทางอื่นที่ดีกว่าเดิม ไม่ควรทู่ซี้ตื๊อจีบต่อด้วยวิธีเดิม ๆ ที่นอกจากไม่เกิดผลลัพธ์แบบใหม่แล้วจะพาลทำให้เธอรำคาญเราไปเลยก็ได้

เราเป็นคน อย่าจิกเป็นไก่ครับพี่ครับ

ท่องไว้เสมอว่าตราบใดที่เธอยังไม่ได้ตกลงมีความสัมพันธ์กับเรา เป็นแฟนกับเรา เราไม่มีสิทธิอะไรไปตามจิกเธอเด็ดขาด ไม่ว่าเราจะทักไปแล้วเธอไม่ตอบ หรือตอบช้า อย่าเพิ่งไปตามจิกส่งข้อความไปรัว ๆ ว่าทำไมไม่ตอบ ทำไมช้า ทำไมตอบคอมเมนต์แต่ไม่ตอบเรา เว้นระยะห่างให้เธอได้ทบทวนตัวเองและให้นึกถึงเราบ้าง

หรือถ้าทุกอย่างกำลังไปได้สวย เธอก็ดูสนใจเรา โต้ตอบเราดี ก็อย่าเพิ่งมโนว่าเธอเป็นแฟน เที่ยวคอยถามว่าอยู่ไหน กับใคร กลับเมื่อไหร่ การจิกแบบนี้ถ้าเจอสาว ๆ ที่ชอบก็ดีไป แต่ถ้าสาวคนไหนที่หวงแหนความเป็นส่วนตัว เธอจะเข็ด ตั้งแต่ยังไม่เริ่ม และอาจจะพร้อมทิ้งตัวหายไปได้แน่ ๆ

แค่จีบก็จีบไป แต่อย่าเล่นใหญ่ออกหน้าออกตา

ระหว่างการจีบที่เราดำเนินการอยู่ เราอาจรู้สึกว่าเราสนิทสนมกับเธอมากและเธอก็ดูจะชอบเราพอสมควร แต่อย่าลืมว่าเธอคือสาวโสด ถ้าเรายังไม่ได้คำตอบจากปากเธอว่า “จะเป็นแฟนกัน” ก็ขอให้ทำทุกอย่างต่อไปแบบรุ่นใหญ่ใจนิ่ง อาจจะกดไลก์ให้เธอรู้ว่าเราเห็นรูป เห็นข้อความที่เธอโพสต์ แต่อย่าเพิ่งไปเล่นใหญ่ด้วยการคอมเมนต์แสดงความเป็นเจ้าของแบบออกหน้าออกตา (ไม่ว่าเราจะหวงเธอแค่ไหนก็ตาม)

เมื่อใดที่เธอยังไม่ได้เลือกเรา แล้วเราเที่ยวไประรานหนุ่ม ๆ คนอื่น ๆ ในโพสต์ของเธอหรือชวนเธอคุยเรื่องส่วนตัวในโพสต์สาธารณะมันดูไม่มืออาชีพเอามาก ๆ แถมดูเป็นเด็กเอาแต่ใจ ดังนั้นจำไว้ว่าช่วงจีบก็พูดคุยกับเธอแบบส่วนตัวไปก่อน อย่าเพิ่งเล่นใหญ่อวดใคร ๆ ว่าเป็นเจ้าของเธอ เพราะเธอจะขยาดมากกว่าชื่นชมแน่นอน

การจีบใครสักคนคือศาสตร์และศิลป์มีแค่ใจเต็มร้อยกับความชอบเต็มล้านมันไม่พอ บางทีเราอาจเข้ากันได้แต่ถ้าเริ่มต้นจีบไม่ถูกทางก็อาจเสียโอกาสทำความรู้จักไปง่าย ๆ ดังนั้นอย่ามองข้ามการจีบ โดยเฉพาะการจีบบนโลกออนไลน์ที่เรามักประเมินมันต่ำไปเพราะคิดว่าง่ายจะตาย แต่จริง ๆ ทุกอย่างคือความซับซ้อนที่เราต้องเรียนรู้และทำมันให้ดีที่สุดทั้งนั้น

OTAKU 101: ย้อนความทรงจำ ‘5 แอนิเมชันจาก STUDIO GHIBLI’ที่ตราตรึงอยู่ในหัวใจ

$
0
0

นับตั้งแต่ When Marnie Was There เข้าฉายในปี 2014 เป็นเวลากว่าเกือบ 5 ปีแล้วที่เราไม่ได้เห็นผลงานใหม่จาก Studio Ghibli อีกเลย ตามนโยบายพักการผลิตที่ทางสตูดิโอเคยประกาศออกมา แม้ตอนนี้จะมีข่าวเกี่ยวกับ How Do You Live? ผลงานเรื่องใหม่ออกมา แต่ทุกอย่างก็ยังดูคลุมเครือ มีเพียงชื่อของ ฮายาโอะ มิยาซากิ นั่งแท่นผู้กำกับ และจะเข้าฉายในปี 2020 เท่านั้น

ดังนั้นเพื่อให้หายคิดถึง วันนี้กีค Studio Ghibli อย่างเราจะมาเขียนถึง 5 แอนิเมชันในความทรงจำจากสตูดิโอในตำนานนี้ จะมีเรื่องไหนกันบ้างและจะตรงใจชาว UNLOCKMEN หรือเปล่า

My Neighbor Totoro (1988)
Directed by ฮายาโอะ มิยาซากิ

ต่อให้คุณจะไม่ใช่แฟนหรือไม่แม้จะรู้จัก Studio Ghibli เลยด้วยซ้ำ แต่เชื่อว่าทุกคนน่าจะคุ้นตากับเจ้าสัตว์สีเทาร่างกลมยักษ์ที่ต่อมาได้กลายมาเป็นสัญลักษณ์ของทางสตูดิโออย่างแน่นอน เป็นข้อพิสูจน์ชั้นดีว่าแอนิเมชันเรื่องนี้ประสบความสำเร็จขนาดไหน

แต่ภายใต้รูปลักษณ์น่ารักแบบนี้ ถ้าใครเคยดู My Neighbor Totoro น่าจะทราบดีว่ามันแฝงไปด้วยความละมุนและลึกซึ้งขนาดไหน ผลงานแอนิเมชันลำดับที่ 3 ของ Studio Ghibli เรื่องนี้ว่าด้วยเรื่องราวของครอบครัว ๆ หนึ่งที่จำเป็นต้องย้ายจากเมืองใหญ่สู่ชนบทอันห่างไกลเนื่องจากปัญหาสุขภาพของผู้เป็นแม่

นี่จึงเปรียบเสมือนการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตครั้งใหญ่ของครอบครัวนี้ โดยเฉพาะกับลูกสาวทั้ง 2 ที่อยู่ในวัยกำลังซน อย่างไรก็ตามทุกอย่างก็ไม่ได้ยากอย่างที่คิดเพราะพวกเธอทั้งคู่ได้รับการช่วยเหลือจากภูตป่าตัวกลมโตหน้าตาน่ารัก ที่เข้ามาทำให้แต่ละวันของพวกเธอเต็มไปด้วยสีสัน

นี่คือแอนิเมชันที่ไม่ว่าจะหยิบมาดูเมื่อไหร่ก็อบอุ่นหัวใจเมื่อนั้น ถึงแม้ว่าการตีความตอนจบตามทฤษฎีจะทำให้ทุกอย่างกลับตาลปัตรก็ตาม แต่ทุกคนก็ไม่ควรพลาดแอนิเมชันเรื่องนี้อยู่ดี

Spirited Away (2001)
Directed by ฮายาโอะ มิยาซากิ

นับตั้งแต่ออสการ์มีรางวัลสาขาแอนิเมชันยอดเยี่ยมขึ้นมาในปี 2001 จนถึงปัจจุบันเวลาก็ล่วงเลยมาเกือบ 20 ปีแล้ว แต่กลับมีเพียงครั้งเดียวเท่านั้นที่แอนิเมชันจากฝั่งตะวันออกสามารถคว้ารางวัลนี้ไปครองได้สำเร็จ ซึ่งเรื่องนั้นก็คือ Spirited Away ผลงานกำกับระดับมาสเตอร์พีซขึ้นหิ้งของ ฮายาโอะ มิยาซากิ เพียงเท่านี้ก็น่าจะยืนยันได้เป็นอย่างดีแล้วว่าแอนิเมชันเรื่องนี้ยอดเยี่ยมแค่ไหน

Spirited Away ว่าด้วยเรื่องราวของ จิฮิโระ โองิโนะ เด็กสาวธรรมดาคนหนึ่งที่บังเอิญพลัดหลงกับพ่อแม่ หลุดเข้าไปในมิติลึกลับที่เต็มไปด้วยภูตผีปีศาจและเรื่องเหนือธรรมชาติมากมาย ซึ่งหนึ่งในนั้นคือ ฮากุ อีกหนึ่งตัวละครสำคัญของเรื่อง โดยภายในโลกแห่งภูตินี้จิฮิโระต้องเผชิญกับการผจญภัยเหนือจินตนาการมากมาย

ถึงแม้จะเป็นแอนิเมชั่นแนวผจญภัยแฟนตาซีตามฉบับนิยม แต่ Spirited Away กลับแฝงไปด้วยข้อความสะท้อนสังคมเชิงสัญญะมากมาย ถ่ายทอดออกมาได้อย่างกลมกล่อมและละมุนละไม เราจึงไม่แปลกใจเลยที่กับการคว้าตุ๊กตาทองของผู้กำกับ ฮายาโอะ มิยาซากิ

From Up on Poppy Hill (2011)
Directed by  โกโร มิยาซากิ

สำหรับแอนิเมชั่น 2 เรื่องด้าบนนั้น ถ้าใครพอจะติดตามวงการแอนิเมชันญี่ปุ่นอยู่บ้างน่าจะรู้จักกันเป็นอย่างดีอยู่แล้ว แต่สำหรับ From Up on Poppy Hill ที่เราจะเขียนถึงต่อไปนี้คงมีน้อยคนที่รู้จัก เนื่องจากผลงานของ โกโร มิยาซากิ เรื่องนี้ไม่ได้โดดเด่นมากนัก แต่สำหรับเรามันคือแอนิเมชันที่อบอุ่นหัวใจที่สุดเรื่องหนึ่ง

From Up on Poppy Hill ว่าด้วยเรื่องราวในช่วงเวลาที่ญี่ปุ่นเร่งพัฒนาโตเกียวเพื่อรับมหกรรมโอลิมปิกฤดูร้อน 1964 มะสึซากิ อูมิ เด็กสาววัย 16 ปี ผู้สูญเสียบิดาไปในสงครามเกาหลี อาศัยอยู่ในบ้านโคะกุริโกะ ซึ่งตั้งอยู่ในเมืองท่าโยโกฮามา เพื่อระลึกถึงบิดา ทุกเช้าเธอจะชักธงสัญญาณแบบเดียวกันขึ้นที่บ้านของเธอ

ชีวิตของอูมิดำเนินไปอย่างเรียบง่าย จนวันหนึ่งเธอได้พบกับ คาซามะ ชุน บรรณาธิการหนังสือพิมพ์ของโรงเรียน ผู้ซึ่งเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงในการรณรงค์ต่อต้านการรื้อถอนอาคาร ‘ละติน ควอเตอร์’ อาคารเก่าแก่ภายในโรงเรียน อูมิจับพลัดจับผลูเข้าร่วมการรณรงค์กับชุน ก่อนที่ความสัมพันธ์ของทั้งคู่จะพัฒนาขึ้นเรื่อย ๆ จนกระทั่งวันหนึ่งที่ความจริงบางอย่างถูกเปิดเผย…

เราไม่ขอสปอย เอาเป็นว่าใครที่ดูแอนิเมชั่นของ Studio Ghibli  มาหลายเรื่อง แต่ยังไม่เคยดูเรื่องนี้ เราแนะนำให้รีบไปหามาดูโดยด่วน

The Wind Rises (2013)
Directed by ฮายาโอะ มิยาซากิ

ถ้าคุณอยากรู้ว่ากว่าที่ ฮายาโอะ มิยาซากิ หนึ่งในผู้ก่อตั้ง Studio Ghibli และผู้ที่ใครหลายคนให้ฉายาว่า ‘บิดาแห่งภาพยนตร์แอนิเมชันญี่ปุ่น’ จะมาถึงจุดนี้ได้นั้นต้องผ่านอะไรมาบ้าง ต้องลำบากตรากตรำแค่ไหน แอนิเมชั่นเรื่อง The Wind Rises คือคำตอบ เพราะนี่คือผลงานที่ฮายาโอะตั้งใจให้เป็นผลงานชิ้นปัจฉิม เขาจึงหยิบเรื่องราวชีวิตของ จิโร โฮะริโกะชิ วิศวกรชาวญี่ปุ่นผู้มีส่วนสำคัญในการสร้างเครื่องบินรบในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยฮายาโอะคงเล็งเห็นว่าชีวิตเขาและจิโร่นั้นมีความคล้ายคลึงกันในหลายแง่มุม

ทุกอย่างใน The Wind Rises นั้นถูกนำเสนอออกมาได้อย่างสมบูรณ์แบบ เป็นแอนิเมชั่นที่มีครบทุกรสชาติ ไม่หวานจนเลี่ยน ไม่ขมจนแหยง แต่เป็นรสชาติของชีวิตจริงที่ไม่อาจหลีกหนีโชคชะตาได้

The Wind Rises เป็นหนึ่งในภาพยนตร์ไม่กี่เรื่องที่ไม่มี End Credit แต่กลับสะกดเราให้ไม่สามารถลุกขึ้นจากที่นั่งได้ ว่ารู้ตัวอีกทีก็ตอนที่ไฟโรงหนังเปิดนั่นแหละ เป็นความรู้สึกที่ยากจะอธิบาย จนกว่าคุณจะหามาชมด้วยตัวเอง

The Tale of the Princess Kaguya (2013)
Directed by อิซาโอะ ทากาฮาตะ

ไม่เฉพาะแค่แอนิเมชัน แต่นี่คือภาพยนตร์ที่ทำให้เราร้องไห้หนักที่สุดในชีวิต

ถึงแม้หน้าหนังของ The Tale of the Princess Kaguya ที่หยิบยกเรื่องราวนิทานพื้นบ้านญี่ปุ่น เจ้าหญิงกระบอกไม้ไผ่ มาเล่าจะดูเข้าถึงยาก เนื่องจากเนื้อเรื่องที่ดูโบราณ นอกจากนั้นยังเลือกวิธีการเล่าเรื่องผ่านแอนิเมชันสีน้ำที่คนส่วนใหญ่ไม่คุ้นชิน แต่ในเมื่อ The Tale of the Princess Kaguya กำกับโดย อิซาโอะ ทากาฮาตะ อีกหนึ่งตำนานแห่ง Studio Ghibli ก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่เราจะไม่ตีตั๋วเข้าไปชม

และอิซาโอะก็ไม่ทำให้เราผิดหวัง เขานำเสนอเรื่องราวของเจ้าหญิงกระบอกไม้ไผ่ออกมาได้อย่างงดงาม ลงตัวในทุกรายละเอียด สัมผัสได้ถึงความประณีตของผู้สร้างสรรค์

The Tale of the Princess Kaguya เริ่มต้นด้วยการดำเนินเรื่องที่เรียบง่าย ไม่หวือหวา ก่อนที่จะปล่อยของเต็มที่ในช่วงท้ายของเรื่อง ทำเอาเราน้ำตาไหลอาบแก้ม แต่ถึงจะเศร้าแต่มันก็ตราตรึงในใจเราอย่างไม่รู้ลืม

ใครคิดว่าตัวเองใจแข็งร้องไห้ยาก อย่าเพิ่งมั่นใจก่อนจะได้ดู The Tale of the Princess Kaguya

 

และนี่คือทั้ง 5 เรื่องที่เราเลือกมา ซึ่งจริง ๆ แล้วผลงานทั้ง 21 เรื่องของ Studio Ghibli ทั้งหมดเคยผ่านตาเรามาแล้ว แต่นี่คือเรื่องที่ประทับใจเราที่สุด แล้วสำหรับคุณล่ะ แอนิเมชั่นของ Studio Ghibli เรื่องไหนที่ตราตึงใจที่สุด ถ้ามีเวลาว่างลองหยิบมันขึ้นมาดูอีกรอบสิ เพราะบางทีคุณอาจจะลืมไปแล้วว่าคุณประทับใจมันมากแค่ไหน

นักดื่มใจสลาย ผลวิจัยชี้ว่าการดื่มแอลกอฮอล์น้อย ๆ แต่ดีต่อสุขภาพอาจไม่เป็นความจริง

$
0
0

เหล่านักดื่มอาจต้องสับสนกันอีกครั้ง เพราะก่อนหน้านี้ผลวิจัยได้บอกว่าการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์วันละน้อยจะช่วยเรื่องสุขภาพ แต่มาวันนี้ก็ได้มีงานวิจัยที่มาหักล้างกันอีกครั้ง แถมยังบอกอีกด้วยว่าการดื่มเพียงเล็กน้อยนั้นก็คือสิ่งที่ได้ไม่คุ้มเสียกันเลยทีเดียว

ข้อหักล้างที่ว่าด้วยการดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณน้อยจะช่วยบำรุงสุขภาพนั้นถูกนำเสนอผ่านเว็บไซต์ข่าวชื่อดังอย่าง BBC กับการวิจัยที่เกิดขึ้นภายใต้โครงการการศึกษาภาระปัญหาของโลกว่าด้วยเรื่องโรคภัยไข้เจ็บหรือ Global Burden of Disease

วิจัยชิ้นนี้สำรวจพฤติกรรมการดื่มของนักดื่มกว่า 195 ประเทศ ตั้งแต่ช่วงอายุ 19-95 ปี เป็นจำนวนกว่า 28 ล้านคนทั่วโลก ด้วยระยะเวลายาวนานกว่า 26 ปี โดยวิจัยนี้เริ่มลงสนามสำรวจตั้งแต่ปี 1990-2016 ถือว่าเป็นงานวิจัยที่ใช้เวลาศึกษาเกี่ยวกับแอลกอฮอล์ที่ยาวนานที่สุดเท่าที่เคยมีมา รวมถึงจำนวนกลุ่มตัวอย่างที่มีมากถึงหลักหลายสิบล้านตัวอย่าง

ผลการวิจัยครั้งนี้เผยให้เห็นถึงอัตราความเสี่ยงที่จะเกิดโรคต่าง ๆ อย่างมะเร็ง ตับแข็ง หรือระดับการเกิดอุบัติเหตุเพราะเมานั้นมีตัวเลขที่พุ่งสูงขึ้นตามปริมาณที่ดื่มแอลกอฮอล์ที่เราดื่มในแต่ละวัน เช่น วันหนึ่งเราดื่มเครื่องดื่มที่มีปริมาณแอลกอฮอล์อยู่ 1 หน่วย หรือประมาณ 10 กรัม ก็จะมีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคและการบาดเจ็บจากอุบัติเหตุสูงกว่าคนที่ไม่ดื่มเลย 0.5% ในขณะที่ถ้าดื่มวันละ 2 หน่วย ก็จะเพิ่มความเสี่ยงขึ้น 7% หรือถ้าดื่มวันละ 5 หน่วย ความเสี่ยงก็จะพุ่งสูงถึง 37%

ผลวิจัยดังกล่าวได้รับการตีพิมพ์ลงในวารสารการแพทย์ Lancet และได้ชี้แนะให้หน่วยงานสาธรณสุขของประเทศอังกฤษควรออกคำเตือนให้ประชาชนลดการดื่ม เพราะปัจจุบันในอังกฤษได้แนะนำให้ประชาชนบริโภคแอลกอฮอล์ไม่เกิน 14 หน่วยต่อสัปดาห์

นอกจากนี้สถาบันเพื่อการประเมินและตรวจวัดมาตรฐานสุขภาพยังระบุว่า แม้งานวิจัยหลายชิ้นที่ออกมาก่อนหน้านี้จะระบุว่าการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์วันละน้อยจะช่วยป้องกันการเกิดโรคหัวใจและโรคหลอดเลือดสมองตีบได้ แต่ความเสี่ยงที่ได้จากการดื่มแอลกอฮอล์ทุกวันนั้นไม่คุ้มกับสิ่งที่ได้มา และยังมีวิธีอื่นเช่นการออกกำลังกายหรือกินอาหารดี ๆ จะช่วยป้องกันโรคเหล่านี้ได้มากกว่าการดื่มแอลกอฮอล์ทุกวัน (แล้วหวังผลทางสุขภาพ)

อีกทั้งองค์กรเพื่อการดื่มอย่างมีสุขภาพดีประจำประเทศอังกฤษยังกล่าวไปในทางเดียวกันอีกว่า เพราะเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์นั้นเป็นเครื่องดื่มที่ให้พลังงานสูง เพราะไวน์หนึ่งแก้วเทียบเท่าได้กับโดนัทหนึ่งชิ้น สิ่งที่เหล่านักดื่มควรระวังนอกจากอันตรายจากโรคร้ายและอุบัติเหตุแล้วยังต้องกังวลเกี่ยวกับเรื่องของโรคอ้วนด้วย เพราะแอลกอฮอล์จะเข้าไปกระตุ้นสมองที่ส่งผลต่อพฤติกรรมการกินอาหาร ซึ่งหากดื่มทุกวันก็อาจจะอ้วนขึ้นโดยไม่รู้ตัว

ถ้าใครที่คิดว่าการดื่มแอลกอฮอล์วันละเล็กน้อยจะช่วยเรื่องสุขภาพอาจจะต้องหยุดคิดทบทวนดูอีกครั้ง เพราะผลวิจัยที่ออกมาในครั้งนี้เป็นการสำรวจที่กว้างและใช้เวลาศึกษาอย่างยาวนานจึงค่อนข้างมีความถูกต้องแม่นยำสูง และ UNLOCKMEN เชื่อว่าเหล่านักดื่มส่วนใหญ่ต่างก็รู้กันดีอยู่แล้วว่าแอลกอฮอล์นั้นจะส่งผลเสียอะไรต่อร่างกายบ้าง แต่จะให้หักดิบเลิกไปเลยก็คงเป็นไปได้ยาก ดังนั้นการดื่มในระดับที่พอประมาณและดื่มอย่างมีสติจึงเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด

 

SOURCE1 SOURCE2

Viewing all 7776 articles
Browse latest View live