Quantcast
Channel: Unlockmen
Viewing all 7776 articles
Browse latest View live

ส่องทุกชิ้นในคอลเลกชัน BAPE x NEIGHBORHOOD มาพร้อม ADIDAS POD S3.1 คู่พิเศษต้อนรับปีใหม่

$
0
0

ส่งสัญญาณให้หนุ่มสายสตรีทไว้ตั้งแต่ปลายปีสำหรับงาน Collaboration ชุดล่าสุดจากสองแบรนด์สตรีตสัญชาติญี่ปุ่นทั้ง BAPE และ NEIGHBORHOOD ที่ร่วมมือกันปล่อยคอลเลกชันให้เราเตรียมเสียเงินตั้งแต่ต้นปี แต่นอกจากจะมีเครื่องแต่งกายและของสะสมรวมเอาไว้มากมายแล้ว ยังมีรองเท้าคู่พิเศษจาก Adidas Original เพิ่มมาเอาใจคอรองเท้าอีกด้วย

BAPE

คอลเลกชัน BAPE x NEIGHBORHOOD ถูกสร้างขึ้นเพื่อฉลองวาระครบรอบ 10 ปีของ HOODS Hongkong รีเทลสายสตรีทซึ่งเป็นตัวแทนจำหน่ายของ NEIGHBORHOOD ในฮ่องกงและประเทศจีน แถมยังเลือกใช้แร็ปเปอร์อย่าง Rea Sremmurd มาเป็นแบบให้อีกด้วย และตอนนี้ Full-Look ของไอเทมทุกชิ้นก็ถูกปล่อยออกมาครบแล้วไม่ว่าจะเป็น T-Shirt, Crewnecks, Jacket, Sweatpant, Shark Hoodie และ Denim Jacket โดยเฉพาะสองชิ้นหลังที่ถูก Shinsuke Takizawa หัวเรือใหญ่แห่งอาณาจักร NBHD เนรมิตให้ออกมาในรูปแบบสีทูโทนซึ่งแปลกตาแต่น่าสนใจมากทีเดียว โดยแต่ละชิ้นจะถูกใจชาวสตรีทในบ้านเราแค่ไหนไปชมกันได้เลย

นอกจากเสื้อผ้าแล้ว บรรดาเครื่องประดับและของสะสมทั้งหลายก็น่าครอบครองไม่แพ้กัน เพราะมีตั้งแต่เข็มกลัดและกระถางธูปสุดครีเอทที่สร้างขึ้นมาเป็นผู้ชายใส่ Shark Hoodie แบบเต็มใบ โดยแขนด้านซ้ายจะสกรีนว่า BAPE ส่วนด้านขวาจะเป็น NBHD ที่มาพร้อมชื่อ “Shark Attack“ และที่ไม่พูดถึงไม่ได้คงจะเป็น BE@RBRICK ที่มาพร้อมลวดลาย 1st CAMO และ BAPE Head และลวดลายกระดูกไขว้จาก NBHD รวมไว้ในตัวเดียวกัน

แถมยังมีการกระโดดเข้ามาร่วมแจมของ Adidas Original ที่ปล่อยรองเท้าในโมเดล POD- System 3.1 มาให้ทั้งสองค่ายได้ใส่ไอเดียลงไปอย่างเต็มที่ จนออกมาเป็นสนีกเกอร์สีทูโทนพร้อมลวดลาย CAMO พร้อมกับวาง BAPE Shark Motif ไว้ที่ข้างเท้าด้านนอก พร้อมแท็กด้านหลังตัวรองเท้าที่รวมเอาโลโก้ของแบรนด์ทั้งสามเรียงไว้ เรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งโมเดลที่ถูกใจสายสตรีตที่มองหารองเท้าที่สวมใส่สบาย แม้คาดการว่าราคา Re-Sell จะไม่สบายกระเป๋าไปด้วยก็ตาม

 

BAPE

BAPE x NEIGHBORHOOD จะถูกวางขายที่ HOODS Hongkong และ BAPE STORE ในสาขาญี่ปุ่น, จีน และฮ่องกง ในวันที่ 2 มกราคม ซึ่งคาดว่าจะมีพ่อค้าในบ้านเราไปต่อแถวพร้อมหิ้วกลับมาตอบสนองกิเลสแฟน ๆ ของ BAPE และ NBHD อย่างแน่นอน

ส่วนด้านของ Adidas POD-S3.1 “NHBAPE” ยังคงต้องตามข่าวการวางขายกันอีกรอบซึ่งคาดว่าราคาป้ายน่าจะอยู่ประมาณ 230 USD หรือประมาณ 7,500 บาท ทำให้คิดว่าราคา Re-sell หลักหมื่นคงไม่ใช่เรื่องยากสำหรับรุ่นพิเศษต้อนรับปีใหม่คู่นี้

 

SOURCE 


เพราะการพิชิตเป้าหมายสูงใหญ่เริ่มได้ที่ก้าวแรก “ทำ 5 สิ่งเล็ก ๆ ที่เริ่มวันนี้ วันสิ้นปีเห็นผล”

$
0
0

ต้นปีคือช่วงแห่งความฮึกเหิม ผู้ชายอย่างเรากระหายการเริ่มต้น ความเปลี่ยนแปลงและการพัฒนาตัวเองแบบที่ช่วงอื่น ๆ ของปีไม่อาจให้เราได้ ถ้าความฮึกเหิมพุ่งกระฉูดกับเราไปนาน ๆ ก็คงดีไม่น้อย แต่น่าเศร้าที่ความพลุ่งพล่านนี้มันจะค่อย ๆ ลดน้อยถอยลงไปตามจำนวนเดือนที่เพิ่มขึ้น

กระทั่งท้ายปีมาถึง จากที่ฝันถึงยอดเขาสูงใหญ่กลับไปได้แค่เนินดินลูกเล็ก เหลือเพียงตัวเรากับความว่างเปล่าและความรู้สึกล้มเหลวไร้ค่าว่าเราไม่อาจทำอะไรให้สำเร็จได้สักอย่าง

เหตุผลอย่างหนึ่งก็เพราะความฮึกเหิมผลักให้เราตั้งเป้าไกล แต่แค่เพราะเป้าถูกวางไว้ไกลและยิ่งใหญ่ไม่ได้แปลว่าเราจะทำสำเร็จ กุญแจสำคัญคือความสม่ำเสมอ ความต่อเนื่อง ซึ่งถ้าเรามีแต่เป้าหมายสูงใหญ่ ไม่มีการวางแผนการก้าวเดินไปถึงจุดนั้น ความฮึกเหิมก็ไม่อาจพาเราไปถึงยอดเขา

UNLOCKMEN จึงรวบรวม 5 สิ่งเล็ก ๆ ที่เราอาจมองข้ามและไม่คิดจะทำมัน เพราะมันดูง่ายเกินไปและดูเป็นก้าวเล็กเกินไป แต่ถ้าลองเริ่มทำตั้งแต่วันแรก ๆ ของปีและทำต่อเนื่องสม่ำเสมอ ไม่หยุด รับรองว่าสิ่งที่เรามองข้ามเหล่านี้จะทำให้เราเข้าใจว่าความสำเร็จจากการทำสิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ ได้ไม่ยาก

อ่านหนังสือทุกวัน

เราไม่ต้องฝันถึงหนังสือกองเท่าภูเขาหรือตั้งเป้าว่าจะอ่านหนังสือให้จบ 40 เล่มภายในหนึ่งปี แค่บอกตัวเองว่า “เราจะอ่านหนังสือทุกวัน” แล้วทำต่อเนื่องเรื่อยไปอย่าหยุด แค่นั้น การอ่านหนังสือตลอด 365 วันต่อให้อ่านแค่วันละ 3-4 หน้าก็เชื่อเถอะว่าข้อมูล ความรู้ หรือแม้แต่จินตนาการจากหนังสือที่เราอ่านจะหล่อหลอมหรือเปิดทางให้เราเห็นมุมมองใหม่ ๆ ในชีวิต หรือแม้แต่แรงบันดาลใจที่จะก้าวไปข้างหน้าได้มากอย่างที่เราไม่เคยคิดมาก่อน

ที่สำคัญการอ่านทุกวันจนเราสามารถอ่านหนังสือจบลงทีละเล่ม ๆ จะช่วยสร้างความมั่นใจว่าการอ่านหนังสือไม่ใช่เรื่องยากหรือไกลตัว รวมถึงเป็นการฝึกการจัดการเวลา ฝึกการจดจ่อและทำให้เรามีสมาธิเพื่อนำไปปรับใช้กับสิ่งอื่น ๆ ในชีวิตได้อีก

ไปหนึ่งเมืองที่ไม่เคยไปในชีวิตนี้

การเดินทางไม่ใช่แค่การไปเที่ยวหรือการพักผ่อนเท่านั้น แต่หมายถึงประสบการณ์และการเรียนรู้ที่เราจะได้ไปศึกษาเอาจากวัฒนธรรมที่ต่างจากเรา ผู้คนที่มีวิถีชีวิตไม่เหมือนเรา ดังนั้นในหนึ่งปีขอให้เราตั้งเป้าไว้ว่า “จงพาตัวเองไปยังเมืองที่เราไม่เคยไปในชีวิตนี้”

จะเป็นเมืองในประเทศไทยที่ไม่เคยไป หรือเมืองในต่างประเทศก็ได้ ส่วนความถี่ก็แล้วแต่ความสะดวกอาจจะ 2-3 เดือนครั้ง หรือ 6 เดือนครั้ง หรือปีละครั้งก็ได้

คิดเล่น ๆ ว่าถ้าเราตัดสินใจจะไปในเมืองที่ไม่เคยไปอย่างน้อยปีละหนึ่งเมือง อีก 15 ปีข้างหน้า เราก็จะมีประสบการณ์จากเมืองหลากหลายเมือง หลากหลายวัฒนธรรมมากถึง 15 เมืองจากทั่วโลก (ทั้งในและนอกประเทศแล้วแต่ความสะดวกและเงินในกระเป๋า) ซึ่งหมายถึงเราสามารถจัดระเบียบทางการเงินได้ รู้จักวางแผนการเดินทางเป็น ซึ่งเป็นทักษะเฉพาะของการเดินทางไปในที่ที่เราไม่รู้จัก

นอกจากนั้นแต่ละเมืองที่เราไปก็สามารถเป็นตัวแทนหมุดหมายและความทรงจำในชีวิตของเราในปีนั้น ๆ ได้ อย่างน้อยถ้าถามว่าปี 2019 ของเราคือปีแห่งอะไร เราอาจตอบได้ว่าคือปีที่เราไปปารีสเป็นครั้งแรก ดีกว่ามีแต่เรื่องราวเดิม ๆ อย่างการตื่น การหายใจ และไม่มีอะไรให้จดจำเป็นพิเศษ

ทาครีมกันแดด

การดูแลรักษาผิวหน้าดูเป็นเรื่องไกลตัวสำหรับผู้ชายเหลือเกิน เราถึงไม่ได้อยากจะแนะนำให้ต้องดูแลผิวหน้าอย่างละเมียดละไม แค่ “ครีมกันแดด” ขั้นตอนเดียว จบ ถือว่าไม่ยากเกินไป แต่ให้ผลต่อผิวหน้าดีกว่าที่คาด เนื่องจากแสงแดดคือตัวการทำร้ายทำลายผิว ก่อให้เกิดสารพัดปัญหาผิว ริ้วรอย ฝ้า กระ

เชื่อเถอะว่าตอนเรายังวัยรุ่น เราอาจจะสะบัดหัวแล้วบอกว่าไม่แคร์ ใช้ชีวิตลุยดะยังไงก็ได้ เพราะผิวสามารถฟื้นฟูตัวเองได้ แต่ยิ่งอายุเยอะขึ้น แค่ครีมกันแดดขั้นตอนเดียวจะช่วยดูแลเรื่องผิวหน้าเราได้อย่างไม่น่าเชื่อ

รู้ตัวอีกทีเมื่อถึงปาร์ตี้ส่งท้ายปีเก่า เรายืนอยู่กับเพื่อนที่ไม่ทาครีมกันแดด เมื่อนั้นแหละที่เราจะสัมผัสได้ว่าบุคลิกและความมั่นใจที่เราสะสมมาจากการทาครีมกันแดดอย่างสม่ำเสมอมันเป็นอย่างไร

ดื่มน้ำให้เพียงพอทุกวัน

การดื่มน้ำเป็นเพียงเรื่องสามัญธรรมดาดาดดื่นที่เราคงไม่กล้าบอกใครด้วยซ้ำว่ามันคือเป้าหมายของเราในปีนี้ ดังนั้นก็ไม่ต้องมองมันเป็นเป้าหมายยิ่งใหญ่อะไร แค่ทำมันต่อไปเรื่อย ๆ สม่ำเสมอ จนวันสุดท้ายของเดือนธันวาคมนั่นแหละที่ทุกอย่างจะเปิดเผยคำตอบของมันเอง

น้ำเป็นสิ่งที่มีประโยชน์กับชีวิตเราที่หาได้ง่าย ราคาถูก จิบได้ทั้งวัน แต่เรามักมองข้ามมันไปเสมอ มันช่วยทั้งเรื่องสุขภาพ เรื่องผิว เรื่องประสิทธภาพการคิด หรือแม้แต่ชั่วโมงทำงานอันเหน็ดเหนื่อยแล้วเราตั้งเป้าว่าต้องลุกขึ้นไปดื่มน้ำทุก ๆ หนึ่งชั่วโมงครึ่ง ก็ถือเป็นทั้งการดื่มน้ำและได้ยืดเส้นยืดสายไปในตัว

เราไม่ขอเฉลยอะไรมาก แค่อยากให้คุณลองดื่มน้ำในปริมาณเท่าที่ร่างกายต้องการ แล้วมาดูกันว่าวันสุดท้ายของเดือนธันวาคมผลจะออกมาเป็นอย่างไร

นอนพักผ่อนให้เพียงพอ

การนอนก็เป็นอีกสิ่งที่แสนธรรมดาจนเราไม่คิดว่ามันต้องใส่ลงในลิสต์สิ่งที่ต้องทำทุกวันไปทำไม แต่การนอนให้เพียงพอคือรากฐานของการทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ รวมไปถึงชีวิตด้านอื่น ๆ ก็จะมีประสิทธิภาพตามไปด้วย ดังนั้นไม่ว่าปีที่ผ่านมาเราจะเคยใช้ชีวิตหนักหน่วงอดหลับอดนอนแค่ไหน ก็ขอให้จำไว้ว่าร่างกายมีขีดจำกัดของมัน อย่าปล่อยให้ขีดจำกัดมาถึง แต่เริ่มต้นพักผ่อนให้เพียงพอตั้งแต่ปีนี้ วันนี้ คืนนี้

นอกจากนั้นการจัดตารางเวลาให้เราสามารถพักผ่อนให้เพียงพอได้ไม่ว่าเราจะเป็นคนที่งานยุ่งแค่ไหน มันยังถือเป็นการจัดการเวลาของตัวเองได้อย่างมีคุณภาพมากขึ้นอีกด้วย เพราะ UNLOCKMEN พูดเสมอว่าการทำงานที่ชาญฉลาดไม่ได้หมายถึงการทำงานหนักจนกินเวลาชีวิต แต่หมายถึงการบริหารจัดการปริมาณงานและเวลาได้อย่างลงตัว

การนอนจึงเป็นทั้งกิจกรรมที่ดีต่อสุขภาพและส่งผลดีต่อการทำงาน รวมถึงการใช้ชีวิตทุกด้านได้อย่างเต็มที่มากขึ้น และเป็นการฝึกจัดสรรเวลาให้ชีวิตที่รับรองว่าถ้าทำอย่างสม่ำเสมอได้ 365 วัน คุณจะกลายเป็นคนใหม่แน่นอน

 

เราไม่ได้บอกว่าเป้าหมายสำหรับปีนี้ที่เป็นเป้าหมายใหญ่ ๆ บนยอดภูเขาเราต้องโยนทิ้งไป เราแค่เสนอว่าทำเป้าหมายใหญ่ ๆ ต่อไปให้ดียิ่งขึ้นได้ด้วยการวางแผนแต่ละขั้นให้ดี ส่วน 5 เป้าหมายเล็ก ๆ เหล่านี้เพียงแค่ทำสม่ำเสมอไปเรื่อย ๆ ไม่ต้องก้าวใหญ่ให้เหนื่อยมาก แต่ผลลัพธ์ที่ได้กลับมาคุ้มค่าจนต้องขอบคุณตัวเองในวันนี้แน่ ๆ รับรอง

ชวนดู 5 หนังทางแยกของชีวิต เมื่อความรักและความฝัน ไม่ใช่สิ่งที่ไปด้วยกันได้

$
0
0

หลายคนคงเคยมีความรักที่สวยงาม เป็นเหมือนภาพอบอุ่นแสนประทับใจที่ยังคงฝังลึกอยู่ในความรู้สึก แต่ด้วยชีวิตที่การเติบโตบังคับให้เราเลือกทางที่ถูกต้องมากกว่าถูกใจ จึงจำต้องทิ้งใครบางคน สิ่งบางสิ่งไว้ข้างหลัง ไม่เว้นแม้แต่คนรักของเราเอง UNLOCKMEN ชวนหนุ่ม ๆ มาดูเรื่องราวของตัวละครเหล่านี้ ที่ถูกบีบบังคับให้เลือกระหว่างความฝันและความรัก เมื่อทั้งสองสิ่งอาจไม่ใช่สิ่งสามารถเดินไปได้บนทางเดียวกัน มาดูกันว่าพวกเขาจะตัดสินใจกับเส้นทางของชีวิตเขายังไง

Match Point (2005)

Director : Woody Allen

เรื่องราวของ Chris Wilton ครูสอนเทนนิสที่พยายามไต่เต้าตัวเองด้วยการเข้าหาสาวในสังคม Upper-Class อย่าง Chloe Hewett เมื่อความทะเยอะทะยานผลักดันให้เขาใช้ความรักเป็นเพียงเครื่องมือเพื่อถีบตัวเองให้สูงขึ้น เมื่อความรักที่ไม่ได้เริ่มจากรักตั้งแต่แรกจึงทำให้เขาไปพัวพันกับสาวอื่นจนเกิดเรื่องยุ่งขึ้นมา เขาต้องทำทุกวิถีทางเพื่อปิดเรื่องนี้ไว้ เพื่อไม่ให้โดนถีบหัวส่งออกจาก Upper-Class ที่กระเสือกกระสนขึ้นมาได้

มาดูกันว่าเขาจะเลือกหนทางไหนระหว่างชีวิตที่มั่นคงหรือความฝันอันแสนหวานที่มีสาวเซ็กซี่คอยมอบความสวาทให้ทุกเมื่อเชื่อวัน รับประกันความเจ็บแสบของหนังด้วยชื่อของ Woody Allen ที่จะไม่ทำให้คุณผิดหวัง แล้วมาดูกันว่าคนเรามันจะเห็นแก่ตัวได้สักแค่ไหนกัน

Revolutionary Road (2008)

Director : Sam Mendes

เมื่อความรักและความฝันมันไม่ใช่สิ่งเดียวกัน เราจะเลือกทางไหน ? โปรยมาแบบนี้เราอาจจะคิดถึงเรื่อง La La Land กันเป็นเรื่องแรก แต่ขอบอกว่าไม่อยากให้มองข้ามเรื่องนี้เลย เพราะนอกจากเนื้อหาที่เข้มข้นแล้ว เราจะได้ดูนักแสดงนำคู่บุญ Kate Winslet และ Leonardo DiCaprio ใบบทบาทของคู่รักที่แต่งงานกันแบบข้าวใหม่ปลามัน กำลังอยู่ในช่วงสร้างครอบครัว ความฝันของ April คือการได้เป็นนักแสดง แต่เมื่อเธอแต่งงาน เธอต้องเก็บความฝันของเธอเข้าลิ้นชักและกลายเป็นแม่บ้านเต็มตัว ส่วน Frank ก็พยายามจะเป็นผู้นำครอบครัวที่ดี จนต้องทิ้งความฝันของตัวเองไปเป็นพนักงานออฟฟิศ ทั้งที่ความจริงเขาเองก็ยังไม่ได้อยากเป็นเลยสักนิด 

เมื่อความสัมพันธ์ที่จริงจังมันเริ่มบังคับให้เราต้องเสียสละตัวตนออกไปทีละนิด จนเรารู้สึกโหยหาชีวิตจริง ๆ ของตัวเอง แต่ก็ไม่ได้อยากจะพังความรักของตัวเองลง ความรักและความสับสนมันจึงตีกันจนยุ่งวุ่นวายไปหมด ปัญหาเล็กน้อยที่เคยถูกซ่อนไว้ใต้พรมเริ่มออกมาให้เห็นมากขึ้นเรื่อย ๆ จนเราแทบจะไม่เชื่อว่านี่คือคนเคยรักกันแทบคลั่ง และต้องซูฮกให้กับการแสดงของทั้งคู่ ทั้งการแสดงความรักทางสายตา การปะทะคารมกัน ที่ทำให้เราเชื่อได้แบบสนิทใจว่าบทนี้คือเขาทั้งคู่ที่ใช้ชีวิตด้วยกันจริง ๆ

6 Years (2015)

Director : Hannah Fidell

รักที่อยู่มานาน ไม่ได้เป็นเรื่องการันตีว่ามันจะอยู่ตลอดไป เรื่องราวของคู่รักวัยรุ่นที่เป็นแฟนกันตั้งแต่ยังเป็นวัยกระเตาะ Melanie Clark สาวเจ้าอารมณ์ ผู้มอบความสนใจทั้งหมดไปให้กับแฟนหนุ่มอย่าง Dan Mercer แม้จะลุ่ม ๆ ดอน ๆ แต่ทั้งคู่ก็ประคับประคองความรักสุด Emotional มาได้จนถึงช่วงที่เราจะได้ดูในเรื่องนี้กัน คือปีที่หกตามชื่อเรื่อง ใครที่เคยมีความรักที่ฝังใจในช่วงวัยรุ่น รับรองว่าจะรักเรื่องนี้เป็นพิเศษ มันจะไม่ได้มีไดอะล็อกยืดยาวมากมาย เป็นเหมือนเราเดิมตามไปดูชีวิตคู่รักวัยรุ่นธรรมดาคนนึงเท่านั้นเอง ไปพิสูจน์ความหน่วงกันได้

จุดร้าวฉานมันอยู่ที่เมื่อมีฝ่ายหนึ่งนอกใจ แต่ทั้งคู่กลับไม่ได้อยากแยกจากกัน ก็ต้องใช้ความรักที่ยังคงเหลืออยู่ ฉุดดึงกันและกันเอาไว้ และการที่จังหวะชีวิตมันมีเรื่องให้ต้องห่างกัน เรื่องราวของอนาคต การสร้างตัว เข้ามาเปลี่ยนแปลงให้พวกเขาต้องทิ้งความรักแบบเด็ก ๆ ทิ้งไป และมาเป็นบททดสอบว่าทั้งสองจะจับมือกันได้แน่นแค่ไหน

La La Land (2016)

Director : Damien Chazelle

หนุ่มสาวผู้เปี่ยมไปด้วย Passion อัดแน่นอยู่ภายใน Mia สาวร้านกาแฟผู้มีความฝันเป็นนักแสดงและ Sebastian ที่อยากเป็นนักดนตรีแจ๊ซชื่อดัง เปิดบาร์แจ๊ซเป็นของตัวเอง ความสามารถ ความฝัน พลังแห่งวัยหนุ่มสาว ดึงดูดให้พวกเขามาเจอกัน และหลงใหลกันและกันอย่างไม่ลืมหูลืมตา ทั้งคู่ใช้ความรักที่มีกันและกันช่วยเหลือกันให้อีกฝ่ายถึงฝั่งฝันไปเรื่อย ๆ จนเมื่อชีวิตต้องเดินไปข้างหน้า ต้องเติบโต แต่ความรักไม่อาจก้าวไปพร้อมกันได้ เมื่อจำเป็นต้องเลือกสักสิ่ง ความรักและความฝัน มาดูกันว่าพวกเขาจะเลือกอะไร

เรื่องจะเล่าผ่านการร้องเล่นเต้นไปพร้อมเสียงเพลง ใครที่ไม่สันทัดทาง Musical อาจจะเบื่อเรื่องนี้กันเสียหน่อย แต่รับรองว่าความเข้มข้นของการแสดงและเนื้อเรื่อง ทำให้เราหายใจหายคอไม่สะดวกไปตามตัวละครเลยก็ว่าได้

Begin Again (2013)

Director : John Carney 

เพราะความฝันทำให้จำต้องปล่อยมือจากความรักไปอย่างน่าเสียดาย เรื่องราวแสนปวดร้าวของ Gretta (Keira Knightley) กับแฟนหนุ่มที่เป็นศิลปินชื่อดังอย่าง Dave (Adam Levine) ที่ต้องเลิกรากันไปด้วยเรื่องมือที่สาม การพบกันในบาร์ของ Gretta และ Dan (Mark Ruffalo) ผู้บริหารค่ายเพลงที่อยากดึงตัวเธอมาร่วมงานและหวังให้เธอเป็นศิลปินที่จะมาช่วยกู้วิกฤตในอาชีพของเขา เปลี่ยนชีวิตของทั้งคู่ที่ต่างมีเรื่องราวเจ็บปวดที่ต้องการเยียวยา ทั้งคู่ต่างใช้บทเพลงเพื่อให้ตัวเองได้สมหวังกับเรื่องราวในชีวิต แต่ละตัวละครต่างมีปมที่ขมวดแน่น เฝ้ารอการเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง เพื่อปลดปล่อยตัวเองจากปมเหล่านั้นที่รั้งเอาไว้มาตลอด

ถือว่าดูง่ายกว่าเรื่อง Once เยอะอยู่เหมือนกัน เป็น Story และการถ่ายทอดที่เข้าถึงง่าย มีเพลงเพราะ ๆ ไม่แพ้กันได้ฟังตลอดทั้งเรื่อง แม้ฟังดูดราม่าจะเข้มข้น แต่พอได้ดูจริง ๆ มันจะ Flow ของมันไปเรื่อย ๆ แบบที่ไม่ชวนให้อึดอัดเลยแม้แต่น้อย (แถม Feel Good อีกด้วย)

เลือกสักเรื่องที่ถูกใจ แล้วมาดื่มด่ำไฟแห่งความฝันและความรักที่หล่อเลี้ยงให้ชีวิตของเราหอมหวานไปพร้อมกัน

คนสู้แต่น้องไม่สู้! หลั่งไว ไม่แข็งตัว ทำความเข้าใจปัญหาชวนปวดหัว ให้ผงาดอย่างราชา

$
0
0

หลายครั้งที่หนุ่ม ๆ เจอสถานการณ์ชวนหน้าแตก อย่างไปหน้างานแล้วใจสู้แต่น้องไม่ยอมลุกขึ้นสู้ สารพัดลูกเล่นที่เอามาปลุกน้องให้ลุกขึ้นตื่นมาผงาดอีกครั้ง ไม่ว่าจะเป็นยาทา ยากิน แต่อยากกระซิบบอกว่ามันเป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ ลองมาสำรวจร่างกายของเราในเชิง Bio กันแบบง่าย ๆ ไม่ซับซ้อน เข้าปัญหาให้ตรงจุดแล้วแก้มันตรงจุดกันที่ร่างกายของเราเอง จะได้เตรียมตัวให้ฟิตปึ๋งปั๋งแบบที่เข้าใจในร่างกายตัวเองจริง ๆ เข้มแข็ง ผ่อนคลาย ลงสนามได้แบบชายทั้งแท่ง

 

น้องไม่สู้ล่มปากอ่าว ปัญหาระดับชาติของหนุ่มล่ก

แม้สิ่งเร้าจะมาอยู่ตรงหน้าระยะประชิด แต่ความตื่นเต้น อาการประหม่า พาให้น้องหนูห่อเหี่ยว นอนนิ่งไม่ลุกขึ้นสู้ หรือต่อให้ลุกขึ้นมาแล้ว (นึดนึง) แต่ก็ไม่ทันจะบรรเลงเพลงรักให้ถึงใจ ไคลแม็กซ์ดันมาถึงไวกว่าที่คิด เจ้าหนูหลั่งไหลปล่อยน้ำรักออกมาแบบไม่ปรึกษาใคร เซ็งกันทั้งคุณทั้งสาว เอาเป็นว่ามาทำความเข้าใจกันก่อน ว่าปัญหาระดับชาติของผู้ชายเหล่านี้เกิดจากอะไร

 

ลุกไม่ลุกอยู่ที่อะไร ?

ก่อนอื่นต้องมาทำความเข้าใจ แคะแกะเการ่างกายตัวเองกันก่อนว่า เจ้าหนูมันลุกขึ้นได้เพราะอะไร เจ้าหนูของเราเนี่ย มันเป็นอวัยวะที่อยู่นอกเหนืออำนาจจิตใจ ไม่ได้เหมือนแขนขาว่าจะยก ย้าย ไปทางไหน เราบังคับเจ้าหนูให้ได้ดั่งใจไม่ได้ว่าจะให้มันแข็งแล้วมันจะแข็งให้เลย เราต้องหาสิ่งกระตุ้นทั้งของจริง ทั้งภาพในหัว คอยกระตุ้นให้เจ้าหนูลุกขึ้นมา เจ้าหนูเนี่ยมันถูกควบคุมโดยระบบประสาทอัตโนมัติ แล้วไอ้ระบบนี้เนี่ย แบ่งเป็นสองฝั่งคือ พาราซิมพาเทติก และ ซิมพาเทติก

พาราซิมพาเทติก จะลดระดับของซิมพาเทติกลง ทำให้ร่างกายของเราผ่อนคลาย หายใจเป็นปกติ ความดัน การสูบฉีดเลือดเข้าสู้ระดับปกติ น้องหนูจะแข็งไม่แข็งอยู่ในช่วงนี้นี่แหละ เพราะฉะนั้นหากเราต้องการให้น้องลุกขึ้นพร้อมลงสนามแบบเต็มแท่ง ก็ต้องให้ร่างกายของเราห่างไกลจากสิ่งกระตุ้นที่ทำให้เกิดความเครียด หรือไปกระตุ้นซิมพาเทติกนั่นเอง

ระยะนี้เราต้องหาความผ่อนคลายให้ตัวเอง เราเลยมักมีการเปิดเพลงคลอ อยู่ในที่ปลอดภัย แสงไฟอบอุ่น สภาวะเหล่านี้จึงเป็นสภาวะที่เหมาะกับการมีเซ็กซ์นั่นเอง และเป็นอีกเหตุผลว่าทำไมเวลาเราตื่นเต้นมาก ๆ อย่างกิจกรรม Outdoor ลงสนามครั้งแรก ถึงทำให้บางคนตื่นเต้นเสียจนไม่ลุกขึ้นสู้

ซิมพาเทติก จะทำหน้าที่เมื่อร่างกายเจอแรงกดดัน ความเครียด ให้เราเลือกว่าเราจะหนีหรือเราจะสู้ เป็นสัญชาตญาณดิบที่ติดตัวมนุษย์มาแต่ไหนแต่ไร ช่วงที่ซิมพาเทติกทำงานเนี่ย เราจะใจเต้นเร็ว เลือดสูบฉีดอย่างบ้าคลั่ง หายใจหอบถี่ ม่านตาขยาย แล้วช่วงนี้แหละจะเป็นช่วงที่ทำให้เรากระแทกกระทั้นอย่างดุเดือดและพร้อมจะหลั่งในทุกเมื่อ หากเราปล่อยให้ร่างกายมีซิมพาเทติกมากเกินไป เป็นสาเหตุให้เราหลั่งเร็วนั่นเอง

ทั้งสองระแบบนี้ต้องทำงานร่วมกัน แบบไม่ให้อะไรมากกว่ากัน หรือให้มันถูกใช้งานในภาวะที่เหมาะสม อย่างพาราซิมพาเทติก ควรมีมากในตอนสร้างบรรยากาศที่เหมาะสม การเล้าโลมให้ทั้งคู่เครื่องติดจนพร้อมที่จะลงสนาม พอลงสนามจริง ค่อย ๆ ไต่ระดับซิมพาเทติกให้สูงขึ้น

หากเราตื่นเต้น กระแทกกระทั้น ปล่อยสัญชาตญาณดิบออกมาโลดแล่นมากเกินไปจะทำให้เราหลั่งไวจนไม่ทันจะเสพความสุขให้เต็มที่ เพราะฉะนั้นหากยังอยากอยู่ในเกม ก็ต้องควบคุมตัวเองไม่ให้ตื่นเต้นมากเกินไป ผ่อนคลายทั้งความคิดและสภาพแวดล้อม แล้วค่อยเต็มที่กับเกมรุกในตอนท้าย ปล่อยให้ซิมพาเทติกออกมาเร่งเครื่องจนถึงจุดหมายไปแบบฟิน ๆ 

ทั้งหมดนี้อยู่ที่เราควบคุมจิตใจตัวเองให้เหมาะกับแต่ละภาวะ บรรยากาศเองก็มีผล พูดรวม ๆ ง่าย ๆ ก็คือ ทำให้ร่างกายของเราพร้อม ไม่ฝืนทำตอนเหน็ดเหนื่อย ร่างกายจะได้ผ่อนคลายในช่วงเริ่มเกม ให้น้องลุกขึ้นมาแบบไม่ตึงเครียด แล้วค่อยมาเปิดเกมรุกในช่วงท้ายที่เหมาะกับความดุดัน ทำความรู้จักกับร่างกายของตัวเองให้มาก เพราะสุดท้ายแล้วสิ่งที่มีผลที่สุดไม่ใช่แค่ตัวกระตุ้น แต่เป็นความพร้อมของร่างกายเราเอง

SOURCE 1,2

FOXY LADY: ‘ไนซ์-คัมภิรดา’ใต้ความเรียบง่ายคือความเซ็กซี่ที่ซ่อนอยู่ในแววตาและความคิด

$
0
0

ปีเก่าผ่านไป ปีใหม่ผ่านมา เมื่อตัวเลขบนปฏิทินเคลื่อนสู่ศักราชใหม่ เปรียบเสมือนสัญญาณที่บอกเราทุกคนว่าถึงเวลาเริ่มต้นสิ่งใหม่แล้ว มาทำปี 2019 ให้เจ๋งยิ่งกว่าที่เคยกันเถอะ!

เช่นเดียวกันกับพวกเรา UNLOCKMEN ขึ้นปีใหม่ทั้งทีย่อมต้องมีสิ่งใหม่ ๆ มานำเสนอ ปีนี้เราขอเริ่มต้นด้วย ‘Foxy Lady’ คอลัมน์ใหม่แกะกล่องของพวกเรา ที่น่าจะถูกใจหนุ่ม ๆ แน่นอน

เชื่อว่าถ้าใครติดตาม UNLOCKMEN มาตลอดน่าจะคุ้นเคยกับคอลัมน์ ‘A Girl We Love’ เป็นอย่างดี แต่ Foxy Lady คือสิ่งที่แตกต่างออกไป ถึงแม้จะเป็นคอลัมน์แนะนำผู้หญิง 1 คนให้ทุกคนได้รู้จักเหมือนกัน แต่ Foxy Lady จะมุ่งเน้นไปที่ตัวตนและทัศนคติมุมมองต่อสิ่งต่าง ๆ มากกว่าด้านทักษะความสามารถเหมือนใน A Girl We Love นอกจากนั้นยังนำเสนอออกมาในรูปแบบที่เซ็กซี่กว่าอีกด้วย

Foxy Lady คนแรกของเราในปีนี้ก็คือ ‘ไนซ์-คัมภิรดา กิจพิสิฐ’ วินาทีนี้ทุกคนอาจยังไม่รู้จักเธอ เช่นเดียวกับเรา เอาเป็นว่าไปทำความรู้จักเธอพร้อม ๆ กันในบทสนทนาครั้งนี้

Who is she?

“ชื่อไนซ์ค่ะ ชื่อจริง คัมภิรดา กิจพิสิฐ อายุ 20 ปี ตอนนี้เรียนอยู่ปีที่ 3 คณะศิลปกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สาขาบัลเลต์ค่ะ”

“จริง ๆ เป็นคนเรียบง่ายมาก ไม่มีอะไรเลย ชอบความง่าย ๆ อะไรก็ได้ (หัวเราะ) ”

เสน่ห์ภายใต้หน้าม้าอันเป็นเอกลักษณ์

“(นิ่งคิด) จริง ๆ เป็นคนยิ้มยากค่ะ แต่เวลาเรายิ้มก็รู้สึกว่านั่นเป็นเสน่ห์อย่างหนึ่ง”

อันนี้เราเห็นด้วยอย่างยิ่ง เพราะตลอดการถ่ายทำเธอค่อนข้างนิ่งจนรู้สึกว่าเข้าถึงยาก แต่เมื่อเริ่มพูดคุย เธอก็เริ่มเผยรอยยิ้มให้เห็น บรรยากาศก็ผ่อนคลายขึ้นทันที

แต่อวัยวะที่ไนซ์มั่นใจที่สุดกลับไม่ใช้ริมฝีปากหรือรอยยิ้มแต่อย่างใด

“ชอบตาค่ะ รู้สึกว่าการมองตาเป็นสิ่งที่ทำให้เห็นตัวตนข้างใน เพราะเราเองก็รู้สึกชอบที่จะมองหน้าคนอื่น”

นิยามคำว่า ‘เซ็กซี่’ ของไนซ์

“ส่วนตัวเรารู้สึกว่าคำว่าเซ็กซี่ไม่จำเป็นต้องโป๊ แค่เราเซ็กซี่จากข้างใน เช่นความคิดเราก็ว่ามันก็เซ็กซี่ได้ ไม่ได้เกี่ยวกับแค่การแต่งตัว”

ไลฟ์สไตล์ที่เรียบง่ายแต่เป็นตัวของตัวเอง

“เป็นคนไม่ค่อยปาร์ตี้เท่าไรค่ะ ถึงว่างก็ไม่ไปนอกจากจะเป็นโอกาสสำคัญจริง ๆ (หัวเราะ) ส่วนเวลาว่างก็จะชอบขับรถไปทะเลค่ะ แต่ถ้ามีเวลาจำกัดก็จะหาคาเฟ่นั่งอ่านหนังสือ”

“จริง ๆ เป็นคนแต่งตัวไม่เป็นเลยค่ะ (หัวเราะ) ส่วนใหญ่จะแต่งแนวญี่ปุ่นทั้งเสื้อ กระโปรง เพราะรู้สึกว่ามันแต่งง่ายดีค่ะ”

มาถึงคำถามที่หนุ่ม ๆ ตั้งตารอว่าสเป็คของผู้หญิงที่เรียบง่ายแต่มีเสน่ห์อย่างไนซ์นั้นเป็นแบบไหน

“ถ้าภายนอกก็ชอบคนขาว แล้วก็สูงกว่า แต่ก็ไม่จำเป็นเท่าไรค่ะ เป็นอะไรที่วางไว้เฉย ๆ เพราะจริง ๆ แล้วชอบคนที่มีความคิด เข้าใจกัน สามารถคุยกันในเรื่องที่เหนือกว่าหลักการ อะไรที่ลึกลงไป แบบนั้นมากกว่าค่ะ”

แล้วตอนนี้มีแฟนหรือยังครับ?

“ยังค่ะ (หัวเราะ)” เธอตอบสวนอย่างมั่นใจมาทันที แบบนี้หนุ่ม ๆ สบายใจได้ แต่ถึงอย่างนั้น ไนซ์ก็ดูเป็นคนที่เข้าถึงค่อนข้างยาก ถ้าเข้าไปจีบ ๆ แบบโต้ง ๆ มีหวังเดินคอตกกลับมาแน่นอน ดังนั้นถามกับเจ้าตัวเลยดีกว่าว่าต้องเข้าหาวิธีไหนถึงจะได้ผล

“ต้องไม่เข้ามาแบบน่ากลัวค่ะ (หัวเราะ) ทางที่ดีน่าจะต้องเข้ามาแบบ Friend Zone ก่อนค่ะ ชวนไปทำนู่นทำนี่ที่ไม่ใช่ปาร์ตี้หรือแฮงเอาต์ ต้องทำให้เรารู้สึก Comfort ค่ะ”

ความสัมพันธ์ในอุดมคติ

“จริง ๆ รู้สึกว่าคำว่า ‘แฟน’ เป็นตัวกำหนดความสัมพันธ์มาก ๆ เช่นเวลาที่เราชอบใครสักคน อยากใช้เวลาอยู่ด้วย เราว่าคำว่าแฟนมันน่ากลัว

เรารู้สึกว่าแต่ละคนมีพื้นวงกลมที่เป็นของตัวเอง แล้วเอามาทับซ้อนกัน โดยที่ต่างคนต่างยังมีพื้นที่ของตัวเองอยู่ แค่นั้นก็เพียงพอแล้ว

ในวันที่ไม่ต้องการมีพื้นที่วงกลมทับซ้อนอีกต่อไป

“ถ้าถึงวันที่หมดรัก เราก็ควรบอกกันตรง ๆ ว่าเราไม่อินกับมันแล้ว แต่เราก็ยังมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน มีความรู้สึกดี ๆ ให้กัน แค่เราไม่ได้เป็นแฟนกันแล้ว แต่ถ้าความสัมพันธ์ไปถึงขั้นการแต่งงาน มีลูก เป็นครอบครัวแล้ว ก็อาจจะต้องคิดถึงองค์ประกอบอย่างอื่นด้วย เราเองก็ตอบไม่ได้ เพราะยังไม่เคยไปถึงจุดนั้นเหมือนกัน”

ความเป็น ‘ไนซ์’ สำหรับคนภายนอก

“น่าจะนึกถึงหน้าม้าค่ะ ถึงจะไว้ทรงนี้มาไม่นาน เพิ่งตัดเมื่อครึ่งปีที่แล้ว แต่พอตัดปุ๊ปก็รู้สึกว่าทุกคนพูดถึง ไม่อยากให้ไว้ยาวแล้ว ซึ่งจริง ๆ แล้วเราเป็นคนเบื่อทรงผมง่ายมาก แต่ทุกคนบอกว่าไว้ทรงนี้ไปก่อน เราก็เลยแบบ…ก็ได้ (หัวเราะ)”

ความฝันและก้าวต่อไป

“อย่างแรกคือไม่อยากเต้นบัลเลต์แล้วค่ะ (หัวเราะ) มันเป็นความสามารถที่เราทำได้แต่เราไม่ได้อินกับมันขนาดนั้น ส่วนถ้าเรียนจบไปเราไม่อยากทำงานบริษัท อยากเปิดคาเฟ่ ร้านกาแฟ หรือร้านหมูกระทะก็ได้ค่ะ”

Bye Bye Nice

“สำหรับคอลัมน์ Foxy Lady ตอนที่ทาง UNLOCKMEN ติดต่อมาก็รู้สึกว่าน่าสนใจมาก อยากทำเพราะไม่ค่อยได้ทำอะไรแบบนี้เลย รู้สึกว่ามันแปลกใหม่มาก อยากให้ติดตามดูกันค่ะ ส่วนถ้าอยากจะติดตามเราก็สามารถติดตามได้ที่ Instagram: Nicnnice ส่วน Facebook ก็ Kampirada Kijpisit ค่ะ ”

แล้วเราก็จากลากัน

เราเองก็รู้สึกขอบคุณไนซ์เช่นเดียวกัน เป็นประสบการณ์ทำงานที่สนุกมาก และเราหวังว่า Foxy Lady คนแรกนี้จะเป็นพลังงานความสดใสชั้นดีสำหรับการเริ่มต้นปี 2019

โหดไว้สิดี? ล้วงเหตุผลทำไมองค์กรระดับโลกมักเป็นที่ชุมนุมของเจ้านายสายโหด

$
0
0

เจ้านายกับพนักงานถือเป็นของคู่กัน เจ้านายเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีอิทธิพลมากกว่าหมอดูที่บอกกราฟลายมือเส้นชีวิตเราว่าเราจะเจริญก้าวหน้าได้จริงไหม และที่แน่ ๆ คือต่อให้ใครจะว่ายังไง เจ้านายจะยังคงอยู่ในองค์กรต่อไป

คุณเคยสงสัยไหมว่าทำไมเจ้านายสายเดือด สายโหด หรือเจ้านายที่มีพฤติกรรมเข้าขั้นติดลบในสายตาพนักงาน แถมชีวิตโคตรไม่บาลานซ์ ทำไมถึงพาองค์กรพุ่งไปติดอันดับต้นของโลกได้ แถมพูดชื่อแล้วหลายคนยังต้องแลกและฝ่าฟันเพื่อให้ไปเจอเจ้านายแบบนั้นอีก

แน่สิ ถ้าเราบอกว่าตัวอย่างของเจ้านายเหล่านั้นคือ Jeff Bezos ผู้ก่อตั้ง Amazon, Elon Musk ผู้ก่อตั้ง Tesla และอุโมงค์ทะลุมิติ และ Steve Jobs เจ้าของตำนานมือถือระบบ iOS อย่าง Apple คุณเองก็คงไม่ปฏิเสธหรอกว่าอยากจะร่วมงานกับเขาสักครั้งในชีวิต

ก่อนจะไปพูดถึงประโยชน์ของนิสัยมุมมืดจากเหล่า CEO คนดังระดับโลกที่พาองค์กรเจริญยิ่ง ๆ ขึ้นไป (เชิดชูบูชากันมาเยอะเพราะโปรดักส์เขาดีจริง) มาลองดูนิสัยร้าย ๆ เบื้องหลัง CEO ดังเหล่านี้กับคนใกล้ชิดที่ไม่ดีอย่างที่คิด

Elon Musk : ข่มคู่รัก ด่ากราดลูกน้อง ทวีตไร้วิจารณญาณ

แม้สิ่งที่เราเห็นในวันนี้หนุ่ม Elon แม้จะเป็นป๋าใจสปอร์ตส่งเครื่องไม้เครื่องมือมาช่วย 13 หมูป่า แต่อีกแง่มุมเรื่องความเป็นผู้นำ เขากลับมีนิสัยโหดห่ามในการควบคุมลูกน้อง เชือดกันซึ่ง ๆ หน้า ทั้งด้วยการพูดจาไม่ดีใส่ ตะโกนด่า สบประมาท หรือกำหนดเดดไลน์แบบหักคอคนทำจนเรียกง่าย ๆ ว่าอดีตลูกน้องหลายคนต้องออกมาบ่นว่าถ้าอยากใช้ชีวิตแบบ Work Life Balance ให้ตัดชื่อ Elon จากการเป็นเจ้านายไปเลยดีกว่า

นิสัยฉบับผู้นำของ Elon ที่ไม่ยอมลดราวาศอกแม้แต่มิลฯ เดียว ยังลามมาถึงเรื่องชีวิตคู่ด้วย เขามักไม่ประสบความสำเร็จเรื่องความรัก เพราะงานครอบงำ ควบคุมคนรักไม่ต่างจากพนักงานคนหนึ่งและเอาตัวเองเป็นศูนย์กลาง

คนแรกคือ Justine ภรรยาคนแรกของเขา เมื่อปะทะคารมกันแล้วเธอบอกว่า “ฉันเป็นภรรยาของคุณนะไม่ใช่พนักงาน” พ่อหนุ่ม Elon ก็จัดกระแทกกลับว่า “ถ้าเธอเป็นพนักงาน ฉันไล่เธอออกนานแล้ว”

กระทั่งปัญหาเรื่องการดูแลครอบครัว เพราะสำหรับเขาแล้วครอบครัวเป็นรองเรื่องงานเสมอ ทำให้สุดท้ายแม้อยู่กันมานานเกือบ 9 ปี มีลูกชายด้วยกันถึง 5 คน (ไม่นับคนที่เสียชีวิตคนแรก) ก็ไม่สามารถกู้ความรักไว้ได้ ขณะที่ความสัมพันธ์กับภรรยาคนที่ 2 คือ Talulah Riley ก็ล้มเหลว เพราะเธอให้สัมภาษณ์ว่า Elon เอาตัวเองเป็นศูนย์กลางมากเกินไป

ส่วนเรื่องความสุขุมสไตล์ผู้นำ แม้เขาจะล้ำลึกในบางเรื่องแต่กับการกุมสติในมือไม่ให้ทวีตไม่ค่อยอยู่ สังเกตจากทวีตที่ปั่นป่วนราคาหุ้นในตลาดจนทำให้เขาต้องโดนปรับและถูกปลดจากการเป็นผู้บริหารระดับสูงของ Tesla ที่เขาปั้นมา

 

Steve Jobs : ทางบ้านไม่ค่อยดี ทางบริษัทก็ไม่ค่อยฟังใคร

ศาสดา Apple เองก็มีมุมแย่กับเรื่องครอบครัวเช่นกัน แม้การทำงานเขาเข้าขั้นจัดว่าอยู่ในเกรด A+ แต่การใช้ชีวิตคู่นั้นถือว่าติด F เรื่องนี้ได้รับการเปิดเผยจากอดีตภรรยาและลูกของเธอที่ออกมาประจานพ่อกันเห็น ๆ ว่าไม่ได้รับการยอมรับว่าเป็นเลือดเนื้อเชื้อไข แม้ว่าจะได้รับการพิสูจน์และยืนยันทางการแพทย์แล้วก็ตาม

ส่วนเรื่องเพื่อนร่วมงานในยุคบุกเบิก ทุกคนมีความเห็นตรงกันว่าไม่ชอบเขาเพราะเขามีพฤติกรรมไม่ให้เกียรติ ไม่ว่าจะทั้งดุและตะคอกใส่จากเรื่องเพียงเล็กอย่างน้อยอย่างการขยับฟอนต์ให้เข้าตำแหน่งที่ต้องการ

 

Jeff Bezos : บ้างาน รีดสวัสดิการ ไม่ห่วงพนักงาน

CEO และผู้ก่อตั้ง Amazon คนนี้เป็นอีกคนที่แกร่งในสายธุรกิจและถือเป็นกำแพงใหญ่ที่ลูกน้องทุกคนไม่อยากจะวิ่งชนหรือวิ่งเข้าใส่ด้วย เพราะเขาสร้างวัฒนธรรมการทำงานสไตล์คนรักงานหรือจะเรียกว่า “บ้างาน” แบบเต็มขั้นถึงระดับทัศนคติ ไม่ว่าจะเป็นความรู้สึกอยากตัดวันหยุดเสาร์ – อาทิตย์ของลูกน้อง หรือให้ลูกน้องถวายหัวทำงานให้เสร็จ ถ้าไม่เสร็จก็นอนต่อที่ออฟฟิศไปเรื่อย ๆ กระทั่งพนักงานคนไหนตั้งครรภ์ก็ยังต้องยืนทำงานต่อไปตามกะยาวไป 10 ชั่วโมง ไม่มีผ่อนผัน

ส่วนเรื่องสวัสดิการที่ใครคิดว่าอยู่บริษัทดังแบบนี้จะได้สวัสดิการเพียบให้ลืมไปได้เลย เพราะ Jeff ถนัด lean มันออกมาก ประหยัดอะไรได้ก็ประหยัดตั้งแต่เครื่องปรับอากาศในโกดังเก็บของที่กว่าจะยอมติดก็ล่อเสียจนพนักงานทำงานไม่ได้แล้ว หรือเรื่องการจ่ายค่าที่จอดรถให้พนักงานและการสรรหาบัตรโดยสารรถบัสมาให้ที่เขายืนยันว่าจะไม่ทำมันอย่างแน่นอน เพราะให้เหตุผลว่า ถ้าให้บัตรรถบัสพนักงานก็จะไปออกันก่อน ทำงานไม่เต็มเวลา

 

SHINE IN THE DARK

แม้ว่านิสัยโดยรวมที่กล่าวมาข้างต้นจะโคตรแย่สำหรับลูกน้อง แต่พวกเขาทั้ง 3 ต่างก็มีบุคลิกบางอย่างที่เรียกศรัทธากลับมาได้และยังทำให้คนยอมรับ ด้วยหลายประการที่หนักแน่นพอ ดังนี้

Boss เหี้ยมจะสร้างงานที่ดีที่สุดให้

มองกันอย่างเป็นกลาง แม้สิ่งที่เขาทำคือการลดความเป็นมนุษย์หรือไม่เห็นใจเราในฐานะมนุษย์เลย เอาเงินเดือนมาแลกวิญญาณและซื้อตัวตนทั้งหมดรวมถึงขโมยรูปแบบการใช้ชีวิตของเราไป แต่ในมุมหนึ่งคนที่พูดจาดีเป็นเจ้านายที่ลูกน้องรักก็อาจอะลุ่มอล่วยเกินไปและลดความคาดหวังของคนและองค์กรไป

Boss โหดจะพุ่งชนปัญหาเรื่องการทำงานเสมอ

อาการ Work ดีและ Life ไม่บาลานซ์เอาเสียเลย ถึงมันจะไม่ดีกับตัวเขาหรือตัวลูกน้องแต่มันก็ดีกับองค์กรอย่างมาก เพราะความมุ่งมั่นทุ่มเทมันทำให้เขาพยายามจะพิชิตปัญหาให้ราบคาบไปเสมอ เรียกง่าย ๆ ว่า ปลดล็อกทุกปมปัญหาการทำงานให้ไปนั่งสบายในใจลูกค้าได้ เช่นเดียวกับหนึ่งในพฤติกรรมของ Jeff ที่เขียนไว้ในหนังสือ The Everything Store ว่าทุกครั้งของการประชุมเขาจะเว้นที่ว่างของเก้าอี้ตัวหนึ่งไว้เสมอเพื่อแทนสัญลักษณ์แทนลูกค้าซึ่งเหล่าพนักงานทุกคนต้องให้ความสำคัญ ลูกค้าจะอยู่กับเราเสมอ เมื่อคิดด้วยทัศนคตินี้พนักงานทุกคนจึงเคารพหลักการทำงานของเขาและพร้อมยืนหยัดไปเคียงข้างกัน

Boss ที่ไม่ใส่ใจ และไม่พอใจอะไรง่าย ๆ ทำให้องค์กรเติบโต

จากการศึกษาที่ตีพิมพ์ใน the Journal of Personality and Social Psychology เผยให้เห็นว่าคนที่ไม่พอใจอะไรง่าย ๆ คือคนที่จะประสบความสำเร็จมากกว่า โดยเฉพาะในกลุ่มเพศชายที่สำรวจแล้วพบว่าหนุ่มที่ไม่พอใจอะไร หรือไม่ได้เป็นหนุ่มนิสัยดีที่ใส่ใจโลกนักมีแนวโน้มว่าจะได้รับเงินเดือนมากขึ้น และเป็นผู้นำที่ดีกว่า เช่นเดียวกับสิ่งที่ CEO ทั้ง 3 คนเลือกทำ ไม่ว่ามันดีแค่ไหน มันจะไปต่อได้อีก ต่อให้ต้องเอาหมากกี่ตัวที่เรียกว่าลูกน้องไปกองตรงหน้าก็ตาม แม้สิ่งนี้ลูกน้องหลายคนจะไม่ชอบ แต่ส่วนมากจากการให้สัมภาษณ์เรื่องความเก่งของเจ้านายและแนวทางการทำงานเขาก็ชื่นชมและภักดีไม่น้อย

ทั้งหมดนี้เป็นอีกมุมหนึ่ง ที่ไม่ต้องการการตัดสินว่านิสัยแย่มันมีผลกับงานแค่ไหนอย่างไร เพราะเราเห็นจากตัวอย่างแล้วว่าปลายทางของความโหดร้ายก็มีทั้งข้อดีและข้อเสีย แต่เพื่อไม่ให้แคบเกินไป Episode หน้าเราจะพูดถึงปรากฎการณ์ความโหดของเจ้านายที่ฉุดการทำงานไว้ คุณจะได้เลือกกันดูว่า คุณควรอยู่กับเจ้านายแบบไหน หรือเป็นเจ้านายแบบไหนในปีนี้

 

SOURCE: 1 / 2 / 3 / 4

Brad Stone.  2558.  Amazon ร้านค้าออนไลน์ ยอดขายหมื่นล้าน.  แปลจาก The Everything Store โดย Brad Stone.  โดย ชื่อผู้แปล.  ศรินสุข โอสถาพันธุ์ .  กรุงเทพฯ: เนชั่นบุ๊คส์.

สตรีตอย่างสร้างสรรค์ STUSSY กับคอลเลกชันพิเศษสำหรับหาเงินบริจาคเพื่อเด็กไร้บ้านในแคนาดา

$
0
0

ใครว่างานสตรีตจะดีแต่หาเงินจากกระเป๋าผู้ชายอย่างเราไปวัน ๆ เพราะแคมเปญการกุศลดี ๆ ก็มีให้เห็นออกมาเป็นระยะเหมือนกัน ล่าสุดกับแบรนด์สุดเก๋าจากแคลิฟอร์เนีย Stussy ได้ร่วมมือกับ Tamara Grunberg ดีไซน์เนอร์ผู้เคยฝากผลงานเอาไว้กับรองเท้า Custom อย่าง Stussciaga Double S โดยแคมเปญดังกล่าวเกิดขึ้นจากแนวความคิดที่ต้องการระดมเงินช่วยเหลือเด็กไร้บ้านในประเทศแคนาดา

เนื่องจาก Tamara Grunberg หัวเรือหลักของแคมเปญทำงานและอาศัยอยู่ในเมือง Gastown รัฐ Vancouver ซึ่งมีคนไร้บ้านเป็นจำนวนมาก รวมไปถึงเด็ก ๆ ที่ต้องใช้ชีวิตวนเวียนกับยาเสพติดเพื่อหาเงินมาประทังชีวิต ซึ่งตัวเธอมองว่ามันไม่ยุติธรรมเลยที่ตัวเองทำงานอยู่ในร้านที่ขายเสื้อยืดในราคา 60 เหรียญ แต่ขณะเดียวก็มีคนไร้บ้านที่ต้องเอาตัวรอดกับสภาพความเป็นอยู่ที่โหดร้ายของโลกภายนอก รวมถึงต้องต่อสู้แย่งชิงหรือทิ้งอนาคตเพียงเพื่อเงินเพียงไม่กี่เหรียญเท่านั้น

Ninaworldwide

แรงบันดาลใจดังกล่าวทำให้เกิดคอลเลกชันที่มีชื่อว่า RE-work  ประกอบด้วยเครื่องแต่งกายสุดไฮป์ 5 ชิ้นซึ่งจะกลายเป็นของรางวัลสำหรับคนที่มาร่วมบริจาคเงินสบทบเพื่อช่วยเหลือเด็ก ๆ ประกอบไปด้วย Faux fur vest, Body-Cross Bag, Ski mask, Coy Fish Shirt และ Waterproof Vest ซึ่งทุกชิ้นเป็นงาน Custom จากของที่บริจาคโดย Stussy Vancouver และสร้างขึ้นมาเพียงชิ้นเดียวเพื่อตอบแทนเหล่าผู้ใจสายสตรีตผู้โชคดีเท่านั้น

เรื่องน่ายินดีคือยอดเงินบริจาคที่ตั้งเป้าเอาไว้ 2,000 ดอลล่าร์แคนาดา ซึ่งตอนนี้ยอดรวมทั้งหมดก็เกินที่ตั้งใจไว้แล้วโดยทาง Tamara Grunberg และ Stussy จะยกเงินทั้งหมดให้กับมูลนิธิ Family Services of Greater Vancouver โดยทางมูลนิธิจะนำเงินไปช่วยเหลือเรื่องอาหาร, ที่พักอาศัยรวมไปถึงค่าบำบัดยาเสพติด ซึ่งจะสามารถช่วยเหลือชีวิตของเด็กได้จำนวนไม่น้อยเลยทีเดียว ส่วนของที่ระลึกแต่ละชิ้นคาดว่าจะมีการสุ่มจับและประกาศตามออกมาภายหลังว่าใครจะเป็นคนได้รับไป

อย่างไรก็ตามความสำเร็จของแคมเปญในครั้งนี้ ก็ทำให้ทางแบรนด์สตรีทออกมายอมรับว่าอยากให้เกิดโครงการเพื่อการกุศลแบบนี้ขึ้นอีกในอนาคต ต้องขอบคุณแนวความคิดดี ๆ ที่นอกจากจะช่วยสังคมได้แล้ว ยังเปิดโอกาสให้แฟชั่นนิสต้าสายบุญมีโอกาสคว้าแรร์ไอเทมกลับบ้านไปใส่คูล ๆ ได้อีกด้วย

 

 

SOURCE 1

ควรค่าแก่การจดจำ VIRGIL ABLOH ออกมายืนยันว่าคอลเลกชัน THE TEN ได้สิ้นสุดลงแล้ว

$
0
0

จบลงอย่างเป็นทางการแล้ว สำหรับคอลเลกชันรองเท้าที่สั่นสะเทือนกิเลสของเหล่า Sneakerhead ไปทั่วโลกอย่าง THE TEN หลังชายผู้ร่วมออกแบบอย่าง Virgil Abloh ออกมายืนยันแล้วว่า Off-white x Nike Air Force 1 “BLACK” ที่ลือกันว่าวางขายในช่วงต้นปีหน้าจะผลงานชิ้นสุดท้ายของพวกเขา

highsnobiety

จุดเริ่มต้นความสำเร็จของ THE TEN เกิดขึ้นครั้งแรกหลังจาก Nike ประกาศว่ากำลังร่วมงานกับ Designer มือทอง พร้อมรูปตัวอย่างผลงานคอลแลปส์ที่เลือกใช้โมเดลในตำนานจากค่าย Swoosh จำนวน 10 รุ่นออกมาเรียกเสียงฮือฮาจากแฟชั่นนิสต้าทั่วโลก ผู้กำลังรอคอยการมาของคอลเลกชันดังกล่าว ก่อนเปิดตัวครั้งแรกด้วย Air Jordan 1 ซึ่งในเวลานั้นบอกได้เลยว่าไม่มีอะไรร้อนแรงเทียบเท่าไอเทมของพวกเขาเลยจริง ๆ

แต่นั่นก็เป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้น เพราะในเวลาต่อมา Nike ก็ทยอยปล่อย THE TEN ออกมาครอบครองพื้นที่ทางการตลาดมากขึ้นเรื่อย ๆ ด้วยโมเดลอย่าง Blazer, Presto, Air Max 97, Air Force, Air Max 90, VaporMax , Zoom Fly หรือโมเดลรองเท้าบาสเกตบอลอย่าง Hyper Dunk ซึ่งทั้งหมดสามารถขยายตลาดได้ถึง 30 เปอร์เซ็นต์ ก่อนจะทิ้งช่วงไปนานจนหลายคนคิดว่าครบชุดไปเรียบร้อยแล้ว แต่ทว่าไตรมาสที่ 3 และ 4 ของปี 2018 พวกเขาก็ยังมีไม้เด็ดปล่อยออกมาอีก จนเกิดคำถามขึ้นในกลุ่มลูกค้าทั้งหลายว่า “เมื่อไหร่ของพี่จะหมดสักทีครับ”

แต่ล่าสุดเหมือนคำตอบจะชัดเจนแล้วหลังจาก Virgil Abloh ออกมายืนยันผ่านอินสตาแกรมของตัวเอง โดยโพสต์ข้อความที่บอกอย่างเป็นนัยยะว่า คงถึงเวลาแล้วสำหรับการบอกลาโปรเจกต์ที่ร่วมมือกันกับค่าย Swoosh ที่นับเป็นปีทองของเขาเลยก็ว่าได้ เพราะก่อนหน้านี้ไม่นานเจ้าตัวก็พึ่งทำให้แบรนด์อย่าง Off-White เดินขึ้นรับรางวัลในสาขา Urban Luxe แห่งปีจากเวที Fashion Awards 2018 ไปหมาด ๆ

อย่างไรก็ตามการออกมาบอกว่า THE TEN สิ้นสุดลงแล้วไม่ได้แปลว่า Virgil Abloh และ Nike จะไม่มีการร่วมงานกันเกิดขึ้นอีกในอนาคต เพราะพวกเขาอาจกลับมาอีกครั้งพร้อมคอลเลกชันที่โหดกว่าเดิมก็เป็นไปได้  แต่คงต้องมารอดูกันว่า หลังจากเลือกใช้โมเดลยอดนิยมไปจนเกือบหมดแล้ว คอลเลกชันครั้งต่อไปของพวกเขาจะเลือกใช้ไอเดียอะไรมาเสกความ Hype ให้พวกเราต้องน้ำลายไหลย้อยได้อีก

Nike

 

SOURCE 1 


มีขับก็ถูกใจ เก็บไว้ก็มีราคา เปิดกรุตำนานรถยนต์ยุค 80’s ที่ราคาแข็งทรงคุณค่ามาถึงปัจจุบัน

$
0
0

ช่วงปี 1980 – 1990 ถือเป็นทศวรรษแห่งการก้าวกระโดดของวงการ 4  ล้อทั่วโลก ค่ายรถยนต์น้อยใหญ่มากมายต่างพากันเดินหน้าพัฒนารถในสายการผลิตของตัวเองให้มีความโดดเด่นมากยิ่งขึ้น ทั้งในด้านสมรรถนะและรูปลักษณ์ ซึ่งก็มีจำนวนไม่น้อยที่ได้สร้างปรากกฎการณ์เอาไว้จนถึงขั้นเป็น Iconic Cars ประจำยุคสมัยเลยทีเดียว

แน่นอนว่าช่วงเวลาดังกล่าวมีรถยนต์มากมายหมุนเวียนผลัดกันออกมาโชว์ศักยภาพของตัวเองบนท้องถนน แต่วันนี้ UNLOCKMEN จะขอหยิบยก 5 คัน ที่จะทำให้เรามองเห็นภาพปีศาจ 4 ล้อเจ้าพ่อแห่งยุคสมัยนั้นได้ชัดเจนที่สุด รวมไปถึงราคาค่าครอบครองโดยประมาณในปัจจุบัน ซึ่งจะมีรุ่นไหนบ้างมาดูกันเลย

BMW M3 (E30)

Jalopnik

รถยนต์สมรรถนะสูงที่ผลิตที่ระหว่างปี 1,986-1,990 เปิดตัวครั้งแรกในรูปแบบ Compact Sport Sedans ด้วยโมเดล Coupe และ Convertible พร้อมด้วยขุมกำลังสุดโหดกับเครื่องยนต์ 4 สูบ ซึ่งถือเป็นการสร้างมาตรฐานใหม่ให้ตลาดรถยนต์ในเวลานั้น โดยเฉพาะในรุ่น Evolution II หรือที่เรียกกันว่า EVO2 มาพร้อมสมรรถนะของรถสนามในขนาดกะทัดรัด ทำให้ BMW M3 E30 กลายเป็นรถที่ถูกใช้อย่างแพร่หลายไปทั่วโลกในฐานะรถบ้านสุดแรง รวมไปถึงการถูกจับมาปรับแต่งเพื่อเป็นเจ้าสนามในวงการมอเตอร์สปอร์ต ซึ่งจำนวนที่ลดน้อยลงตามกาลเวลา ก็ทำให้มูลค่าของรถสภาพดีพุ่งสูงขึ้นสวนทางและเป็นที่ต้องการของนักสะสมมากขึ้นทุกวัน

ค่าตัวโดยประมาณ : 800,000 – 4,200,000 บาท

 

PORSCHE 911 Turbo (930)

Car and Driver

Porsche 911 Turbo รหัส 930 ที่ผลิตขึ้นในช่วงปี 1,975 – 1,989 โดยเป็นรถสปอร์ตคูเป้  4 ที่นั่งที่มีความโดดเด่นมากทีเดียวในยุคสมัยนั้น ด้วยเทคโนโลยี  Turbocharged ที่มีการพัฒนาลงสู่โมเดล 911 เป็นครั้งแรกตามกฎ Homologation และเพื่อการตีตลาดของต่างประเทศ โดย 911 Turbo มาพร้อมจุดเด่นเครื่องยนต์ 6 สูบขนาด 3.0 และ 3.3 ลิตร ที่ให้กำลังมากถึง 330 แรงม้า ทำให้สมรรถนะของมันไม่เป็นสองรองใครบนท้องถนน ถึงขนาดมีคำเตือนในวงการรถว่า “มือใหม่อาจพา 930 หลุดโค้งเอาได้ง่าย ๆ หากไม่คุ้นเคยกับความแรงของมัน” จนทำให้กลายเป็นโมเดลที่หลายคนจ้องจะหามาไว้ในครอบครองมาตลอด

ค่าตัวโดยประมาณ : 2,200,000 – 6,500,000 บาท

 

NISSAN ZX300 (Z31)

Mateusz Borowiak

หนึ่งในโมเดลที่ได้รับความนิยมของรถสปอร์ตจากตระกูล Nissan Z-CAR โดย NISSAN ZX300 ในรหัสตัวถัง Z31 ถือเป็นเจเนอเรชันที่ 3 ซึ่งผลิตขึ้นระหว่างปี 1983 – 1989 โดยได้รับการพัฒนาและเปลี่ยนแปลงพร้อมเครื่องยนต์ใหม่ถึง 5 รูปแบบด้วยกัน รหัสสูงสุดคือเครื่อง V6 ขนาด 3.0 ลิตร พร้อมดีไซน์อันเป็นเอกลักษณ์ที่ถูก Nissan ส่งไปตีตลาดรถสปอร์ตทั่วโลก การเปลี่ยนแปลงในครั้งนั้นก็ไม่ทำให้ Nissan ผิดหวัง เนื่องจากมันทำยอดขายได้ถึง 70,000 คันทั่วโลก เข้าป้ายมาเป็นอันดับ 2 ตลอดกาลของรถตระกูล Z-Car ซึ่งในปัจจุบันคนที่ครอบครองก็ยังดูหล่อเสมอแม้เวลาจะผ่านไปแค่ไหนก็ตาม

ค่าตัวโดยประมาณ : 380,000-600,000 บาท

 

VOLKSWAGEN GOLF GTi (MK-1)

Patina’s Picks

จุดเริ่มต้นความยิ่งใหญ่ของรถคันเล็กแรงม้าโตกับ VW Golf  รุ่นแรกที่มาพร้อมรหัสตัวถัง MK1 เพื่อแทนที่ของ VW Beetle สุดคลาสสิก โดยเฉพาะรถในรุ่น VW Golf  GTi ซึ่งถูกผลิตออกมาเป็นรถสปอร์ตขนาดเล็ก มาพร้อมเครื่องยนต์ 1800 ซีซี แต่ซดน้ำมันจัด ๆ เพราะสามารถรีดพลังได้ถึง 110 แรงม้า รวมไปถึงชุดเกียร์ที่มีให้เลือกถึง 3 รูปแบบคือ เกียร์ธรรมดา 4-speed, 5-speed และเกียร์อัตโนมัติ 3-speed พร้อมระบบขับเคลื่อนล้อหน้า ซึ่งถือเป็นความล้ำสมัยในช่วงเวลาดังกล่าว ทำให้มันเป็นตัวแสบที่หนุ่ม ๆ ทั้งหลายอยากมีเก็บเอาไว้ในโรงรถด้วยเช่นกัน

ค่าตัวโดยประมาณ : 220,000 – 340,000 บาท

 

FERRARI F40

The Drive

แน่นอนว่าคงไม่พูดถึงไม่ได้สำหรับ FERRARI F40 โมเดลสปอร์ตแห่งยุคสมัยจากวาระฉลองครบ 40 ปีของค่าย Ferrari ที่ผลิตขึ้นระหว่างปี  1987 – 1992 ด้วยความเป็นรถยนต์สมรรถนะสูงวางเครื่องยนต์กลาง แต่ขับเคลื่อนล้อหลังที่มาพร้อมเครื่องยนต์ V8 ขนาด 3.0 ลิตร ที่ให้พลัง 478 แรงม้าสูงสุดที่ 7,000 รอบ/นาที  และอัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมงใน 4.7 วินาที สูงสุดที่ 321 กิโลเมตร/ชั่วโมง จนทำให้เป้าหมายการผลิตจากที่กำหนดไว้ 400 คันก็ลากยาวไปถึงจำนวน 1311 คัน แต่ถึงอย่างนั้นมันก็เป็นของหายากที่โคตรมีราคาจากยุค 80’s อยู่เสมอมาจนถึงปัจจุบัน เพราะรูปโฉมการดีไซน์ ลายเส้นและช่องดักอากาศที่ยังคงความสวยงามล้ำสมัยมาจนถึงในปัจจุบัน

ค่าตัวโดยประมาณ : 22,000,000 – 40,000,000 บาท

แต่ละคันถือเป็นคันเก๋าที่เคยเป็นตัวจริงทั้งบนท้องถนนและสนามแข่ง ซึ่งต่อให้เวลาผ่านไปนานหลายสิบปีแล้วก็ตาม แต่พวกมันก็ยังคงมีคุณค่าและราคาสำหรับคนรักรถยนต์เสมอ สำหรับคนที่คลั่งไคล้ในโลกแรงความเร็ว ถ้ามีโอกาสก็ควรหามาครอบครองไว้สักคัน รับรองว่ามันจะตอบโจทย์คุณทั้งในด้านการใช้งานและการเก็บสะสมอย่างแน่นอน

 

 

SOURCE 1 

โหดไว้สิดี? อีกมุมร้าวรานจากเจ้านายสายโหดที่ทำให้องค์กรสิ้นท่าและปล้นแรงบันดาลใจลูกน้อง

$
0
0

กลับมาตามสัญญาว่าเราจะนำเสนออีกมุมหนึ่งของเจ้านายโหดให้ได้รู้ หลังจากบอกข้อดีของ CEO ระดับโลกที่อยู่ในมุมมืดไปแล้วใน Episode แรก คราวนี้ถึงเวลามาเสนอเรื่องพลังลบที่แผ่ออกมากันบ้าง ซึ่งบอกตรง ๆ เลยว่ามันส่งผลกับพนักงานมากกว่าความรู้สึกไม่อยากตื่นไปทำงานหรือนอนไม่หลับ

ลองมาดูกันของแถมที่ได้จากการเติบโตหลังทำงานกับเจ้านายที่พร้อมด่ากราด ฉุนเฉียว ทั้ง 3 ข้อต่อไปนี้ แล้วถามตัวเองอีกคร้ังว่าคุณพร้อมจะแลกมันหรือเปล่า

ปัญหาสุขภาพ

ทำงานหนักไม่เคยทำให้ใครตาย ประโยคนี้มันไม่จริง เรื่องนี้พวกเรารู้ดี และทาง UNLOCKMEN ก็เคยนำเสนอประเด็นนี้ไปแล้วผ่านบทความเรื่อง รู้จักโรค ‘ขยันมากเกินไป’ สาเหตุ อาการและทางออกก่อนที่เราจะกลายเป็นโรคบ้างานเรื้อรัง ขนาดคนที่ทำเขาทุ่มเทเพราะไม่ได้มีใครบังคับเขายังเจอผลกระทบเรื่องสุขภาพถึงตาย ดังนั้น คนที่โดนบังคับเพราะความกลัวอำนาจจะยิ่งเกิดความรู้สึกกดดันยิ่งกว่า เรียกได้ว่าโดนทั้งสุขภาพกายและสุขภาพจิตพร้อมกัน

เรื่องนี้เราไม่ได้เอามาพูดปากเปล่า แต่ยืนยันได้จากเหตุการณ์ของ Amazon ที่มีข่าวช่วงกลางปี 2561 ที่เปิดเผยข้อเท็จจริงว่ารถ Ambulance เข้าออกโกดังบ่อยถึง 600 ครั้งในระยะเวลา 3 ปี งานนี้แม้จะไม่ได้บอกรายละเอียดชัดว่าอาการบาดเจ็บนั้นมาจากอะไรบ้างแต่เราเชื่อว่าการโหมงานต้องเป็นหนึ่งในนั้นอย่างแน่นอน เพราะสหภาพแรงงานเขาออกมาพูดเลยว่า Amazon เป็นองค์กรที่ดูแลคนไม่ต่างจากหุ่นยนต์

นอกจากนี้ยังมีงานวิจัยของมหาวิทยาลัยแห่งรัฐโอไฮโอที่สนับสนุนข้อมูลนี้ด้วยการกล่าวว่าเหยื่อจากอารมณ์เจ้านายมีแนวโน้มที่จะเป็นโรคเครียด ซึมเศร้า นอนไม่หลับ ความดันโลหิตสูง ฯลฯ เรื่องนี้จึงเป็นเรื่องคอขาดบาดตายถึงชีวิต

ซึมซับนิสัยแย่จนเป็นคนแย่ ๆ

พฤติกรรมแย่ ๆ ของเจ้านายที่เราไม่อยากเป็น เราจะกลายเป็นอย่างนั้น คล้ายว่าเข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตาม เรื่องนี้มาจากงานวิจัยของ Manchester Business School ว่าด้วยเรื่องผลกระทบจากการทำงานร่วมกับเจ้านายที่เป็น Toxic boss ระบุว่าหากเรากับเขาร่วมงานกันแล้วจะทำให้เราซึมซับนิสัยการวิพากย์วิจารณ์คนอื่นไปด้วย รวมถึงลอกเลียนการแสดงออกแย่ ๆ ตามโดยไม่รู้ตัวแล้วนำไปใช้กับคนใกล้ชิด ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนร่วมงานหรือคนในครอบครัว

ต่อมความคิดสร้างสรรค์ฝ่อ

แน่นอนว่ามีพระเดชแต่ไม่มีพระคุณ มันทำให้จิตใจแย่อยู่แล้ว แต่เรื่องที่หลายคนไม่คาดคิดคือมันส่งผลกระทบกับศักยภาพการทำงานด้วย เพราะเมื่อเจอพฤติกรรมที่แย่ติดต่อกันสมองของเราจะหาทุกวิถีทางเพื่อเอาตัวรอดจากสถานการณ์เหล่านั้น และเมื่อโฟกัสอยู่ที่การ “ไม่” ทำอะไรผิดพลาดจึงเป็นธรรมดาที่ความคิดสร้างสรรค์จะฝ่อตาม จบงานแบบให้ผ่านพ้นไปวัน ๆ หนึ่งเท่านั้น

 

NICE CEOs, GREAT WORK!

แล้ว CEO ที่ดีล่ะมีอยู่ไหม คำตอบคือ “มีอย่างแน่นอน” เพื่อสนับสนุนว่าอีกด้านของความมืดมันอยู่จริง เราขอยกตัวอย่างของ CEO ระดับโลกที่ไม่ต้องเฮี้ยบจนลูกน้องต้องผวาแต่ยังคงทำงานได้ดี 2 คนต่อไปนี้ซึ่งนำมาจากตัวอย่างที่ โรเบิร์ต ไอ. ซัตตัน กล่าวไว้ในหนังสือ The Asshole Survival Guide หรือ “ศิลปะการอยู่ร่วมกับคนเฮงซวย”

Tim Cook : บุรุษผู้กุมบังเหียนและใจของลูกน้องชาว Apple

จะไม่ยกคนนี้ขึ้นมาเป็นคู่เทียบคงไม่ได้ เพราะเจ้านายสายโหดอย่าง Steve Jobs ศาสดา apple เราเคยพูดถึงไปแล้ว ส่วนตอนนี้ Tim Cook คือ CEO ปัจจุบันที่เข้ามารับไม้ต่อและนำทัพ Apple พนักงานหลายคนนับถือและยินดีอยู่ใต้การปกครองของเขาโดยสมัครใจ เนื่องจากเขามีนิสัยที่ต่างจาก Jobs โดยสิ้นเชิง เขาสุขุม ทำงานหนัก มาเช้ากลับทีหลัง แต่ยังบาลานซ์เรื่องอื่นอย่างการใช้ชีวิตและรักษาสุขภาพได้เป็นอย่างดี ที่สำคัญยังรับฟังความเห็นของคนอื่นและไว้ใจผู้ที่อยู่รอบข้างอย่างมาก เมื่อความสมบูรณ์แบบมารวมตัวกันจึงไม่แปลกที่สิ่งนี้จะปลุกแรงบันดาลใจคนทำงานให้รู้สึกขยันและทุ่มเทยิ่งขึ้น

Reed Hastings : วิศวกรเจ้าพ่อ Netflix ที่รักษาครอบครัวและอุดมการณ์ได้ครบถ้วน

เขาคือผู้นำวงการภาพยนตร์สตรีมอย่าง Netflix ที่วันนี้ทั่วโลกต้องเคยเห็นและรู้จัก ความเก่งกาจของเขาในฐานะนักเปลี่ยนนิยามความบันเทิงแบบเดิมจากการเช่าหนังตามร้านมาเป็นออนไลน์ที่เก็บค่าบริการได้นั้นเบื้องหลังยังมีบุคลิกการใช้ชีวิตที่น่าชื่นชมด้วย ซึ่งส่วนหนึ่งมาจากทัศนคติที่ไม่ได้มั่นใจตัวเองด้านการบริหารมากเกินไปเพราะเดิมเขาคือนักวิศวกรขนานแท้มาก่อน ความเป็นคนถ่อมตัวและเป็นน้ำไม่เต็มแก้วของพบได้จากแง่มุมหนึ่งในประวัติส่วนตัวของของเขาครั้งดำรงตำแหน่งผู้บริหารที่บริษัท Pure Software หนึ่งในบริษัทที่เขาเคยตั้งขึ้นเองก่อนมาทำ Netflix โดยเริ่มต้นจากคน 10 คน จนวันหนึ่งขยายทีมงานเป็น 600 คน

“ผมสูญเสียความมั่นใจ และพยายามจะไล่ตัวเองออกจากตำแหน่ง CEO ถึงสองรอบ”

นอกจากเรื่อง ความอ่อนน้อมที่ทำให้เขาพร้อมเรียนรู้และเติบโตจากการบริหารPure Software (ไม่มีกรรมการคนไหนยอมให้เขาออก) จนกลายเป็นนักบริหารที่ดีที่สร้าง Netflix ขึ้นภายหลังแล้ว ด้านอื่น ๆ อย่างครอบครัวเขาก็ยังบริหารได้ดีด้วยพร้อมทั้งอุทิศตัวช่วยเหลือสังคมที่ยังคงทำอย่างสม่ำเสมอ

การเป็นลูกน้องทำงานที่รับผิดชอบให้ดีเราก็ว่าเป็นเรื่องยากแล้ว แต่การทำหน้าที่บริหารเป็นเจ้านายคนนั้นถือเป็นมิติที่ลึกขึ้นกว่าเดิมเพราะต้องใช้ศาสตร์และศิลป์ ถนอมน้ำใจ ให้พลัง และตักเตือนไม่ให้หละหลวมในคราวเดียวกันซึ่งถือเป็นเรื่องยาก เมื่อเห็นทั้งแง่บวกและลบทั้งหมดแล้ว คงถึงเวลาที่ชาว UNLOCKMEN ต้องเลือกตัดสินใจปรับพฤติกรรมให้เข้ากับนิสัยและองค์กรของตัวเอง

ถ้าคุณคือหัวหน้าป้ายแดงในปีนี้ การเรียนรู้เพื่อตามรอย CEO ที่คุณปลื้มและไม่ปลื้มน่าจะช่วยคุณได้ แต่ถ้าคุณเป็นลูกน้องการเก็บเกี่ยวสิ่งที่ดีจากหัวหน้าทั้ง 2 ประเภทน่าจะเป็นบททดสอบที่น่าสนใจช่วยให้คุณเอาตัวรอดและดึงความสามารถออกมาได้มากในรูปแบบที่เหมาะสม

 

SOURCE: 1 / 2 / 3 / 4 / 5

GUIDE: ดื่มด่ำศาสตร์แห่งอาหารกับ 5 ร้าน FINE DINING ที่เราอยากแนะนำ

$
0
0

What is Fine Dinning?

ก่อนที่เราจะพาทุกคนไปดื่มด่ำกับศาสตร์แห่งอาหารชั้นเลิศในร้านที่เราอยากแนะนำ เรามาทำความรู้จักกันก่อนดีกว่าว่าคำว่า ‘Fine Dining’ ที่เราได้ยินกันบ่อย ๆ หรืออย่างน้อยก็ต้องเคยเห็นผ่านตานั้นความหมายที่แท้จริงของมันคืออะไร

ไม่มีอะไรซับซ้อน Fine Dining ก็คือห้องอาหารตามความเข้าใจของคนทั่วไปนั่นแหละ เพียงแต่ความพิเศษของมันคือ บรรยากาศที่หรูหราเป็นทางการและบริการด้วยเมนูคุณภาพสูงกว่าร้านทั่วไป เครื่องดื่มจะให้บริการด้วยไวน์คุณภาพสูง รวมถึงมีบริการผู้เชี่ยวชาญด้านไวน์หรือ Sommeliers ประจำร้าน เพื่อให้คำแนะนำและเสนอไวน์ที่เหมาะกับอาหารแต่ละจาน แน่นอนว่าเมื่อเป็นห้องอาหารที่เป็นเลิศในทุกด้าน จึงปฏิเสธไม่ได้ว่าในเรื่องของราคานั้นก็จะสูงกว่าร้านธรรมดาทั่วไปด้วยเช่นกัน

เอาล่ะอุ่นเครื่องความรู้กันพอหอมปากหอมคอ ไปดูทั้ง 5 ร้านที่เราอยากแนะนำกันเลยดีกว่า

OSHA

FB OSHA

OSHA คือห้องอาหารสไตล์ไทยโมเดิร์นที่ได้รับการแนะนำจากมิชลินไกด์ ตั้งอยู่ใจกลางกรุงเทพย่านถนนวิทยุ โดดเด่นด้วยการรังสรรค์เมนูจาก เชฟหนุ่ม ธนินทร จันทรวรรณ ผู้คร่ำหวอดอยู่ในเมนูอาหารมามากกว่า 20 ปี นอกจากนั้นยังเคยร่วมงานกับเชฟระดับโลกมากมายไม่ว่าจะเป็น Heston Blumental จาก Fat Duck และ Dinner by Heston Blumental หรือแม้กระทั่งสุดยอดเชฟชื่อดังอย่าง Gordon Ramsey

OSHA ตกแต่งร้านด้วยสไตล์ไทยที่งดงามทุกรายละเอียด เน้นโทนสีดำ-ทองเป็นหลัก ยิ่งช่วยทำให้ Fine Dining แห่งนี้หรูหรามีระดับขึ้นไปอีกขั้น

FB OSHA

อย่างที่บอกไปว่า OSHA นั้นนำเสนออาหารไทยสไตล์โมเดิร์น จึงทำให้ทุกจานเต็มเปี่ยมไปด้วยความคิดสร้างสรรค์ที่เสิร์ฟมาพร้อมความอร่อยสมราคา เนื่องจากทางร้านเลือกใช้วัตถุดิบท้องถิ่นคุณภาพดีมาจากหลายจังหวัดทั่วประเทศ

ด้วยเหตุนี้เอง OSHA จึงเป็นห้องอาหาร Fine Dining สไตล์ไทยที่ไม่ควรพลาด

Location:  99 ถนนวิทยุ เขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร

Open: 11.00 am – 2.30 pm, 6.00 pm – 12.00 am

Contact: 0-2256-6555

Facebook: OSHA Thai Bangkok

Cuisine de Garden BKK

FB Cuisine de Garden BKK

เมื่อเอ่ยถึง Fine Dining ทุกคนน่าจะนึกถึงบรรยากาศห้องอาหารที่หรูหราและเป็นทางการ แต่ร้าน Cuisine de Garden BKK ที่เรากำลังจะแนะนำต่อจากนี้ค่อนข้างจะแตกต่างจาก Stereotype ทั่วไปเล็กน้อย เนื่องจากที่นี่ตกแต่งร้านอย่างเรียบหรูแต่กลับให้อารมณ์สบาย ๆ สดชื่นเหมือนนั่งทานอาหารท่ามกลางธรรมชาติ ด้วยคอนเซ็ปต์ Casual Fine Dining

Cuisine de Garden BKK มีต้นกำเนิดมาจากเชียงใหม่ เริ่มก่อตั้งโดย เชฟแนน – ลีลวัฒน์ มั่นคงติพันธ์ ดังนั้นเมื่อทางร้านตัดสินใจเปิดสาขาในกรุงเทพย่านเอกมัย จึงเป็นโอกาสที่ดีให้พวกเราได้ไปลิ้มลองรสชาติกัน

FB Cuisine de Garden BKK

ในส่วนของอาหารนั้น เชฟแนนได้รังสรรค์ขึ้นภายใต้แนวคิดที่เน้นความเป็นธรรมชาติผสมผสานกับวัตถุดิบพื้นบ้านของไทย ก่อนจะปรุงรสด้วยเทคนิคการทำอาหารสไตล์ตะวันตก เกิดเป็นเมนูที่เต็มไปด้วยความหลากหลายทางวัฒนธรรม ล้ำลึกในรสชาติ นอกจากนี้ยังมีไวน์ที่ทางร้านพิถีพิถันเลือกมาให้เข้ากับอาหาร เพื่อเสริมให้รสชาติของอาหารอร่อยยิ่งขึ้น

ถ้าใครกำลังมองหา Fine Dining ในบรรยากาศสบาย ๆ Cuisine de Garden BKK น่าจะเป็นร้านที่ตอบโจทย์

Location:  ซอยเอกมัย 2 เขตวัฒนา กรุงเทพมหานคร

Open: 6.00 pm – 11.00 pm

Contact: 06-1626-2816

Facebook: Cuisine de Garden Bkk

Urbani Truffle Bar & Restaurant

FB Urbani Truffle Bar & Restaurant

‘เห็ดทรัฟเฟิล’ คือเห็ดที่มีราคาแพงที่สุดในโลก เป็นวัตถุดิบชั้นนำที่อยู่คู่กับสุดยอดเมนูอาหารหรูหราระดับ 5 ดาวมาอย่างยาวนาน เป็นสิ่งที่ทุกคนต่างอยากลิ้มลอง ด้วยเหตุนี้เอง Urbani แบรนด์จัดจำหน่ายทรัฟเฟิลและผลิตภัณฑ์ทรัฟเฟิลที่ใหญ่ที่สุดในโลก จึงเปิดร้าน Urbani Truffle Bar & Restaurant ห้องอาหาร Fine Dining สุดหรูที่ชูโรงด้วยเห็ดทรัฟเฟิลขึ้นในกรุงเทพมหานคร ซึ่งทั้งหมดอยู่ภายใต้การควบคุมดูแลของ Roberto Ugolini เจ้าของร้านอาหารอิตาเลียนชื่อดัง

FB Urbani Truffle Bar & Restaurant

ขึ้นชื่อว่า Urbani Truffle Bar & Restaurant แน่นอนว่าอาหารทั้งหมดในคอร์สนั้นมีส่วนผสมของเห็ดทรัฟเฟิลอยู่แทบทั้งสิ้น เชฟของทางร้านนำเห็ดชั้นเลิศนี้มาปรุงรสร่วมกับวัตถุดิบนำเข้าคุณภาพดีอีกนานาชนิด เกิดเป็นอาหารรสเยี่ยมที่เต็มเปี่ยมไปด้วยจิตวิญญาณและความอร่อย

Urbani Truffle Bar & Restaurant คือร้านที่สาวกเห็ดทรัฟเฟิลไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวง

Location: ชั้น 39 อาคารสาทรสแควร์ ถนนสาทรใต้ กรุงเทพมหานคร

Open: 11.00 am – 11.00 pm

Contact: 0-2233-1990

Facebook: Urbani Truffle Bar & Restaurant Bangkok

วังหิ่งห้อย

FB Wanghinghoi

‘วังหิ่งห้อย’ คือหนึ่งในร้านอาหารที่เราไปเยือนครั้งแรกแล้วรู้สึกทึ่งกับการตกแต่งร้านที่สุด ด้วยคอนเซ็ปต์การผสมผสานกันระหว่างป่าและเมือง จึงทำให้ทันทีที่เข้าไปในร้านจะรู้สึกเหมือนหลุดไปอยู่ท่ามกลางธรรมชาติ รายล้อมด้วยแมกไม้นานาพันธุ์ เป็นสถานที่ที่เราคาดไม่ถึงว่าจะได้พบเจอในใจกลางกรุงเทพมหานคร

FB Wanghinghoi

‘Thai Inspired Cuisine’ คือคอนเซ็ปต์อาหารที่ทางวังหิ่งห้อยภูมิใจนำเสนอ โดยจุดเด่นคือการนำวัตถุดิบแบบไทย ๆ มาประยุกต์เป็นเมนูที่แปลกใหม่ไปจากเดิม แต่ก็ยังคงความเป็นไทยได้อย่างครบถ้วน ทุกเมนูสร้างสรรค์โดย เชฟนิค-ณัฐพล ภวไพบูลย์ ซึ่งนอกจากความคิดสร้างสรรค์ในแง่การใช้วัตถุดิบแล้ว เชฟยังได้นำแนวคิดเรื่องธาตุ ดิน น้ำ ลม ไฟ มาประยุกต์เข้ากับอาหารอีกด้วย

Fine Dining บรรยากาศ (โคตร) ดี ใจกลางกรุง แบบนี้ ใครกำลังไขว่คว้าหาธรรมชาติใจกลางกรุงต้องไปเยือนสักครั้ง

Location: สนามกอล์ฟ R.C.A Driving Range ถ.กำแพงเพชร 7 เขตห้วยขวาง กรุงเทพมหานคร

Open: 6.00 pm – 1.00 am

Contact: 09-1979-6226

Facebook: Wanghinghoi

Mighty Private Dining

‘Mighty Private Dining’ คือชื่อของห้องอาหาร Fine Dining ที่เราขอยกให้เป็นสุดยอด Hidden Gems ที่ถึงแม้จะตั้งอยู่ในย่านสุขุมวิทใจกลางเมือง แต่ที่นี่กลับมีกฎน่าสนใจตรงที่จะรับลูกค้าเพียง 2 รอบคือช่วงเวลามื้อเช้ากับมื้อเย็น และแต่ละรอบที่รับจอง เขารับจำกัดจำนวนคนไม่เกิน 12 คน เท่านั้น!

ทางร้านแบ่งเป็น 3 โซน ได้แก่ โซนแรกไว้เติมเต็มการนั่งสนทนาชื่อห้อง Maximus Five ห้องซิการ์ในฝันที่หนุ่ม ๆ อย่างเราไม่ควรพลาด ใครใคร่จะเอาซิการ์มาเองที่ร้านเขาก็ไม่ติด แต่ด้านในมีตู้ใส่ซิการ์ทองคำสุดแรร์พร้อมเครื่องดื่มที่เชิญชวนให้เราเข้าไป Pairing พร้อมทิ้งตัวบนเฟอร์นิเจอร์หนัง สัมผัสนุ่มสบาย

ถัดมาโซนที่สองนับเป็นพระเอกของร้าน คือ โซน Private Dining กลางห้องเป็นโต๊ะยาว รายล้อมด้วยการตกแต่งสไตล์ Antique ตั้งแต่ไม้ปูพื้นจนถึงเครื่องเรือนล้วนมีประวัติทุกชิ้น เพราะเป็นของสะสมส่วนตัวที่นำเข้ามาจากที่ต่าง ๆ ทั้งทวีปยุโรปและเอเชีย ส่วนโซนสุดท้ายที่ยังคงอยู่ในระหว่างการก่อสร้างคือโซน Delivery and Catering มีไว้สำหรับจัดเลี้ยงแบบ outdoor ทำไว้เพื่อขยายมื้อความสุขที่มากกว่านอกสถานที่

จุดเด่นสำคัญที่ถือเป็นเอกลักษณ์ จนอาจเรียกได้ว่าเป็น Agenda ของร้านนอกเหนือการปรุงอาหารให้คนอื่นกินแล้วทำให้มีความสุขมากขึ้น คือการปรุง ‘วัฒนธรรม’ การกินให้เป็นมากกว่า Rush Hour ที่รีบกินรีบไป แทนที่ค่านิยมการกินแบบฉาบฉวยด้วยการใช้เวลาร่วมกัน เสพบทสนทนาดี ๆ ลึก ๆ เงยหน้าสบตากันในโลกแห่งความจริงแทนที่โลกเสมือนจากเทคโนโลยี เพื่อเพิ่มคุณค่าและคุณภาพของอาหารในมื้อนั้น

สำหรับใครที่อยากสัมผัสประสบการณ์ Fine Dining ส่วนตัวสุด ๆ อย่างนี้สักครั้งในชีวิต Mighty Private Dining ยินดีต้อนรับ

Location: สุขุมวิท 49/14  แขวงคลองตันเหนือ เขตวัฒนา กรุงเทพมหานคร

Open: 10.00 am – 10.00 pm

Contact: 084-161-6406

Facebook: Mighty Private Dining

 

สำหรับเรา Fine Dining คือประสบการณ์การรับประทานอาหารที่ต้องลองสักครั้งในชีวิต เอาเป็นว่าถ้าใครไม่เดือดร้อนเรื่องกำลังทรัพย์ เลือกสักร้านจากในลิสต์เราไปลอง เราค่อนข้างมั่นใจว่าคุณจะไม่ผิดหวัง

เรื่องราวก่อนจะกลับมา ที่โลกของ ‘เจ PENGUIN VILLA’ในอัลบั้มสองที่ต้องทุ่มเทเวลากว่า 14 ปีเต็ม

$
0
0

“ขอบันไดหน่อย” ในยุคหนึ่ง หลายคนร้องเพลงนี้ตามอย่างออกรสชาติ อินไปกับความรักเด็ดดอกฟ้าของหนุ่มวัยรุ่น ชื่อของ “Penguin Villa” เริ่มเป็นที่รู้จักในวงกว้างและติดหูเหล่าคนฟังเพลงมากขึ้นเรื่อย ๆ แต่หลังจากอัลบั้มปกส้มนั้น ทางวงไม่ได้มีอัลบั้มเต็มให้เราได้ฟังอีกเลย มีเพียงซิงเกิ้ลออกมาบ้างประปรายพอให้หายคิดถึงกันได้ในเพลง Good Morning กับเพลง ร้อยล้านวิว

นั่งรอนอนรอกันมาเนิ่นนาน นานแค่ไหนน่ะหรอ 14 ปีเต็ม! กว่าอัลบั้มที่สองอย่างอัลบั้ม “J” จะได้ออกมาให้แฟน ๆ ได้กลับมาหลงรักบรรยากาศเดิม ๆ ที่ Penguin Villa เคยทิ้งไว้ให้เราเมื่อสิบกว่าปีก่อนนี้

เราได้มาพูดคุยกับ “พี่เจ เจตมนต์” ที่บ้านของพี่เจเอง บรรยากาศสบาย ๆ และอบอุ่น จากทั้งสภาพแวดล้อมและการต้อนรับ ตั้งแต่สวนหน้าบ้านที่มีพื้นที่ให้นั่งเล่น พร้อมกับกินฝรั่งบ้านพี่เจที่หวานกรอบไปด้วย ชั้นล่างของบ้านเป็นสตูดิโอทำเพลงของพี่เจ ที่ให้ความเป็นส่วนตัวเหมือนกับว่านี่คืออีกโลกหนึ่ง เราเลือกขึ้นมาพูดคุยกับพี่เจที่ระเบียงชั้นบน ที่ให้ความรู้สึกเหมือน Cottage ริมทะเลเอามาก ๆ การพูดคุยของเราเป็นไปแบบง่าย ๆ เหมือนมาพูดคุยกันในวันสบาย ๆ

ตอนนี้พี่เจทำอะไรอยู่บ้าง ?

“ผลงานล่าสุดคืออัลบั้ม J จาก Penguin Villa เป็นอัลบั้มชุดที่สองของ Penguin Villa งานประจำ ทำเพลงโฆษณาอยู่ที่สมอลรูมครับ”

ช่วงที่หายไปนาน ๆ (สิบสี่ปี) ไปทำอะไรมาบ้าง ?

“สิบสี่ปีจากอัลบั้มแรกเนี่ย หลังจากทำอัลบั้มแรก มันจะมีช่วงเวลาที่โปรโมต ต้องไปเล่นเพลงในอัลบั้มแรก เหมือนงานหลักที่สมอลรูม เพลงโฆษณา ก็ยังมีหนาแน่น ช่วงที่ทำอัลบั้ม จะขอหยุดงานเพลงโฆษณา เพราะทำพร้อมกันไม่ได้ เหมือนลาพักร้อนครับ แค่เดือนเดียว ทำทุกอย่างให้เสร็จ แล้วไปเล่นคอนเสิร์ตนู่นนี่

“แต่ด้วยเพลงโฆษณาก็เป็นรายได้หลักของสมอลรูมเหมือนกัน ก็เลยต้องกลับมาทำเพลงโฆษณาแบบเต็มตัวอีกครั้ง เพลงตัวเองก็ไม่ได้ทำต่อ หลังจากอัลบั้มแรกประมาณ 7-8 ปี ตอนนั้นสมอลรูมเริ่มใหญ่ขึ้นจากที่ผมทำชุดแรก เริ่มมี Tattoo Colour, Slur วงเริ่มมีคนรู้จักมากขึ้น มีโปรเจ็กต์ที่ดึงให้คนที่ชอบวงอื่นมาชอบวงในค่ายด้วย ซึ่งก็มี Penguin Villa ด้วย นั่นก็คือช่วงตรงกลางอัลบั้มแรกกับอัลบั้มที่สอง มีเพลง Good Morning ตอนนั้นมีข่าวแว่ว ๆ ว่าจะทำอัลบั้มที่สอง ผมก็เลยเริ่มทำ Demo มาสี่ห้าเพลง หาซิงเกิ้ลต่อจาก Good Morning ก็ยังไม่ได้” 

“ตอนนั้นการแข่งขันสูงมากในทุก Platform ซิงเกิ้ลสองก็ไม่ลงตัวซะที เพราะ Good Morning เองก็ได้ผลตอบรับดีมันเลยกดดัน (หัวเราะ) ห่างจาก Good Morning ไปปีกว่าแล้วยังไม่ได้ซะที ก็เลยพักไว้แล้วกลับมาทำเพลงโฆษณา หลังจากนั้นประมาณ 4-5 ปี ก็เริ่มมี Event ที่เรียกร้องให้ Penguin Villa ไปเล่น อย่างงานแคท ฟังใจ แต่กลับมาครั้งนี้เป็นผมทำคนเดียวเหมือนตอนอัลบั้มแรก พอเล่นไปแล้วก็รู้สึกผิดที่จะเล่นแต่เพลงเก่า เลยส่งเพลงเธอคือความจริงให้คนฟังว่ามีเพลงนี้ จะเล่นในงานนี้นะ แล้วมันเวิร์ค พี่รุ่ง เจ้าของค่ายเลยจัดให้เป็นซิงเกิ้ลใหม่ กระแสตอบรับดี คนก็เริ่มฮือฮาว่าจะมีอัลบั้มใหม่

“ผมเองก็ยังก้ำกึ่ง เพราะไม่ได้ทำ Penguin Villa เต็มตัวมานาน คราวที่แล้วบอกไว้แล้วก็ทำไม่เสร็จ เลยไม่กล้าพูดแล้ว”

“หลังจากเธอคือความจริงสักพักนึงก็มีงานเล่นบ้าง ก็เขินที่จะเล่นเพลงเก่าอีกแล้ว เลยทำเพลงร้อยล้านวิว ไม่บอกว่ามีอัลบั้ม ทำเพลงไปเรื่อย ๆ เอา คนที่รอฟังก็ชอบ พี่รุ่งก็บอกให้ทำอัลบั้มได้แล้ว ผมเองก็ยังไม่มั่นใจจนได้คุยจริงจังว่าเพลงพวกนั้น คือเพลงที่ผมทำ Demo ตอนทำ Good Morning มารวมกับเพลงนั้นเพลงนี้ สิบเพลงแล้วว่ะ เป็นอัลบั้มได้แล้ว

หายไปนานขนาดนี้ พอกลับมาลงมือทำผลงานของตัวเองแบบจริงจัง มีจุดไหนที่ติดขัดบ้างมั้ย ?

“มีนิดหน่อยครับ ด้วยความที่เป็นคนสบาย ๆ เลยไม่ติดอะไรเท่าไหร่ แต่เพลงลำพังเนี่ย เป็นซิงเกิ้ลที่อยู่บนความคาดหวังของทางค่าย เพราะพวกเขาฟัง Demo เพลงนี้มาหกเจ็ดปี ผมทำ Master ไปแบบ Neo Soul ผมมองตัวเองว่าผมคงไม่ต้องชวนให้ทุกคนชูมือขึ้น ร้องตามผม สาดกีต้าร์ รวดร้าวอะไรแบบนั้น (หัวเราะ) ผมอยากเล่นคนเดียว ชิล ๆ มากกว่า คนดูสัก 100 คน แฮปปี้อบอุ่น แล้วพอพี่รุ่งได้ฟัง พี่รุ่งบอกว่า มึงน่ะ เธอคือความจริง คือเจ้าพ่อ Ballad Rock ไปทำมาใหม่ เขามองภาพเพลงลำพังเป็นเพลงที่มี Power ไม่ใช่เพลงเหงา ๆ ที่ระเบียงคอนโดอะไรแบบนั้น”

ระยะห่างระหว่างอัลบั้มแรกและอัลบั้มที่สองมันห่างกันมาก ๆ รู้สึกว่าตัวตนของเราในตอนนั้นกับตอนนี้ยังเหมือนเดิมมั้ย ?

“มีบางอย่างที่มันคล้ายกัน เป็นคน ๆ เดียวกัน เพราะมันทำมาเรื่อย ๆ ด้วยแหละครับ ไม่ใช่ว่าหายไปแล้วเพิ่งกลับมาทำปีนี้ แต่สิ่งที่เล่าหลาย ๆ อย่างเปลี่ยนแปลงไปมากครับ ภาษาที่เล่า มันเป็นกลุ่มก้อนมากขึ้น อัลบั้มแรกจะมีเพลงที่แต่งมานาน มันยังมีความวัยรุ่นอยู่ อัลบั้มนี้เล่าเรื่องแบบร้องเองแล้วไม่เขิน”

ทำเพลงโฆษณามาเยอะ พอทำเพลงของตัวเอง ได้เอาทักษะอะไรจากการทำงานลูกค้ามาช่วยในงานตัวเองบ้างมั้ย ?

“สิ่งที่ติดมาคือการแก้ปัญหาครับ ปัญหาในที่นี้คือสิ่งที่เราสร้างขึ้นเอง เช่นเราอยากให้ท่อนนี้มันขึ้นกว่านี้ เราเอาอาวุธทั้งหลายตอนทำเพลงโฆษณามาใช้ ทำไงเพลงมันถึงจะ Emotional ขึ้น ใช้หลายอย่างเลยครับ

ทำทั้งงานลูกค้าและงานตัวเอง จริง ๆ แล้วชอบอะไรมากกว่ากัน ?

“ถ้าให้เลือกจริง ๆ ก็ต้องเพลงตัวเองอยู่แล้ว มันทำไปแล้วก็ไม่มีใครมาแก้ มันไม่ต้องถอดวิญญาณมาก งานลูกค้าอาจจะมีเฟลบ้าง ต่อให้ทำตาม Ref แต่พอมันโดนแก้ก็มีเฟลบ้าง เพลงเราเองเนี่ย อยากทำอะไรก็ได้ ลูกค้าในที่นี้ก็คือคนฟังนี่แหละครับ ผมคิดถึงคนหลาย ๆ แบบ ไม่ได้ส่วนตัวมาก” 

ตอนนี้ประสบความสำเร็จหรือยัง ?

“ไม่เคยมองเรื่องความสำเร็จเลย เหมือนเราขึ้นมาอยู่บนภูเขาลูกนึง ขึ้นมาสำเร็จแล้ว มันมีเขาอีกหลายลูก ขุนเขาอีกหลายลูกที่เราต้องขึ้นไป เป็นงานที่ทำไปเรื่อย ๆ ถ้าคิดว่าสำเร็จแล้วอาจทำให้เราคิดว่าไม่ได้อยากทำต่อ”

“ถ้าเป็นความพอใจในชีวิต มันมากมายจนผมรู้สึกว่าไม่ต้องทำแล้วมั้งอัลบั้ม ตอนทำเสร็จก็ไม่ได้เหมือนยกภูเขาออกจากอก รู้สึกว่าภูเขาลูกใหม่มันได้ก่อกำเนิดขึ้นมาแล้ว มันก็เป็นงานของเราแหละครับ” 

“ผมเป็นคนนึงที่รอเพลงของศิลปิน พอมีคนมาถามเราว่าเมื่อไหร่จะมีเพลงใหม่ ผมเชื่อว่าเขาคงไม่ได้ถามไปอย่างนั้น ผมเลยรู้สึกว่า เออ ต้องทำแล้วล่ะ”

อัลบั้มที่สองนี้ เป็นเหมือนอัลบั้มที่สั่งสมประสบการณ์ ความรู้สึก ความทุ่มเทของพี่เจเอาไว้ในทุกเพลง ตั้งแต่ Demo ลำลองในวันนั้น ซิงเกิ้ลแก้ขัดเพื่อไม่ให้แฟน ๆ ต้องร้องแต่เพลงเดิมอยู่เรื่อยไปที่ขึ้นเล่นคอนเสิร์ต รวบรวมและตกผลึกออกมาเป็นอัลบั้ม J ที่ยังคงความเป็น Penguin Villa ที่เรายังคิดถึงอยู่เหมือนเดิม ในเวอร์ชั่นที่เติบโตขึ้น ความรักที่เป็นผู้ใหญ่มากขึ้น ไม่ได้เป็นเพียงรักข้างเดียว เด็ดดอกฟ้า อย่าง “ขอบันไดหน่อย” แบบที่เคยอีกแล้ว ทั้งนี้ทั้งนั้น ถือว่าสมการรอคอยถึงสิบสี่ปีของแฟน ๆ มาก ๆ สำหรับอัลบั้มดี ๆ อย่างอัลบั้มนี้

อัจฉริยะอย่าง ELON MUSK อ่านอะไร? หนังสือโปรด 5 เล่มของ MUSK ที่ผู้ชายควรอ่าน

$
0
0

Elon Musk คือชายที่โลกตั้งฉายาให้ว่า Iron Man ในชีวิตจริง เพราะมุมมองเฉียบคมและมันสมองสุดอัจฉริยะ แถมยังเป็นเจ้าของบริษัทที่มีเทคโนโลยีสุดล้ำอย่าง SpaceX, Tesla และอื่น ๆ อีกมากมาย ส่วนทรัพย์สินยิ่งไม่ต้องอธิบายให้มากความ เขามีมากกว่า 20 พันล้านเหรียญสหรัฐ ฯ

แต่นอกจากเรื่องของความสำเร็จทะลุขีดความเป็นมนุษย์ที่เราพยายามนำเสนอรูปแบบการทำงานของเขามาให้ชาว UNLOCKMEN ได้เสพบ่อย ๆ แล้ว เราเชื่อว่าเราสามารถเข้าถึงความคิดของเขาผ่านหนังสือที่อ่านได้ UNLOCKMEN จึงอยากแนะนำหนังสือ 5 เล่มที่ Elon Musk อ่าน เพื่อเป็นแนวทางให้เห็นว่าคนที่ประสบความสำเร็จได้ขนาดนี้เขาสนใจอ่านอะไร

 

 Zero to One: Notes on Startups, or How to Build the Future by Peter Thiel

หนังสือเกี่ยวกับธุรกิจโดย ปีเตอร์ ธีล ผู้ได้ฉายาว่าเป็นประธานาธิบดีของโลกไร้เงินสด จากชายที่ถูกปฏิเสธไม่รับเข้าทำงานในศาลสูง เขาคือหนึ่งในผู้สร้างธนาคารออนไลน์ชื่อดังอย่าง PayPal

หนังสือเล่มนี้จึงไม่ต่างจากการแบ่งปันความคิดและทัศนคติในการเริ่มต้นสร้างธุรกิจของตัวเองบนโลกแห่งการเงินในปัจจุบันของเขา Musk อ่านหนังสือเล่มนี้เพราะ ปีเตอร์ ธีล คือชายผู้สร้างความก้าวหน้าในกับวงการธุรกิจและการเงิน และหนังสือเล่มนี้เป็นเหมือนการไขรหัสว่าเขาทำอย่างนั้นได้อย่างไร

สำหรับใครที่กังวลว่าอ่านภาษาอังกฤษแล้วจะเข้าถึงข้อมูลได้ไม่ถี่ถ้วน Zero to One ได้รับการตีพิมพ์เป็นภาษาไทยในชื่อ Zero to One จาก 0 เป็น 1 

 

Benjamin Franklin : An American Life
ผู้เขียน: Walter Isaacson

เบนจามิน แฟรงคลิน คือชายผู้สร้างชื่อเสียงอันโด่งดังในวงการวิทยาศาสตร์จากการเป็นผู้คิดค้นสายล่อฟ้า แต่ความสนใจอะไรเพียงด้านใดด้านหนึ่งดูจะเป็นเรื่องน่าเบื่อเกินไปสำหรับอัจฉริยะ เพราะนอกจากด้านวิทยาศาสตร์แล้ว เขายังเป็นผู้ที่สนใจสังคมศาสตร์อย่างศาสตร์ด้านกฎหมายและการเมืองด้วย

ความสนใจด้านสังคมศาสตร์พิสูจน์ได้จากการที่เขาเป็นผู้ริเริ่มก่อตั้งห้องสมุดแห่งแรกในสหรัฐ ฯ เป็นนักการทูตชื่อดัง รวมถึงเป็นหนึ่งในบิดาผู้สร้างชาติสหรัฐฯ

การที่คนคนหนึ่งจะสามารถทำอะไรได้หลายด้านและประสบความสำเร็จในแทบทุกด้าน (และแต่ละด้านดูต่างกันสุดขั้ว) นั้นเป็นเรื่องยาก แต่เบนจามินกลับทำได้ จึงไม่แปลกใจว่าทำไมคนฉลาดอย่างอีลอน มัสก์ถึงเลือกที่จะอ่านหนังสือชีวประวัติของเบนจามิน แล้วทำไมผู้ชายอย่างเราจะไม่อ่านล่ะ จริงไหม ?

 

Einstein: His Life and Universe
ผู้เขียน: Walter Isaacson

หนังสือขายดีของ New York Times ที่ได้รับการตีพิมพ์เป็นภาษาไทยในชื่อ ไอน์สไตน์ ชีวประวัติ และ จักรวาล โดยนักเขียนคนเดียวกับหนังสือชีวประวัติของเบนจามิน แฟลงคลิน เนื้อหาในหนังสือไอน์สไตล์จะบอกเล่าเรื่องราวถึงความฉลาด ความอดทน และความพยายามของมนุษย์ที่สามารถเปลี่ยนแปลงโลกของนักฟิสิกส์อัจฉริยะอย่าง อัลเบิร์ต ไอน์สไตล์ ผู้คิดค้นทฤษฎีสัมพันธภาพผู้ทำประโยชน์ให้แก่ฟิสิกส์ทฤษฎี ซึ่ง Musk เคยให้สัมภาษณ์ว่าเมื่อเขามองไอน์สไตล์ผ่านหนังสือเล่มนี้ เขาจะเห็นแนวคิดและแรงบันดาลใจในเรื่องของการทำงาน

 

Superintelligence: Paths, Dangers, Strategies
ผู้เขียน: Nick Bostrom

นี่คือหนังสือที่แสดงให้เห็นถึงสิ่งที่อีลอน มัสก์ ให้ความสนใจได้อย่างชัดเจน เพราะหนังสือเล่มนี้จะนำเสนอเรื่องปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI ซึ่งนับเป็นประเด็นที่กำลังร้อนแรงขึ้นทุกขณะ และน่าจะมาถึงยุคของปัญญาประดิษฐ์ หรือ AIในอนาคตอันใกล้นี้

คำตอบของคำถามเป็นล้านที่ผุดขึ้นมาในหัวเราเรื่อง AI เช่นปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI จะสามารถมีสมองเท่ามนุษย์และเอาชนะปัญญาของมนุษย์ได้ไหม? แล้วถ้าสิ่งที่คิดมันได้เกิดขึ้นจริง ๆ จะเกิดความเปลี่ยนแปลงอะไรกับโลกของเราบ้าง? และมนุษย์จะสามารถควบคุมปัญญาประดิษฐ์เหล่านี้ได้อย่างไร? หนังสือเล่มนี้จะคลี่คลายและเติมเต็มความเข้าใจเข้าไปในสมองเรา

เราแอบกระซิบว่าเล่มนี้ไม่ได้มีแค่ Musk เท่านั้นที่ให้ความสนใจและตั้งหน้าตั้งตาอ่าน แต่หนังสือเล่มนี้คือเล่มที่เกี่ยวกับเทคโนโลยีสมองกลอัจฉริยะถูกพูดถึงมากที่สุดอีกเล่มหนึ่ง

 

The Lord of the Ring by J. R. R. Tolkien

นวนิยายแฟนตาซีมหากาพย์ โดย เจ. อาร์. อาร์. โทลคีน ที่พูดถึงการมีหลายเผ่าพันธุ์อาศัยอยู่ในโลกเดียวกัน พูดถึงมิตรภาพ การต่อสู้ และการหักหลัง โดยใจความสำคัญของหนังสือจะมีความเกี่ยวข้องกับแหวนวิเศษที่สร้างโดยจอมมารเซารอน แต่ด้วยเนื้อเรื่องที่มีความยาวมากจนไม่สามารถทำเป็นเล่มเดียวได้ จึงทำให้ทางสำนักพิมพ์ต้องแบ่งนิยายเรื่องนี้ออกเป็น 3 เล่มด้วยกัน และถูกแปลมากกว่า 38 ภาษา รวมถึงถูกนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์ฮอลลีวูดชื่อดัง

เราเชื่อว่าผู้ชายหลายคนเคยเคยดูวรรณกรรมเล่มนี้ในรูปแบบภาพยนตร์มาแล้ว แต่เชื่อเถอะว่าถ้าเราได้กวาดตาอ่าน ทบทวนมุมมองตัวละครแต่ละตัวอย่างถี่ถ้วนในรูปแบบตัวหนังสือ เราจะได้เปิดทัศนคติและความเข้าใจความหลากหลายได้อย่างที่เราไม่คาดคิด

UNLOCKMEN เชื่อว่ามนุษย์สามารถเรียนรู้และเข้าใจมนุษย์อีกคนได้หลายรูปแบบ รูปแบบหนึ่งในนั้นก็คือการเสพหนังสือเล่มเดียวกับที่เขาอ่าน เพราะเราจะได้สวมแว่นแห่งมุมมองอันเดียวกับที่เขาสวม เราจะได้เห็นวิถีแห่งความเป็นไปได้แบบเดียวกับที่เขามอง แม้จะไม่ได้เป็นอัจฉริยะสุดขีดแบบเขา แต่การเปิดวิธีคิดที่กว้างไปกว่าเดิมให้ตัวเองก็ช่วยสร้างโอกาสให้ชีวิตได้หลายระดับ

 

SOURCE

STYLE GUIDE : แนะนำกางเกงที่ผู้ชายควรมีติดตู้เอาไว้เพื่อตอบโจทย์การสวมใส่ในทุกโอกาส

$
0
0

เดินทางเข้าสู่ปีใหม่ ศักราชใหม่ ก็ถึงเวลาที่ผู้ชายอย่างเราต้องตั้งเป้าหมายให้ชีวิตกลับมาฮึดสู้ใหม่อีกครั้ง ไม่เพียงแค่เรื่องงานแต่รวมไปถึงเรื่องการแต่งตัวด้วยเช่นกัน ซึ่งคงถึงเวลาแล้วสำหรับการปลดเกษียณกางเกงตัวโปรดที่เคยใส่มาหลายปีสักที แล้วแทนที่ด้วยตัวใหม่ที่จะพาเราลุยปีใหม่อย่างมั่นใจมากขึ้น

แต่กางเกงแบบไหนที่หนุ่มไทยอย่างเราควรมีไว้ใช้งานบ้าง วันนี้ไปทำความรู้จักกางเกงทั้ง 6 ชนิดที่เราอยากแนะนำให้คุณมีเก็บไว้ในตู้เสื้อผ้า รับรองว่าทุกตัวจะสามารถตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์มันส์ ๆ รวมไปถึงช่วยทำให้ทุกท่านแต่งตัวได้มั่นใจมากขึ้นในทุกโอกาสอย่างแน่นอน

Jeans

เริ่มต้นด้วยไอเทมยอดนิยมตลอดกาลของลุค Casual ที่มาพร้อมกับความทนทานและฟังก์ชันการใช้งานอันหลากหลาย ที่ไม่ว่าจะหยิบจับไปแมทซ์กับเครื่องแต่งกายชิ้นไหนก็ออกมาดูดีแบบสบาย ๆ ได้เสมอ เลือกกางเกงยีนส์ตัวเก่งในรูปทรงที่คุณต้องการไม่ว่าจะเป็น Slim fit, Regular แต่สิ่งที่ควรให้ความสำคัญคือความพอดีตรงต้นขา หัวเข่าและปลายขากางเกงที่พอดีกับตัวของเรา ซึ่งจะช่วยทำให้การสวมใส่สมบูรณ์แบบมากขึ้น

How to: จับคู่กางเกงยีนส์เข้ากับเสื้อยืด, เสื้อเชิ้ตหรือจะเพิ่มเลเยอร์และสีสันด้วยแจ็กเกตตัวโปรด แต่อย่าลืมให้ความสำคัญกับรองเท้า เพราะยีนส์สามารถเข้ากันได้ดีกับรองเท้าผ้าใบสีขาว หรือจะเลือกเติมเข้มด้วย Chukka Boots และ Chelsea Boots ก็ดูดีไม่แพ้กัน

Chinos

ด้วยความเป็นกางเกงเนื้อฝ้ายที่นุ่มสบายทำให้กางเกงชิโน่ ยังคงได้รับความนิยมเสมอในหมู่หนุ่ม ๆ โดยเฉพาะผู้ที่ชอบแต่งตัวในสไตล์ Minimal หรือ Muji รวมไปถึงคนที่ต้องการลุคดูเป็นทางการมากยิ่งขึ้น แต่ยังไม่หลุดจากกรอบ Casual จนเกินไป ควรเลือกกางเกงชิโน่เนื้อผ้าดี ๆ ที่ขนาดพอเหมาะกับตัวทั้งส่วนขาและขอบกางเกงที่ควรสูงขึ้นมาจากเอวเล็กน้อยเพื่อรองรับการใช้งานร่วมกับเข็มขัด

How to: ด้วยรูปแบบเรียบง่ายและสีสันอันหลายหลากไม่ว่าจะเป็น Khaki, Navy, Grey รวมไปถึง Black ที่สามารถจับคู่กับเสื้อโทนสีอ่อนและเข้มได้อย่างลงตัว จะจับคู่กับเสื้อยืด, เสื้อโปโลหรือเสื้อเชิ้ตก็ตามแต่ความชอบ ถ้าอยากเพิ่มความมีระเบียบก็จัดการเหน็บในให้เรียบร้อยซะ ส่วนรองเท้าจะเลือกเป็นผ้าใบแคนวาสหรือ Vans Slip-on ก็คล่องตัว หากต้องการความเนี๊ยบลองคว้า Boat Shoes มาจับคู่ก็เข้ากันได้เป็นอย่างดี

Work Pants

กางเกงผ้าฝ้ายอีกรูปแบบ ที่มีความคงทนแรงแข็งมากกว่าชิโน่ ทำให้เหมาะสำหรับใช้งานหนัก ๆ ลุย ๆ ซึ่งคงคุ้นเคยกันเป็นอย่างดีสำหรับหนุ่ม ๆ ที่นิยมแฟชั่นวินเทจแนว 90’s Style ซึ่งกำลังกลับมาอีกครั้ง รวมถึงยังถูกกระแสแฟชั่นสตรีตดึงดูงไปร่วมวงโคจรอีกด้วย ทำให้ Work Pants เป็นกางเกงอีกหนึ่งชนิดที่เราอยากแนะนำ

How to: เลือก Work Pants โทนสีเบจที่ถูกใจสักตัว แต่จุดที่ต้องให้ความสำคัญก็คือรูปทรงของกางเกง เพราะกระแสความนิยมของ Work Pants ในตอนนี้มาพร้อมกับเทรนด์หลวม ๆ หรืออีกรูปแบบคือการพับขากางเกงเพื่ออวดลวดลายถุงเท้าสุดคูล ก็เป็นอีกหนึ่ง OG สไตล์ที่ไม่ควรพลาด

Sweatpants

ทางเลือกในการออกจากบ้านแบบสบาย ๆ ของหนุ่มไทยกับ Sweatpants กางเกงสารพัดประโยชน์ที่ทำให้เราสามารถเลือกใช้งานได้หลากหลายโอกาส ไม่ว่าจะเป็นใส่ออกกำลัง ออกไปเดินเล่น หรือใส่นอนอยู่บ้านก็ได้หมด และถึงจะเป็นกางเกงขายาว Sweatpants ก็เพิ่มทางเลือกสำหรับอากาศร้อน ๆ ได้ด้วยเปลี่ยนวัสดุเส้นใย วางกางเกงที่ผลิตด้วยคอตตอนอันหนานุ่มซึ่งอาจทำให้ผู้สวมใส่ร้อนอบอ้าวหันมาเลือกหยิบกางเกงที่ทำด้วยวัสดุเส้นใยแบบผ้าผสมโพลีเอสเตอร์แทน

How to: อันที่จริงสีที่เหมาะสมและเลือกใช้งานได้อย่างหลากหลายคือ Black และ Grey แต่สำหรับคนที่ชอบสีสันอาจเลือกซื้อเพิ่มเติมได้ตามความต้องการ ด้านรูปทรงที่เหมาะสมในการสวมใส่ Sweatpants คือเลือกกางเกงที่มีขนาดพอเหมาะกับช่วงต้นขา ไม่ควรปล่อยให้มันใหญ่โคร่งจนเกินไป แต่ส่วนหัวเขาลงมาควรมีขนาดฟิตพอดีกับขากางเกง เมื่อบวกเข้ากับ Sneakers คู่โปรดก็เป็นอันจบงาน

Track Pants

หลายท่านอาจเข้าใจว่า Track Pants กับ Sweatpants คือกางเกงชนิดเดียวกัน แต่อันที่จริงแล้วมันคือญาติที่ใกล้เคียงกัน ต่างกันตรงที่รูปทรงของ Track Pants  มักปล่อยตรงและไม่มีจั๊มป์ในส่วนปลาย รวมถึงวัสดุที่ใช้ส่วนใหญ่มักเป็นผ้าไนลอนหรือโพลีเอสเตอร์ที่น้ำหนักเบาและมีความเป็นเงางามมากกว่า ซึ่งแน่นอนว่ามันคือกางเกงอีกชนิดที่กำลังมาแรงเพราะกระแสแฟชั่นสตรีตและ Sport LUXE ของปัจจุบัน

How to: สีดำหรือขาว คือทางเลือกง่าย ๆ สำหรับคนที่เพิ่งเริ่มต้น แต่ถ้าคุณรู้ตัวเองว่ามีแนวทางที่ชัดเจนก็จัด Track Pants สีแสบ ๆ หรือสีนีออนได้เลยไม่มีปัญหา ส่วนรูปทรงก็ขึ้นอยู่กับความชอบของแต่ละคน สิ่งสำคัญคืออย่าให้กางเกงรัดรูปหรือหลวมมากจนเกินไปซึ่งอาจทำให้ขัดแย้งกับความคล่องตัวที่เป็นจุดเด่นของมัน

 Dress Pants

หลังจากแนะนำกางเกงสำหรับแต่งตัวในรูปแบบ Casual รวมถึง Smart Casual กันมาเยอะแล้ว ก็ถึงคิวของกางเกงออกงานสไตล์ Formal กันบ้าง เพราะหนุ่ม ๆ อย่างเรามักมีอีเวนต์เป็นทางการเข้ามาไม่ขาดสายอยู่แล้วซึ่ง Dress Pants ดี ๆ สักตัวคือคำตอบในการเลือกกางเกงเพื่อการแต่งตัวอย่างเป็นทางการหรือกึ่งทางการ

How to: สิ่งสำคัญของ Dress Pants คือรายละเอียดการตัดเย็บที่เรียบง่ายแต่หรูหรา น้อยแต่แพง ไม่ว่าจะเป็นกางเกงที่ผลิตจากใยสังเคราะห์ โพลีเอสเตอร์หรือว่าขนสัตว์ก็ขึ้นอยู่กับความชอบของแต่ละคน ในส่วนของปลายขามีการเก็บให้พอดีไม่เต่อหรือสั้นจนโชว์ให้เห็นส่วนข้อเท้า จับคู่เข้ากับเสื้อเชิ้ตตัวเนี๊ยบและรองเท้าอย่าง Oxford หรือ Double Monk จะทำให้คุณกลายเป็นผู้ชายที่สมบูรณ์แบบในทุกงานที่บุกไปเยือน

 

 

สำหรับหนุ่ม ๆ ที่กำลังโละของชิ้นเก่าและตามหาไอเทมคู่กายชิ้นใหม่อยู่ก็สามารถหากางเกงแต่ละชนิดมาติดตู้ไว้ได้ ซึ่งทั้งหมดนี้ครอบคลุมรูปแบบการแต่งตัวหลากหลายโอกาส ต่อไปไม่ว่าสถานการณ์ไหนหรือวาระอะไรเราก็สามารถหยิบมันออกจากตู้มา Mix and Match กับเสื้อผ้าที่มีได้อย่างเหมาะสมตามความต้องการอย่างแน่นอน

เมื่อเทคโนโลยียิ่งล้ำยิ่งต้องเท่าทัน “ส่องเทรนด์ไฮเทคมาแรงปี 2019″โดยศูนย์วิจัยเทเลเนอร์

$
0
0

เราหายใจอยู่บนโลกที่เทคโนโลยีรุกคืบเข้ามาในเขตแดนของชีวิตมากขึ้นทุกขณะ คงปฏิเสธไม่ได้ว่าทุกขณะของชีวิตเราต้องพึ่งพาอาศัยเทคโนโลยี เพราะเหตุนี้ศูนย์วิจัยเทเลเนอร์ที่มีความเชี่ยวชาญเรื่องเทคโนโลยีจึงลองคาดเดาทิศทางเทคโนโลยีที่คาดว่าจะมาแรงในปี 2019 ไว้ 7 เรื่องด้วยกัน

UNLOCKMEN ก็ไม่รอช้า เพื่อความรู้เท่าทันเราจึงสรุปทิศทางของแต่ละเทคโนโลยีมาให้เรียบร้อยแล้วว่าเราน่าจะได้เห็นอะไรเกิดขึ้นบ้างในปีนี้

 

1. AI รูปแบบใหม่ที่มีกรอบของจริยธรรมเข้ามาเป็นตัวกำหนด

Bitcoinist

AI กลายเป็นสิ่งที่หลายองค์กรใช้กันอย่างแพร่หลาย เมื่อเกิดความแพร่หลายสิ่งที่ตามมาคือการอยู่เหนือความควบคุมของมนุษย์มากขึ้นเรื่อย ๆ เพราะบางครั้ง AI ก็อาจจะทำอะไรที่เกินกว่าความต้องการของผู้ใช้ รวมถึงการให้ข้อมูลที่บิดเบือน และการละเมิดความเป็นส่วนตัวของบุคคล

ปี 2019 นี้จึงมั่นใจได้เลยว่าหลายองค์กรจะเริ่มตรวจสอบไปพร้อมกับการสนับสนุนให้ใช้ AI มากขึ้น รวมถึงการกำหนดขอบเขตการใช้งาน AI ให้มีความละเอียดมากขึ้น

พูดง่าย ๆ ปีนี้เราจะไม่มอง AI เป็นแค่หุ่นยนตร์ที่เกิดขึ้นเพื่อใช้งานแล้วจบไป แต่เราจะมองมันลงลึกในรายละเอียดถึงจริยธรรมและขอบเขตการใช้งานที่ซับซ้อนลงไป เพราะมัน AI นั้นซับซ้อนพอ ๆ กับการใช้งานมนุษย์สักคนให้ทำงานนี่เอง

 

2. DEEPFAKE จะแพร่หลายมากยิ่งขึ้น

newsplexer

Deepfake คือเทคโนโลยีที่เกิดจากระบบปัญญาประดิษฐ์หรือ AI ที่สร้างขึ้นเพื่อนเลียนแบบพฤติกรรมของมนุษย์อย่างแนบเนียน เป็นการสร้างข้อมูลปลอมที่แพร่กระจายอยู่เต็ม Social Media

ในปี 2019 ก็มีแนวโน้มว่าจะมีเนื้อหาจาก Deepfake มากขึ้น ซึ่งจะส่งผลต่อการแยกแยะข้อมูลที่เราได้รับมาว่าจริงเท็จมากน้อยแค่ไหน และนอกจากในโซเชียลแล้ว ก็จะยังมีบทบาทต่อการหาเสียงเลือกตั้งเพราะ Deepfake จะเป็นตัวป่วนสำคัญหรับใช้โจมตีพรรคตรงข้าม เนื่องจาก Deepfake สามารถสร้าข้อมูลเท็จได้

ต้องจับตาดูว่าการกำหนดการเลือกตั้งและเริ่มให้แต่ละพรรคหาเสียงของอินเดียและสหรัฐฯ เราจะพบ Deepfake เข้ามาป่วนในเวทีการเมืองมากน้อยแค่ไหน และนี่คือความดุเดือดร้อนแรงที่วงการเทคโนโลยีสามารถเชื่อมโยงไปได้ทุกวงการไม่เว้นแม้แต่การเมืองระดับชาติ

 

3. การเกิดขึ้นของระบบเมืองจำลองแบบ 5G

Ciena

หากใครติดตามเกี่ยวกับเรื่องของเทคโนโลยี จะเห็นว่าในช่วงหลายปีที่ผ่านมาได้มีการพัฒนาระบบและทดสอบเทคโนโลยี 5G อย่างต่อเนื่องเพื่อเชื่อมต่อกับสถานีทดสอบคลื่น 5G  เช่น การวางแผนสร้างเมืองจำลองเพื่อทดลองให้คนในสังคมได้เรียนรู้และสัมผัสกับดิจิทัลที่แท้จริง คาดว่าการวางแผนสร้างเมืองจำลองจะถูกนำไปใช้อย่างแพร่หลายในปี 2019 เพราะระบบ 5G สามารถนำ ไปต่อยอดสร้างประโยชน์มหาศาลในหลายเรื่องได้ไม่ว่าจะเป็นระบบรถยนต์ไร้คนขับ หรือการผ่าตัดทางไกล เป็นต้น

 

4. โทรศัพท์มือถือแบบฝาพับจะกลับมาอีกครั้ง

Satoshi Nakamoto Blog

สารภาพมาเถอะว่าคุณคือคนหนึ่งที่ติดสมาร์ตโฟนจนแทบจะลงแดงตายถ้าไม่ได้หยิบมันขึ้นมาดูทุกชั่วโมง? อย่างน้อยคุณก็ไม่เหงาเกินไป เพราะปัญหาของผู้ได้รับผลกระทบเกี่ยวกับการใช้สมาร์ตโฟนอย่างต่อเนื่องนาน ๆ มีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะกับปัญหาเรื่องสายตาจากแสงสีฟ้าเวลาใช้โทรศัพท์ตอนกลางคืน

ปี 2019 จึงคาดคะเนว่าจะมีการจัดการเวลาใช้งานสมาร์ตโฟนมากขึ้น และเพิ่มฟังก์ชั่นให้ผู้ใช้งานได้ตั้งค่าระบบที่เรียกว่า เขตปลอดมือถือ ซึ่งเหล่านักวิเคราะห์มองว่าการแก้ปัญหาสำหรับคนติดมือถือคือการนำโทรศัพท์แบบฝาพับมาใช้อีกครั้ง เพราะนักวิจัยคาดว่าการมีฝาพับจะช่วยลดจำนวนการหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเล่นในแต่ละวันได้

 

5. CHATBOT กลายเป็นผู้ช่วยเสมือนจริงสำหรับบ้านอัจฉริยะ

Founder360

แต่เดิม Chatbot คือการพิมพ์โต้ตอบสนทนากับบอท ซึ่งนักพัฒนามองว่าปีนี้จะมีการพัฒนาแชทบอทจากการพิมพ์เป็นการโต้ตอบด้วยเสียงมากขึ้น และสามารถทำงานได้อย่างแม่นยำและเต็มประสิทธิภาพมากกว่าเดิม โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับอุปกรณ์ภายในบ้านอัจฉริยะ (Smart Home) ทำให้เราสามารถสั่งการด้วยเสียงผ่านแชทบอทที่อยู่ในบ้าน เพื่อความสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น ซึ่งถ้าปีนี้การพัฒนาระบบแชทบอทเป็นไปอย่างรวดเร็ว ก็จะกลายเป็นเทคโนโลยีที่แพร่หลายและได้รับความนิยมสำหรับผู้ที่ต้องการทำให้บ้านธรรมดากลายเป็นบ้านอัจฉริยะอย่างแน่นอน รวมถึงในรถยนต์ และ Smartphone อีกด้วย

 

6. จะเกิดการปฏิวัติอุตสาหกรรมอีกครั้งด้วยระบบ IoT

Diginomica

Internet of Things หรือ IoT คำที่ได้ยินกันจนชินหูในปีที่ผ่านมาว่าเป็นอินเทอร์เน็ตที่เชื่อมรวมทุกสรรพสิ่ง มีครบทั้งเครือข่ายของวัตถุ อุปกรณ์ พาหนะหรือสิ่งปลูกสร้างที่มีวงจรอิเล็กทรอนิกส์ซึ่งสามารถเชื่อมต่อได้เข้าไว้ด้วยกันเพื่อการเก็บบันทึกและแลกเปลี่ยนข้อมูลที่เป็นประโยชน์

ในโลกของอุตสาหกรรม IoT ก็ได้เข้ามามีบทบาทต่อธุรกิจด้วยการเชื่อมต่อสื่อสารแบบไร้สายทางไกลที่ประหยัดพลังงาน ออกแบบรองรับการสื่อสารระหว่างอุปกรณ์ ทำให้รองรับระยะการใช้งานที่ยาวนานขึ้นผ่านเครือข่ายสมาร์ตโฟน เช่นการติดตามระบบขนส่ง การควบคุมระบบไฟจราจร อุตสาหกรรมประมง รวมไปถึงระบบกล้องวงจรปิด และระบบการสื่อสารในรถยนต์ ที่เรียกได้ว่าไม่ว่าจะอุตสาหกรรมไหนก็ต้องใช้ IoT กันทั้งนั้น

 

7. กระแสของ GREENTECH จะร้อนแรงขึ้นไปอีก

Vox

จากปัญหาเรื่องมลภาวะที่ทำให้องค์การสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ ได้ออกมาเตือนและขอความร่วมมือในการป้องกันปัญหามลภาวะที่พุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ปัญหานี้ก็สร้างความตื่นตัวให้กับอุตสาหกรรมต่าง ๆ มากขึ้น อย่างที่เห็นได้ชัดคือเรื่องของรถยนต์พลังงานไฟฟ้า หรือ  แอพพลิเคชั่น Too Good To Go ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มที่ช่วยลดปริมาณขยะอาหาร เพราะกระแสจากทั้งรัฐบาลของประเทศต่าง ๆ รวมถึงกระแสของคนทั่วไปในสังคมที่ผลักดันให้เทคโนโลยีกับเรื่องของ Greentech จะเพิ่มความสำคัญมากขึ้นในปีหน้า

บางเทรนด์เกี่ยวข้องกับเราตรง ๆ ในขณะที่บางเทรนด์ดูไกลตัวออกไปนิด แต่รับรองว่าทุกเทรนด์เทคโนโลยีของปีนี้ย่อมส่งผลกระทบต่อชีวิตผู้ชายอย่างเราไม่ทางตรงก็ทางอ้อมแน่นอน การมีความรู้ พร้อมรับมือไว้ ยังไงก็ดีกว่าตามหาข้อมูลทีหลังในวันที่โลกหมุนไปไกลและไวจนเราไม่อาจตามทันแล้ว

SOURCE1


เริ่มต้นอย่างร้อนแรง NIKE เปิดตัวคอลเลกชันต้อนรับปีใหม่ พร้อมโมเดลรองเท้าประจำค่าย 12 คู่

$
0
0

หลังจากร้อนแรงกว่าคู่แข่งค่ายอื่น ๆ มาตลอดสำหรับตลาดรองเท้าของปี 2018 มาในปีนี้ดูเหมือน NIKE จะยังไม่ยอมหนำใจ กลับมารักษาตำแหน่งผู้นำและความยิ่งใหญ่อีกครั้ง ด้วยการประเดิมต้นปีกับคอลเลกชันรองเท้า ที่เตรียมถูกปล่อยออกมาต้อนรับเทศกาลตรุษจีน ซึ่งบอกเลยว่า ต้องมีสักคู่ที่ถูกใจหลายคนแน่นอน เพราะพี่แกเล่นขนมาหมดเกือบครบทุกโมเดลยอดนิยม

hypebeast

เรียกว่าเอาใจตลาด Asia และคนเชื้อสายจีนกันอย่างชัดเจน ก่อนหน้านี้ไม่นานค่าย Swoosh ทำการเรียกน้ำย่อยจากสาวกด้วย Chinese New Year Collection  คู่แรกอย่าง Air Vapormax 2019 ก่อนที่จะเปิดตัวภาพชุดเต็มของคอลเลกชันดังกล่าว ที่เรียกเสียงฮือฮาจากกลุ่มลูกค้าผู้จงรักภักดีต่อแบรนด์ได้อย่างแน่นอน ด้วยการขนโมเดลยอดนิยมมาถึง 12 คู่ด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็น Zoom Pegasus, Air Max 98, Air Force 1 , Air Max 270, Air Vapormax, Blazer Low รวมถึงโมเดลสุดไฮป์จากในค่ายกรุ๊ปเดียวกันอย่าง Converse Chuck Taylor และ Air Jordan 12, 33 เรียกได้ว่าครอบคลุมทุกกลุ่มเป้าหมาย

hypebeast

นอกจากนี้รองเท้าทั้ง 12 คู่ยังมาพร้อมดีไซน์การออกแบบถึง 2 สไตล์ด้วยกัน แบบแรกคือการผสมผสานศิลปะการตัดแปะในแบบของจีนที่เรียกว่า Bai Jia Yi อีกรูปแบบคือการลวดลายงานโมเสกและสัญลักษณ์เฉพาะของนักษัตรจีน ก่อนถ่ายทอดลงบนรองเท้าแต่ละคู่จนออกมาเป็นคอลเลกชันรองเท้าที่มีความหลากหลายทั้งด้านโมเดลและลวดลายให้เราเลือกเป้าหมายได้ตามต้องการ

ตอนนี้ Nike เปิดเผยเพียงว่า Chinese New Year Collection ของปี 2019 จะถูกวางขายในช่วงเดือนมกราคมนี้ ซึ่งอาจเป็นช่วงกลางหรือปลายเดือนเพื่อเตรียมต้อนรับเทศกาลตรุษจีน คงต้องมารอชมกันอีกทีว่าภาพชุดเต็มของรองเท้าแต่ละคู่จะสวยงามถูกใจมากน้อยแค่ไหน

แต่สำหรับสาวก Nike ที่มีคู่ถูกใจอยู่แล้วก็เตรียมหิ้วกลับบ้านกันไว้ได้เลย แต่คงต้องแย่งชิงกันหน่อยเพราะอาจมีจำนวนไม่พอกับความต้องการ

hypebeast

 

SOURCE 1

 

ห้ามมอง ห้ามฟัง ห้ามส่งเสียง ห้ามหายใจ ห้ามแสดงอารมณ์ ลุ้นระทึกไปกับ 5 หนังที่ต้องห้ามถึงรอด

$
0
0

ไม่ว่าจะเป็นเพลงหรือภาพยนตร์ เป็นเรื่องธรรมดาที่จะมีการทำตามสูตรสำเร็จกันอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นภาพยนตร์หรือซีรีส์ก็ตาม ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องผิดอะไรถ้าไม่ได้ยกมาเลียนแบบทั้งโครงเรื่อง และจากกระแสซีรีส์ฮิตบน Netflix ที่เป็นตัวกำหนดเทรนด์การเขียนเนื้อเรื่องได้บ้างว่าต้องทำยังไงถึงจะสร้างยอดรับชมได้ถล่มทลายหลายล้านครัวเรือน หนึ่งในหลักสูตรนั้นคือการสร้างความตื่นเต้นอัดอั้นใจให้ผู้รับชมต้องใจจดจ่อเพื่อติดตามเรื่องราวที่ห้ามใช้ประสาทสัมผัสต่าง ๆ ของร่างกายเพื่อความอยู่รอด

ไปดูกันว่าจะเป็นอย่างไรถ้าหากสิ่งต่าง ๆ ที่เคยทำเป็นปกติในชีวิตกลับกลายเป็นสิ่งต้องห้าม กับภาพยนตร์และซีรีส์ 5 เรื่อง 5 สไตล์ ที่เมื่อดูจบแล้วจะทำให้เราฉุกคิดได้ว่า ถ้าต้องอยู่ในสภานการณ์แบบเดียวกัน เราจะเอาตัวรอดจากสถานการณ์เหล่านั้นได้อย่างไร

 

ห้ามมอง : Bird Box (2018)

twincities

แค่ปิดตามเดินไม่กี่ก้าวยังน่ากลัว แล้วถ้าหากวันหนึ่งเราไม่สามารถมองเห็นอะไรได้อย่างเคยทั้งที่ตาก็ไม่ได้บอด แต่เพราะเหตุผลบางอย่างที่ทำให้มองไม่ได้ พร้อมหาคำตอบการเอาชีวิตรอดในโลกที่ห้ามมองเห็นไปพร้อมกับ Bird Box ซีรีส์ของ Netflix ที่เล่นกับดวงตาและความกลัวของมนุษย์ได้อย่างเหนือชั้น เพราะเมื่อเปิดตามองแล้วจะเห็นสิ่งที่ไม่สามารถบอกได้ว่ามันคือตัวอะไร และเมื่อมองเห็นมันจะกลายร่างเป็นสิ่งที่เรากลัวที่สุด ซึ่งภาพหลอนดังกล่าวจะสร้างความปั่นป่วนให้กับทั้งโลกเพราะทุกคนจะอยากฆ่าตัวตายโดยไม่ทราบสาเหตุ ดังนั้นทางรอดเดียวก็คือการห้ามเปิดตาอย่างเด็ดขาด

Bird Box เป็นซีรีส์ที่ทำลายสถิติ Netflix อย่างถล่มทลายด้วยจำนวนผู้รับชมถึง 45 ล้านบัญชีแม้จะไม่มีใครเห็นหน้าตาของผู้ร้าย หรือแม้แต่เหตุผลว่ามันเกิดขึ้นเพื่ออะไร และจบลงด้วยความหมายอะไร แต่ก็ฮิตพอที่จะมีวัยรุ่นนำไปทำเป็น Bird Box Challenge จน Netflix ต้องออกมาเตือนว่าอย่าทำตามเด็ดขาดถ้าไม่อยากเจ็บตัว

 

ห้ามฟัง : Dawn of The Deaf (2016)

Popcorn Horror

การได้ยินดูเหมือนจะเป็นสิ่งที่ยากที่สุดในการควบคุมร่างกายไม่แพ้การห้ามหายใจ เพราะเมื่อโดนสั่งให้ห้ามมอง เราสามารถหลับตาได้ เมื่อโดนสั่งให้ห้ามยิ้มก็ยังพอทำได้อยู่ แต่ถ้าห้ามได้ยิน คงจะมีแต่คนหูหนวกเท่านั้นที่รอด

Dawn of The Deaf คือหนังสั้นที่หยิบเรื่องเสียงมาสร้างความตื่นเต้น เมื่อไวรัสที่ฆ่าคนได้มาพร้อมกับคลื่นเสียงที่ทำให้ทุกคนที่ได้ยินตายเพราะการติดเชื้อและกลายร่างเป็นซอมบี้ สิ่งที่ทำให้เรารอดจากการติดเชื้อคือต้องห้ามฟังเสียงทุกอย่างที่เข้ามาในหู แต่จริง ๆ สมัยนี้ถ้าซื้อที่อุดหูแบบ Noise Cancellation ก็อาจจะแก้ปัญหาได้นะ

 

ห้ามส่งเสียง : A Quiet Place (2018)

Bloody Disgusting

อีกซีรีส์ฮิตจาก Netflix ที่ประสบความสำเร็จจากการสร้างความอึดอัดให้คนดูต้องลุ้นไปตลอดเรื่อง เราจะใช้ชีวิตอย่างไรถ้าหากวันหนึ่งการส่งเสียงจะทำให้เราถึงตาย พร้อมหาคำตอบไปกับเรื่องราวที่ใช้ความเงียบมาเป็นแกนหลักในการดำเนินเรื่องอย่าง A Quite Place เมื่อมนุษย์ต่างดาวบุกโลกและไล่กำจัดสิ่งมีชีวิตทุกอย่างบนโลกที่สามารถส่งเสียงได้ มนุษย์ต้องหลบซ่อนและห้ามทำเสียงดัง เพราะเอเลี่ยนเหล่านี้จะกระจายตัวอยู่ทั่วทุกมุมโลก และหูของพวกมันก็ได้ยินแม้กระทั่งเสียงรองเท้าที่เหยียบใบไม้แห้ง พร้อมบุกโจมตีด้วยความเร็วสูง

ซึ่งหนังเรื่องนี้จะสร้างความอึดอัดและลุ้นระทึกได้ถึงแม้จะไม่ต้องใส่ซาวน์เอฟเฟกต์ให้อึกทึกเหมือนกับหนังสยองขวัญเรื่องอื่น ๆ เพราะความเงียบก็คือสิ่งที่น่ากลัวด้วยตัวของมันเองอยู่แล้ว

 

ห้ามหายใจ : Don’t Breathe (2016)

Bloody Disgusting

ภาพยนตร์ระทึกขวัญที่ได้กระแสตอบรับอันร้อนแรงจากผู้ชม เมื่อกลุ่มเด็กที่ชอบปล้นบ้านวางแผนเข้ามาขโมยของในบ้านชายแก่ตาบอดผู้อาศัยอยู่เพียงลำพัง เพราะคิดว่าการปล้นคนแก่ที่มองไม่เห็นคงจะเป็นอะไรที่หวานหมู แต่ทุกอย่างก็ต้องพลิกผันเมื่อคนแก่ที่ว่าคือสุดยอดอดีตทหารผู้เชี่ยวชาญการรบและสังหาร แก๊งขโมยรุ่นเด็กจะต้องพยายามหาทางออกจากบ้านให้ได้ก่อนที่จะโดนชายแก่เจอตัว พวกเขาต้องทำทุกอย่างเพื่อไม่ให้โดยจับได้ แม้กระทั่งการกลั้นหายใจ เพราะคนตาบอดคนนี้จะมีประสาทสัมผัสเรื่องที่เสียงดีกว่าคนทั่วไป ซึ่งเมื่อดูก็ต้องเลือกว่าจะให้กำลังใจตาแก่ตาบอดหรือจะเวทนาลุ้นให้เด็กหัวขโมยหนีออกจากบ้านให้ได้ ทำให้หายใจไม่ทั่วท้องได้เกือบสองชั่วโมงเต็มเลยทีเดียว

 

ห้ามแสดงอารมณ์ : The Invasion (2007)

Popsugar

เมื่อข่าวใหญ่เรื่องกระสวยอวกาศที่กลับมายังโลกเกิดระเบิดกลายเป็นข่าวใหญ่ชั่วข้ามคืน แต่อยู่ ๆ ผู้คนก็ลืมมันไป อีกทั้งยังเกิดเหตุการณ์แปลก ๆ รอบตัวของ ดร.แครอล (แสดงโดยนิโคล คิดแมน) เพราะคนรู้จักรอบตัวเธอมีท่าทีที่แปลกประหลาดเหมือนไม่ใช่คนเดิม และมีข่าวลือเกี่ยวกับโรคระบาดซึ่งผู้ติดเชื้อจะมีท่าทีที่เปลี่ยนไป เธอต้องค้นหาคำตอบว่าเหตุการณ์ประหลาดนี้จะเกี่ยวข้องกับกระสวยที่ระเบิดหรือไม่ ทั้งยังต้องระมัดระวังตัวเองอยู่ตลอดเวลาเพราะเสียงเตือนที่บอกว่าห้ามแสดงความรู้สึกใด ๆ กับใครทั้งนั้น เมื่ออารมณ์กลายเป็นเรื่องต้องห้าม ถึงแม้จะเห็นคนกระโดดตึกตายตรงหน้าก็ห้ามแสดงความรู้สึก เพราะเราจะกลายเป็นคนที่เดือดร้อน ซึ่งหนังเรื่องนี้เล่นกับอารมณ์และการใช้จิตวิทยาได้อย่างยอดเยี่ยม เป็นอีกเรื่องที่ดูแล้วหยุดไม่อยู่เลยทีเดียวเชียว

 

 

BIRD BOX CHALLENGE ปิดตาใช้ชีวิตแบบในหนัง เทรนด์สุดเพี้ยนที่โลกทำ แต่เราไม่ควรทำตาม

$
0
0

เคยมีคำพูดที่ฟังดูน่ากลัวกว่าวไว้ว่า วันนึงธรรมชาติจะคัดสรรผู้รอดชีวิตเอง ในวัยเด็กเราอาจจะฟังไม่เข้าใจ แต่ตั้งแต่มี Social Media ขึ้นมาบนโลก ทำให้เราได้เห็นเทรนด์กระแสการท้าทายประหลาด ๆ ที่หลายคนทำตามกันแบบไม่มีสาเหตุ ซึ่งหลายครั้งมันก็อันตรายจนคนปกติต้องสงสัยว่า “ทำไปได้ไง” อยู่เสมอ ตั้งแต่กระแสกินน้ำยาปรับผ่านุ่ม Tide Pod challenge ไปจนถึงกระแสการจุดไฟเผาตัวเอง คือ…. ไม่ต้องฉลาดมากนักก็พอจะรู้ว่ามันอันตรายถึงชีวิต ไม่คุ้มเลยสักนิดที่จะเสี่ยงตายแลก View และ Like ซึ่งในจุดนี้ต้องบอกว่าฝรั่งเค้ายอมเสี่ยงมากกว่าคนไทยหลายเท่า

มาถึงกระแสการท้าทายล่าสุดที่ฮิตขึ้นมาอย่างไม่น่าเชื่อ โดยมีต้นเหตุมาจากซีรีส์ดังของคนห้ามมอง “Bird Box” บน Netflix ที่สร้างสถิติมีสมาชิกดูมากถึง 45 ล้านบัญชีอย่างรวดเร็วภายใน 7 วัน ซึ่งถือเป็นที่สุดของสถิติจาก Netflix เลยทีเดียว

สำหรับคนที่ไม่รู้จัก Bird Box มันคือซีรีส์ที่ว่าด้วยอาการแปลกประหลาดจากผีปีศาจที่มองไม่เห็น เพราะถ้าใครเห็นก็จะเกิดอาการฆ่าตัวตายโดยไม่มีสาเหตุจนโลกวุ่นวายไปหมด วิธีรอดก็ตรงตัวคือการไม่มอง โดยครอบครัวตัวเอกของเรื่อง Sandra Bullock และลูก ๆ ที่ใช้ผ้าปิดตาเอาตัวรอดนอกบ้านระหว่างเดินทางไปหาที่ปลอดภัย

ไม่นานนักหลังจากที่ซีรีส์เข้าฉาย ก็มี Memes จาก Social Media ต่างพากันปิดตาเล่นสนุกเลียนแบบในหนัง ซึ่งน่าจะเป็นสาเหตุนึงที่ทำให้ Bird Box มีจำนวนคนดูเยอะขนาดนั้น ส่วนใหญ่น่าจะเข้าไปดูเพราะกระแสบนโลกออนไลน์มันดีจัดนั่นเอง

แต่ทุกอย่างมักจะเลยเถิดได้เสมอ Bird Box Challenge จึงถือกำเนิดขึ้นเมื่อมีบรรดา YouTuber เกิดนึกสนุกลุกขึ้นมาลองปิดตาใช้ชีวิตแบบในซีรีส์ Bird Box ดูว่าจะเอาตัวรอดได้หรือไม่ โดยคาดว่าจะเริ่มจาก YouTuber ชื่อ Morgan Adams ที่บอกว่าจะใช้ชีวิตแบบปิดตาเหมือน Sandra Bullock เป็นเวลา 24 ชั่วโมง โดยอัพโหลดคลิปในวันที่ 30 ธันวาคม ปัจจุบันมีจำนวนคนดูมากถึง 2,136,374 views แม้มันจะดูไร้สาระมากสำหรับเรา แต่ในเมื่อตัวเลขวิวช่างเย้ายวนขนาดนี้ จึงมีบรรดา Influencer WannaBe มากมายออกมาทำตามบ้าง ซึ่งมันอันตรายมากสำหรับคนรอบข้างที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวไปด้วย

งานนี้เดือดร้อนถึง Netflix ที่ต้องออกมา tweet ว่า “Can’t believe I have to say this, but: PLEASE DO NOT HURT YOURSELVES WITH THIS BIRD BOX CHALLENGE,” ไม่รู้ว่ามันมีที่มาที่ไปยังไง แต่หวังว่าจะไม่มีใครต้องเข้าโรงพยาบาลเพราะ Challenge บ้าบออันนี้ แม้ผลที่ตามมาจะไม่ใช่สิ่งที่ Netflix ต้องสนใจ เพราะต่อให้ใครเสียชีวิตจากการทำ Challenge นี้ ก็ไม่ใช่ความผิดของ Online Streaming รายนี้ก็ตาม

อะไรที่มากเกินไปมักไม่ดี เช่นเดียวกับกระแสออนไลน์ที่แม้ Netflix จะรู้สึก Happy ในช่วงแรกกับ memes ที่สนุกสนานเฮฮา ช่วยโปรโมตความแรงของซีรีส์ได้แบบไม่มีอันตรายให้ต้องเป็นห่วง แต่เมื่อกระแสดีจนเกินไป สิ่งที่ควบคุมไม่ได้ก็จะตามมา กลายเป็นดาบสองคมอย่างช่วยไม่ได้ เราหวังว่าจะไม่มีแม่คนไหนเอาลูกตัวเองมาเล่น Challenge อันนี้จนเกิดโศกนาฏกรรมขึ้น

หรือสุดท้ายจะเป็นอย่างที่คนโบราณเค้าว่าไว้ ว่าธรรมชาติจะเป็นตัวคัดสรรผู้รอดชีวิตเองในอนาคต

 

BRUNO MARS แจก GOLD AP EXTRA-THIN ‘JUMBO’ ROYAL OAK 8 เรือนให้สมาชิกฉลองปีใหม่

$
0
0

Bruno Mars ศิลปินมากความสามารถผู้มีความมั่งคั่งกว่า $150 ล้านเหรียญ (เกือบ 5 พันล้านบาท) จากผลงานเพลงที่ประสบความสำเร็จเกือบทุก Single และ World Tour Concert ที่คนดูเต็มทุกที่นั่งในทุกประเทศที่ไป ซึ่งเบื้องหลังของ Bruno Mars ย่อมต้องมีสมาชิก Back Up และนักดนตรีที่ออกทัวร์ด้วยกันเสมอในชื่อ “Hooligans”

แม้จะไม่ได้มีชื่อเสียงเทียบเท่านักร้องคนดัง แต่ก็เป็นความภูมิใจที่ได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการแสดง ทำให้ทุกคนใส่เต็มที่เสมอในทุกโชว์ และเพื่อเป็นการขอบคุณที่  “24K Magic World Tour” ล่าสุดผ่านไปได้ด้วยดี พร้อมฉลองปีใหม่ 2019 Bruno Mars จึงแสดงความป๋าเต็มที่ แจกนาฬิกาหรู  Audemars Piguet Extra-Thin ‘Jumbo’ Royal Oak เรือนทองจำนวน 8 เรือน ให้สมาชิกทุกคนได้ใส่กันทั่วหน้า

ความหล่อครั้งนี้เกิดขึ้นในทัวร์ปลายทางสุดท้ายของ “24K Magic World Tour” ณ​ Las Vegas ซึ่งตรงกับวัน New Year Eve พอดี ก่อนจะขึ้นเวทีวันนั้น Bruno Mars ได้จัดเตรียมกล่องนาฬิกาจำนวน 8 กล่องตามจำนวนสมาชิก Hooligans โดยมีการ Customize คำว่า “Audemars Piguet: Bruno Mars 24K Magic World Tour Edition.” บนกล่องอย่างสวยงาม

เมื่อเปิดกล่องจะพบนาฬิกา 18K-gold AP Royal Oak “Jumbo” Extra-Thin Ref. 15202 ขนาดหน้าปัด 39 mm สุดคลาสสิค ที่มีกลไก ultra-thin Calibre 2121 movement. และสายนาฬิกาทำจากทอง 18K สุด blings ราคาไทยก็ราวเรือนละ 1.7 – 2 ล้านบาท เบ็ดเสร็จ 8 เรือนก็เป็นเงินร่วม 16 ล้านบาทเหนาะ ๆ สำหรับเราคงจะเป็นตัวเลขที่มากโข แต่สำหรับ Bruno Mars บอกเลยว่าขนหน้าแข้งไม่กระดิกเทียบกับการสร้างพลังใจให้สมาชิกได้ร่วมแสดงโชว์กันต่อไปในปีหน้า

ดูจากสีหน้าสมาชิกของวงก็รู้สึกได้เลยว่า Happy ขนาดไหน ถือว่าเป็นการตอบแทนน้ำใจที่เท่และมีสไตล์สุด ๆ สมกับเป็น Bruno Mars และยิ่งเท่กว่ากับ Caption ใน Instagram ของเค้าที่บอกว่า “My boys continue to show the world what time it is, and a band that sings together blings together! ✨✨ #AudeMARS #Hooligans #Squad 2019! “

เป็นของขวัญปีใหม่ที่เท่สุดยอดไปเลยครับพี่ Bruno Mars

 

ADIDAS NITE JOGGER รีเฟลคทีฟสนีกเกอร์สุดล้ำ
 พร้อมเขย่าวงการสนีกเกอร์ทั่วโลก 12 มกราคม นี้

$
0
0

adidas Originals เปิดตัวสนีกเกอร์ใหม่ Nite Jogger โดดเด่นด้วยแถบสะท้อนแสง กับดีไซน์อันเป็นเอกลักษณ์ ที่ผสานความคลาสสิกกับความโมเดิร์นได้อย่างลงตัว ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจจากการหยิบยกเทคโนโลยี hi-vis มาประยุกต์ใช้ ทำให้ Nite Jogger เป็นสนีกเกอร์สุดล้ำสำหรับเหล่าครีเอเตอร์ผู้หลงใหลในยามค่ำคืน

การออกแบบที่โดดเด่นเหนือใครของ Nite Jogger ที่มาพร้อมกับเทคโนโลยีการสะท้อนแสง ส่องสว่างในที่มืด จะกลายเป็นปรากกฎการณ์ใหม่สำหรับสายสตรีท ด้วยการพัฒนาสนีกเกอร์ผสานเข้ากับเทคโนโลยี hi-vis ที่จะเสริมให้สนีกเกอร์เรืองแสงได้ในเวลากลางคืน ไม่ว่าจะเป็นที่เชือกรองเท้า สามแถบเอกลักษณ์ฉบับอาดิดาส แถบด้านหลัง รวมถึงลวดลายไฮไลต์ นับเป็นการนำเทคโนโลยีรวมเข้ากับการออกแบบที่ล้ำสมัย เพื่อเหล่าบรรดาครีเอเตอร์ ผู้กล้าที่จะเดินตามทางของตนเอง

ส่วน Upper เป็นไนลอนน้ำหนักเบา ผสานกับตาข่ายถักแบบนุ่ม และหนังกลับสีดำสุดเท่ ส่วน sole มาพร้อมพื้น BOOST เต็มผืน เพื่อส่งมอบความสบาย และพร้อมสำหรับการสำรวจในยามค่ำคืน

การเผยโฉมของ Nite Jogger ในครั้งนี้ มาพร้อมกับสีส้มโดดเด่นตัดกับ upper สีดำ ในขณะที่บริเวณส้นเท้านั้นมีเอกลักษณ์ที่เชื่อมโยงกับโมเดลในอดีต นับเป็นการสานต่อรูปแบบของการนำสิ่งต่างๆในอดีตมาสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆเพื่ออนาคต Nite Jogger เป็นสนีกเกอร์ที่ออกแบบมาเพื่อการแสวงหาความคิดสร้างสรรค์อย่างไม่หยุดยั้ง โดยปราศจากข้อจำกัดในเรื่องแสง และปิดท้ายด้วยกิมมิคสุดคูลกับข้อความ “the speed of nite” ที่เขียนด้วยรหัสมอร์ส (morse code) ที่ส่วน outsole ของ Nite Jogger

Nite Jogger วางจำหน่ายพร้อมกันทั่วโลก 12 มกราคม นี้ ในราคา 5,200 บาท ที่อาดิดาส แบรนด์เซ็นเตอร์ เซ็นทรัลเวิลด์, 
ร้านอาดิดาส ออริจินอลส์ สยามเซนเตอร์, ร้านอาดิดาส ออริจินอลส์ ไอคอนสยาม, Carnival และทางออนไลน์ที่ https://www.adidas.co.th/ ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่ www.facebook.com/adidasTH

Viewing all 7776 articles
Browse latest View live