Quantcast
Channel: Unlockmen
Viewing all 7776 articles
Browse latest View live

FROM RAGS TO DISPLAY : CHAPTER 3 อีเว้นท์ที่เต็มไปด้วย รูป รส กลิ่น เสียง เจ๋ง ๆ ของผู้ที่หลงใหลความวินเทจ

$
0
0

ผ่านไปสด ๆ ร้อน ๆ กับงาน FROM RAGS TO DISPLAY ครั้งที่ 3 กิจกรรมโคตรดีต่อใจสำหรับเหล่าคนที่รักและหลงใหลในของ Vintage โดยปีนี้จัดขึ้นภายใต้ธีม “WEAR THE MUSIC” ในงานเต็มไปด้วยกองทัพเสื้อยืดวินเทจมากมายและเสียงดนตรีจากยุค 70’s , 80’s , 90s ภายใต้บรรยากาศสบาย ๆ ริมแม่น้ำเจ้าพระยาในอู่ต่อเรือกรุงเทพ(The Bangkok Dock) กิจกรรมภายในงาน แบ่งออกเป็นหลายส่วน ไม่ว่าจะเป็นโซนร้านค้า กว่า 180 ร้าน ที่ไม่ได้มีเพียงพ่อค้าแม่ขายชาวไทยเท่านั้น

แต่พี่น้องคนรักของเก่าจากเพื่อนบ้านฝั่งประเทศมาเลเซียรวมไปถึงญี่ปุ่น ก็ลงุทนขนเสื้อผ้าข้ามน้ำข้ามทะเลมาให้เราได้เสียเงินชนิดไม่ต้องเดินทางไปไหนไกล ไม่ว่าจะเป็นร้านชื่อดังอย่าง BERBERJIN และ MR.clean รวมไปถึงกิจกรรมประมูลของอย่าง Auction manage by “ LOVE TOKYO ” สำหรับคนชอบบิดของแข่งกัน ส่วนสาย ขุด คุ้ย ยื้อแย่งเป็นชีวิตจิตใจคงไม่หนีไม่พ้นความดึงดูดของเขต Backyard Sale By G rags 72 เพราะมีการน้ำเสื้อผ้ามาเทครัวให้ทุกคนได้เลือกสรรและจับจองอย่างกันสนุกสนานในราคาเพียงตัวละ 100 บาทเท่านั้น

อีกโซนที่น่าสนใจไม่แพ้การจับจ่ายใช้สอยคือ นิทรรศการ WEAR THE MUSIC จากเหล่า COLLECTOR ชื่อดังทั้งในและต่างประเทศ ที่ขน REAR ITEM ของวินเทจมากมายมาให้เราได้เห็นกันเป็นบุญตา แต่ไม่เพียงจะได้ชื่นชมความสวยงามจากของเก่าทั้งหลายเพียงอย่างเดียว ภายในงานยัง มี Live Concert จาก Cover Band มากมาย ที่ขึ้นมาคอยสับเปลี่ยนหมุนเวียนบรรเลงเพลงเก่า ๆ ให้หูของเราได้ซึมซับกับบรรยากาศวินเทจเข้าไปอีกเท่าตัว แถมคนที่อยากจะเอากลับไปฟังอยู่บ้านก็สามารถเดินไปอุดหนุนร้านแผ่นเสียงวินเทจในงานได้อีกด้วย

ด้านคนรักหนังยังมี Outdoor Theater นำ Documentary ดี ๆ มาให้นั่งดูสร้างแรงบัลดาลใจกันไปพลางพักเหนื่อย พร้อมกับ Street Food ที่มีขายในงาน ซึ่งได้อารมณ์ไปอีกแบบ ส่วนวินเทจสายใจบุญก็ไม่น้อยหน้างานนี้ยังมี Workshop : The Making of “WEAR THE MUSIC” T – Shirt by influencer ครูบ้านนอก ที่จะนำรายได้จากการขายไปสมทบทุนการศึกษาให้กับเด็ก ๆ อีกด้วย เรียกได้ว่า มางานเดียวได้ทั้งความสนุกและอิ่มบุญอีกด้วย

 

แม้ว่าจะจบไปเป็นที่เรียบร้อยแล้วสำหรับงาน FROM RAGS TO DISPLAY : CHAPTER 3 แต่ทีมงาน UNLOCKMEN เชื่อว่าพวกเขาจะต้องกลับมาจัดงานดี ๆ เช่นนี้อีกอย่างแน่นอน ซึ่งงานนี้จะมาคนเดียวหรือหมู่คณะ ก็ไม่สำคัญเพราะทุกคนต่างเอนจอยสนุกสนานไปกับงานกันหมด ไม่ว่าจะเป็น คนรักของ นักสะสม พ่อค้า หรือคนที่หลงมา เพราะบรรยากาศภายในงานเป็นกันเองสุด ๆ คล้ายกับว่า นี้เป็นเมืองแห่งของเก่าที่ทุกคนอยู่ด้วยกันมานาน สำหรับใครที่พลาดไป และไม่อยากจะเสียโอกาสอีกก็สามารถเข้าไปติดตามข่าวสารได้ที่ Facebook : FROM RAGS TO DISPLAY


เผยความลับ ! FASHION GOD อย่าง KANYE WEST ก็มีไอดอลในเรื่องสไตล์กับคนอื่นเขาเช่นกัน

$
0
0

เป็นเรื่องน่าเหลือเชื่อว่าสไตล์ก็อดอย่าง Kanye West ก็มีไอดอลในการแต่งตัวกับเขาเช่นกัน เพราะใครจะไปคิดว่าผู้ชายที่เปรียบเหมือนตัวพ่อแถมยังเป็นคนกำหนดเทรนด์แฟชั่นของโลกจะมีโรลโมเดลกับเขาเช่นกัน

เพราะต้องสารภาพตามตรง ก่อนหน้านี้เราคิดมาเสมอว่า Kanye West จะต้องเป็นคนที่เซ้นท์การแต่งตัวเหมือนพระเจ้าประทานมาให้คิดรูปแบบแพตเทิร์นดีไซน์ด้วยตัวเอง จนเกิดเป็นเทรนด์ที่ทั่วโลกต้องแต่งตัวตาม แต่ปรากฎเรื่องน่าเหลือคือ Kanye เองก็ยังเป็นมนุษย์ปุถุชนธรรมดาที่นำแรงบันดาลใจจากหลาย ๆ แห่งมาสร้างสรรค์เป็นสไตล์ของตัวเอง

ซึ่งจากการเปิดเผยล่าสุดทำให้เรารู้ว่าในช่วง 3-4 ปีหลังมานี้ใครคือคนที่ Kanye West ใช้เป็นแรงบันดาลกับสไตล์ของตัวเองมากที่สุด จนเราถึงกับร้องอ้อเนื่องจากไม่เคยสังเกตมาก่อน ทว่ามันกับตรงเป๊ะ ๆ มาก

Shia LaBeouf ที่หลายคนมองว่าเขาเพี้ยน สติไม่ปกติ แต่ครั้งหนึ่งทีมงาน UNLOCKMEN เคยวิเคราะห์การแต่งตัวของเขาแล้วว่าสุดโต่งและเป็นตัวเองมาก ๆ เพราะตลอดเวลากว่า 10 ปีหลังจากที่ Shia (content) ค้นพบสไตล์ของตัวเองที่ผสมผสานระหว่าง Millitary และ  Athleisure เกิดเป็น Normcore ที่ตัวเขาเองเรียกมันว่า “Blue Collar” จนกลายเป็นแรงบันดาลใจให้ Kanye รู้สึกชื่นชอบในตัวเขา

 

ถ้าหากเราย้อนดู Yezzy คอลเลคชั่น หรือ Style Guide ของ Kanye จะพบว่ามีความเป็น Shia แฝงซ่อนอยู่มาก ซึ่งเราก็ไม่หยิบยกเอามาพูดลอย ๆ  แบบไม่มูลที่มา เพราะจากบทสัมภาษณ์ของ Shia LaBeouf ใน Esquire ได้เปิดเผยว่าครั้งหนึ่งราว ๆ ปี 2016 ก่อนที่ทั้งคู่จะรู้จักกัน Shia ได้พาแม่ของตนไปดูคอนเสิร์ต The Life of Pablo เนื่องจากแม่ของ Shia ชื่นชอบ Kanye West เป็นอย่างมาก หลังจากที่ Kanye West รู้ข่าวจึงได้เชิญทั้งคู่มายังหลังเวทีและแลกเปลี่ยนความคิดกัน ก่อนที่ทั้งคู่จะมีการนัดพบกันที่บ้านของ Shia อีกครั้งหนึ่ง

Kanye West ได้บอกกับ Shia ว่า “ฉันอยากจะได้เสื้อผ้าของคุณไปขายที่ pop-up shop “ และด้วยความสบาย ๆ ของ Shia จึงตอบกลับไปว่า “ได้สิหยิบอะไรก็ได้ที่คุณต้องการ” ปรากฎว่า Kanye West หยิบเสื้อผ้าทุกชิ้นของ Shia LaBeouf ไปจนหมดตู้เสื้อผ้า Shia เล่าแบบติดตลกต่อว่า “ผมเนี่ยหละคนที่บริจาคเสื้อผ้าให้กับ Kanye West”

นอกเหนือจากนี้ Kanye West เองก็เคยแร็ฟชื่นชม Shia LaBeouf ว่าเป็นคนที่มีสไตล์สุดคูล จนเขาอยากจะแต่งตัวตามเลยทีเดียว

"Shia Labeouf is fresh as f***" – Kanye West

A post shared by Shia LaBeouf (@shialabeoufdaily) on

“I wish I dressed as fresh as Shia LaBeouf….Why? Yeah, beacuse Shia LaBeouf is Fresh as Fxxx”

ยังมีอีกหนึ่งเรื่องขำขันของเหตุการณ์นี้เมื่อมีชาวเน็ต แคปเจอร์รูปภาพว่า Kanye West ใส่หมวกเหมือนกับ Shia ซึ่งหลายคนสงสัยว่าทำไมมันช่างเหมือนกันราวกับแกะ จากนั้นก็มีคนแท็ก Twitter ไปถามภรรยาสุดสวย Kim Kadashian ถึงที่มาของหมวก โดย Kim ได้ตอบกลับว่า “Shia ได้มอบหมวกใบนี้ให้กับ Kanye และมันก็เป็นหมวกใบโปรดของเขาอย่างมาก… หมวกนี้โคตรฮ็อต”

จากทั้งหลักฐานทั้งหมดนี้ก็น่าจะพอยืนยันได้ว่า Kanye West ปลื้มและเห็น Shia เป็นไอดอลในเรื่องสไตล์เช่นกัน เพื่อให้เห็นภาพมากยิ่งขึ้น เราจึงได้นำภาพเปรียบเทียบระหว่างสองคนนี้ว่าเหมือนกันมากน้อยเพียงใด

Military Boots

Dad Hat

Sock Prominence

Unexpected Short 

 

Honda Monkey ลิงตัวจิ๋วแต่จี๊ด ที่ทำให้ไบค์เกอร์สายมินิหลงรักมากกว่า 50 ปี

$
0
0

พูดถึงรถมอเตอร์ไซค์ คนทั่วไปคงจะแบ่งรูปแบบของรถมอเตอร์ไซค์ง่าย ๆ เป็นรถแม่บ้าน รถออโต้ รถบิ๊กไบค์ แต่หลายคนอาจจะยังไม่รู้ว่ายังมีกลุ่มคนจำนวนมากที่หลงรักมอเตอร์ไซค์อีกรูปแบบหนึ่งที่เรียกว่า “มินิไบค์”

และหากพูดถึงเรื่องราวของ “มินิไบค์” ชื่อของ Honda Monkey น่าจะเป็นชื่อแรก ๆ ที่คนนึกถึง เจ้ารถคันเล็กหน้าตาน่ารักนี้มันมีอะไรน่าสนใจถึงครองใจเหล่าไบค์เกอร์และนักสะสมรถมาได้ยาวนานกว่า 50 ปี วันนี้ UNLOCKMEN จะพาย้อนกลับไปดูเรื่องราวของ Honda Monkey ว่าอะไรที่ทำให้คนจำนวนมากต้องหลงรักเจ้ารถไซส์มินิคันนี้

เริ่มจากเรื่องเล่น ๆ

Honda Monkey นั้นถือกำเนิดมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1961 แรกเริ่มเดิมทีเจ้าลิงน้อยนี้ไม่ได้เกิดมาจากความตั้งใจจะออกแบบมาเพื่อขาย แต่เกิดจากความนึกสนุกของพนักงานในบริษัทฮอนด้าที่อยากจะทดลองทำมอเตอร์ไซค์คันเล็ก ๆ ไว้ขี่เล่นเวลาว่าง!

และเรื่องราวหลังจากนี้จึงเป็นตัวอย่างของคำว่า “ใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์” ได้ชัดเจนที่สุด เพราะพนักงานคนนั้นได้เอาเวลาว่างไปยกเครื่องยนต์ขนาด 50 ซีซี ที่มีขายอยู่แล้ว มายัดลงตัวถังเล็ก ๆ สีขาว ๆ กับโครงรถสีแดงตัดกันสวยงามพร้อมล้อจิ๋วขนาด 5 นิ้ว แล้วก็…เปล่า! ยังไม่ได้เป็น Honda Monkey

หลังจากประกอบเสร็จชื่อแรกของมันไม่ใช่ Monkey แต่เป็น Z100 ต่างหาก ซึ่งพอเสร็จแล้วเหล่าพนักงานก็ไปทดลองขับเล่นกันรอบ ๆ โรงงานฮอนด้า และสนามแข่ง Suzuka ซึ่งพอเริ่มมีคนเห็นความน่ารัก และท่าขับขี่ของเจ้ารถจิ๋วคันนี้ก็พากันเรียกว่า Honda Monkey

เล่นจนเป็นเรื่อง

หลังจากทำรถมาขี่กันเล่น ๆ จนเกิดกระแสการยอมรับกันเองภายในฮอนด้า ผ่านไป 2 ปี ฮอนด้าก็เริ่มทำการวิจัยจริงจังเพื่อที่จะทำรถจิ๋ว 50 ซีซี ให้สามารถขับขี่บนท้องถนนได้จริง จนเกิดเป็น CZ100 ที่พร้อมวางจำหน่ายในปี ค.ศ. 1963

และเมื่อ Honda CZ100 ออกวางจำหน่าย Honda Z100 ที่เป็นโปรเจกต์ทำกันเล่น ๆ ก็กลายเป็นรถระดับ Rare Item ไปในทันที เพราะทางฮอนด้าไม่นำออกมาจำหน่าย แต่ถึง Honda CZ100 จะเป็นรถที่ผลิตออกมาจำหน่าย ก็ผลิตออกมาแบบจำนวนจำกัด ปัจจุบันรถทั้งสองรุ่นจึงกลายเป็นที่ต้องการของนักสะสมกระเป๋าหนักไปเป็นที่เรียบร้อย

จากลิงฝูงเล็กสู่การกระจายตัวไปทั่วโลก

ปี ค.ศ. 1967 ฮอนด้าผลิต Honda Z50M ออกมาจำหน่ายโดยพัฒนามาจากพื้นฐานเครื่องเดิมของ Z100 และ CZ100 แต่เปลี่ยนรูปลักษณ์ภายนอกใหม่ซึ่งในปีนี้เองที่ฮอนด้าเริ่มจริงจังกับสายการผลิตรถไซส์มินิ และทำตลาดอย่างจริงจัง ส่งผลให้รถ Honda Z50M ออกมาจำหน่ายจำนวนมากระดับที่สามารถส่งออกไปขายต่างประเทศได้ และ Honda Z50M นี่เองที่ทำให้ไบค์เกอร์ทั่วโลกได้รู้จักและจดจำชื่อ Honda Monkey ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

 

ลิงน้อยในเมืองใหญ่

หลังจากฮอนด้าส่งฝูงลิงน้อยไปสร้างความน่ารักให้คนญี่ปุ่นและบ้านใกล้เรือนเคียงตกหลุมรักกันไปแล้ว ในปี ค.ศ. 1968 ก็ถึงเวลาที่ลิงน้อยได้ไปสร้างปรากฎการณ์ความน่ารักถึง “อเมริกา” จังหวะของการเข้าไปลุยเมืองใหญ่ของ Honda Monkey ดูเหมือนจะเหมาะเจาะกับช่วงที่วงการมอเตอร์ไซค์อเมริกันดูจะไม่ค่อยมีอะไรใหม่ และชอบทำแต่อะไรใหญ่ ๆ ออกมา

Honda Monkey เลยกลายเป็นรถที่แปลกใหม่และน่าสนใจของไบค์เกอร์ชาวมะกันเป็นอย่างมาก มากขนาดที่ผ่านไปแค่ 1 ปี ฮอนด้าถึงกับต้องพัฒนารถรุ่นใหม่ที่ชื่อ Honda Z50A ขึ้นมาเพื่อเอาใจไบค์เกอร์มะกันเลยทีเดียว ซึ่งก็เป็นการต่อยอดมาจาก Honda Z50M มีการปรับปรุงเรื่องหน้าตา เทคโนโลยี ความปลอดภัยอีกยกใหญ่ เรียกว่าไม่ใช่แค่หน้าตาดีขึ้นแต่ยังมาพร้อมเทคโนโลยีที่เพียบพร้อมอีกด้วย

กลับมาได้รึเปล่า

หลักจาก ปี ค.ศ. 1968 ฮอนด้าก็มีการผลิต Honda Monkey ออกมาอีกหลากหลายรุ่น จนมาถึงปี ค.ศ. 2007 ตำนานของ Honda Monkey ก็ถึงเวลาปิดฉาก หลักจากมีการออกรถรุ่นฉลอง 40 ปี ข่าวคราวของ Honda Monkey ก็เงียบหายไปกับสายลม เล่นเอาชมรมคนรักลิงทั่วโลกต่างคิดถึงและเฝ้ารอการกลับมาของเจ้าลิงน้อยนี้อย่างมีความหวัง

10 ปี ผ่านไปไวเหมือนโกหก ค.ศ. 2017 ฮอนด้าก็ได้เซอร์ไพรส์แฟน ๆ ลิงน้อยทั้งหลายด้วยการออก Honda Monkey รุ่นพิเศษฉลองครบรอบ 50 ปีให้ได้จับจองเป็นเจ้าของกันถึง 3 รุ่น!

แต่นั่นเป็นเพียงแค่เซอร์ไพรส์แรก เพราะหลังจากเปิดตัว Honda Monkey รุ่น 50 ปี ฮอนด้าก็ประกาศยกเลิกการผลิตรถ Honda Monkey ขนาด 50 ซีซี ในปีเดียวกัน อารมณ์แฟน ๆ คงเหมือนการโดนแฟนเก่ามาขอคืนดีได้วันเดียวแล้วโดนบอกเลิกในวันถัดไป!

Honda Monkey 125 ความหวังของคนรักลิงเมืองไทย

ถึงแม้ Honda Monkey จะสร้างความผูกพันให้กับไบค์เกอร์ทั่วโลกมากว่า 50 ปี แต่ไบค์เกอร์ชาวไทยที่หลงรักเจ้าลิงน้อยนี้ ได้แต่มองเพื่อน ๆ ต่างประเทศเขาเล่นกันเท่านั้น เพราะในประเทศไทย Honda Monkey ไม่เคยมีขายมาก่อน สำหรับคนที่ต้องการจะมีเก็บไว้สะสมจะต้องสั่งมาจากญี่ปุ่นหรือประเทศอื่น ๆ เท่านั้น ซึ่งแน่นอนว่าการจะนำมาขับขี่จริง ๆ ไม่ใช่เรื่องง่าย

ในความโชคร้ายยังมีโชคดีเมื่อปลายปี ค.ศ. 2017 ทางฮอนด้าได้เปิดตัว Honda Monkey 125 ในงาน Tokyo Motor Show งานนี้เรียกเสียงฮือฮาไปทั่วโลก โดยเฉพาะประเทศไทย

การเปิดตัวของ Honda Monkey 125 ที่งาน Tokyo Motor Show ทำให้คนไทยดูมีความหวังที่จะได้เจ้าลิงน้อยมาครอบครองกับเขาบ้าง เพราะอย่างที่รู้กันว่าก่อนหน้านี้ Honda Monkey ที่เป็นรถ 50 ซีซี ไม่เคยมีเข้ามาขายในไทย พอเห็นการเปิดตัวอย่างยิ่งใหญ่พร้อมข่าววางจำหน่ายอย่างเป็นทางการก็ดูเหมือนว่าครั้งนี้ฮอนด้าไม่ทำมาเล่น ๆ เหมือนรุ่นพิเศษที่ออกมาก่อนหน้านี้แน่

และถ้าเป็นไปตามคาด เร็ว ๆ นี้เราคงได้เห็น Honda Monkey 125 ในประเทศไทยอย่างแน่นอน หวังว่า 50 ปี แห่งการรอคอยจะมาถึงสักที

 

“ชุดปฐมพยาบาลแผลใจ” ชายเศร้า เหงา เครียด ต้องมีติดบ้านไว้บำบัดอารมณ์ก่อนพัง

$
0
0

“สบายมากครับ” เป็นคำพูดที่บรรดาชายชาตรีมาดแมนอย่างเรามักจะใช้บอกคนรอบข้างบ่อย ๆ เวลามีปัญหา หลายครั้งก็เป็นการหลอกตัวเองว่าเราสบายดี ยิ่งกับเรื่องอารมณ์ด้วยแล้ว ภาวะผู้นำของเราเหมือนถูกกำหนดมาให้ต้อง Keep Calm อยู่บ่อย ๆ ทั้งที่ในใจบางทีก็เดือด เหงา เศร้า เหมือนคนอื่น ๆ จนสุดท้ายกว่าจะรู้ตัวอีกทีสติที่มีก็ขาดผึงไปจนอาการย่ำแย่

 

เพื่อกอบกู้อารมณ์ที่เก็บไว้ข้างในให้ใสสะอาดไม่ขุ่นมัว มันเลยมีนวัตกรรมชิ้นนี้ขึ้นมา เรียกว่า “ชุดปฐมพยาบาลอารมณ์” ไว้ใช้เป็นอุปกรณ์สามัญประจำบ้านติดตัวไว้อีกกล่องเพิ่มจากพวกกล่องยาแดง แอลกอฮอล์ หรือสำลี ที่ต้องมีรักษาแผลสด โดยเกิดจากการตั้งคำถามของ Rui Sun ดีไซน์เนอร์ที่ตั้งคำถามว่าทำไมโลกใบนี้มันถึงผลิตแต่โปรดักส์รักษาแผลกายไม่ยอมเหลียวแลแผลใจกันบ้าง

“Why do so many products ease physical pain and so few treat emotional stress?” – Rui Sun

เปิดกล่อง หยิบใช้

เพื่อให้ครอบคลุมเรื่องเครียด ข้างในกล่องปฐมพยาบาลอารมณ์จะมีของให้เราได้ใช้อยู่ 5 ชิ้น จากการสำรวจคร่าว ๆ เห็นว่าเขาให้แก้อารมณ์แย่ ๆ ด้วยการใช้ประสาทสัมผัสทั้งรูป กลิ่น เสียง จะขาดก็แต่เรื่องกินเท่านั้น ที่สำคัญรูปลักษณ์ของมันยังดูสนุกตั้งแต่มองเห็นแล้ว

 

1st : The Indigo Third Eyeglasses

แว่นตาสามมิติสไตล์คาไลโดสโคป หรือของเล่นย้อนวัยที่เรารู้จักแบบกล้องสลับลาย แต่หน้าตามันเท่กว่าเยอะ ใส่ไปขยับแว่นไป ของเหลวสีฟ้าที่ขยับไปตามการหมุนจะช่วยให้เราเห็นภาพมุมแปลก ๆ สนุกกว่าเดิมมากขึ้น ลืมไปเลยว่าเคยเครียด

 

2nd : The Purple Breathing Mask

คนที่หมดแรงเหมือนโดนสูบวิญญาณ ไม่อยากกระดิกตัวไปไหน นั่งเฉย ๆ แล้วสวมชิ้นนี้เลย เวลารู้สึกตึง หายใจก็ไม่คล่องให้เอาชิ้นไปใช้เพื่อดมอากาศบริสุทธิ์ผ่านการใส่เครื่องช่วยหายใจปักดอกไม้ จะได้ดมกลิ่นอโรม่าเต็มที่ รู้สึกผ่อนคลาย สงบ บำบัดความขึ้นและจิตวุ่น ๆ ได้ดี

 

3rd : Blue Stress Buster

สายที่อยากระบายด้วยการตะโกะด่า จัดไปเลยชิ้นนี้ โทรโข่งสะท้อนความเครียด หน้าตาเป็นโทรโข่งใส ๆ แต่ติด Mechanic เล่นกับเสียงด้วยการหมุนหลอดของเหลวสีฟ้าเข้าไปใกล้ ๆ ด้ามจับ ช่วยให้เราเผชิญหน้ากับความคับข้องใจฉบับรูปธรรม ชนิดไม่ต้องไปตะโกนให้มีเอคโค่ตอบตามป่าเขาอีกต่อไป เพราะถ้าตะโกนในนี้เสียงที่เราตะโกนไปมันจะไปสเปรย์หมึกสีฟ้าให้กระจายออกมา หงุดหงิดแค่ไหนก็เชิญระบายมันทั้งเสียงทั้งสีไปในทีเดียว

 

4th : Green Mediating Stethoscope

ดีไซเนอร์เขาบอกว่าชิ้นนี้ไว้ใช้เวลาทะเลาะกับใครให้ไปฟังใจมันก่อน จังหวะกำลังพ่นน้ำลายทะเลาะ ถ้าเห็นท่าว่าอีก 5 นาทีมีหมัดงัดอันนี้ขึ้นมาได้เลย แต่หูฟังชิ้นนี้มันจะต่างจากที่หมอใช้ฟังเพื่อตรวจอาการปกติ เพราะมันออกแบบมาให้มี 2 ชิ้น แต่ฟังได้ข้างเดียว อารมณ์ฟังหูไว้หู ให้ต่างคนต่างหยิบมาฟังเสียงหัวใจอีกฝ่ายระหว่างคุย พอฟังเสียงหัวใจเราจะสัมผัสได้ถึงความจริงใจหรือต่างฝ่ายต่าได้ยินเสียงเดียวกันแล้วไม่อยากจะทะเลาะให้เสียเวลา

 

5th : Yellow Confidence Booster

ชูชีพเสริมความมั่นใจ ใช้วัสดุต่างจากชูชีพทั่วไปเพราะด้านในไม่ใช่โฟมให้ลอยตัวแต่เป็นลูกปัดสีเหลืองให้สวม รูดซิป และติดล็อกให้กระชับตัวไว้ พอใส่ปุ๊ปเราจะรู้สึกสบายร่างขึ้น หลักการเดียวกับพวกเม็ดโฟมที่ใส่ไว้ในหมอน พอมันนาบกับตัวปุ๊ปจะรองรับน้ำหนักในการพิง ที่สำคัญยังโอบกระชับเหมือนมีคนโอบกอดให้เราอุ่นใจขึ้น ทำให้วันหมองสว่างเหมือนสีของชูชีพเลย

ทั้ง 5 ชิ้นนี้แม้ยังไม่มีบทพิสูจน์ทางการแพทย์ออกมารับรองว่าใช้ได้จริงในการบำบัดคนที่มีอาการป่วยขั้นสูง แต่ด้วยหลักการ สีสันก็น่าเชื่อว่าจะใช้บำบัดคนที่เพิ่งอารมณ์แย่ได้ ที่สำคัญดีไซน์ที่ดูสนุก เป็นมิตร ยิ่งทำให้ผู้ชายอย่างเรา ๆ ได้รู้สึกผ่อนคลายเหมือนย้อนวันวานกลับไปเล่นในวัยเด็กอีกครั้ง แต่ถ้าเห็นรูปแล้วยังไม่รู้อยู่ดีกว่าใช้งานยังไง ก็ลองกด play ดูภาพเคลื่อนไหวจากคลิปด้านล่างเลย

SOURCE

Credit  Cover Photo: ภาพปกอัลบั้ม enema of the state วง blink-182

REAL OR ILLUSION : แกะรอย 5 สิ่งที่เราจะต้องเจอแน่ ๆ ในหนังมหาเทพโนแลน

$
0
0

งานอดิเรกยอดฮิตในวันหยุดคงหนีไม่พ้นการได้ดูหนังดี ๆ สักเรื่อง ยิ่งถ้าคุณเป็นคอหนังประเทืองปัญญา ปมร้อยแปด ที่ต้องจับตาดู และขบคิดตามแล้วล่ะก็ หนังของ “คริสโตเฟอร์ โนแลน” ผู้กำกับสติเฟื่องคงติดอยู่ในลิสต์หนังบ้างสักเรื่อง หนังของโนแลนเอง เนื้อเรื่องค่อนข้างเป็นเอกลักษณ์ มั่นใจได้ว่าถ้าเปิดเรื่องไหนของเขาขึ้นมา เป็นต้องได้ดูซ้ำจับรายละเอียดใหม่กันอีกสักรอบ เพราะมันช่างเป็นหนังที่พล็อตล้ำโลกจนเราอาจจะตามทันบ้างไม่ทันบ้าง วันนี้ UNLOCKMEN จะพามาแกะรอยเอกลักษณ์หนังโนแลนที่เราจะต้องเจอในทุก ๆ เรื่องกัน ชนิดที่ว่ายังไงก็ต้องเจอมันสักอย่างในเรื่องนั่นแหละ

การเล่าเรื่องที่ไม่เรียงลำดับเวลา

ข้อนี้เป็นอะไรที่ค่อนข้างชัดเจน เพราะเจอได้ในหลายเรื่องที่เป็นผลงานสร้างชื่อให้กับเขา ไม่ว่าจะเป็น Memento อันนี้ก็เข้าข่าย แต่ลงดีเทลมากไม่ได้ เดี๋ยวจะกลายเป็นสปอยล์เอา Insomnia ที่มี Flashback โผล่มาทักทายคนดูให้งงกันเล่น ๆ The Prestige ที่ฉากแรกกับฉากสุดท้ายมีความเกี่ยวข้องกันแบบสุด ๆ และอื่น ๆ อีกหลายเรื่องอย่าง Dark Knight, InceptionThe Dark Knight RisesInterstellar ที่ข้ามเส้นเรื่องบ้าง ใช้ Flashback เล่นกับเส้นเรื่องบ้าง ทำให้เราต้องจับตาดูให้ดีตลอดเวลา ว่าฉากที่กำลังดูอยู่คือส่วนไหนของหนังกัน ต้องดูย้อนกลับหลัง? หรือตอนแรกจะเป็นตอนท้าย? ล้ำอะไรขนาดนี้!

แม้ฟังดูจะชวนงงงวย แต่ปฎิเสธไม่ได้เลยว่า คนที่ชอบหนังของโนแลน จะชอบข้อนี้มากเป็นพิเศษ จริง ๆ มันเป็นสิ่งที่ผู้กำกับคนอื่นก็ทำเหมือนกัน ไม่ได้มีแค่โนแลนคนเดียว แต่สิ่งที่โนแลนพิเศษกว่าคนอื่นคือ เขาสามารถเล่าให้มันน่าติดตามบนความงงงวย และทิ้งคำใบ้ให้เราค่อย ๆ แกะรอยตามเขาไปได้ เหมือนเราวิ่งไม่ทันแล้วเขาวิ่งให้ช้าลง พอเราวิ่งตามเกือบทันแล้วเขาก็เร่งสปีดไปอีกนั่นแหละ!

ตัวละครสีเทา

ตัวเอกของเรื่องจะไม่ได้หลุดมาจากนิยาย ที่จะดีแสนดี หรือเลวสุดขั้ว ตัวละครของเขาจะมีมิติมากกว่านั้น ไม่เก่งไปเสียทุกอย่าง สับสน ลองผิดลองถูก รู้จักทำผิดพลาดร้ายแรง ทำร้ายคนอื่น ตายบ้าง บาดเจ็บบ้าง แต่ตัวละครเองก็มีความรู้สึกต่อสิ่งที่ทำลงไป

ไม่เว้นแม้แต่ Batman ไตรภาคของเขาซึ่งเป็นตัวอย่างที่ชัดที่สุดโดยทำให้ฮีโร่ค้างคาวเข้าใกล้ความเป็นคนมากขึ้น เจ็บปวดกับความสูญเสีย ความโดดเดี่ยวลึก ๆ ที่อยู่ในใจที่กลายเป็นจุดอ่อน แม้ว่าจะรวยล้นฟ้า เป็นเจ้าพ่อเทคโนโลยีล้ำ ๆ ขนาดไหนก็เถอะ Memento และ The Prestige ก็เป็นตัวอย่างของตัวละครสีเทาที่ชัดเจนเหมือนกัน แต่เล่ามากไม่ได้ เดี๋ยวสปอยล์ (อีกแล้ว)

มุมกล้องที่ทำให้เราเป็นหนึ่งเดียวกับตัวละคร

มุมกล้องก็เป็นอีกสิ่งที่โดดเด่นมากสำหรับหนังของโนแลน เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้หนังของเขาจะแตะความรู้สึกคนดูอยู่เสมอ และสิ่งที่เขามักจะใส่ไปในหนังที่มีไดอะล็อกพูดคุยเป็นไฮไลต์ของเรื่อง คือการใช้มุมกล้องด้านหลังตัวละคร ทำให้ภาพที่ออกมาเหมือนเราอยู่ในมุมมองเดียวกับตัวละคร เราจึงรู้สึกว่าการเล่าเรื่องยังคงดำเนินต่อไป โดยเรามีส่วนร่วมอยู่ในนั้นด้วย เรามองเห็นแบบที่ตัวละครมองเห็น เรารู้ เราสับสน เราทำทุกอย่างไปพร้อมตัวละคร โดยที่เนื้อเรื่องก็ยังคงดำเนินต่อไป เรา Flow ไปกับเนื้อเรื่อง โดยไม่รู้สึกเป็นคนนอกหรือมุมมองจากบุคคลที่สามนั่นเอง

แสงสว่างและความดาร์คที่จงใจ

เราคงคุ้นเคยกับโปสเตอร์ดาร์ค ๆ และความอึมครึมที่ปกคลุมหนังทั้งเรื่อง แต่ถ้าสังเกตดี ๆ โนแลนมักจะใส่สิ่งที่เป็นแสงสว่างลงไปเพื่อเป็น Symbols ให้เราไปขบคิดและเชื่อมโยงกับปมต่อ ๆ ไปของหนัง อย่างใน The Prestige ฉากที่พื้นเต็มไปด้วยหลอดไฟไร้สาย ทำให้ Angier รู้สึกประหลาดใจบนความจริงไม่ใช่เรื่องหลอกลวง หรืออย่างตอน Bruce Wayne ใน Batman Begins เข้าไปในถ้ำค้างคาวแม้ว่าต้องเผชิญกับความกลัวแต่เขาก็มีไฟคอยส่องสว่างในมือของเขาเป็นตัวช่วย

ความเชื่อมโยงของหนังแต่ละเรื่อง

ถ้าจะบอกว่าเนื้อเรื่องเชื่อมโยงกันในความหมายของหนังจักรวาลเดียวกัน มันดูจะเป็นทฤษฎีสมคบคิดเกินไป เพราะจริง ๆ แล้วมันไม่ได้เชื่อมโยงกันด้วยเนื้อเรื่องหรอก แต่มันเชื่อมโยงกันด้วยดีเทลเล็ก ๆ ในแต่ละเรื่องที่ไขว้กันไปมา ถ้าใครเป็นแฟนหนังเดนตาย ชนิดที่ว่าจำได้ทุกดีเทลล่ะก็ ต้องเจอ Easter Eggs ที่ซ่อนอยู่บ้างแน่นอน หากยังนึกไม่ออก เราจะยกตัวอย่างให้ดูเล็กน้อยพอหอมปากหอมคอ อย่างใน Memento นาฬิกาเรือนที่ใช้ในเรื่องเป็นเรือนเดียวกับที่ถูกขโมยใน Following หรืออย่าง Batman Begins และ The Prestige เปิดเรื่องมาด้วยฉากติดซังเตของ Christian Bale เหมือนกัน

อ่านจนมาถึงตรงนี้แล้ว แฟนมหาเทพโนแลนคงยิ้มน้อยยิ้มใหญ่กับความจีเนียสของผู้กำกับคนโปรด ส่วนใครที่ไม่ได้เป็นแฟนแต่อ่านมาขนาดนี้แล้ว ก็ต้องลองหยิบหนังโนแลนขึ้นมาดูสักเรื่อง แล้วแกะรอยตามคอนเทนต์นี้แล้วล่ะ เผื่อจะได้มีเรื่องเอาไว้คุยกับเพื่อนแบบเซียน ๆ ว่าฉากนี้ในเรื่องคือเรื่องจริงหรือเรื่องหลอกกันแน่

SOURCE

CHUBBY IS SEXY : เตรียมพุงให้ดีหมีมาแรง! 5 เหตุผลดี ๆ ที่สาว ๆ ควรเทใจให้ผู้ชายหุ่นหมี

$
0
0

หนุ่มก้ามปูที่มาพร้อมกล้ามเนื้ออันเพอร์เฟ็กต์ หนุ่ม Skinny หุ่นนายแบบ ขอให้หลบไปก่อน นาทีนี้หนุ่มหมีพุง หนา ๆ ใหญ่ ๆ ไหล่กว้าง ๆ กำลังเรียกคะแนนจากสาว ๆ แบบไม่ยั้ง สาว ๆ เองก็ดูจะชอบหนุ่มแนวนี้อยู่ไม่น้อย

สำหรับกระแสที่มาแรงเมื่อไว ๆ นี้ก็คงเป็น “หนุ่มแดดดี้” ที่เราเคยพูดถึงไปแล้วในคอนเทนต์ “หนุ่มน้อยหลบไป หนุ่มใหญ่มาแรง “ล้วง 5 เหตุผล ทำไมสาว ๆ ชอบผู้ชายลุคแด๊ดดี้” กับแฮชแท็ก #แด๊ดดี้ที่ไม่ได้แปลว่าพ่อ” แต่กระแสที่มาแรงไม่แพ้กันในตอนนี้คือ “หนุ่มหมี” ที่วันนี้ UNLOCKMEN จะพามาดูเหตุผลดี ๆ (ที่อยู่นอกเหนือปัจจัยอย่างหน้าหล่อและกระเป๋าหนัก) เฉพาะหนุ่มหมีเท่านั้นที่จะให้สาว ๆ ได้

แบบไหนถึงจะใช่หมี ?

เดิมทีนิยามคำว่าหมีในฝั่งยุโรปจะหมายถึงหนุ่มตัวบึ้กแบบไม่เน้นกล้าม แต่ที่สำคัญคือต้องมีขนตามตัว ที่ทำให้ดูเหมือนหมีจริง ๆ นั่นเอง แต่สมัยนี้พอคำว่าหมีมันฮิตมากขึ้นเรื่อย ๆ ถ้าจะให้นิยามคำว่าหมีตรง ๆ ก็คงยาก เพราะจริง ๆ ก็มีอยู่หลากหลายสไตล์ที่สามารถนับว่าเป็นหนุ่มหมีได้เหมือนกัน แต่ถ้าจะให้อธิบายง่าย ๆ แบบรวดเร็วคือ “หนุ่มที่ตัวใหญ่ ทั้งแนวตั้งและแนวนอน หนา อาจจะมีกล้ามหรือไม่มีก็ได้ แต่ไม่เผละจนเนื้อเหลว”  ไม่ได้จำกัดว่ากล้ามด้วยหนาด้วยถึงจะหมี จะจ้ำม่ำเจ้าเนื้อก็เป็นหนุ่มหมีได้เหมือนกันทั้งนั้น หากพูดแล้วยังนึกไม่ออก มาลองดูภาพกัน

คงพอจะเห็นภาพคร่าว ๆ แล้วว่าหมีคือประมาณไหน ทีนี้เราจะพามาดูเหตุผลดี ๆ ที่หนุ่มหมีเอาชนะใจสาว ๆ ได้แบบเทน้ำเทน่า

กอดอุ่น CUDDLE เก่ง

สาว ๆ ลองคิดดูนะ กลับมาจากทำงานเหนื่อย ๆ อะไรจะดีไปกว่าการได้อ้อมกอดที่แสนจะนุ่มนิ่มที่พร้อมจะให้สาว ๆ ได้ตลอดเวลา ใต้ผ้าห่มอุ่น ๆ เอาตัวซุกได้เหมือนตุ๊กตาตัวใหญ่ ๆ ไม่ได้มีดีแค่กอดอย่างเดียว จะจับตรงไหนก็นุ่มนิ่มไปหมด ทั้งเหนียง ทั้งแก้ม ให้จุ๊บได้ฟอดใหญ่ ไม่ต้องกังวลว่านอน CUDDLE กันแล้วกระดูกตรงข้อศอกเอย เข่าเอย จะกระแทกให้เจ็บตัว เพราะเนื้อหมี ๆ บังไว้หมดแล้วน่ะสิ

ENJOY EATING สายกินห้ามพลาด

หนุ่มหมีมักจะมีความสุขกับการกินเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว รับรองว่าสาว ๆ จะต้องมีความสุขกับการเลือกเมนูไปด้วยกัน แพลนว่าเสาร์อาทิตย์นี้จะไปตะลุยกินร้านไหน และไม่ต้องกลัวว่าใครจะมาห้ามสาว ๆ ให้หยุดกิน หรือบอกให้ลดน้ำหนักหรอก เพราะสาวน้อยก็ต้องตัวเล็กกว่าหมี ๆ อย่างเราอยู่แล้ว กินข้าวหมดเหรอ ต่อของหวานสิ บิงซู หมูกะทะ ไปครับ ไปกินกัน คุณชอบผมก็ชอบ

รู้จักร้านอร่อย ๆ เพียบ

ช่วยไม่ได้ ก็เป็นคน ENJOY EATING นี่นา ร้านโปรดในใจเลยเยอะแยะไปหมด ไม่ว่าอยากจะกินแนวไหน ต้มผัดแกงทอด ของคาว ของหวาน รับรองว่าหนุ่มหมีเราจะมีร้านโปรดอยู่เสมอ และคงไม่ได้มีแค่ร้านเดียว เพราะแต่ละย่านก็ต้องมีร้านเด็ดร้านขึ้นชื่ออยู่แล้ว ลองได้เป็นแฟนหนุ่มหมีสิ รับรองว่าอยากกินอะไร เพียงแค่เอ่ยปาก เขาก็พาคุณไปได้ทุกอย่างที่นึกออกแน่นอน หนุ่ม ๆ เองก็ต้องคอยสังเกตว่าเธอชอบกิน หรือบ่น ๆ ว่าอยากกินอะไร แล้วประมวลผลร้านประจำอย่างว่องไว แล้วสวมวิญญาณสารถีพาเธอไปกิน ให้เธอรู้ไปเลยว่าเราใส่ใจทุกคำพูดของเธอ แม้จะบ่นหิว อยากกิน ลอย ๆ ก็เถอะ

ปกป้องได้ สบายหายห่วง

มีหนุ่มหมีเหมือนมีบอดี้การ์ด จะไปไหนมาไหนก็ไม่ต้องกลัวใครมารังแก เพราะมีบอดี้การ์ดหมีคอยเดินคุม มดไม่ให้ไต่ไรไม่ให้ตอม หรืออยากจะยกของ เข็นรถที่จอดซ้อนคัน สารพัดงานที่ต้องใช้แรงงาน มีหรือที่หนุ่มหมีจะทำไม่ได้ ไม่ต้องออกแรงเองให้เหนื่อย หนุ่ม ๆ เองก็อย่าลืมเอาจุดแข็งจุดนี้ของเราเอาใจสาว ๆ อยู่บ่อย ๆ หมั่นสังเกตว่าเธอต้องการอะไร อะไรที่เธอทำเองไม่ถนัดนัก ลองเสนอตัวไปช่วยเธอ รับรองว่าบวกคะแนนได้ไปแบบเต็ม ๆ

ไม่ต้องกลัวสาวรุมทึ้ง

ไม่ใช่ว่าไม่มีใครมาสนใจหรือหนุ่มหมีไม่ดีอะไรแบบนั้น แต่เพราะหนุ่มหมีคือความชอบเฉพาะกลุ่ม ที่ไม่ได้มีรสนิยมแบบนี้กันทุกคน เท่านั้นเอง ไม่ต้องปวดหัวว่าสาวไหนจะคอยแอดมารัว ๆ คอยทักแชทเช้าเย็น เพราะไม่ใช่สเปกที่จะถูกใจสาวทุกคนหรือสาวส่วนใหญ่นัก คิดในแง่ดีคือคุณเป็นกลุ่มลิมิเต็ดอิดิชั่นนั่นเอง

แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นหมีสายไหน สิ่งที่สำคัญคือความรัก ความเอาใจใส่ ความเข้าใจ ที่จะประคับประคองความสัมพันธ์ไปได้ตลอดรอดฝั่ง และอย่าปล่อยตัวเองให้หมีเกินไปนัก นอกจากเรื่องสุขภาพที่อ่อนแอลง มันจะเกินจุดหมีจนกลายเป็นแจ็บบ้าเอาน่ะสิ

“อีสานสามัญ” นิทรรศการกลางเมืองเปลี่ยนพื้นที่แห้งแล้งเป็นแดนอุดมศิลป์เสรี เฉือนทุกวงการ

$
0
0

ถ้าพูดถึงคำว่า “อีสาน” สำหรับผู้บ่าวเมืองหรือคนนอกพื้นที่อาจมองภาพไม่ค่อยออก นอกจากจะเข้าใจว่าเป็น ถิ่นเศรษฐกิจ ยินเสียงแคน แดนส้มตำ และเป็นพื้นที่แห้งแล้งตามที่หน้าบทเรียนบอกไว้ ทั้งที่ในความจริงอีสานมีมากกว่านั้นเยอะ โดยเฉพาะความเข้มข้นทางอุดมการณ์ งานศิลป์ กับวัฒนธรรมแสบ ๆ คัน ๆ เรื่องเพศที่เอามาตีแผ่ผ่านประเพณี เรียกได้ว่าความทะเล้นขี้เล่นเลยไม่เป็นรองใครเหมาะกับผู้บ่าว UNLOCKMEN ที่มีศิลปะความแสบมันส์ ลึก น่าสนใจ ชอบการแสดงความคิดเห็นและมีอารมณ์ดีเป็นที่ตั้งจะได้ไป challenge ประสบการณ์ใหม่ช่วงวันหยุด โดยสามารถเบิ่งเต็มตาได้ที่นิทรรศการ “อีสานสามัญ” นิทรรศการหมุนเวียนที่จัดขึ้นใจกลางกรุงเทพฯ ภายในห้องนิทรรศการหลักชั้น 9 ของหอศิลป์วัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร (BACC) ได้ ส่วนใครที่ยังตัดสินใจไม่ได้ลองดูภาพที่เราไปเก็บมาฝากเพื่อเรียกน้ำย่อยกันก่อน

พุ่งตรงเข้าตะวันออกเฉียงเหนือที่ชั้น 9 เดินขึ้นบันไดเวียนมาตามทาง สิ่งที่เจอจะมีงานศิลปะหลายประเภท ทั้งภาพวาด ภาพถ่าย Installation แล้ววิดีทัศน์ให้เราเดินไปได้ตลอดรายการไม่เบื่อ ที่สำคัญงานไม่ได้ลึกหรือ Abstact เกินกว่าจะเข้าใจ แต่สามารถนั่งมองและอ่านมันได้ยาวๆ หลายนาที

 

ดินแตกบนผืนผ้าใบแลกเรื่องเล่าชาวอีสาน

ภาพแม่เฒ่า พ่อเฒ่า บนผืนผ้าใบที่จัดเรียงตามแนวกำแพงด้วยสีหน้าเปี่ยมอารมณ์ความรู้สึกถูกจับเล่ากับสีโทนน้ำตาลที่ทำให้เราสัมผัสได้ถึงความระอุขอแดนอีสาน ขัดกับแอร์คอนดิชั่นเย็น ๆ ที่กำลังงานได้เป็นอย่างดี

ถ้าบอกว่ามันต่างจากภาพวาดของศิลปินคนอื่น ๆ ตรงไหน ก็คงต้องยกให้ความอเมซิ่งของเทคนิกที่ สมภพ บุตรราช ศิลปินเจ้าของผลงานถ่ายทอดความเป็นอีสานได้อย่างน่าเหลือเชื่อ จากการเอาความแห้งแล้งของก้อนดินมาตีความและชีวิตและประวัติศาสตร์ของคนธรรมดานำมาถ่ายทอด จับจุดร่วมรอยแตกของดินแห้ง ๆ มาวางไว้บนผิวหน้าของผู้คนในอีสาน โดยเฉพาะกับพ่อเฒ่า แม่เฒ่าทั้งหลายที่ดวงตาแสดงอารมณ์ไว้ลึก ๆ รับกันกับผิวหน้ามีรอยแยกลึกจากการแตกระแหงของก้อนดินและสี อย่างภาพนี้ยิ่งน่าสนใจทั้งการตั้งชื่อและการสื่อ เพราะภาพชื่อว่า “เกิดแต่ดินอีสาน: ยาไฮ ไขจันทา, 2560” เล่นคำว่าเกิดแต่ดินจากเทคนิกการสร้างภาพว่าใช้ดินทำให้เกิดขึ้นและใช้ความหมายลึกอีกชั้นว่า ยายไฮคนนี้เกิดที่ถิ่นอีสาน

 

“หมอนรถไฟ” รางรถไฟคู่กลืนกินครอบครัวริมทาง

ชิ้นนี้วางยาวเป็นแนวดึงสายตา ที่จริงเรามองออกตั้งแต่แรกแล้วว่ามันคือรางรถไฟ แต่สิ่งที่ดูประหลาดออกไปคือการใช้หมอนลายขิดสี่เหลี่ยมหลายใบที่ทั้งเก่าทั้งมอมมารองรับท่อนเหล็กยาวที่ใช้ทำราง ก่อนทั้งหมดถูกเฉพาะด้วยคำลึกซึ้งดึงอารมณ์สีดำจางเหมือนคราบเขม่าบนผนังด้านข้าง

ความมั่นคงของชาติ ความเจริญของชุมชนมันเจอตีกลับเสียเละเทะด้วยภาพที่เราอาจจะหลงลืมไป เรามักลืมว่าทุกที่ที่ความเจริญเข้าไปเหยียบย่าง มันสร้างรอยแผล และความหวาดกลัวของเจ้าของพื้นที่ที่พวกเขาไม่มีสิทธิร้องขออะไรกลับคืน ถ้าวันนี้ “บ้าน” ที่เราอยู่มาชั่วอายุขัยรุ่นต่อรุ่นต้องกลายเป็นที่ “สัญจร” ของสังคม แล้วเราควรทำอย่างไรต่อไป

 

“ดาวดิน” ปั้นจากดินและโดนทุบทำลายครั้งแล้วครั้งเล่า

ภาพถ่ายสารคดีสายขาวดำจะถูกจริตพวกเราไหมรู้ แต่มันซื้อใจได้หมดในช็อตเดียวเป็นผลงานของ เริงฤทธิ์ คงเมือง ที่กดชัตเตอร์เก็บนาทีความเคลื่อนไหวของกลุ่มนักศึกษาจากมหาวิทยาลัยขอนแก่นและมหาวิทยาลัยสารคามที่รวมตัวกันและใช้ชื่อว่า “ดาวดิน” ออกมาคัดค้านพร้อมกับกลุ่มชาวบ้านในพื้นที่ ซึ่งได้รับผลกระทบด้านสุขภาพจากกิจการเหมืองแร่ทองคำ

กลุ่มนักศึกษาคนรุ่นใหม่กับคนรักบ้านเกิดที่ต้องรวมพลังกันสู้อำนาจเงิน ถึงจะไม่ดังบนหน้าหนังสือพิมพ์ในขณะนี้เหมือนข่าวอื่น แต่ยังเป็นเรื่องที่ระอุอยู่ต่อเนื่องในเรื่องสิทธิมนุษยชนและทรัพยากร เรื่องบ้านเราที่ถูก “เล่า” แล้วหายไป คนไทยลืมง่ายจริงไหม ? คุณเท่านั้นที่รู้

 

“ลิงเด้า” ประเพณีเพศเสพสุดแต่หยุดแค่ร่มผ้าที่กำลังจะหายไป

รอยยิ้มและเสียงหัวเราะอีกสิ่งของคนอีสานที่ก็เข้าข่ายเจอบุกรุกจนหายไป ชื่อ “ลิงเด้า” สิ่งที่เราไม่เคยเห็นมาก่อนและเราไม่ได้อุปโลกชื่อเรียกมาจากไหนแต่ อดิศักดิ์ ภูผา เจ้าของผลงานแจงไว้บนป้ายเลยว่าเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์งานประเพณีบุญบั้งไฟช่วงเซิ้ง หุ่นลิงชายหญิงที่ทำขึ้นจากหุ่นไม้ผูกเข้ากับไม้ไผ่ หญิงอยู่ด้านล่างชายอยู่ด้านบนในท่าร่วมเพศที่เคยใช้ได้ดีในสมัยก่อนเพื่อช่วยให้พืชผลงอกออกลูกออกหลาน

ต้องนับถือคนโบราณที่เอากุศโลบายการสมสู่มาเชื่อมกับพืชพรรณ ที่ได้ประโยชน์หลายทาง ทั้งการปลดแอกความรู้สึกผิดและความเครียดจากการพูดถึงเรื่องเพศ เพราะเขาพูดกันด้วยอารมณ์ขันมากกว่าความหื่นกระหาย ที่สำคัญมองข้อดีมันก็เป็นการสอนเรื่องเพศให้กับเด็ก ๆ ได้ด้วยการเอาเรื่องสามัญมาเล่าสู่และอธิบายกันโต้ง ๆ จะได้ไม่ต้องไปแอบดูที่ไหน

คนที่ไม่ได้มาดูเรากล้าพูดว่าคงต้องรู้สึกเสียดาย เพราะไม่นานนับจากนี้มันจะกลายเป็นแค่ควันหลงหรือภาพถ่ายไม่ใช่ของจริงที่เรามองเห็นอยู่ตรงนี้ เนื่องจากประเพณีแห่บุญบั้งไฟตอนนี้กลายเป็นประเพณีระดับชาติแล้ว ทำให้มรดกพื้นบ้านเรื่องเพศโจ่งแจ้งแบบนี้กลายเป็นเรื่องไม่เหมาะสม

นอกจากทั้ง 4 ชิ้น 4 ประเภทงานศิลป์ที่เห็นแล้ว ยังมีงานชิ้นอื่น ๆ ที่น่าสนใจอีกหลายห้องให้ไปลองชมได้อย่างเต็มอิ่ม

เรื่องเล่าของนักแสดงบนเวที ใต้นั่งร้างคือทำเลเหมาะพักและแต่งตัว

สำหรับชาว UNLOCKMEN ที่เป็นทั้งลูกอีสานโดยตรงหรือเป็นคนต่างถิ่น ถ้าวันหยุดหรือช่วงเย็นนี้ว่างไม่ได้เดินทางไปไหน หาจังหวะมาเสพด้านอื่นของถิ่นอีสานแท้ ๆ ให้ลึกกว่าเดิมได้ที่หอศิลป์กรุงเทพฯ หรือ BACC ในห้องนิทรรศการชั้น 9 จัดแสดงถึงวันที่ 25 มีนาคมนี้เท่านั้น เด้อนางเด่อ!

“ความสุขซื้อด้วยเงินไม่ได้ หรือซื้อผิดสิ่ง? ” นักวิจัยออกมา QC ว่าเปย์ 4 อย่างนี้ชีวิตต้องดี

$
0
0

“ความสุขมันซื้อด้วยเงินไม่ได้หรอก” มีคนเคยพูดคำนี้ไว้เล่นทำเอาชาว UNLOCKMEN ที่ตั้งหน้าตั้งตาหาเงินเลิกทะเยอทะยานเก็บ ถอดใจไปใช้ชีวิตเอื่อยเฉื่อยสโลว์ไลฟ์ไหลไปเรื่อย ไม่สนเรื่องเงินแล้ว แต่นั่นอาจจะเป็นการเข้าใจผิด เพราะเราเชื่อว่าคนที่มองว่าเงินไม่ใช่สารัตถะของชีวิตก็ยังเคยใช้ซื้อความสุขใน 4 ข้อด้านล่างนี้ไม่อย่างใดก็อย่างหนึ่ง ที่สำคัญนักวิจัยเขาออกมานั่งยัน นอนยัน ยืนยัน! ขอให้จ่ายให้ถูกกับ 4 เรื่องนี้ยังไงก็ไม่มีผิดหวัง

 

1. เปย์เงินซื้อเวลา

ผลการศึกษาจากชาวอเมริกันกว่า 4,400 คนออกมาบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า “เวลานี่แหละสร้างสุข! และเงินก็ซื้อเวลาได้นะยูวววว !” คนที่ใช้เงินเป็นส่วนใหญ่เขาเลยยอมใช้มันเพื่อซื้อเวลากลับมาจากเรื่องจุกจิก พิสูจน์แล้วว่าลงทุนไปสุขภาพจิตจะดีกว่าคนขี้เสียดาย ไม่ว่าเรื่องนั้นจะเป็นการสั่งอาหารจากไลน์แมน จ้างแม่บ้าน จ้างเลขา จ้างอะไรก็จ้าง แล้วเอาเวลาที่ต้องเสียไปกับไปกับสิ่งเหล่านี้นอนชิลล์ทำอย่างอื่น คุ้มมาก!

 

2. เปย์กับประสบการณ์ชั้นยอด

ถึง “สิ่งของ” จะอยู่ได้นานกว่า “ประสบการณ์” เพราะสสารไม่หายไป แต่นักจิตวิทยาเขาออกมายืนยันว่ามันใช้ไม่ได้กับเรื่องของการซื้อความสุข แรก ๆ อาจจะใช่ แต่พอนานเข้าเราก็ไม่คิดแบบนี้แล้ว เพราะจากตอนแรกที่เรามีความสุขกับการเป็นเจ้าของแต่พอเคยชินกับการมีมันทุกวันความสุขจะเริ่มจางหายไป นั่นอาจจะเป็นเหตุผลให้พวกเราขยันปรับเปลี่ยน gadget ไปเรื่อย ๆ ทั้งที่มันยังคงใช้ได้อยู่ กลับกันประสบการณ์ที่เราไปพบเจอถึงจะจับต้องไม่ได้ หากพอนานวันเข้าเราจะระลึกถึงมันบ่อย ๆ และสนุกเสมอกับการพูดถึงมันไม่รู้จบ นี่แหละคือการลงทุนที่จะติดสมองและความทรงจำเราไปนานแสนนาน

 

3. เปย์ไปให้คนที่แคร์

มนุษย์เป็นสัตว์สังคมและความเหงาฆ่าคนได้เป็นหนึ่งในผลวิจัยที่ใคร ๆ ล้วนเคยได้ยินมาว่ามีผลกับด้านสุขภาพ ดังนั้นถ้าอยากสุขระหว่างการใช้จ่ายนักจิตวิทยาบางกลุ่มเลยลงความเห็นให้ว่าจงพามนุษย์สักคนที่เรามั่นใจว่าชอบเขาเหลือเกินไปอยู่ตรงนั้นด้วย เช่น ซื้อตั๋วหนังไปดูกับสาวคนพิเศษ พาครอบครัวไปเที่ยว หรือจะพาเพื่อนไปเดินเล่นเป็นเพื่อนก็โอเคแล้ว

 

4. เปย์ให้ใครก็ได้ที่ไม่ใช่ตัวเอง

แปลกแต่ก็จริง ความสุขของเราบางทีมันอยู่ที่อื่น เพราะนักวิจัยเขาทดลองด้วยการมอบเงินให้นักศึกษาสองกลุ่ม กลุ่มแรกบอกว่าให้ซื้ออะไรก็ได้ให้ตัวเองไป แต่กลุ่มที่สองให้จ่ายมันเพื่อคนอื่น เข้าทำนองทำเพื่อสังคม และผลลัพธ์ก็ออกมาว่ากลุ่มที่สองรู้สึกมีความสุขมากกว่า ด้วยเหตุผลที่ใกล้เคียงกับข้อ 2 แต่ต่างกันตรงที่คนที่เราเปย์ให้ในข้อนี้ไม่ต้องเป็นคนที่เรารู้จักก็ได้ การให้เป็นไปในรูปแบบของการช่วยสังคม เพราะการให้แบบนี้เราจะได้รับหัวใจพองโตที่อบอุ่นกลับคืนมา

เมื่อรู้แล้วว่าเบื้องหลังเงินมีความสุขซ่อนอยู่ ชาว UNLOCKMEN ก็อย่าลืมสะสมความมั่งคั่งทางการเงินให้พอกพูน และปันไปใช้ซื้อความสุขสักส่วน ไม่เพียงจะยิ่งทำให้เรารู้สึกว่าชีวิตมีความหมายมากขึ้น แต่มันยังหมายถึงกำลังใจสำคัญที่จะกระตุ้นให้เราพร้อมหารายได้ทางอื่นอีกไม่รู้จบ

ตอนนี้ขอแว้บไปให้รางวัลชีวิตตัวเองก่อนนะ!

SOURCE


หมดยุคทำงานวันละ 8 ชั่วโมง! “52:17 สัดส่วนทองคำแห่งการทำงาน”วิถีใหม่ที่ดีต่อชีวิตและงาน

$
0
0

สมัครเข้าบริษัทไหน ๆ เขาก็ยืนยันชัดเจนว่าเวลาทำงานต้อง 8 ชัวโมงเป๊ะ บวกกับเวลาพักกินข้าว 1 ชั่วโมง เท่ากับ 9 ชั่วโมงทำงานและพักที่ผู้ชายอย่างเราต้องใช้ไป แต่เคยสงสัยไหมว่าไอ้วิธีการทำงานด้วยสัดส่วนแบบนี้มันเวิร์คจริง ๆ หรือ? มันทำให้ประสิทธิภาพการทำงานพุ่งกระฉูดได้สุดจริงหรือเปล่า? UNLOCKMEN ประกาศตรงนี้เลยแล้วกันว่า “ไม่จริง!” แล้วมันต้องทำงานแบบไหนที่ผู้ชายอย่างเราจะได้งานอย่างจริงจัง?

วิธีคิดเรื่องการทำงาน 8 ชั่วโมงต่อวันไม่ใช่แค่เป็นความคิดสุดล้าสมัย (ที่ใคร ๆ ก็ยังใช้อยู่) แต่ยังไม่ได้ผลการทำงานอย่างเต็มที่อีกด้วย แต่ถ้าเราสงสัยว่า “อ้าว ถ้ามันไม่เวิร์คแล้วมันมีที่มาจากไหนล่ะ?” คำตอบที่จะมอบให้ก็ต้องย้อนกลับไปตั้งแต่สมัยปฏิวัติอุตสาหกรรมช่วง ค.ศ. 1750 ถึง ค.ศ. 1850 นู่นเลย กฎการทำงาน 8 ชั่วโมง ถูกกำหนดขึ้นมาเนื่องจาก แรงงานในโรงงานต้องทำงานห่ามรุ่งหามค่ำอย่างไม่เป็นธรรม การทำงาน 8 ชั่วโมงจึงถูกกำหนดขึ้นมาเพื่อกำหนดการทำงานอย่างมีมนุษยธรรมมากขึ้น แต่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการทำงานอย่างมีประสิทธิภาพในปัจจุบันแต่อย่างใด

พูดง่าย ๆ ว่าวิธีการทำงานที่คิดขึ้นเมื่อ 2-3 ร้อยปีก่อน นอกจากมันจะไม่เวิร์คแล้ว มันยังฉุดรั้งการทำงานของเราอีกด้วย โดยการศึกษาของบริษัท Draugiem Group ที่ใช้แอปพลิเคชันสำรวจการทำงานของพนักงาน โดยเฉพาะการตรวจดูว่าเวลาที่ใช้ในการทำงานต่าง ๆ กับประสิทธิภาพงานที่ได้มันพอดีกันหรือเปล่า

ผลปรากฏว่าการทำงานต่อเนื่องยาวนานไม่ได้สำคัญต่อประสิทธิภาพการทำงานขนาดนั้น พูดง่าย ๆ คือการทำงานติดต่อกันนาน ๆ ไม่ได้เกี่ยวกับการทำงานออกมาดีแต่อย่างใด สิ่งที่สำคัญคือการแบ่งโครงสร้างของวันทำงานออกมาเป็นระบบมากกว่า คนที่เคร่งครัดต่อการพักเบรคตัวเองระหว่างการทำงานจึงทำงานออกมาได้มีประสิทธิภาพมากกว่าคนทำงานติดต่อกันยาว ๆ

สัดส่วนทองคำสำหรับการทำงานที่พิสูจน์มาแล้วว่าดีงามที่สุดคือทำงาน 52 นาที พัก 17 นาที โดยคนที่ทำตามสัดส่วนทองคำนี้อย่างเคร่งครัดมีผลการทำงานที่โดดเด่นกว่าคนอื่นอย่างเห็นได้ชัด กฎก็คืองานเป็นงานเล่นเป็นเล่นโดยระหว่างเวลา 52 นาทีนั้นจะไม่มีการใช้เฟซบุ๊ก การไถทวิตเตอร์ การแอบส่องอินสตาแกรมแม้แต่น้อย แต่ทุ่มเทให้กับงาน 100% เต็ม ในขณะที่เวลาพักก็พักเต็มที่ไม่มีการเอาเรื่องงานมาคิดแม้แต่น้อย

ผู้ที่ค้นพบสัดส่วนทองคำแห่งการทำงานนี้ เปิดเผยว่านี่เป็นเรื่องสุดพื้นฐานแห่งการทำงานของสมองมนุษย์เราเองนี่แหละ เพราะสมองเราจะพีคสุดทำงานได้เต็มประสิทธิภาพสุดประมาณ 1 ชั่วโมง และต้องการช่วงเวลาพักราว ๆ 15-20 นาที

แต่เราก็เข้าใจหัวอกคนทำงานดีที่ถ้าอยู่ ๆ จะไปประกาศตัวประท้วงการทำงาน 8 ชั่วโมงแล้วขอทำ ๆ หยุด ๆ เป็นท่อน ๆ แทนก็อาจทำได้ยากเหลือเกิน เราเลยเอา 4 ทริคเล็ก ๆ ที่จะจัดแบ่งเวลาการทำงาน 8 ชั่วโมงให้ไปกันได้กับการทำงานเป็นส่วนอย่างมีประสิทธิภาพไปด้วยกัน

แบ่งเวลาเป็นส่วน ๆ : เรามักจะแบ่งเวลาเป็นระดับยิ่งใหญ่มาก่อน เช่น เดือนนี้เราจะทำอะไรให้สำเร็จ อาทิตย์นี้จะทำอะไรให้เสร็จสิ้นลองแบ่งเวลาเป็นระดับ 52 นาทีดูว่าภายใน 52 นาที เราจะทำอะไรให้เสร็จบ้าง แล้วตั้งหน้าตั้งตาทำมันอย่างจริงจัง เพื่อที่จะได้รู้ว่างานแต่ละอย่างเราต้องใช้เวลา 52 นาทีทั้งหมดกี่เซ็ตกันแน่

เคารพ 52 นาทีตรงหน้าของคุณ : ฟังเขามาว่า โห ทำแค่ 52 นาที แต่ผลงานล้ำเลิศกว่าชาวบ้านเขา เลยตั้งนาฬิกาจับเวลา 52 นาทีแล้วก็ทำอะไรมั่ว ๆ ไป ไม่ได้เด็ดขาด! เราต้องแบ่งเวลาและตามมาด้วยความเคารพ 52 นาทีนั้นให้เป็นเหมือนช่วงเวลาศักดิ์สิทธิ์ที่เราหรือใครก็จะมาล่วงละเมิดมันไม่ได้ ทุกอย่างที่ไม่เกี่ยวกับงานที่ตั้งใจทำ ตัดทิ้งไป แล้วค่อยไปทำช่วงเวลาพักเท่านั้น

เคารพ 17 นาทีพักด้วยเช่นกัน : ผลการสำรวจออกมาแล้วว่าคนที่พักบ่อย ๆ สามารถทำงานอย่างมีประสิทธิภาพมากกว่าคนที่ไม่พักเลย ที่สำคัญคนที่พักแล้วตัดขาดจากงานก็ทำงานมีประสิทธิภาพมากกว่าคนที่พักไปคิดเรื่องงานไป ดังนั้นจงเคารพเวลาพักของตัวเองให้ได้ พาตัวเองออกจากโต๊ะทำงาน ห่างจากคอมพิวเตอร์ เดินเล่น อ่านหนังสือ หากาแฟกิน พูดคุยกับเพื่อนร่วมงาน รับรองว่าตอนที่กลับไปทำงานอีกครั้งหลังเบรค ทุกอย่างจะเข้าที่เข้าทางเอง

อย่ารอให้ร่างกายเตือนเราว่าต้องพัก : เคยรู้สึกเหนื่อยจากการทำงานไหม? ร่างกายกำลังเตือนอะไรบางอย่างแล้วล่ะ ดังนั้นอย่าคิดว่า “เอาวะ ยังไม่เหนื่อย ทำต่ออีกหน่อยก็แล้วกัน” มันไม่เป็นผลดีทั้งต่อร่างกายและประสิทธิภาพการทำงานเลย ดังนั้นพักตามสัดส่วนทองคำแห่งการทำงานไว้เลยนี่แหละ จะได้ไม่ต้องทำงานไปเหนื่อยไปให้เสียประสิทธิภาพการทำงาน

เราเชื่อว่าผู้ชายที่เต็มที่กับชีวิตจะสามารถปรับตัวเข้ากับการทำงานได้ทุกรูปแบบตราบเท่าที่รู้สัดส่วนและวิธีการที่เหมาะสมกับการทำงานของสมองของเรา และนำเอาไปใช้กับชีวิตมัน ๆ เพื่อให้ได้การทำงานสุดมีประสิทธิภาพออกมาได้ไม่ว่าสถานการณ์แบบไหน

SOURCE

ผงาดง้ำค้ำโลก! “ทำไมน้องชายต้องตั้งโด่ตอนเช้า?”เพราะเราหมกมุ่นไปหรือร่างกายมันกบฏ!

$
0
0

สิ่งที่สม่ำเสมอพอ ๆ กับเพลงชาติไทยตอน 8 โมงเช้าของทุกวันก็คือ “น้องหนูของผู้ชายยืนตรงเคารพธงชาติ” ไม่ว่าวันฝนตก วันแดดออก วันไปทำงาน วันหยุดนักขัตฤกษ์วันไหน ๆ ก็ดูเหมือนว่าเจ้าน้องชายของเราจะตั้งตรงเด่ได้ไม่มีเว้น เหมือนเป็นหน้าที่รับผิดชอบที่ห้ามพลาดแม้แต่วันเดียว เคยสงสัยไหมว่าอะไรทำให้มันแข็งโด่ได้ทุกวี่วันไม่ยอมเหน็ดเหนื่อยได้ขนาดนี้? มันเกี่ยวกับอารมณ์ทางเพศหรือไม่? ปริศนาสุดน่าสงสัยนี้ UNLOCKMEN ชวนผู้ชายทุกคนมาไขข้อข้องใจไม่ให้ต้องมโนคำตอบอยู่คนเดียวอีกต่อไป

ข้อสันนิษฐานเรื่องน้องน้อยของพวกเราตื่นตอนเช้ามีมาตั้งแต่ยุคกรีกโบราณแล้ว คงจะเรียกได้ว่า “แข็งกันมาตั้งแต่รุ่นเพลโต” นักปรัชญาเขาก็ไม่ได้ขบคิดกันแต่เรื่องจริยศาสตร์ การเมือง สังคมเท่านั้น เขาคิดทุกเรื่องจนลามมาถึงน้องชายของพวกเราด้วย โดยชาวกรีกโบราณอธิบายว่าการที่น้องชายของเราแข็งตอนเช้าก็แสดงให้เห็นแล้วว่า “อวัยวะเพศชายมีจิตสำนึกของตัวมันเอง” โห! หรือไอ้ที่เห็นย่น ๆ ตรงหนังไข่จะเป็นเหมือนรอยหยักในสมองจริง ๆ วะเนี่ย?

พอเรื่อยมาถึงยุคกลาง ยุคที่คริสตศาสนามีบทบาทสูงในสังคมตะวันตก การแข็งตัวของอวัยวะเพศในแต่ละเช้าของทุกวันก็ถูกพระในยุคกลางบอกว่า “มันคือการกบฏของร่างกายมนุษย์!” เพราะในยุคนั้นร่างกายมนุษย์ถูกควบคุมเบ็ดเสร็จโดยศาสนา ไม่ว่าจะการแต่งกาย การใช้ชีวิต ไปยันท่าทางที่ใช้ในการป่ามป๊ามกับผู้หญิง! ดังนั้นเจ้าหนูที่แข็งตอนเช้าจึงเป็นไม่กี่สิ่งที่ศาสนาคุมไม่ได้ ถึงมองว่านี่แหละคือการกบฏ

ก่อนจะเลยเถิดไปมากกว่านี้ โลกเราก็เดินทางมาสู่ยุคที่คนเชื่อวิทยาศาสตร์แบบสุดจิตสุดใจ คำอธิบายทางวิทยาศาสตร์จึงมีน้ำหนักและความหมายกว่าคำตอบแบบอื่น ๆ โดยนักวิทยาศาสตร์เรียกการแข็งตัวนี้ว่า Nocturnal penile tumescence (NPT) หรือภาวะองคชาตแข็งตัวขณะหลับ โดยเรื่องนี้เป็นประเด็นที่ที่วงการวิทยาศาสตร์ศึกษามาตั้งแต่ศตวรรษที่ 19

อย่างไรก็ตามสิ่งที่ต้องยืนยันก่อนเลยคือการแข็งตัวของน้องชายเราตอนเช้าไม่เกี่ยวข้องอะไรกับความฝันเรื่องเซ็กซ์! อันที่จริงมันไม่เกี่ยวอะไรกับความต้องการทางเพศเอาเสียเลยต่างหาก แต่มันเป็นสิ่งที่ควบคุมไม่ได้และสามารถเกิดขึ้นได้กับผู้ชายทุกคนไล่ตั้งแต่ทารกในท้องแม่ไปยันพระหรือบาทหลวงสุดเคร่งศาสนาก็แข็งตัวได้ เกร็ดเล็กเกร็ดน้อยอีกอย่างที่ผู้ชายอย่างเราควรรู้ไว้ก็คือแม้แต่คลิตอริสของผู้หญิงก็แข็งตัวในขณะหลับเช่นกัน!

เพราะอะไรน่ะเหรอ? เพราะเมื่อเราหลับและเข้าสู่ช่วงหลับลึกระบบประสาทเราจะทำการเปลี่ยนกะกัน จากระบบประสาทซิมพาเทติก (Sympathetic nervous system) ไปสู่ ระบบประสาทพาราซิมพาเทติก (Parasympathetic Nervous System) โดยทั้งสองระบบนี้เป็นส่วนหนึ่งของระบบประสาทอัตโนมัติ

ก่อนจะงงจนอวัยวะเพศไม่แข็งตัวไปมากกว่านี้ UNLOCKMEN ขออธิบายก่อนว่าระบบประสาทอัตโนมัตินี้ทำหน้าที่ควบคุมการทำงานของอวัยวะบางส่วนซึ่งทำงานอยู่นอกเหนืออำนาจการตัดสินใจของเรา อ่ะ ถ้าคิดไม่ออก ลองนึกภาพเวลามีเหตุการณ์ไฟไหม้แล้วคนสามารถยกโอ่ง ยกทีวี ยกตู้เย็นออกจากบ้านได้แบบงง ๆ นั่นแหละเป็นผลมาจากการทำงานของระบบประสาทอัตโนมัติส่วนซิมพาเทติก (เกี่ยวข้องกับความตื่นตัว) ในขณะที่ระบบประสาทพาราซิมพาเทติกก็ทำงานควบคู่กัน เพื่อให้ร่างกายกลับสู่ภาวะผ่อนคลาย (Rest and Digest)

ดังนั้นเมื่อเราหลับและเปลี่ยนกะไปสู่ระบบประสาทพาราซิมพาเทติก ระบบประสาทจะปิดการทำงานบางส่วน สารสื่อประสาทบางชนิดก็จะหยุดหลั่งไปด้วย หนึ่งในสารที่หยุดหลั่งคือ นอร์อะดรีนาลีน (Noradrenaline) ที่ปกติควบคุมการไหลเวียนของเลือด เมื่อไม่มีตัวหยุดการไหลเวียนของเลือด เลือดก็จะไหลไปที่น้องชายของเราและเกิดการแข็งตัวระหว่างหลับ

ความพีคคือระหว่างหลับนั้นเจ้าน้องชายของเราสามารถแข็งตัวได้ 3-5 ครั้งตลอดคืน ครั้งละราว ๆ 30 นาที ดังนั้นจึงไม่แปลกที่เราจะตื่นขึ้นมาตอนเช้าพร้อมกับน้องชายที่กำลังผงาดง้ำค้ำโลกได้ อย่างไรก็ตามนักวิทยาศาสตร์ก็ยังคงศึกษากันต่อไปว่านี่มันแค่เรื่องบังเอิญ หรือร่างกายเราจงใจทำให้เกิดขึ้น แต่ไม่ว่าอย่างไรการแข็งตัวระหว่างหลับและตอนตื่นก็แสดงถึงการมีสุขภาพดี แถมยังเป็นกระบวนการหนึ่งที่ทำให้การไหลเวียนของเลือดและออกซิเจนไปสู่จุดนั้นเพื่อให้เนื้อเยื่อแข็งแกร่งอีกด้วย

ปริศนาถูกไขกระจ่างแล้ว ใครที่นึกรำคาญการผงาดง้ำค้ำโลกของตัวเองทุกเช้าอาจต้องเปลี่ยนใจใหม่ เพราะนี่เป็นสัญญานของการทำให้สุขภาพจู๋ดียิ่ง ๆ ขึ้นไป และไม่มีอะไรบ่งบอกว่าเราหมกมุ่นเรื่องเพศแต่อย่างใด หวังว่าจากนี้ไปผู้ชายจะมองการแข็งตัวของสิ่งนั้นของร่างกายเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น

SOURCE

EXPLORE ไลฟ์สไตล์จัดจ้าน เปิดแมปส์โลเคชั่นใหม่ย่านแจ้งวัฒนะ กับ LIFE WITH MUAY คู่รักสายท่องเที่ยวตัวจริง

$
0
0

จุดเริ่มต้นของบทความนี้เริ่มจากที่ UNLOCKMEN มีโอกาสได้พูดคุยกับ ‘หมวย และ ยิ้ม’ คู่รักนักท่องเที่ยวอารมณ์ดีจากเพจ LIFE with MUAY ในวงสนทนาตามประสาเพื่อนฝูง ว่าด้วยเรื่องโลเคชั่นแหล่งไลฟ์สไตล์ที่มันส์ ๆ และมีความจัดจ้านหลากหลาย ในกรุงเทพฯ นั้น มันยังมีที่อื่นให้ไปนอกจากโซนทองหล่อ – เอกมัย หรือเส้นเลียบด่วนอะไรแบบนี้หรือเปล่า

ซึ่งมันก็พอเหมาะพอเจาะกับการที่ทั้งคู่ กำลังมีแผนจะไป Explore พิกัดไลฟ์สไตล์แห่งใหม่ ที่พวกเขาไปค้นพบมาว่าพื้นที่ซึ่งไม่ค่อยมีใครนึกอยากจะไปแฮงเอ้าท์ หรือไปทำกิจกรรมอื่น ๆ นอกจากมีเหตุจำเป็นให้ต้องไปติดต่อธุระในศูนย์ราชการ หรือไปดูคอนเสิร์ต ไปงานอีเว้นท์ที่อิมแพค อย่างย่านแจ้งวัฒนะนั้น ยังมีอีกหลายพิกัด ซึ่งสามารถเป็นอีกทางเลือกให้ได้ไปใช้ชีวิตที่มีสีสันไม่แพ้ย่านใจกลางเมือง เหมาะสำหรับใครที่เบื่อกรุงเทพชั้นใน อยากออกไปเปิด Maps หาอะไรใหม่ ๆ ในพื้นที่ใหม่ ๆ ทำดูบ้าง

ได้ยินแบบนี้เราก็ไม่รอช้า ออกตัวอย่างไวว่างานนี้ UNLOCKMEN ขอติดตาม LIFE with MUAY ไปตะลุยตามดูการใช้ชีวิตจัดจ้านที่ย่านแจ้งวัฒนะ ว่ามีโลเคชั่นไหนโดน ๆ มีกิจกรรมไหนที่น่าสนใจให้ทำกันบ้าง แต่ก่อนล้อหมุน สำหรับใครที่เพิ่งเคยได้ยินชื่อ LIFE with MUAY เป็นครั้งแรก เราขอแนะนำพวกเขาทั้งคู่ให้ได้รู้จักกันก่อนอีกรอบ ว่ามีความเป็นมายังไง ทำไมถึงได้มาเปิดเพจท่องเที่ยวแบบจริงจัง และทำไมพวกเขาถึงเลือก ‘แจ้งวัฒนะ’ เป็นจุดหมายปลายทางในการออกทริปครั้งนี้

จุดเริ่มต้นก่อนจะมาเป็น LIFE with MUAY

ยิ้ม – เริ่มจาก twitter เวลาไปเที่ยวก็จะมีแฮชแท็คเราอยากจะมีอะไรที่มี gimmick นิดนึงโดยเป็นชีวิตผมกับหมวย ( จริงๆหมวยไม่ได้ชื่อหมวย ชื่อจาจา แต่ผมพูดติดปากว่าหมวย) ลงทีละ 4 รูป พร้อมแฮชแท็ค LIFE with MUAY จนมีคนติดตามและชอบเรา มีการรีทวีต มีคนชอบรูปที่เราถ่าย ชอบการเดินทางของเรา แต่ใน twitter มันลงได้แค่ทีละ 4 รูป จนหมวยบอกว่าลองเปิดเพจดีมั้ย จะได้ลงข้อมูลได้เยอะขึ้น จนกลายมาเป็นเพจ LIFE with MUAY  ตอนนี้เพจเข้าปีที่ 2 แล้ว

ทริปไหนที่ประทับใจที่สุด

หมวย – ทริปแรกที่ฮ่องกง ทริปแรกไม่ทะเลาะกัน  (หัวเราะ) คบกันสองเดือนแล้วไปที่ฮ่องกงกัน มันสดใหม่ตื่นตาตื่นใจ เมื่อก่อนการท่องเที่ยวไม่ได้ไปง่ายขนาดนี้ บูมขนาดนี้ ตั๋วได้มาแบบฟลุค ๆ ด้วย  เพราะระบบล่มจนได้ในราคาที่ถูกและฟูลเซอร์วิส ไป – กลับ 2,400  บาท คือคุ้มมาก ๆ

ยิ้ม – มันได้เรียนรู้กันมากขึ้น รู้จักกันมากขึ้น เจอปัญหาไปด้วยกัน และแก้มันด้วยกัน ชอบที่สุดตั้งแต่ได้ทำทริปมา

ทำไมถึงเลือกมา Explore ย่านแจ้งวัฒนะ

ยิ้ม – เริ่มจากการที่เราได้เดินทางมาแถวนี้ค่อนข้างบ่อย  มาบ่อยสุดคือทำพาสปอร์ตที่ศูนย์ราชการ, ดูคอนเสิร์ตที่อิมแพค  แต่พอกลับมานั่งคิดดูว่า มาก็บ่อย แต่แทบไม่เคยไม่รู้ว่าย่านนี้มีร้าน หรือมีสถานที่อะไรเจ๋ง ๆ ที่เรานึกออกเลย ก็เลยอยากมาลองค้นหาดูว่าจริง ๆ แล้ว แถวแจ้งวัฒนะเนี่ยมันมีอะไรที่น่าสนใจบ้าง

หมวย – ตอนไปออกทริปเราก็มีโอกาสมาแถวนี้อยู่เรื่อย ๆ ส่วนใหญ่จะเป็นทริปในประเทศ ที่ต้องมาขึ้นเครื่องที่ดอนเมือง จากการที่มาบ่อย ๆ เรารู้สึกว่าการเดินทางแถวนี้มันก็สะดวกดี ยิ่งใครที่มีบินบ่อย ๆ ยิ่งง่ายเลย สามารถนั่ง Shutter bus ยาวไปถึงดอนเมือง นอกจากนี้รถไฟฟ้าที่กำลังจะมีให้บริการ ก็จะยิ่งเพิ่มความสะดวกกับการเดินทางของย่านนี้ ทำให้เรารู้สึกว่าย่านที่ดูเหมือนจะไม่มีอะไร แต่กำลังจะมีการเดินทางที่ครบวงจรรองรับ มันน่าจะมีพิกัดลับซ่อนอยู่รอให้เราไปค้นหา ก็เลยตกลงกันว่าจะลองไป Explore แหล่งไลฟ์สไตล์ใหม่ ๆ ในย่านแจ้งวัฒนะกันดู

หลังจากรู้จักกับพวกเขาแล้ว ตอนนี้ก็ถึงเวลา Explore แจ้งวัฒนะ ในมุมมองของ LIFE with MUAY ไปพร้อม ๆ กัน ซึ่งเราคงต้องขอตัวให้ ‘หมวย และ ยิ้ม’ ถ่ายทอดเรื่องราว One Day Trip ในย่านแจ้งวัฒนะให้ได้ชมกันตามสไตล์ของพวกเขาทั้งคู่

 

บางสิ่งที่อยู่ใกล้ เราอาจไม่สนใจมันก็เป็นได้
เช่นเดียวกัน ที่เที่ยวบางที่ใกล้ ๆ รอให้เราได้ไปนั่งพักผ่อน
จริง ๆ ในกรุงเทพมีอยู่เยอะมาก แต่เราเคยสังเกตเห็นมันดี ๆ หรือเปล่า ?

วันนี้ผมกับหมวย จะใช้เวลาว่าง 1 วัน
ในการพักผ่อนที่เดินทางง่ายที่สุด
ในย่านที่หลายคนคุ้นเคย แต่อาจไม่รู้ว่ามันมีสิ่งดี ๆ ซ่อนอยู่ อย่างย่านแจ้งวัฒนะนี่เอง !

 

พิพิธภัณฑ์ศิลปะไทยร่วมสมัย MOCA

เริ่มต้นด้วยการออกตัวกันช่วงสาย ๆ นิดหน่อย แล้วไปเสพศิลป์กันที่ MOCA (Museum of Contemporary Art) หรือพิพิธภัณฑ์ศิลปะไทยร่วมสมัย ที่รวบรวมผลงานไว้หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นทั้ง ภาพวาด ภาพถ่าย ประติมากรรมต่างๆ ซึ่งศิลปะที่นี่ ก็จะมีการจัดเปลี่ยนหมุนเวียนไปแต่ละช่วง เดินทางถึงง่าย ๆ เพราะอยู่แค่แจ้งวัฒนะ ช่วงแยกมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์นี่เอง นอกจากนี้จุดเด่นของที่นี่อีกอย่างคือทางด้านสถาปัตย์ตัวตึก ที่มีการจัดแสง ช่องแสงให้มีแสงสว่างภายด้านนอกเข้ามา รวงถึงการวางไฟ แสงไฟต่าง ๆ ก็สวยไม่แพ้ผลงานที่จัดแสดงภายในเลย ซึ่งที่นี่ จะมีส่วนจัดแสดงภายในอาคารทั้งหมดถึง 5 ชั้น มีค่าเข้าชมอยู่ที่ 250 บาท

เบอร์ : 02 216 5666
เวลาเปิด-ปิด : อ-ศ 10.00-17.00, ส-อา 11.00-18.00
ที่ตั้ง : https://goo.gl/maps/Cf654U7Csgp

 

ADDICTED CAFÉ & CARWASH

หลังจากเสพงานศิลป์กันแบบซึ้งถึงแก่น พวกเราจึงไปพักทานอาหารเที่ยงกันต่อที่ Addicted café & Carwash จะเรียกว่าที่นี่เป็นร้านกาแฟของคนรักรถก็ว่าได้ เพราะจุดเด่นของที่นี่คือมีบริการล้างรถสุดรักของพวกเราแบบครบวงจร ! พิกัดของที่นี่จะอยู่ช่วงเลียบคลองประปา หากขับมาจากาทางแจ้งวัฒนะร้านจะอยู่ทางด้านซ้ายมือ ภายในร้านมีการตกแต่งอย่างเรียบง่ายในสไตล์ Industrial Loft และเต็มไปด้วยลายกราฟิกรูปรถที่สะดุดตาตั้งแต่แรกเห็นในวันสบาย ๆ ว่าง ๆ อยากมาล้างรถ นั่งจิบกาแฟก็สามารถทำได้แบบชิว ๆ หรือหากใครอยากมาฝากท้อง ที่นี่ก็มีอาหารมื้อหนักรสชาติดีให้เลือกทานด้วยเช่นกัน นับได้ว่าเป็นอีกที่หนึ่งที่มาแล้วได้ทั้งทำธุระ และ พักผ่อนไปในตัว

เบอร์ : 02 984 5251
เวลาเปิด-ปิด : อา-พฤ 9.00-21.00, ศ-ส 9.00-23.00
ที่ตั้ง : https://goo.gl/maps/yLcX19jbkWz

 

ยอด มวยไทยยิม

เมื่ออิ่มหนำสำราญกันแล้วเรียบร้อย หลังจากหนังท้องตึงได้ที่ เราก็แวะไปเรียนมวยย่อยอาหารกัน… ใช่! ได้ยินไม่ผิด พวกเราไปเรียนมวยไทยยืดเส้นยืดสายกันที่.. “ยอด มวยไทยยิม” สาขาเมืองทองธานี มาเรียนมวยไทยคลาสสิคกันที่นี่ ด้วยครูมวยมืออาชีพ และที่นี่ไม่ได้มีแต่มวยไทยเท่านั้น เพราะยังมีฟิตเนส และ ซุมบ้า ให้เหล่าคนรักสุขภาพทั้งหลายแวะเวียนมาเรียกเหงื่อกันที่นี่อีกด้วย แถมครูมวยเรายังกระซิบมาว่า ใครที่สนใจรีบมาให้ไว เพราะช่วงนี้มีโปรโมชั่นปิดเทอม เพียงเดือนละ 3,600บาท เท่านั้น !

เบอร์ : 088 629 9235
เวลาเปิด-ปิด : จ-ศ 10.30-21.30 ส-อ 9.00-20.00
ที่ตั้ง : https://goo.gl/maps/XkYhp1jKhp62

 

IMPACT SPEEDPARK

แต่ถ้าใครไม่ชอบออกกำลังกาย ไม่อยากเสียเหงื่อ อีกหนึ่งกิจกรรม ที่ใกล้ ๆ ไม่ห่างกันมาก ที่ Impact Speed Park สนามขับโกคาร์ทระบบไฟฟ้าแห่งแรกของประเทศไทย ซึ่งที่นี่เค้าได้รับผู้เชี่ยวชาญอย่าง Sodi Kart ผู้เชี่ยวชาญด้านการจัดสนามแข่งโกคาร์ทมาดูแล รูปแบบสนามของที่นี่จึงจะเปลี่ยนทุกเดือนใครที่รักการขับ แต่กลัวเบื่อ กลัวชินสนาม ก็หมดห่วงไปได้เลย และสำหรับใครที่เล่นไม่เป็นแบบหมวย แต่อยากลอง ก็ไม่ต้องห่วง เพราะที่นี่มีระบบความปลอดภัยดีเยี่ยมด้วยรถที่เป็นระบบไฟฟ้า จะทำให้มีมอเตอร์อยู่ด้านล่าง รถจะไม่พลิกคว่ำ ไม่เป็นอันตรายแน่นอน นอกจากนี้ ที่นี่ยังมีอุปกรณ์อำนวยความสะดวกต่าง ๆ มากมาย ไม่ว่าจะเป็นห้องอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าอีกด้วย อัตราค่าบริการของการเล่นอยู่ที่ 600 บาทสำหรับผู้ใหญ่ และเด็ก 7-13 ปี อยู่ที่480บาท

เบอร์ : 02 055 8900
เวลาเปิด-ปิด : จ-ศ 16.00-24.00, ส-อา 12.00 – 24.00
ที่ตั้ง : https://goo.gl/maps/mYhArkzaXrL2

 

TREAT CAFÉ

ปิดท้ายทริปจัดจ้านในย่านแจ้งวัฒนะ ในที่สุดท้าย แต่ไม่ท้ายสุดด้วยการจิบอะไรเย็น ๆ ลื่นคอ พร้อมทานมื้อค่ำในบรรยากาศสุดพิเศษที่ Treat Café สาขาแจ้งวัฒนะ ที่นี่มีทั้งหมดสองชั้น ซึ่งชั้นหนึ่งนับว่าเป็นโซนหลักเพราะมีทั้งเคาน์เตอร์บาร์ มุมดนตรี และโต๊ะทานอาหาร แต่หากใครชอบความเงียบส่วนตัว เราก็จะแนะนำเป็นที่ชั้นสองเลย นอกจากนี้บริเวณด้านหน้าจะมีเต้นท์กระโจม พร้อมม้านั่งให้ สำหรับผู้ที่ชอบบรรยากาศที่เป็นธรรมชาติอีกด้วย จุดเด่นของที่นี่อีกอย่างหนึ่งคือจำพวกเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มีทั้งค็อกเทลต่าง ๆ และเบียร์นำเข้าอีกหลายชนิดให้ผู้ที่รักในการดื่มได้เลือกอีกเพียบ

เบอร์ : 0 2044 4446
เวลาเปิด-ปิด : เปิดทุกวัน 11.30-24.00
ที่ตั้ง : https://goo.gl/maps/U9VWDHTqP4v

 

NUE NOBLE CHAENGWATTANA

โลเคชั่นสุดท้ายจริง ๆ ของเราในทริปนี้ ไม่ใช่พิพิธภัณฑ์ สนามมวย หรือแหล่งแฮงเอ้าท์ใด ๆ แต่มันคือที่อยู่อาศัย ในย่านแจ้งวัฒนะ อย่าง NUE – Noble Chaengwattana ที่จะมาช่วยเติมเต็มวิถีชีวิตจัดจ้าน สมชื่อ NUE ที่ย่อมาจาก New Urban Epicenter เป็นการนำวิถี Urban Lifestyle มาสู่ย่านแจ้งวัฒนะ พื้นที่ซึ่งมีแหล่งไลฟ์สไตล์ที่โดดเด่นไม่แพ้ใคร ตามที่เราได้พาไป Explore มาก่อนหน้านี้ ซึ่งโลเคชั่นที่ตั้งของโครงการนั้นอยู่ในจุดที่เข้า – ออกเมืองได้สะดวก จะใช้ชีวิตมันส์ ๆ ในย่านแจ้งวัฒนะเอง ก็มีพิกัดหลากหลายให้ไปเยือน จะเลือกจัดทริปตามรอยพวกเรา หรือจะออกค้นหาแหล่งใหม่ ๆ ด้วยตัวเอง เราก็เชื่อว่ายังมีอีกหลายแห่งรอให้ไปลอง

ส่วนใครที่กังวลเรื่องการเดินทาง มีความจำเป็นต้องมุ่งหน้าเข้าสู่ใจกลางเมืองบ่อย ๆ ขอให้หมดห่วงกับปัญหาการเดินทาง เพราะ NUE – Noble Chaengwattana นั้นอยู่ติดรถไฟฟ้าสายสีชมพูสถานีศรีรัช ด้วยระยะเพียง 20 ก้าวเดินถึง แบบเหงื่อยังไม่ทันซึม สามารถไปได้แทบทุกพื้นที่ของกรุงเทพฯ แบบสะดวกรวดเร็ว ควบคุมเวลาในการเดินทางได้ดี และสำหรับวันที่ต้องการใช้รถส่วนตัว ก็สามารถใช้บริการทางด่วนศรีรัชซึ่งอยู่ไม่ไกลโครงการนัก มุ่งหน้ายิงยาวไปสู่ถนนเส้นหลักเพื่อเชื่อมต่อไปยังจุดต่าง ๆ ของพื้นที่กรุงเทพฯ ชั้นในได้ทันที

Breeze Garden

Library Hall

Vivid Pool

Panoramic View Gym

สำหรับ Facilities ต่าง ๆ ของโครงการ NUE – Noble Chaengwattana นั้นเรียกได้ว่า ถูกคิดมาเพื่อการอยู่อาศัยที่บาลานซ์ชีวิตให้ลงตัว จากความเร่งรีบวุ่นวายของวิถีชีวิตคนเมือง มาสู่การพักผ่อนในพื้นที่พักอาศัยซึ่งมีทั้ง Breeze Garden ให้ผ่อนคลายกับพื้นที่สีเขียวได้ตลอดวัน, Library Hall พื้นที่อ่านหนังสือแบบเอนกประสงค์ จะมานั่งอ่านหนังสือ ทำงาน หรือนักเล่นพักผ่อนก็ทำได้ตามสะดวก และยังมี Vivid Pool ให้ได้ว่ายน้ำทอดอารมณ์ พร้อมแช่จากุซชีชมวิวมุมสูงของย่านแจ้งวัฒนะแบบชิล ๆ นอกจากนี้ยังมี Panoramic View Gym ให้ออกกำลังเรียกเหงื่อกันแบบไม่อึดอัดด้วยวิวเมืองกว้างไกลสุดสายตา

ใครอยากสัมผัสไลฟ์สไตล์คนเมืองที่หลากหลาย โดยไม่จำเป็นต้องไปกระจุกตัวอยู่ในพื้นที่ใจกลางเมือง  ทำให้สามารถเป็นเจ้าของห้องได้ในงบที่สบายใจกว่าในราคาเริ่มต้น 1.65 ล้าน ผ่อนเพียง 5,000 บาท/เดือน*  แต่ยังคงไว้ซึ่งการเดินทางที่สะดวกไม่แพ้กัน

ด้วยความน่าสนใจขนาดนี้เราจึงอยากให้ลองแวะเวียนมาชมห้องตัวอย่างที่โครงการ NUE – Noble Chaengwattana ด้วยตัวเอง เพราะนอกจากจะได้เห็นของจริงแล้วยังได้หาโอกาสไป Explore สถานที่เจ๋ง ๆ สุดจัดจ้านในย่านแจ้งวัฒนะแห่งนี้ และใครที่รู้สึกว่าการใช้ชีวิตในโซนนี้มันช่างโดนใจ อย่าลืมไปลงทะเบียนรับส่วนลดพิเศษ 20,000 บาท ได้ที่ https://goo.gl/84M1VQก่อนไปงานเปิดจองในวันที่ 25 มีนาคม นี้ ที่โรงแรมเซ็นทารา ศูนย์ราชการแจ้งวัฒนะ

“ผมคือนักวิทยาศาสตร์” : เจาะลึกพลังบวกจากตัวตนยอดคนพลังสูง ‘วู้ดดี้-วุฒิธร มิลินทจินดา’

$
0
0

การใช้ชีวิตบนโลกสุดท้าทายใบนี้ต้องใช้ พลังงาน’ มากมายเป็นแรงขับเคลื่อน ต้องใช้ ‘passion’ แรงกล้าในการผลักดันตัวเอง ต้องใช้ ความกล้า’ ขั้นสุดในการเผชิญทุกสิ่งที่ขวางหน้า และต้องมี ‘Positive thinking’ ที่จะช่วยเปลี่ยนพลังจากข้างในให้กลายเป็นความจริงขึ้นมาได้

ทีมงาน UNLOCKMEN มีโอกาสได้พูดคุยกับชายที่มีทุกข้อที่กล่าวมาอย่างเหลือล้น และได้สัมผัสตัวตนทางความคิดของเขาในแบบที่เราไม่เคยรู้มาก่อน จนหายสงสัยไปเลยว่าทำไมชายที่ชื่อว่าวู้ดดี้วุฒิธร มิลินทจินดา ถึงได้ทรงพลังขนาดนี้  ทรงพลังขนาดที่ว่า ทุกคนที่ได้อยู่รอบตัวของเค้า จะต้องซึมซับเอาพลังงานบวก เอาแรงบันดาลใจ เข้ามาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ถ้าถามว่าคุยกับใครแล้วถึงกับขนลุก พูดแบบไม่โอเวอร์เลยว่า การคุยกับคุณวู้ดดี้ ให้ความรู้สึกแบบนั้นได้จริง ๆ

เรารู้จักคุณวู้ดดี้ในฐานะผู้ดำเนินรายการ ‘Woody World’ เรียลลิตี้ทอล์กโชว์สุด exclusive ที่ออกอากาศทุกคืนวันอาทิตย์ เวลา 22.15 – 23.30 . ทางช่อง Workpoint 23 รวมถึงแพลตฟอร์มอื่นอย่าง Facebook และ YouTube นอกจากนี้ยังมีรายการสร้างแรงบันดาลใจในการเปลี่ยนตัวเองไปในทางที่ดีขึ้นอย่างคนแปลงร่างส่วนงานนอกจอที่โดดเด่นก็คือการจัดเทศกาลดนตรี ‘S2O’ อีเว้นต์สุดมันส์วันสงกรานต์ที่ใครหลายคนเคยไป

นั้นคือสิ่งที่ทุกคนมองเห็น แต่สิ่งที่เขาเป็นคืออะไร ?

 

ผมคือนักวิทยาศาสตร์

เรามาเยือนคุณวู้ดดี้ถึงโลกของเขา ที่ บริษัท วู้ดดี้เวิลด์ จำกัด อาณาจักรที่เขากับทีมงานสร้างสรรค์ผลงานออกสู่ภายนอก ชายที่ทุกคนรู้จักให้การต้อนรับเป็นอย่างดี พูดคุยกันแบบสบาย ทำให้เราเข้าถึงตัวตนชายคนนี้ได้ไม่ยาก

เวลาที่ทุกคนบอกว่าผมคือพิธีกร เป็นนักจัดรายการ ผมก็ยินดีที่จะเป็น แต่ผมขอแชร์กับ UNLOCKMEN เป็นที่แรกว่าผมคือนักวิทยาศาสตร์ ผมชอบทดสอบ ผมทดลองทั้งความคิด ความรู้สึก รวมถึงไอเดียใหม่ และเชื่อว่าเราจะต้องทำวิจัยกันทุกวันทั้งกับตัวเองและกับสังคม ทุกคอนเท้นต์ที่ผมทำจะต้องทำให้ชีวิตคนดีขึ้น

“ผมขอแชร์กับ UNLOCKMEN เป็นที่แรกว่าผมคือนักวิทยาศาสตร์”

นี่คือมุมมองใหม่ของเขาที่มีต่อตัวเองในปัจจุบันหลังจากสั่งสมประสบการณ์มานาน ซึ่งเป็นคำตอบที่เราได้ยินแล้วอยากรู้ขึ้นมาเลยว่า จากวันนั้นจนถึงวันนี้ มีสิ่งใดในตัวคุณวู้ดดี้ที่เปลี่ยนไปอีกไหม ?

สิ่งที่ตื่นเต้นที่สุดคือทุกวันนี้ผมได้ความรู้สึกใหม่ ตลอดเวลาจากการฟังคนอื่นมากขึ้น สมัยก่อนเวลาที่ผมพูด ผมจะไม่ฟังใคร เวลาอยู่ในที่ประชุมก็จะแล้วแต่อารมณ์ ถ้าคนพูดตื่นเต้นมากก็ไม่อยากฟัง แต่เมื่อเราได้ตั้งใจฟังเราจะรู้เลยว่า ลูกน้องคนนี้ป่วยละ มีปัญหากับแฟนมา หรือคนคนนี้ต้องการความรักมากขึ้น หรือไม่อยากรู้สึกว่าตัวเองไม่ดีพอ พอเราฟังปุ๊ป ทุกอย่างมันเบามาก ถ้าเราไม่ฟังมันก็จะเหมือนกับตั้งการ์ดดวลกัน เถียงกัน พอเปิดใจฟังเราจะรู้เลยว่าความต้องการเบสิคของทุกคนคืออยากเป็นที่ยอมรับ ไม่มีใครอยากพลาดหรอก เราต้องยอมรับเขาก่อน

“สิ่งที่ตื่นเต้นที่สุดคือทุกวันนี้ผมได้ความรู้สึกใหม่ ตลอดเวลาจากการฟังคนอื่นมากขึ้น”

จากที่ติดตามผลงานของพี่มา สไตล์การถามคำถามของพี่ค่อนข้างจะซัดแบบตรง ๆ บางทีแขกรับเชิญก็เหวอไปเลย เดี๋ยวนี้ยังเป็นอยู่ไหม ?

“ตอนที่พี่เลิกถามคำถามว่า จริงหรือเปล่าที่คุณ… ? มีคนมาบอกว่าทำไมพี่ไม่ถามอย่างนั้นอีก พี่ก็ถามตัวเองว่า เห้ย ทำไมพี่ต้องทำอย่างนั้นอีกอะ วันนั้นพี่รู้สึกว่ามันใช่ เราอยากได้เรตติ้ง เราก็เลยถามแรง ๆ เราคิดว่าคนน่าจะชอบ แต่วันนี้พี่รู้สึกว่ามันแปลก ๆ บางทีครีเอทีฟเขาเขียนคำถามขึ้นในคิวว่า รู้สึกยังไงที่คุณเป็นข่าว ? โห พี่อุทานว่าเหี้ยในหัวเลยนะ แล้วตอนนี้ก็เอามาด่าตัวเองด้วย สิบปีที่แล้วถามแบบนั้นไปได้ยังไง คนโดนถามเขาก็ต้องรู้สึกไม่ดีอยู่แล้ว เขาเป็นข่าว เขาผ่านอะไรมาเยอะ เราควรจะให้กำลังใจเขา ทุกอย่างที่เกิดขึ้นแล้วย่อมดีเสมอ ทุกเหตุการณ์มันเกิดขึ้นเพื่อสอนเรา พี่ควรจะถามว่าคุณได้เรียนรู้อะไรจากมัน ? เราเสียเวลามาเยอะกับการถามคำถามที่ผิด คำถามที่ควรถามควรเป็นคำถามเชิงคุณภาพ You have to ask the right questions

“เราเสียเวลามาเยอะกับการถามคำถามที่ผิด คำถามที่ควรถามควรเป็นคำถามเชิงคุณภาพ”

ถ้าอย่างนั้นขอถามคุณวู้ดดี้ว่า ผ่านร้อนผ่านฝนผ่านหนาวมาขนาดนี้ มองตัวเองตอนวัยรุ่นว่าเป็นอย่างไรบ้าง แล้วได้ learning  อะไร ?

“ด้วยความที่ว่าเราเป็นเกย์ ตอนวัยรุ่นเราเคยคิดไปเองว่าเราต้องทดแทนด้วยการทำให้ตัวเองเป็นคนดูมั่นใจ ดูเก่ง เพื่อจะได้กลบความเป็นเกย์ ฝึกมาตั้งแต่เด็ก สมัครเป็นประธานชมรมแล้วก็รู้สึกมีพาวเวอร์ ต้องอยู่หน้าห้อง ต้องเป็นที่หนึ่ง แต่หารู้ไม่ว่าเราแค่ต้องการความรัก แค่นั้นเอง อยากให้พ่อแม่ยอมรับ พอทำงานก็ต้องการเรตติ้ง ต้องแรง เดินเข้ามาในห้องแล้วต้องข่มทุกคน พอมองกลับไปก็รู้สึกว่าสงสารเด็กคนนั้น แต่ก็ดี เพราะถ้าไม่มีวันนั้นก็ไม่มีวันนี้” 

“เราเคยคิดไปเองว่าเราต้องทดแทนด้วยการทำให้ตัวเองเป็นคนดูมั่นใจ ดูเก่ง เพื่อจะได้กลบความเป็นเกย์”

เป็นที่ทราบกันดีว่าคุณวู้ดดี้ผ่านการเปลี่ยนแปลงและเผชิญกับบททดสอบมามากมายในฐานะคนของสังคม ทั้งความท้าทายบนหน้าจอ การแข่งขันเข้มข้นในเรื่องของคอนเท้นต์ และธุรกิจที่มีความเสี่ยงเป็นปัจจัย ถ้ากลัวก็คงไม่ไหว ถ้าไม่สู้ก็คงหมดพลัง และถ้าไม่กล้าก็คงพังไปแล้ว แต่มนุษย์อย่างเราย่อมมีความรู้สึกหวั่นกันบ้างเป็นธรรมดา เพียงแต่สาระมันอยู่ที่ว่า คุณจัดการกับความกลัวได้อย่างไร ? 

Fuck fear! ต้องท่องทุกวัน fear มันก็เหมือนม้าที่คุณขี่ ถ้าคุณปล่อยให้ม้าพาคุณไปโดยไม่คอนโทรล ความกลัวก็จะพาคุณไปไหนก็ได้ รู้ตัวอีกทีก็สายไปแล้ว คุณต้องควบคุมจิตใจคุณ อย่าปล่อยให้ใจลอยไป หรือถามเดือนถามดาวเหมือนเนื้อเพลงไทย(หัวเราะ) คุณต้องถามใจตัวเองสิ ต้องมีสติในการข่มใจ สมมุติว่าคุณจะขึ้นพูดต่อหน้าคน 80,000 คนมันก็ต้องมี fear เป็นธรรมดา แต่เราจะ fear จน fail เหรอ คุณต้องออกรบบ่อย ๆ เพื่อฝึกเผชิญหน้ากับ fear ถ้าคุณมัวแต่ซ่อนตัวอยู่ใน comfort zone คุณก็จะเป็นอย่างนี้ทุกงาน เวลาที่ผมสบตาพูดกับใครแล้วได้ยินคำพูดบาดใจ ผมจะไม่กลัว ผมจะเคลียร์ตรงนั้นเลย และถ้าคำพูดเราเวลามันแทงใครเราต้องดึงหอกออกเดี๋ยวนั้นเลย เราจะไม่รอ”

Fuck fear! ต้องท่องทุกวัน”

 

Yes Man

นั่งพูดคุยกับคุณวู้ดดี้มาพักหนึ่ง รู้สึกว่าเขาไม่ใช่คนที่เข้าถึงยากหรือนัดยากเลย ทุกอย่างดูสมูธไปหมด ไม่ใช่ชายที่ ‘เยอะ’ อย่างที่คิด อะไรคือสิ่งที่ปลดล็อกเงื่อนไขการใช้ชีวิตของคุณ ? 

“ผมจะ say ‘Yes’ กับทุกอย่าง ผมทิ้งคำว่า ‘ดูก่อน’ ในหัวไปหมดแล้ว สำหรับผมคือ ‘ททท’ หรือ ‘ทำทันที’ UNLOCKMEN จะมาสัมภาษณ์ พี่ตอบเลยว่าโอเค ไม่ต้องมีเงื่อนไขมากกับชีวิต ผมเชื่อว่าทุกอย่างในชีวิตมันเตรียมมาไว้ให้คุณแล้ว คนดี ๆ เรียงมาให้คุณตลอด คุณต่างหากที่ปฏิเสธ สมัยก่อนผมจะเยอะมาก แป๊ปนึงนะ ขอดูปฏิทินก่อน เดี๋ยวค่อยว่ากัน พอเจอกับตัวเองบ้าง เวลาที่แขกรับเชิญไม่มีคิวก็เลยเข้าใจ เราโทษเขาไม่ได้ เราไม่มีสิทธิตัดสินใคร

เคยคิดนะว่าทำไมแขกรับเชิญไม่กล้ามา อ่อ ถ้าเราคิดจากมุมเขา การเจอกับเราก็อาจจะหนักไป ตอนนี้ผมเบามากเลย ใครไม่สะดวกผมไม่มีปัญหา เปิดกว้างมาก เอาตามเวลาแขกรับเชิญด้วย เราต้องเอนไปหาเขา ในโซเชียลเน็ตเวิร์กก็เหมือนกัน เมื่อก่อนผมอารมณ์เสียเวลาใครวิจารณ์ผมแรง ๆ แต่เดี๋ยวนี้ผมจะขอบคุณ และพิจารณาตัวเอง ยอมรับความผิดพลาด”

“ผมจะ say Yes กับทุกอย่าง ผมทิ้งคำว่า ดูก่อน ในหัวไปหมดแล้ว สำหรับผมคือ ททท หรือ ทำทันที”

 

Anything is possible

เรารู้แล้วว่าตัวตนและทัศนคติของคุณวู้ดดี้ในตอนนี้เป็นอย่างไร มาถึงเรื่องงานกันบ้าง คุณวู้ดดี้มีเคล็ดลับอะไรในการบริหารงาน ?

“ผมเชื่อว่าคนที่ไม่ค่อยมีความรู้แต่มีกลยุทธ์ กับคนที่มีความรู้แต่ไม่มีกลยุทธ์ ผมว่าคนมีกลยุทธ์น่าจะเวิร์กกว่าคนที่ฉลาดแต่ไร้ strategy คุณต้องมีกลยุทธ์ เริ่มฝึกได้จากเรื่องใกล้ตัว การจัดบ้านนี่แหละ มันเป็นการฝึกที่ดี คุณจะทำยังไงที่จะไม่ให้ในบ้านมีแต่ขยะถมไปหมด ถ้าเอาของที่คนอื่นให้มาไปหมกก็เหมือนการหมกปัญหา ถ้าคุณจัดบ้าน จัดพื้นที่ของคุณให้มัน mimimal ที่สุดได้ พอคุณออกไปข้างนอกคุณจะได้กระบวนการคิดในการบริหารเรื่องในบ้านไปประยุกต์ใช้  อีกอย่าง เราต้องดูว่าใครเป็น giver หรือ taker จงเชื้อใน sense ตัวเอง อย่าดูถูกมันเด็ดขาด”

“จงเชื่อใน sense ตัวเอง อย่าดูถูกมันเด็ดขาด”

แล้วมันไม่ยากเหรอ การจะทำงานใหญ่ที่ใคร ๆ เขาคิดว่าคุณไม่น่าจะทำมันได้ ?

“สำหรับผม Anything is possible ทุกอย่างเป็นไปได้ จงอย่าดูถูกพลังของตัวคุณเองในการเปลี่ยนแปลงทุกอย่างให้ดีขึ้น ต้องมีใจที่แน่วแน่มาก ถ้าคุณไม่แน่วแน่ใครมันจะแน่วแน่กับคุณ ผมปลูกฝัง mindset เรื่องทุกอย่างเป็นไปได้ให้กับทีมงานทุกคน และมันเห็นผล ถ้าบ่นก็แพ้แล้ว โปรเจ็คต์บางตัวล่มก็ให้มองดูว่าเรื่องดี ๆ จากการสูญเสียคืออะไร เวลาเรา break down เราต้องหาว่าเราเรียนรู้อะไรได้บ้าง ทุกอย่างเป็นโอกาส”

“พูดถึง S2O มันเริ่มจากการตั้งคำถามว่าเราจะจัดเทศกาลดนตรีในช่วงสงกรานต์ได้อย่างไร ทุกคนก็บอกว่าเป็นไปไม่ได้ ผมชอบมากเวลาที่คนพูดแบบนี้ ผมจะตั้งคำถามว่าจะทำอย่างไรให้มันเกิดขึ้นได้แล้วหาวิธี จนผมทำให้มันเป็นไปได้ แล้วก็ทำต่อ ๆ แล้วก็หาคนเจ๋ง ๆ มา run พอมันไปได้ดีผมก็ไปทำฝันอย่างอื่นให้เป็นจริงต่อ”

การประสบความสำเร็จว่ายากแล้ว คุณวู้ดดี้มีวิธีการรักษาความสำเร็จอย่างไร ?

“ผมพยายามคิดว่าผมจะต้องวิ่งเข้าเส้นชัยในการแข่งขันมาราธอนให้ได้ ผมต้องเพิ่ม pace ตัวเอง พอเข้าเส้นชัยเสร็จปั๊ปก็ต้องฉลอง เพื่อยินดีกับตัวเอง ยินดีกับทีม แล้วค่อยมาว่ากันที่เป้าต่อไป เราจะซ้อมอย่างไรเพื่อไปกันต่อ สิ่งหนึ่งที่จะทำให้เราเอาชนะตัวเองได้ในทุกแมตช์เป็นเวลายาวนานขึ้น คือ ‘ดี’ ไม่พอ ‘เยี่ยมยอด’ ไม่พอ ต้อง ‘เหนือมาตรฐาน’ และ make sure ว่าในสายเลือดของทีมคุณมันต้องเหนือมาตรฐานด้วย อีกอย่างต้องรู้จักลง ยอดเขามันไม่ได้ยืนได้เป็นสิบคน คุณต้องให้คนอื่นขึ้นมาบนยอดเขาบ้าง บางทีบรรยากาศในหุบเขาก็อาจจะดีก็ได้ อยู่หลังเขาก็ได้สนับสนุนคนอื่น เราต้องรู้จักแบ่งปัน”

“ยอดเขามันไม่ได้ยืนได้เป็นสิบคน คุณต้องให้คนอื่นขึ้นมาบนยอดเขาบ้าง บางทีบรรยากาศในหุบเขาก็อาจจะดีก็ได้ อยู่หลังเขาก็ได้สนับสนุนคนอื่น”

 

ทุกนาทีบนโลกนี้มีค่า

จากเรื่องงาน มาถึงเรื่องชีวิตกันบ้าง เรามักจะได้ยินคำแนะนำจากคนที่ประสบความสำเร็จเสมอ ว่าให้ใช้เวลาให้คุ้มค่าในการพัฒนาตัวเอง แต่ในเคสของคุณวู้ดดี้ ดูเหมือนว่าจะเกินคุ้ม เราถามเขาไปว่า ชีวิตนอกเวลาทำงานของเขาเป็นอย่างไร ?

“ชีวิตมันมีค่ามาก ผมจะนอนดูหนังอยู่บ้านเฉย ๆ ไม่ได้แล้ว เราไม่มีเวลาไปนั่งร้านกาแฟแล้วก็ถ่ายรูปเซลฟี่ สมัยก่อนนั่งร้านกาแฟคุยเรื่องชาวบานได้ทั้งวัน สนุกนะ แต่พอเริ่มรู้สึกว่าถ้าเราตายวันพรุ่งนี้หละ เราได้ทำฝันให้เป็นจริงแล้วหรือยัง เสาร์อาทิตย์ผมก็ทำงาน แต่เพราะผมไม่ได้คิดว่ามันเป็นงานก็เลยเอ็นจอยกับมัน เราต้องมี passion กับมัน passion is king เดี๋ยวคอนเท้นต์ดี ๆ ก็ตามมา การช่วยคนมันไม่ใช่แค่ 5 วัน การทำสิ่งดี ๆ มันคือ 7 วัน ตอนนี้ความสุขของผมคือแบบนี้”

เคยทำรายการดังอย่าง ‘วู้ดดี้เกิดมาคุย’ รวมถึงรายการ ‘วู้ดดี้ตื่นมาคุย’ วันหนึ่งวางทุกอย่างลง ไม่เสียดายบ้างเหรอ คุณปลดล็อกตัวเองจากการยึดติดอย่างไร ? 

“ก่อนปลดล็อกคุณอาจจะมีความรู้สึกเสียดายมาขวาง ก็ต้องถามตัวเองว่าสิ่งที่เป็นอยู่มันใช่หรือไม่ใช่ พอปลดล็อกได้คุณจะรู้สึกเจ๋งมาก เหมือนเอากุญแจออก มันเบา มันมีอิสรภาพ มันไม่ยึดติด การ unlock คือการปล่อยวางอย่างหนึ่ง อะไรก็ตามที่คุณแบกอยู่แล้วมันหนักก็วางลงซะ อะไรที่เบาก็รักษาไว้ แค่นี้มลภาวะของชีวิตก็จะหมดไป”

“การ UNLOCK คือการปล่อยวางอย่างหนึ่ง อะไรก็ตามที่คุณแบกอยู่แล้วมันหนักก็วางลงซะ อะไรที่เบาก็รักษาไว้”

มีภารกิจอะไรที่อยากทำให้สำเร็จในอนาคต ?

“ผมชอบออกกำลังกาย ผมอยากให้คนไทยมีสุขภาพดีขึ้น จากข้อมูลวิจัยบอกไว้ว่าประเทศไทยอยู่อันดับรองสุดท้ายในอาเซียนที่ประชากรมีสุขภาพดี ผมเลยมาคิดว่าจะแก้ยังไง แล้วก็พบว่าไม่ยาก ผมต้องสร้างแรงบันดาลใจให้คนไทยรักสุขภาพผ่านทางแพลตฟอร์มต่าง ๆ ที่มี ผมสร้างเทศกาลออกกำลังกาย สร้างคอนเท้นต์เกี่ยวกับการฟิตร่างกาย ผมตั้งเป้าไว้ว่าจะช่วยให้คนไทยขึ้นไปอยู่ในท็อป 3 ของอาเซียนในเรื่องสุขภาพในปี ค.ศ. 2020 ไม่ก็เกินมาปี 2021 แค่เดือนเดียว”

การพูดคุยกับคุณวู้ดดี้ทำให้เราซึมซับพลังและได้รับแรงบันดาลใจมากมายเหลือเกิน เขาคือคนที่รู้จักปลดล็อกศักยภาพตัวเองออกมาและสร้างคุณค่าได้อย่างน่าทึ่ง รวมถึงมีความเป็น gentleman อย่างแท้จริงแม้เขาจะชัดเจนในแนวทางของตัวเองก็ตาม

“การเป็น gentleman ต้องให้เกียรติคนอื่นไม่ว่าจะเป็นเพศเดียวกันหรือเพศอื่น มึความนุ่มนวล อ่อนโยน ไม่ก้าวร้าว ใช้ใจ ไม่ได้มาจากหน้าตา แต่มาจากใจ ใคร ๆ ก็อยากอยู่ด้วย”

นับเป็นอีกหนึ่งวันที่ทีมงาน UNLOCKMEN ได้สัมผัสประสบการณ์เจ๋ง ๆ จากการพูดคุยกับคนที่เป็นแบบอย่างที่ดีในการปลดล็อกศักยภาพตัวเอง ซึ่งพลังมหาศาลที่เกิดขึ้นจากตัวคุณวู้ดดี้นั้น ทุกคนก็ทรงพลังแบบนี้ได้เช่นกันด้วยการพัฒนาทัศนคติ เรารู้ว่ามันไม่ง่าย แต่ถ้าทำได้ก็สามารถสร้าง energy ที่จะเปลี่ยนตัวเองและโลกใบนี้ได้แบบสบาย ๆ

แล้วทุกอย่างในชีวิตมันก็จะเบาลง… 

Polo Shirt วัฒนธรรมเสื้อไม่มีวันตายกับ 3 เหตุผล 3 วิธี สวมใส่ที่จะทำให้คุณมั่นใจในทุกสถานการณ์

$
0
0

นับตั้งแต่ Rene Lacoste ติดสินใจปฏิวัติเสื้อสำหรับกีฬาเทนนิสจาก Tennis White ( เสื้อเชิ้ตขาวทำจากผ้ากำมะหยี่แบบหลวม ) กลายเป็นเสื้อจากผ้าฝ้ายปิเก้น้ำหนักเบา มาพร้อมกระดุมและปกคอเสื้อแบนราบที่เราเรียกกันติดปากว่า เสื้อโปโล ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาไม่ว่าจะผ่านไปกี่ยุคสมัย เสื้อโปโลก็ลงยังคงรักษาเอกลักษณ์ความคลาสสิคของตัวเองไว้ได้เสมอมา จนกลายมาเป็นหนึ่งในรูปแบบการแต่งตัวของผู้ชายที่ได้รับความนิยมมาถึงปัจจุบัน

ด้วยเนื้อผ้าระบายอากาศได้ดีเหมาะกับอากาศร้อน ๆในบ้านเรา เสื้อโปโล จึงมักเป็นไอเทมที่ทุกคนมักมีติดตู้ไว้เสมอ วันนี้ UNLOCKMEN ได้หยิบยกเหตุผลรวมถึงวิธีสวมใส่ เครื่องแต่งกายชนิดนี้อย่างเหมาะสม สำหรับช่วยให้คุณเพิ่มความเข้าใจก่อนจะหยิบมันออกมาจากตู้ เพื่อสวมใส่เข้ากับทุกสถานการณ์

#3 เหตุผลที่ทำให้เสื้อโปโลคลาสสิคตลอดกาล

1. สวมใส่สบาย

คำจำกัดความสั้น ๆ แต่สำคัญสำหรับการเลือกเสื้อผ้าเพื่อสวมใส่ เสื้อโปโลเองสามารถตอบโจทย์ด้านนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพด้วยวัสดุจากผ้าฝ้ายปิเก้ ที่ระบายอากาศได้อย่างดีเยี่ยม สัดส่วนและการออกแบบมีจุดประสงค์ดังเดิมเพื่อใช้เล่นกีฬา ทำให้ไม่ว่าคุณจะนอนอ่านหนังสือ หรือ ใส่ล้างรถหน้าบ้าน เสื้อโปโลก็สามารถตอบโจทย์การใช้งานได้เสมอ

2. .ใคร ๆ ก็ใส่ได้

พื้นฐานสำคัญของเสื้อโปโลทุกยุคทุกสมัย คือ ไม่ว่าคุณจะเป็นคนสนใจแฟชั่นหรือไม่ จะมีสัดส่วน สูง ยาว ขาว ดี หรือเตี้ย ล่ำดำ อ้วน แต่เมื่อไหร่ที่คุณหยิบเสื้อโปโลมาสวมใส่ ก็สามารถดูดีและไม่สร้างจุดด้อยทางร่างกายให้ต้องรีบถอด เหมือนเสื้อชนิดอื่น นี้แหล่ะคือการแต่งกายแบบไร้ขีดจำกัดอย่างแท้จริง

3. ดูดีในทุกโอกาส

เหตุผลสุดท้ายแต่ทรงพลังสุดของเสื้อโปโล คือ เอกลักษณ์ที่มีความพิเศษ คือเหมาะสมกับการสวมใส่ในทุกโอกาส และสถานที่โดยไม่ต้องกังวล ไม่ว่าคุณจะไปบ้านเพื่อนยันงานแต่งแฟนเก่า ก็ไม่มีใครพูดว่าคุณได้ว่าน้อยหรือมากเกินไปแต่อย่างใด และต่อไปคือ ทริกแนะนำ วิธีจับคู่เสื้อโปโลกับเสื้อผ้าชิ้นอื่น ให้ออกมาเข้ากับ Activity ประจำวันของคุณอย่างเหมาะสม

# 3 รูปแบบการใส่ Polo Shirt

1. Casual

เริ่มต้นกันด้วย ลุคลำลองสบาย ๆ ที่ทุกคนคุ้นเคยกันดีทั้งคล่องตัวและดูดีในคราวเดียว ลองจับคู่เสื้อโปโลตัวเก่งของคุณออกมาจากตู้ ไม่ว่าจะแขนสั้นหรือว่ายาวก็ได้ทั้งนั้น หลีกเลี่ยงกางเกงยีนส์หรือชีโน่ หันไปมองหาอะไรที่สวมใส่แล้วสบายเหมาะสมกับลุค Casual อย่างกางเกงยีนส์ หรือจะเป็นกางเกงขาสั้นดู เลือกสีให้ตัดกันอย่างเหมาะสม หรือไม่ก็ใช้สีเหมือนกันไปเลย แล้วบวกด้วยรองเท้าผ้าใบอย่าง Converse Jack Purcell หรือ Vans Slip-On Classic เพียงเท่านี้ก็สามารถลุยได้อย่างมีสไตล์แล้ว

2. Smart – Casual

ครึ่งทางระหว่าง Casual กับ Smart ทำให้สมดุลในการมิกซ์แอนด์แมทช์เป็นสิ่งสำคัญที่สุดของ Smart – Casual
เริ่มจากเสื้อโปโลเช่นเคย แต่คราวนี้เราจะใส่คู่กับ กางเกงขาสั้นหรือชิโน่ผ้าดี ๆ สักตัว เพื่อลดความ Casual ลง บวกกับรองเท้าสไตล์ Loafers ชนิด Espadrille หรือ Boat จะทำให้คุณมีลุคสบาย ๆ แต่เนี๊ยบลงตัวไปพร้อมกัน

3. Smart

เนี๊ยบแต่เรียบง่าย คือกุญแจสำคัญสำหรับการแต่งตัวแบบ Smart จับคู่เสื้อโปโลคู่กับกางเกงสแลคทรงสวย ๆ สักตัวแล้วเก็บชายเสื้อไว้ด้านใน อาจใส่หรือไม่ใส่เข็มขัดก็ได้ตามความชอบ เพิ่มความเป็นทางการด้วยร้องเท้าหนังแบบ Oxford หรือ Monk ควรระวังส่วนสำคัญของการแต่งตัวแบบ Smart คือขนาดของเสื้อและกางเกงจะต้องมีความฟิตพอดีกับตัวทั้งสองชิ้น ไม่ใหญ่คร่อมตัวหรือดึงรัดมากจนเกินไป เพียงเท่านี้ไม่ว่าคุณจะต้องไปงานทางการแค่ไหน ก็ดูดีไม่แพ้ใครแน่นอน

เคล็ดลับเพิ่มเติม

1. อย่ายกหรือตั้งคอเสื้อขึ้น เพราะมัน out ไปแล้ว
2. หลีกเลี่ยงการปลดกระดุมหมดทุกเม็ด
3. แขนเสื้อ ควรอยู่ตรงกึ่งกลางส่วน Bicep พอดี และไม่รัดตัวแขนจนเกินไป
4. เสื้อควรมีความยาวพอดีตัวไม่สั้นจนเกินไป สังเกตได้จากเมื่อยกแขนทั้งสองข้าว ชายเสื้อจะไม่ลอยขึ้นจากเอว

อันที่จริงแล้วไม่มีรูปแบบตายตัวสำหรับการใส่เสื้อคลาสสิคตัวนี้ ยังมีอีกสไตล์และวิธีในการผสมผสานเสื้อโปโลกับเสื้อผ้าอื่น ๆ อีกมากมาย ขึ้นอยู่กับความชอบของแต่ละคน ทว่าปฏิเสธไม่ได้เลยว่าต่อให้เราเลือกจะใช้ในแบบไหน เสื้อโปโลได้กลายเป็นตำนานของเครื่องแต่งกายชิ้นหนึ่งของโลกไปแล้ว

Source , Source 2 

รวม 5 แชแนลยูทูปที่มี Live Session เจ๋ง ๆ เหมือนมีศิลปินมาเล่นให้ฟังข้าง ๆ

$
0
0

สายชิลจิบเบียร์ยามเย็นจะเข้าใจดีว่าการนั่งเอื่อยจนกว่าดนตรีสดของร้านจะขึ้นมันคุ้มค่ากับการรอคอยแค่ไหน เพราะดนตรีสดช่วยขับบรรยากาศมันไปสุดทาง หรือคอเพลงบางคนก็ชอบที่จะฟัง Live Music มากกว่า Track จากอัลบั้ม เพราะชอบที่จะเสพความดิบ ความมีชีวิต มากกว่าความเพอร์เฟ็กต์ของ Track จากห้องอัด

วันนี้ UNLOCKMEN มาเปิดวาร์ปแชแนลยูทูปที่อัดแน่นด้วย Live Session เจ๋ง ๆ ให้ได้ฟังกันได้ทุกที่ทุกเวลา เผื่อวันนี้อยากจะนอนอยู่บ้านจิบเบียร์หน้าทีวี หรือโดนเคอร์ฟิวจากแม่กวางน้อยไม่ให้ออกท่องราตรี ก็ยังสามารถเสพดนตรีสดได้เหมือนมีวงมาเล่นข้าง ๆ

BBC Radio 1

เริ่มด้วยช่องจากสื่อยักษ์ใหญ่ที่เราคงคุ้นหูกันดีอย่าง BBC หันมาหยิบจับด้าน Entertainment แล้วศิลปินที่ไหนล่ะจะไม่สนใจ เราจึงได้ดู Live Session ดี ๆ ในชื่อ The Live Lounge จากศิลปินมากหน้าหลายตาแบบไม่ขาดสาย มีทั้งโชว์ของศิลปินนั้น ๆ ที่เป็นเพลงของพวกเขาเอง และยังมี Cover เพลงจากศิลปินอื่นอีกด้วย ที่ถือเป็นไฮไลต์ของช่องนี้ เพราะเหมือนได้ให้ศิลปินมาปล่อยของ เล่นเพลง Cover ที่แตกต่างจากต้นฉบับแบบโคตรเจ๋ง

 

Triple J

มาต่อกันที่แชแนลที่เป็นรายการวิทยุสัญชาติ Australian ที่พร้อมซัมม่อนศิลปินจากทุกมุมโลก แบนด์เล็ก แบนด์ใหญ่ แบนด์อินดี้ ก็สามารถมาโชว์ของในรายการนี้ได้ในทุกเช้าวันศุกร์ ส่วนมากจะเป็นเพลงของศิลปินนั้น ๆ เอง ส่วนเพลง Cover นาน ๆ ทีจะโผล่มา แต่สิ่งที่เจ๋งโคตรคือ จะมีการพูดคุยกับศิลปินก่อนเริ่มร้องเพลงบ้างเล็กน้อยอย่างเป็นกันเอง ถ้าได้เปิดฟังที่บ้านคงไม่เหงา เพราะเหมือนมีคนมาคุยกันอยู่ข้าง ๆ

 

SiriusXM

รายการวิทยุที่มี Live Session จากศิลปินที่หลากหลายมากอีกช่องนึง แชแนลนี้จะแยกคลิปสัมภาษณ์กับคลิป Live Session อยู่คนละ Playlist ใครอยากฟังเพลงเน้น ๆ ยาว ๆ สามารถตรงดิ่งไปที่ Playlist “In Studio Performances” ได้เลย และคลิปเมื่อไว ๆ นี้ที่เรียกเสียงฮือฮาจากชาว Rock Head ไปได้ไม่น้อยคือคลิปที่วง Asking Alexandria ได้ Cover เพลง Perfect ของ Ed Sheeran ได้แบบหวานหยดย้อยจนลืมไปเลยว่าเคยเป็นวงร็อก

KEXP

แชแนลสำหรับคนรักเสียงดนตรีอย่างแท้จริง เพราะ KEXP เป็นองค์กรไม่แสวงหากำไร จึงมีศิลปินจากทั่วทุกมุมโลกทั้งที่มีชื่อเสียงแล้วและยังไม่เป็นที่รู้จัก ได้มีโอกาสมาแสดงความสามารถได้แบบเต็มที่ และทุกคลิปที่ออกมาจะสังเกตได้ว่า Production จะถูกปรับให้เข้ากับ Character ของศิลปินนั้น ๆ และทำออกมาได้เจ๋งโคตรเพราะ KEXP ยังจัด Event แบบไม่แสวงหากำไรในทุกปีอีกด้วย

นักผจญเพลง

ปิดท้ายกันไปด้วยแชแนล Live Session เจ๋ง ๆ ฝีมือคนไทยกับรายการในช่องไทยพีบีเอสอย่าง “นักผจญเพลง” ที่ให้เราได้ฟังเพลงจากศิลปินที่เคยมาออกในรายการแบบย้อนหลัง อัดแน่นไปด้วยศิลปินไทยทั้งหน้าเก่าหน้าใหม่ที่ใคร ๆ หลายคนคิดถึงและไม่ได้เห็นการแสดงสดมานาน แต่ก็กลับมาโชว์กันแบบถึงใจในรายการนี้ รับรองว่าถ้าเครื่องเสียงดี ๆ เบียร์ดี ๆ เราแทบไม่ต้องออกไปนั่งร้านเลยด้วยซ้ำ

อย่าปล่อยให้วันหยุดนี้น่าเบื่อ ลองเปิดดูหาช่องที่ถูกใจ เพราะแต่ละช่องก็มีสไตล์เป็นของตัวเอง แม้จะออกจากบ้านไม่ได้ หรือไม่อยากออกเอง ก็สามารถเสพเพลงเหมือนมีคนมาเล่นให้ฟังข้าง ๆ ได้เหมือนกัน

STYLE GUIDE : ตำราครอบจักรวาลเกี่ยวกับเข็มขัดที่ผู้ชายทุกคนควรรู้เอาไว้

$
0
0

เข็มขัด หนึ่งในเครื่องแต่งกายที่มักโดนมองข้ามเสมอ แม้จะเป็นสิ่งที่สำคัญด้านฟังก์ชั่นการใช้งานและประโยชน์ใช้สอย แถมยังเป็นตัวส่งเสริมลุคด้านแฟชั่นอีกได้เป็นอย่างดีอีกด้วย ทว่าน่าเสียดายที่ผู้ชายหลายคนมักไม่ทราบอะไรเกี่ยวกับ ไอเทมชนิดนี้เท่าใดนัก นอกเสียจากการเป็นเครื่องมือสำหรับรัดกระชับ กางเกงหลวม ๆ เท่านั้น

เพื่อให้ชาว UNLOCKMEN ทำความรู้จักเกี่ยวกับเครื่องแต่งกายชิ้นดียิ่งขึ้น เราจึงอยากมาแนะนำทุกเรื่องที่ควรรู้เกี่ยว เข็มขัด ว่ามีกี่ประเภท ความเหมาะสมในการสวมใส่ใช้งาน รวมไปถึงวิธีการซื้อ จนเรียกได้ว่า เป็นคู่มือขนาดย่อม ๆ สำหรับผู้ต้องการศึกษาเรื่องราวเพื่อปลดล็อคความรู้รอบเอวของคุณโดยเฉพาะ

What is a Belt

เริ่มทำความรู้จักกันก่อน เข็มขัดคือเครื่องแต่งกายสำหรับดึงรัดเกงกางเข้ากับรอบเอวของคุณ เพื่อปรับหัวของกางเกงให้อยู่ในระดับเหมาะสม และมักใช้เมื่อพบเจอกันปัญหาขอบกางเกงมีขนาดไม่พอดีกับสัดส่วนร่างกาย ทั้งยังมีประโยชน์ในการใช้เหน็บหรือเกี่ยวกับสิ่งของ เหมือนกับ Batman หรือคุณตำรวจทำกัน อาจจะเป็นกระเป๋าแว่นตา ไปจนถึงทุกอย่างที่คุณต้องการเก็บไว้ใช้ได้อย่างถนัดมือ ส่วนใหญ่มักออกแบบให้มีผิวราบเรียบ เพื่อให้สะดวกต่อการสวมใส่และใช้งาน

Anatomy of a Belt

โดยทั่วไปเข็มขัด จะถูกแบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ 1. หัวเข้มขัด ( Buckle ) และสายเข็มขัด ( Strap )
ส่วนใหญ่นิยมมีห่วงสำหรับเก็บปลายสาย หรือ Keeper Loop ถัดไปจากหลังหัวเข็มขัดเพื่อใช้เก็บปลายสายให้เรียบร้อย ปลายสาย ( End Tip ) มักปิดด้วยโลหะ และหนังในกรณีสายเป็นผ้าหรือผ่านการตัดเย็บมาเป็นอย่างดี เพื่อป้องกันการชำรุดระหว่างใช้งาน แต่ก็ยังเข็มขัดบางประเภทที่มีส่วนหัวและสายยึดติดเข้าด้วยกันแบบถาวร ส่วนใหญ่มักจะมีหัวเป็นกรอบ ( Frame ) และแกนสำหรับปรับระดับ ( Chape )

When Should You Wear a Belt?

โดยทั่วไปเรามักสวมใส่เข็มขัดพร้อมกับกางเกง ( รวมไปถึงกางเกงยีนส์ ) ที่มีห่วงสอดเข็มขัด ( Belt Loop ) ยิ่งต้องแต่งกายแบบ Formal จะขาดเข็มขัดไปไม่ได้เด็ดขาด ส่วนการแต่งแบบ Casual อาจข้ามการใช้เข็มขัดไปได้บ้างแต่ก็ไม่ควรเพราะเข็มขัดสามารถช่วยส่งเสริมกางเกงของเราให้ดูดีขึ้นได้เสมอ

อีกรูปแบบหนึ่งซึ่งเปรียบเสมือนญาติห่าง ๆ ของเข็มขัด แต่มีประโยชน์ใกล้เคียงกัน สามารถใช้ได้เมื่อเราต้องสวมกางเกงในแบบไม่มีห่วงคล้องเข็มขัด คือ “ สายเอี๊ยม “ ถือเป็นทางเลือกที่น่าสนใจ ให้คุณได้แต่งตัวอย่างแตกต่างมีสไตล์ ขณะเดียวกันก็สามารถยกกระชับกางเกงอย่างมีประสิทธิภาพไม่แพ้เข็มขัด และมีส่วนช่วยให้ช่วงเอวของเราดูมีขนาดเล็กลง แถมทำให้ผู้ชายรูปร่างเตี้ยดูสูงขึ้นอีกด้วย แต่ถ้ามีรูปแบบการแต่งตัวที่ไม่ต้องพึ่งพา เข็มขัด หรือสายเอี๊ยม ก็ต้องทำให้มั่นใจว่า การเกงของคุณมีขนาดรอบเอวพอดี ไม่หย่อนยานจนต้องดึงขึ้นบ่อย ๆ จนเสียบุคลิก

Formal vs. Casual Belts

เข็มขัดสามารถแบ่งออกได้เป็นสองประเภทหลัก ๆ คือ ใส่กับชุดเป็นทางการ กับเสื้อผ้าลำลอง มาดูกันว่าทั้งสองแบบนี้ มีความแตกต่างของชนิดและเหมาะกับการใช้งานแบบไหนกันบ้าง

Formal Belts

เข็มขัดแบบทางการมักไม่ค่อยแตกต่างกันมากนัก มักมีรูปลักษณ์โดยรวมใกล้เคียงกันเป็นมาตรฐานของการใช้งาน

หัวเข็มขัดแบบทางการ

 

หัวของเข็มขัดแบบทางการเกือบทั้งหมด จะเป็นแบบกรอบโลหะ ( Frame ) ใช้สายสอดผ่านเข้าในหัว และมีง่ามโลหะสำหรับยึดกับเข็มขัด ที่ตัวสายมีรูตามความต้องการของผู้สวมใส่ มักเป็นสีเงินหรือสีทองเงามัน มีขนาดหัวเข็มขัดเล็กกว่าแบบไม่เป็นทางการ

ขนาดสายเข็มขัด

ควรมีความกว้างระหว่าง 1- 1.5 นิ้ว ความบางจะช่วยให้ดูดีมากขึ้น ความยาวของสายเข็มขัดจะเหมาะสม สำหรับคนที่มีรูปร่างเล็กควรเลือก เข็มขัดมีขนาดรอบเอว 34 ลงไป

วัสดุที่ใช้ทำสายเข็มขัด

หนังแท้ เป็นวัสดุเหมาะสมที่สุดสำหรับทำสายเข็มขัด หรือถ้าไม่นิยมของที่ทำจากหนังสัตว์ควรเลือกหนังเทียมคุณภาพสูงมาใช้แทน หนังวัว เป็นสิ่งที่คนนิยมนำมาใช้เป็นวัสดุในการทำเข็มขัดกันมาก เนื่องจากตัวหนังดูดีพร้อมกับความทนทานเป็นเลิศ ในขณะเดียวกันก็อ่อนนุ่ม เข็มขัดทางการคุณภาพดีจึงมักทำจากหนังวัวแท้ทั้งเส้น

หนังนกกระจอกเทศ กิ้งก่า และจระเข้

หนังสัตว์เหล่านี้ต้องใช้เทคนิคขั้นสูงในการนำมาทำเข็มขัด จึงส่งผลให้มีราคาแพงกว่าหนังวัว เพราะสีสวยและดูดีมากกว่าด้วยสีเข้มธรรมชาติ หนังนกกระจอกเทศ มีลักษณะหนากว่าชนิดอื่น และด้วยเอกลักษณ์ส่วนตัวเป็นลายจุดตลอดตัวสาย มักจะมีราคาแพงมาก หนังจระเข้มีเสน่ห์ที่ลายของหนังค่อนข้างละเอียดไม่ซ้ำกันสร้างความหรูหราให้กับผู้สวมใส่ได้เป็นอย่างดี

ลวดลายและสีสัน

เข็มขัดแบบเป็นทางการ เป็นเครื่องแต่งกายที่ควรละเอียดอ่อนในการเลือก ถ้าให้ดีพื้นผิวแข็งแรง เรียบและเงาจะเหมาะสมที่สุด เป็นสีดำหรือสีน้ำตาลเป็นพื้นฐาน หรืออาจเลือกสีเป็นOxblood , Tan , Navy , Gray , White ไว้สำหรับหน้าร้อนเพื่อเพิ่มความสดชื่น

วิธีการจับคู่เข็มขัดแบบเป็นทางการกับชุดของคุณ

การสวมใส่เข็มขัดแบบทางการ มีสิ่งที่ต้องระวัง คือ อย่าจับคู่สายและหัวเข็มขัดให้มีสีเดียวกัน ตัวสายควรแมทช์กับรองเท้าหรือเครื่องประดับหนังส่วนอื่น ๆ ในร่างกาย หัวเข็มขัดควรมีสีเดียวกันกับเครื่องประดับโลหะในร่างกายจะทำให้คุณดูดีและเรียบหรูมีสไตล์มากขึ้น เมื่อต้องออกงานทางการทุกครั้ง

Casual Belts

เข็มขัดที่พัฒนารูปแบบและสีสันออกมามากมาย เพื่อตอบสนองให้หนุ่ม ๆ เลือกใช้อย่างเหมาะสมกับการแต่งตัว และสามารถหยิบจับมาแมทช์กับชุดลำลองได้ในทุกโอกาส

หัวเข็มขัดแบบลำลอง

มีหลากหลายรูปแบบให้เลือกใช้งาน อาจเป็นกรอบคล้ายกับแบบทางการ แต่มักมีขนาดใหญ่กว่า หรือเป็นแบบหัวลวดลายต่าง ๆ ที่เรียกว่า Plate-Style

หัวเข็มขัดลำลองแต่ละประเภท

  1. แบบกรอบ ( Frame-Style ) : ลักษณะคล้ายเข้มขัดแบบทางการแต่มี ขนาดที่ใหญ่และแข็งแรงว่าให้คุณได้เลือกใส่กับชุดลำลองแบบลุย ๆ
  2. แบบหัว ( Plate-Style ) : ลักษณะเป็นหัวโลหะขนาดใหญ่ มีลวดลายต่างกันออกไป อาจมีการถอดเปลี่ยนหัวได้ตามแฟชั่นนิยม ตัวอย่างเช่น เข็มขัดคาวบอยหรือนักปั่นจักรยานเป็นต้น
  3. แบบกล่อง ( Box Frame ) : ลักษณะเป็นกรอบโลหะทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้า ภายในกลวงเพื่อใส่ตัวยึดสายไว้ ไม่จำเป็นของมีรูที่สายเข็มขัด
  4. หัวแหวนกลม/หัวแหวนครึ่งวงกลม ( O-Ring/D-Ring ) : อาจมี 1-2 วงแหวนในเส้นเดียว ใช้วิธีการยึดโดยใช้แท่งยึดโลหะสอดเข้าในตัวสาย หรืออีกแบบคือสอดเข้าห่วงเพื่อยึดไว้มีทั้งแบบสายหนังและผ้า
  5. หัวยึด ( Snap ) : ลักษณะหัวยึดคล้ายกับปลายเข็มขัดนิรภัย สวมใส่และใช้งานได้สะดวกโดยเฉพาะชุดลำลองที่ต้องการความลุยเป็นพิเศษ ไม่ต้องมีรูที่สายเพราะใช้การปรับระดับในตัวสายได้เลย

ขนาดสายเข็มขัด

เข็มขัดลำลองควรมีความกว้างระหว่าง 1.5 – 1.75 นิ้ว ที่จะทำให้สวมใส่ได้สบาย หากแต่งกับกางเกงยีนส์ หรือชีโน่ ควรมีความกว้างที่ 1.5 นิ้วพอดี และเหมาะสมกับขนาดของหัวเข็มขัดที่มี

วัสดุที่ใช้ทำสายเข็มขัด

  1. Full-Grain Leather : เข็มขัดหนังชิ้นเดียว มีความหนากว่าแบบอื่น มักทำจากหนังชั้นนอกของวัว อาจมีริ้วรอย ซึ่งเกิดจากเจ้าวัวตัวนั้นเจอมาตลอดชีวิต อาจเป็นงานสั่งทำ เป็นแบบเปลี่ยนหัวได้ไว้สำหรับผู้ชายที่ชอบโชว์หัวเข็มขัด
  2. Braided Leather : เข็มขัดหนังถัก เหมาะสำหรับใช้กับหัวเข็มขัดแบบ Frame-Style เพราะสายมีความอ่อนนุ่มกว่าแบบแรก ตัวสายมีลวดลายสวยงามที่เกิดจากการถัก และมักมีราคาถูก สามารถใส่ได้กับชุดสบายๆ เช่นกางเกงขาสั้นกับเสื้อโปโล แต่ควรหลีกเลี้ยงในการใช้กับชุดทำงาน หรือชุดสูท
  3. Tooled Leather : สายหนังแบบแกะสลัก ดูดีเมื่อใส่กับชุดเรียบง่ายอย่าง กางเกงยีนส์และเสื้อเชิ้ตแบบเรียบไร้ลวดลาย เพราะจะทำให้ลายบนเข็มขัดดูเด่นขึ้น แต่ควรหลีกเลี่ยงในการใช้เวลาที่เราสวมใส่เสื้อผ้าที่มีลวดลายและสีสันมากอยู่แล้ว
  4. Suede Leather : หนังกลับ เป็นหนังที่มีความสวยงามเมื่อนำมาใช้ทำเข็มขัด แต่ด้วยความไม่แข็งแรงทนทาน ส่วนใหญ่จึงใช้ห่อหนัง แบบ Full-Grain เพื่อเพิ่มความแข็งแรงของตัวสาย

รูปแบบและสีสัน

สีน้ำตาลคือสีที่ได้รับความนิยมมากที่สุดสำหรับสายหนัง ต่างจากสีดำที่ไม่เหมาะกับกางเกงยีนส์ ส่วนวัสดุอื่น ๆ สามารถเลือกสีสันได้ตามสบายเพื่อให้เข้ากับการแต่งตัวของเราได้มากที่สุด

วิธีเลือกเข็มขัดให้เหมาะสม

เข็มขัดที่เหมาะสมควรมีความยาวมากกว่ากางเกง ประมาณ 1-2 นิ้ว ตัวอย่างเช่น กางเกงที่คุณใส่อยู่มีรอบเอวอยู่ที่ 40 นิ้ว เข็มขัดที่เหมาะสมจึงควรมีความยาวประมาณ 41-42 นิ้ว เป็นต้น หรือวิธีง่าย ๆ คือหากมีเข็มขัดเส้นเก่งที่ขนาดพอเหมาะอยู่แล้ว ก็ควรนำติดตัวไปด้วย แล้ววัดทาบตามความต้องการ แต่หางเข็มขัดหลังจากใส่แล้วไม่ควรยาวมากเกินไปจะเหมาะสมที่สุด

วิธีการเลือกซื้อเข็มขัดอย่างมีคุณภาพ

ปกติเราอาจเปลี่ยนเข็มขัดในทุก ๆ 1 -2 ปี ตามความเหมาะสมของการใช้งานและแฟชั่นในขณะนั้น แต่ทว่าที่จริงแล้วเข็มขัดคุณภาพดีสักเส้นหนึ่ง สามารถใช้งานได้ถึง 10 ปีเลยทีเดียว ฉะนั้นจึงคุ้มค่าที่จะลงทุนสำหรับคนที่ ไม่คิดจะเปลี่ยนเข้มขัดบ่อย ๆ ซึ่งมี 2 ปัจจัยหลัก ที่เป็นต้นเหตุของความคงทน

อันดับแรกคือวัสดุที่ใช้ผลิต เป็นองค์ประกอบแรกของความแข็งแรง หนังวัว มักได้รับความนิยมมากที่สุดเนื่องจาก ตัวหนังมีคุณภาพดีเหมาะสมกับรูปแบบการใช้งาน แต่มีความนุ่มในเวลาเดียวกัน ระหว่างเลือกซื้อเราต้องมั่นใจว่าจะได้หนังใหม่ ไม่ฉีกหรือแตกง่าย สังเกตได้จากการใช้เล็บจิกลงไปและลองกรีดเบา ๆ บนสาน หนังสดใหม่จะยุบ เกิดรอยตามขีดและกลับคืนเหมือนเดิม แต่ถ้าเป็นหนังเก่าจะไม่เกิดปฏิกิริยาอะไรเลยเนื่องจากความแข็งของหนังอายุมาก

ต่อมาคือ ฝีมือในการผลิต ส่วนนี้เองสำคัญไม่แพ้กัน เพราะถึงแม้วัสดุจะดีเพียงใด แต่ถ้าหากไม่มีการผลิตจากช่างเข็มขัดที่มีฝีมือก็เปล่าประโยชน์ สังเกตได้จากรอยเย็บตลอดแนวของเข็มขัดว่าทำออกมาได้ประณีตมากแค่ไหน อีกส่วนคือ หนังส่วนข้อต่อระหว่างสายและหัว ส่วนนี้จะต้องอ่อนนุ่มกว่าส่วนอื่น ในขณะเดียวกันก็ต้องแข็งแรง เพราะเป็นส่วนที่ได้ใช้งาน หักงอมากกว่าส่วนอื่น ๆ ช่างที่ดีจะใส่ใจรายละเอียดพวกนี้ทั้งหมด

ทำความรู้จักรายละเอียดต่าง ๆ เสียเวลาและยอมจ่ายมากกว่าเดิมเล็กน้อย เชื่อเราเถอะว่าทุกคนจะได้เข็มขัดที่มีคุณภาพและถูกใจไปพร้อมกัน เมื่อรู้จักการใช้เข็มขัดอย่างเหมาะสม เวลาออกงานก็มีสไตล์ เวลาสบาย ๆ ก็ได้ประโยชน์ รักษามันไว้ให้นาน เพราะของชิ้นนี้ ไม่ใช่เครื่องแต่งกายที่เราควรมองข้ามอีกต่อไป

Source 


UNLOCK WINE 101: รวมทุกเรื่อง “ไวน์”เข้าใจง่ายที่ผู้ชายต้องรู้เพื่อความคูลและมีระดับ

$
0
0

“ไวน์คือบทกวีที่ถูกบรรจุลงสู่ขวด” เป็นคำที่นักเขียนชาวสก็อตติชอย่าง Robert Louis Stevenson เคยกล่าวเอาไว้ ซึ่ง UNLOCKMEN ว่านี่ไม่ใช่คำกล่าวที่เกินความจริงแต่อย่างใด เพราะไวน์เป็นเครื่องดื่มอันเต็มไปด้วยความซับซ้อนและเต็มไปด้วยเสน่ห์ที่ดึงดูดชวนให้ผู้ชายอย่างเราเข้าไปสัมผัส นอกจากนั้นวัฒนธรรมแห่งการดื่มไวน์ได้กลายเป็นศิลปะการลองลิ้มชิมรสสุดคลาสสิกที่ผู้ชายคูล ๆ ทุกคนไม่ควรพลาด การรู้เรื่องไวน์ประดับตัวไว้จึงเป็นทั้งการยกความเท่ของผู้ชายอย่างเราให้สูงขึ้นไปอีกระดับ แถมยังช่วยให้เราเข้าสังคมแห่งการดื่มไวน์ได้อย่างดื่มด่ำยิ่งขึ้น

ผู้ชายแมน ๆ คนไหนที่เคยคิดไว้ว่าการดื่มไวน์นั้นยากแสนยาก วันนี้คงต้องเปลี่ยนความคิดกันใหม่ เพราะการได้รู้จักเครื่องดื่มแห่งความลุ่มลึกมีระดับอย่างไวน์จะทำให้เราติดใจจนบอกได้เลยว่ามันคุ้มค่าที่จะลิ้มลองบทกวีบรรจุขวดให้ลึกซึ้ง ถ้าพร้อมจะดำดิ่งไปกับความคลาสสิกในโลกของไวน์แล้ว UNLOCK WINE 101 ที่เก็บเรื่องไวน์พื้นฐานให้ครบถ้วนทุกเม็ดก็พร้อมจะปลดล็อกศักยภาพการสัมผัสไวน์ให้คุณถึงที่แล้วเช่นกัน

WHAT IS WINE?

สำหรับมือใหม่ที่ยังกล้า ๆ กลัว ๆ การเริ่มต้นนับหนึ่งในโลกของไวน์จะเป็นไปอย่างราบรื่น มีระดับและไม่ซับซ้อน ถ้าเราเริ่มจากพื้นฐานของไวน์กันก่อน โดยคำถามสุดเบสิคที่เราควรรู้ก็คือ “ไวน์คืออะไร?” นอกจากความงดงามคล้ายบทกวีแล้ว ไวน์คือเครื่องดื่มมีแอลกอฮอล์ชนิดหนึ่งซึ่งเกิดจากการหมักของน้ำองุ่นที่ได้จากผลองุ่นสด ๆ นั่นเอง โดยแต่ละท้องที่ก็จะมีกระบวนการผลิตแตกต่างกันไปตามสไตล์ที่แต่ละท้องถิ่นกำหนดขึ้น

ถ้าในหัวผู้ชายอย่างเรายังนึกออกแค่ไวน์แดงกับไวน์ขาวก็ไม่ต้องห่วงไป ครั้งนี้เราจะพามาทำความเข้าใจไวน์ 3 ประเภทที่แบ่งตามเทคนิคการผลิตให้เข้าใจแจ่มแจ้งกันไปเลย

STILL WINE

เริ่มต้นกันที่ Still Wine เป็นไวน์ที่ไม่มีฟอง หรือพูดง่าย ๆ คือไม่มีการอัดก๊าซ มีปริมาณแอลกอฮอล์ 8-15% Still Wine แบ่งออกเป็นไวน์ได้อีก 3 ชนิดตามสีของไวน์ หนึ่งในนั้นก็คือไวน์ขาว ไวน์แดงที่ผู้ชายทุกคนรู้จักกันดีนั่นเอง

  • Red Wine หรือไวน์แดง คือไวน์ที่ทำจากน้ำองุ่นที่ผ่านการบ่มร่วมกับส่วนอื่นขององุ่นให้เกิดสี ทั้งการเติมเปลือก (Grape Skin) ขั้วองุ่น (Grape Pip) และเมล็ด (Seed) ลงไป จึงมักมีสีแดงเข้มไปจนถึงสีม่วงชื่อไวน์แดงยอดนิยม : คาร์เบอเน โซวีญง (Cabernet Sauvignon), แมร์โล (Merlot), ปิโนต์ นัวร์ (Pinot Noir) และซินฟานเดล (Zinfandel)
  • White Wine หรือไวน์ขาว คนส่วนมากมักเข้าใจผิดว่าทำจากองุ่นเขียว แต่ความจริงเขามีการนำองุ่นสีอื่นมาทำร่วมด้วยเพียงแต่ถอดพวก Pigment ที่เป็นสีออกไป ว่าง่าย ๆ คือการลอกเปลือก ลอกทุกส่วนที่มีสีออกแล้วเก็บแต่เนื้อองุ่นขาว ๆ มาทำน้ำองุ่นเพื่อหมักไปทำไวน์ สีจึงออกมาใส ๆ ไปจนเป็นถึงเหลืองทองอำพันชื่อไวน์ขาวยอดนิยม :  ชาร์ดอนเนย์ (Chardonnay), รีสลิง (Riesling), โซวีญง บล็อง (Sauvignon Blanc) และมอสคาโต้ (Moscato)
  • Rose Wine หรือไวน์โรเซ่ สีสวย ๆ อมชมพูกุหลาบนี่แหละเหมาะสำหรับสั่งให้สาว ๆ ยิ่งนัก ถ้าเธอถามว่าบ่มต่างจากอย่างอื่นยังไงถึงได้สีแบบนี้ ตอบเธอไปด้วยเสียงเรียบ ๆ ว่า บ่มเหมือนไวน์แดงแต่ใช้เวลาน้อยกว่า เพราะใช้เวลาเพียง 12-36 ชั่วโมง จากนั้นค่อยเอามาเบลนด์เข้ากับไวน์ขาว จนออกมามีสีกุหลาบอย่างที่เห็นชื่อไวน์โรเซ่ยอดนิยม : San Miguel, Rose’D Anjou

SPARKLING WINE

Sparkling Wine หรือสปาร์คกลิ้งไวน์ ชื่อนี้ขาปาร์ตี้คุ้นหูกันดี ความพิเศษที่ต่างจากประเภทอื่นเพราะมีความซ่า หรือเป็นไวน์มีฟองจากก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่เกิดจากการหมักทำให้กินได้เพลินในบรรยากาศรื่นเริง มีแอลกอฮอล์ 8-14%

FORTIFIED WINE

ผู้ชายคนไหนที่ใจฝักใฝ่ไวน์ที่หวานตามธรรมชาติขึ้นมาสักหน่อย และร่างกายต้องการแรงปะทะจากระดับแอลกอฮอล์ในไวน์ที่สูงขึ้นมาอีกระดับ เราก็ขอแนะนำให้รู้จัก Fortified Wine หรือ ฟอร์ติไฟด์ ไวน์ ซึ่งเป็นไวน์ที่มีการเติมแอลกอฮอล์จากบรั่นดีหรือวอดก้าลงไปในขั้นตอนการผลิต ผลที่ได้ก็คือไวน์จะมีรสชาติหวานตามธรรมชาติมากขึ้น และมักจะมีปริมาณแอลกอฮอล์ที่สูงขึ้น โดยมีปริมาณแอลกอฮอล์ประมาณ 17-22%

นอกจากนี้ ไวน์ยังแบ่งตามความหวานจาก Dry ถึง Sweet

  • Dry เหมาะกับผู้ชายสายดิบ เป็นไวน์ ที่ไม่มีความหวานเลย หรือมีน้ำตาลไม่เกิน 2 % เปี่ยมไปด้วยความเข้มข้น ที่ไม่มีความหวานเพราะ Dry Wine จะผลิตโดยการหมักให้น้ำตาลในองุ่นกลายเป็นแอลกอฮอล์จดหมด
  • Off-Dry หรือ Semi-sweet  เป็นไวน์ที่มีปริมาณน้ำตาล 2-4 % หวานเล็กน้อย คือไวน์ที่ยังปล่อยให้มีน้ำตาลในองุ่นอยู่บ้าง เพื่อลดความเปรี้ยวและเพิ่มกลิ่นชวนดมให้ไวน์
  • Sweet คือไวน์ที่มีปริมาณน้ำตาล 4 % ขึ้นไป เป็นไวน์รสชาติหวาน ผลิตแบบไม่ปล่อยให้น้ำตาลในองุ่นเสียไป ส่วนใหญ่จะมีระดับแอลกอฮอล์ต่ำที่สุด (ยกเว้นพวก Fortified Wine)
VINTAGE & NON-VINTAGE WINE

หลายครั้งที่เดินเข้าร้านไวน์ แล้วตาไวไปเห็นปี ค.ศ.ระบุอยู่บนฉลากไวน์ ผู้ชายอย่างเราก็คงพอจะเดาได้ไม่ยากว่ามันคือปีที่ผลิตของไวน์ขวดนั้น ๆ แต่ อ้าว ทำไมไวน์บางขวดถึงไม่มีปีที่ผลิตระบุไว้ล่ะ? ไวน์ปลอมหรือเปล่า ทำไมถึงไม่มีที่มาที่ไป? ไม่ต้องเก็บความสงสัยนั้นไว้กับตัวอีกต่อไป เพราะนั่นคือความแตกต่างขั้นเบสิคที่เราสังเกตเห็นได้ระหว่าง Vintage Wine กับ Non-Vintage Wine

แต่ความลุ่มลึกของ Vintage Wine กับ Non-Vintage Wine ไม่ได้จบอยู่แค่ปีที่ผลิตที่แปะหรือไม่แปะอยู่บนฉลากเท่านั้น แต่ยังมีความน่าสนใจอื่น ๆ รอให้เข้าใจอีกด้วย

  • Vintage Wine หรือไวน์โลกเก่า เหมาะสำหรับผู้ชายที่ชอบความยูนีคโดดเด่นเป็นตัวของตัวเอง เพราะ Vintage Wine เป็นไวน์ที่มีความเฉพาะตัวสูง แต่ละปีมีความแตกต่างกันไป เพราะสภาพอากาศของปีที่ผลิตแต่ละปีไม่เหมือนกัน ไวน์จึงออกมาแตกต่างกันไปด้วย โดยที่ฉลากของ Vintage Wine จะระบุปีที่ผลิตเอาไว้ เพื่อทำหน้าที่ประกาศบอกผู้ชายอย่างเราให้รู้ว่าไวน์ขวดนี้ผลิตจากองุ่นปีไหน จะไม่มีการผสมไวน์ข้ามปีให้สูญเสียความเป็นองุ่นปีนั้น ๆ และไม่มีการปรุงรสหรือปรับกลิ่นใด ๆ ทั้งสิ้น โดยชื่อของไวน์มักจะตั้งตามชื่อที่ที่ผลิต เช่น ชื่อเมือง ตำบล หมู่บ้านประเทศที่ผลิต ฝรั่งเศส สเปน โปรตุเกส อิตาลี เยอรมัน
  • Non-Vintage Wine หรือไวน์โลกใหม่เหมาะสำหรับคนที่ชอบความมาตรฐานคงที่ ไม่ชอบความสวิงสวายคาดเดาไม่ได้ เพราะ Non-Vintage Wine มีการเบลนดิ้งน้ำไวน์จากองุ่นหลาย ๆ ปี และใช้กระบวนการผลิตที่พึ่งพาเทคโนโลยีสมัยใหม่เข้ามามีส่วนร่วม ดังนั้นรสชาติของ Non-Vintage Wine จะเป็นมาตรฐานเหมือนกันทุกปีทุกขวด ทำให้ไม่ต้องระบุปีที่ผลิตไว้บนฉลากแต่อย่างใด เพราะได้ความสม่ำเสมอเหมือนกันทุกปีอยู่แล้ว ชื่อของไวน์จะตั้งตามชื่อพันธุ์องุ่นที่นำมาผลิตไวน์ขวดนั้นประเทศที่ผลิต ชิลี อาร์เจนตินา ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ แอฟริกาใต้และอเมริกาเหนือ
WINE BODY

บ่อยครั้งที่จับแก้วไวน์ ๆ ดู ๆ ดม ๆ แล้วจิบแล้วได้ยินคนพูดถึงบอดี้ของไวน์ จนเรางง ๆ ว่า เฮ้ย ไวน์ต้องมีบอดี้ด้วยเหรอ? บอดี้ของไวน์คืออะไร มันมาจากไหน เราจะเล่าให้ฟัง บอดี้ของไวน์มีที่มาจากปัจจัยสุดหลากหลาย แต่ปัจจัยหลักที่เอาไว้ไปคุยให้คนอื่นฟังได้แบบชิล ๆ เลยคือ “แอลกอฮอล์” ดังนั้นการรู้ว่าไวน์ขวดนั้นมีปริมาณแอลกอฮอล์เท่าไหร่จากฉลากที่แปะบอกไว้อยู่แล้วจึงเป็นทริคดี ๆ ที่เราจะรู้ว่าบอดี้ของไวน์ที่เรากำลังดื่มนั้นเป็นแบบไหน

  • Light-Bodied Wine ไวน์ไลท์บอดี้มักจะมีแอลกอฮอล์ต่ำกว่า 12.5% โดยส่วนใหญ่มักจะเป็นไวน์ขาวและไวน์แดงอย่าง Pinot Noir ดื่มแล้วให้ความสดชื่น
  • Medium-Bodied Wine ไวน์ที่มีปริมาณแอลกอฮอล์ประมาณ 12.5-13.5% ถูกจัดให้เป็นไวน์ที่บอดี้กลาง ๆ ตัวอย่างไวน์บอดี้กลาง ๆ นี้ เช่น Rose, French Burgundy, Pinot Grigio และ Sauvignon Blanc
  • Full-Bodied Wine สำหรับขาไวน์ที่ชอบจัดหนักจัดเต็มก็ขอเชิญพบกับไวน์บอดี้หนักแน่น ที่มีแอลกอฮอล์ตั้งแต่ 13.5% ขึ้นไป โดยไวน์ฟูลบอดี้ส่วนใหญ่มักจะเป็นไวน์แดง เช่น Zinfandel, Syrah/Shiraz, Cabernet, Merlot และ Malbec แต่ไวน์ขาวที่บอดี้เต็มเหนี่ยวก็มีกับเขาเหมือนกัน เช่น Chardonnay ที่ถูกหมักบ่มในถังไม้โอ๊ค
WINE GLASS

ถ้าเป็นอย่างอื่น เรื่องภายนอกอาจไม่สำคัญ แต่กับเรื่องไวน์บอกได้คำเดียวว่าสำคัญตั้งแต่ภายในอย่างพันธุ์องุ่นยันเรื่องภายนอกอย่างแก้วที่ใช้บรรจุไวน์ เพราะการดื่มไวน์ถือเป็นศาสตร์และศิลป์อย่างหนึ่ง ผู้คนจึงได้พยายามเสาะแสวงหาแก้วไวน์ที่เหมาะสมกับไวน์แต่ละประเภท แก้วไวน์ที่ดีจะทำให้ไวน์แสดงรสชาติและเปิดเผยคาแรคเตอร์ที่แท้จริงออกมาได้มากที่สุด โดยแก้วไวน์ที่เหมาะกับไวน์แต่ละชนิดก็จะถูกดีไซน์ออกมาแตกต่างกันทั้งความสูง ความกว้าง รูปทรง ดังนั้นแก้วไวน์จึงส่งผลต่อการดื่มไวน์โดยตรงแน่นอน

  • Red Wine Glass ตัวแก้วใหญ่ ปากแก้วกว้าง เป็นทางเลือกที่ดีสำหรับแก้วไวน์แดง เพราะไวน์แดงมีความซับซ้อนของกลิ่นและมีรสชาติเข้มข้น ที่สำคัญแก้วไวน์แดงควรใส เพื่อไม่ให้สีและเนื้อของแก้วไปรบกวนสีที่แท้จริงของไวน์ ทำให้เราสังเกตสีไวน์แดงได้ชัดเจน ไม่มีผิดเพี้ยน
  • White Wine Glass รูปแก้วไวน์ขาวควรมีลักษณะสูงเพรียว เพื่อให้รักษากลิ่นไว้ได้ดี และช่วยส่งไวน์ไปยังโคนลิ้น เพื่อให้ได้เราได้สัมผัสรสชาติของไวน์ได้หนักแน่นเต็มที่ รวมถึงรักษาอุณหภูมิความเย็นของไวน์ขาวไว้ได้ด้วย
  • Sparkling Wine Glass แก้วที่เหมาะกับ Sparkling คือแก้วที่ปากแก้วแคบแต่ทรงแก้วยาว เป็นการช่วยลดโอกาสไม่ให้ไวน์สัมผัสกับอากาศ เพื่อรักษาเอกลักษณ์ของ Sparkling Wine ซึ่งคือฟองและเพื่อคงความซ่าเอาไว้
GRAPE VARIETY : VITIS
RED VITIS

Variety ของไวน์กลายเป็นอีกหนึ่งคำที่ถูกพูดถึงกันมากในผู้ดื่มไวน์ โดย Variety ที่ว่านี้พูดถึงพันธุ์องุ่นที่นำมาผลิตไวน์ โดยสายพันธุ์องุ่นนี่ถือเป็นเรื่องสุดสำคัญ เพราะส่งผลต่อรสชาติไวน์ที่แตกต่างกันไปด้วย

  • PINOT NOIR

องุ่นสายพันธุ์ Pinot Noir เองขึ้นชื่อในเรื่องความใส่ใจและซับซ้อนในขั้นตอนการปลูก รวมไปถึงวิธีการดูแลรักษา เพราะต้องอยู่ในดินที่มีอุณหภูมิเฉพาะเท่านั้น และด้วยความยุ่งยากนี้เอง ที่ทำให้องุ่นสายพันธุ์ Pinot Noir มีอยู่น้อยนิดเท่านั้น เมื่อเทียบกับองุ่นพันธุ์อื่น ๆ ไวน์ Pinot Noir ขวดหนึ่งจึงมีราคาที่ไม่ย่อมเยาว์นัก แต่มันก็คุ้มค่า ที่จะลองลิ้มรสของ Pinot Noir ดี ๆ สักครั้ง ยิ่งเก็บไว้ก็จะยิ่งได้รสชาติที่ซับซ้อนและละมุนขึ้น

  • MERLOT

องุ่นสายพันธุ์ Merlot ถือเป็น หนึ่งในองุ่นพันธุ์ชั้นนำของโลก สามารถเจริญเติบโตได้ดีมาก ในสภาพอากาศหนาวเย็น ไวน์แดงแบบ Merlot ส่วนใหญ่มักมีเปอร์เซ็นต์แอลกอฮอล์ที่สูงกว่า ไวน์แดงที่ใช้องุ่นพันธุ์อื่น ๆ โดยปกแล้ว Merlot จะมีปริมาณ แอลกอฮอล์อยู่ที่ 13% ซึ่งถือว่าสูงใช้ได้เลยทีเดียว แต่รับรองว่ากลิ่นหอมหวานชื่นใจ ยิ่งบ่มในถังไม่โอ๊กนาน ๆ จะได้รสชาติที่ไม่หนักเกินไป แถมดื่มง่าย

  • CABERNET SAUVIGNON

สำหรับไวน์แดงที่มาจากองุ่นพันธุ์ Cabernet Sauvignon คงไม่ต้องอธิบายอะไรกันมากมายนัก เพราะมันคือ เจ้าของสมญานาม “King of Red Grapes” หรือ “ราชาแห่งพันธุ์องุ่นโลก” เพราะเป็นพันธุ์องุ่นที่ปลูกเยอะที่สุดในโลก องุ่นสายพันธุ์นี้มีต้นกำเนิดมาจาก Bordeaux ทนสภาพอากาศทั้งหนาวและร้อน ให้รสชาติเปรี้ยวและฝาด

  • MALBEC

องุ่นพันธุ์ Malbec ที่คุณภาพดีที่สุดจะอยู่ที่ประเทศอาร์เจนตินา ความพิเศษคือการปลูกบนยอดเขาสูง ไวน์ที่ได้จากองุ่นพันธุ์ Malbec จะมีความเปรี้ยว ได้กลิ่นหอมผลไม้ที่ซับซ้อน ให้รสชาติร้อนแรงปนความฝาดที่หนักหน่วง โดยปัจจุบัน Malbec ยังเป็นหนึ่งใน 5 องุ่นไวน์แดงอันดับต้น ๆ ที่คนนิยม ยิ่งใครที่หัดจิบไวน์ใหม่ ๆ Malbec ถือเป็นทางเลือกที่ไว้ใจได้ และไม่ทำให้คุณต้องผิดหวังแน่นอน

  • SYRAH/SHIRAZ

องุ่นชนิดเดียว แต่มีถึง 2 ชื่อ เพราะใน Europe และ Califonia องุ่นชนิดนี้ถูกเรียกว่า Syrah แต่ไม่ว่ายังไงก็ตาม ในประเทศ  Australia และ ใน South Afica หรือประเทศที่ผลิต Non-Vintage Wine จะเรียกพวกมันด้วยอีกชื่อก็คือ SHIRAZ แต่ความจริงของ สุดยอดไวน์แดงอย่าง Syrah/Shiraz นี้ เกิดขึ้นที่ Franch จากนั้น มันก็ได้กลายเป็น องุ่น Signature ของประเทศ Australia ไปซะอย่างนั้น จนในปี 2010 องุ่น Syrah/Shiraz ประมาณร้อยละ 23 จากทั้งหมด เป็น องุ่น Syrah/Shiraz ที่มาจากประเทศ Australia โดยมีรสชาติจัดจ้านโดดเด่น ให้กลิ่นหอมผลไม้สุกงอม

WHITE VITIS
  • SAUVIGNON BLANC

Sauvignon Blanc แปลว่า “Wild White” มันเป็นไวน์ขาวที่มีต้นกำเนิดจากหุบเขา Loire ซึ่งตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของฝรั่งเศสนอกจากที่หุบเขาแห่งนี้แล้ว อีกสถานที่นึงที่มีองุ่นพันธุ์หายากนี้ ก็คือ ที่ Marlborough ใน New Zealand เท่านั้น Sauvignon Blanc เป็นพันธุ์องุ่นที่ไวน์ขาว Light Bodied และ Medium Bodied มีความ Dry และมีความเป็นกรดสูง ผู้ดื่มจึงรู้สึกได้ถึงความเปรี้ยวสดชื่นมีชีวิตชีวา มันจึงเป็นไวน์ที่มีรสชาติหอมหวาน และง่ายต่อการดื่มมากที่สุดตัวนึง

  • CHARDONNAY

ชื่อขององุ่นพันธุ์ Chardonnay เชื่อว่า แม้แต่คนที่ไม่ศึกษาเรื่องไวน์อย่างลึกซึ้ง ก็เคยได้ยินผ่านหูกันมาอย่างแน่นอน และถ้าหาก ไวน์แดงอย่าง Cabernet Sauvignon ถูกยกย่องให้เป็น “King of Red Wine” ไวน์ขาวอย่าง Chardonnay ก็คงจะเป็น “Queen of White Wine” อย่างไม่ต้องสงสัย เพราะเป็นองุ่นขาวที่ปลูกเยอะที่สุดในโลก มีสีเหลืองอ่อนเหมือนสีน้ำผึ้ง รสชาติไม่เปรี้ยวมาก กลิ่นหอมซับซ้อนและให้ความสดชื่นได้เป็นอย่างดี

  • SEMILLON

องุ่นพันธุ์นี้สีเหลืองทอง และใครที่หลงใหลในความมีระดับและสง่างามยิ่งไม่ควรพลาด เพราะรสชาติและโครงสร้างของไวน์นั้นมีระดับเหลือเกิน โดยเฉพาะเมื่อผสมกับองุ่นพันธุ์ Sauvignon Blanc เป็นไวน์หวาน จะได้ไวน์หวานชั้นเยี่ยมราคาสูง แถมเก็บไว้ได้อีกเป็นร้อยปีเลยทีเดียว

ALTITUDE, SOIL AND CLIMATE

รสชาติของไวน์ที่เราได้ลองลิ้มชิมรสเข้าไปจึงมีที่มาจากพันธุ์องุ่นล้วน ๆ ยิ่งพันธุ์องุ่นมีคุณภาพดีมากเท่าไหร่เราก็จะยิ่งได้สัมผัสกับไวน์ที่มีรสชาติดีมากขึ้นเท่านั้น เราอาจสงสัยว่าแล้วองุ่นที่คุณภาพดีมันมีที่มาจากอะไรบ้าง? เราบอกได้เต็มปากเลยว่า ระดับความสูง (Altitude) ดิน (Soil) และ อากาศ (Climate) คือสิ่งที่มีความสำคัญสูงที่กว่าจะได้องุ่นพันธุ์ดีมาให้เราได้สัมผัส ไวน์ที่ดีจากองุ่นที่มีคุณภาพต้องมาจากระดับความสูง ดินและอากาศที่เหมาะสม

นั่นจึงเป็นสาเหตุให้องุ่นพันธุ์ที่มาจากเมืองเมนโดซา (Mendoza) ประเทศอาร์เจนตินามีความพิเศษหาตัวจับยาก เพราะเมืองเมนโดซาตั้งอยู่บนเทือกเขาแอนดีส (Andes) ซึ่งทำให้สภาพภูมิศาสตร์และภูมิอากาศเหมาะที่จะรังสรรค์ไวน์ชั้นเยี่ยมออกมาสู่นักดื่มไวน์ทั่วโลก พร้อมสรรพไปด้วยคุณสมบัติ 3 อย่างทั้ง ระดับความสูง (Altitude) ดิน (Soil) และ อากาศ (Climate) ที่เป็นปัจจัยให้ได้องุ่นพันธุ์ดีเพื่อผลิตไวน์ที่ควรค่าแก่การลิ้มลองสักครั้งในชีวิต

  • Altitude ด้วยระดับความสูงของ เทือกเขา Andes ทำให้อุณหภูมิตอนกลางวันจะมีแดด และร้อน ตกเย็นจะหนาวและมีลม ซึ่งส่งผลให้ช่วยชะลอความสุกของผลองุ่น ก่อให้เกิด การสะสมของรสชาติที่มากกว่า มองง่าย ๆ องุ่นก็เหมือนนักกีฬาที่เตรียมตัวแข่งโอลิมปิก ที่ต้องผ่านการเทรนขนาดหนักตอนกลางวัน (เจอแดดเยอะ ๆ เพื่อให้เกิดกระบวนการผลิตน้ำตาล) และพักผ่อนเยอะ ๆ ตอนกลางคืนในที่เย็น ๆ ลมโกรกสบายเหมือนเด็กน้อย
  • Soil องุ่นที่ให้น้ำไวน์ที่ดี จะต้องปลูกบนดินที่แห้ง ร่วน แต่มีแร่ธาตุสูง ซึ่งจะทำให้รากองุ่นต้องพยายามอย่างหนักเพื่อความอยู่รอด องุ่นต้องชอนไชรากลึกลงไปใต้ดินให้มากที่สุด เพื่อไปหาแหล่งน้ำ และเมื่อยิ่งรากลงไปลึก ๆ จะยิ่งเจอกับแร่ธาตุใต้ดินมากเท่านั้น ซึ่งส่งผลให้รสชาติไวน์มีความซับซ้อนหลากมิติมากขึ้น
  • Climate ถ้าสถานที่ปลูกองุ่นปลูกอยู่บนที่ Rain Shadow ทำให้องุ่นไม่โดนฝนหนัก ไม่เกิดความชื้น (เพราะความชื้นส่งผลให้เกิดเชื้อราและโรคได้ง่าย) ทั้งยังได้ประโยชน์จากลมที่นิ่งและแห้งซึ่งจะไหลผ่านไปที่องุ่นได้ดีมาก
TERRAZAS DE LOS ANDES

Terrazas จึงเป็นไวน์ที่ผู้ชายทุกคนไม่ควรพลาดด้วยความใส่ใจเต็มเปี่ยมของบริษัท Moët & Chandon ตั้งแต่แรกเริ่มบุกเบิกพื้นที่ปลูกองุ่นใหม่ (จากฝรั่งเศสที่เกิดโรคระบาดกับองุ่นทั่วประเทศในปี 1850) เดินทางสู่ประเทศอาร์เจนตินา และเฟ้นหาทำเลที่ดีที่สุดอย่างเมืองเมนโดซาจนพบจนก่อกำเนิดเป็นแบรนด์ Terrazas ในปี 1960

ความพิเศษของที่มาองุ่นพันธุ์ดีแห่งเมืองเมนโดซา คือทำเลที่ตั้งอยู่บนเทือกเขาแอนดีสน้ำที่ไหลลงมาหล่อเลี้ยงต้นองุ่นจึงเป็นน้ำบริสุทธิ์ที่เกิดจากการละลายของหิมะบนยอดเขา รวมถึงอุณหภูมิที่แตกต่างกันในเวลากลางวันและกลางคืนทำให้ได้รสชาติองุ่นชั้นเลิศ จนเกิดเป็นไวน์ที่เราบอกว่าต้องลองให้ได้ในชีวิตนี้

 

RESERVA CHARDONNAY

องุ่นจากเทือกเขาแอนดีสที่สูงกว่าระดับน้ำทะเล 1,250 เมตร ทำให้องุ่นมีรสชาติแร่ธาตุชัดเจน มีความหอม ความสดชื่นที่โดดเด่นด้วยกลิ่นของผลไม้สีขาว ผสมผสานกับกลิ่นของผลไม้เมืองร้อน รสชาติมีความเข้มข้นที่เกิดจากการหมักบ่มในถังไม้โอ๊กนาน 8 เดือน รวมถึงรสสัมผัสที่นุ่มละมุนเหมาะแก่การชวนสาวสักคนมาดื่มด้วยกันจนเกิดเป็น “ความบาลานซ์และกลมกล่อมที่ลงตัว”

RESERVA CABERNET SAUVIGNON

ความพิเศษคือองุ่นพันธุ์ CABERNET SAUVIGNON ที่ใช้ในการทำไวน์นี้ถูกเก็บเกี่ยวด้วยมืออย่างอ่อนโยนในช่วงเวลาเฉพาะซึ่งจะได้ความหอมและเปรี้ยวตามธรรมชาติอย่างสมดุล ที่สำคัญการปลูกบนเทือกเขาแอนดีสที่สูงเหนือระดับน้ำทะเล 980 เมตรทำให้องุ่นสุกเต็มที่ มีรสหวาน และก่อให้เกิดความฝาดที่นุ่ม และนี่แหละคือ “สุดยอดของรสสัมผัสที่สมบูรณ์แบบ”

RESERVA MALBEC

ความสูงจากระดับน้ำทะเลที่แตกต่างกันย่อมส่งผลให้เกิดความหลากหลายที่น่าลิ้มลองที่แตกต่างกันด้วย RESERVA MALBEC ได้องุ่นสายพันธุ์ MALBEC จากระดับความสูงเหนือน้ำทะเล 1,067 และเป็นหนึ่งในไวน์ MALBEC ที่คุณภาพดีที่สุดในประเทศอาร์เจนตินา และเราขอกระซิบบอกเลยว่าถ้าใครเป็นสายสเต็กเนื้อต้องไม่พลาดที่จะจับมาแพร์ริ่งกันเพราะ “ไวน์ชั้นเลิศอร่อยลงตัวกับสเต็กเนื้อชั้นเยี่ยมเป็นที่สุด”

SINGLE VINEYARD MALBEC

SINGLE VINEYARD MALBEC เป็นไวน์ที่ได้จากองุ่นสายพันธุ์ MALBEC ที่ไม่ผ่านการตกแต่งพันธุกรรม ปลูกมาตั้งแต่ปี 1929 ดังนั้นจึงมอบรสชาติสุดลุ่มลึกเต็มไปด้วยมิติและความซับซ้อน ผ่านการปลูกและเก็บเกี่ยวด้วยมือในช่วงเช้าตรู่ของวันเท่านั้น จึงได้ออกมาเป็นไวน์ที่ได้รับความหอมและซิตรัสตามธรรมชาติอย่างสมดุลที่สุด ที่สำคัญไปกว่านั้นนี่คือองุ่นที่ปลูกในไร่ LAS COMPUERTAS ซึ่งถือเป็นหนึ่งในไร่คุณภาพที่ดีที่สุดบนเทือกเขาแอนดีส และได้รับการยอมรับว่าปลูกองุ่นพันธุ์ MALBEC ได้ดีที่สุดในโลก นี่สิ “ที่สุดของรสสัมผัสอันสมบูรณ์แบบ” ที่ผู้ชายอย่างเราตามหา

UNLOCK WINE 101 วันนี้ก็ครบเครื่องทุกกระบวนท่าของไวน์ไปแล้ว แถมยังแนะนำ TERRAZAS ไวน์น่าลิ้มลองจากเทือกเขาแอนดีส เมืองเมนโดซา ประเทศอาร์เจนตินามาไว้เป็นทางเลือกดี ๆ ถ้าไม่รู้จะเริ่มตรงไหน ที่เหลือก็เหลือแค่ผู้ชายอย่างเรา ๆ จะลงมือเลือกไวน์มาดื่มเองสักขวด ลิ้มรสดูว่าบทกวีที่เปี่ยมไปด้วยศิลปะอย่างไวน์มันจะลุ่มลึกสมคำร่ำลือแค่ไหน แต่ที่แน่ ๆ การเรียนรู้ WINE 101 พร้อมบอกที่มาและปัจจัยคุณภาพของพันธุ์องุ่นได้ ก็สร้างความคูลและมีมิติให้การดื่มไวน์เพื่อเข้าสังคมครั้งหน้าได้อย่างเท่ขึ้นแน่นอน

UNLOCKMEN X CHANDON : เปิดตำรามัดใจสาวข้างกาย เปลี่ยนองศาร้อนริมหาด เป็นความหวานชื่น สุดประทับใจ

$
0
0

ใกล้ถึงฤดูร้อนทีไร สิ่งที่หลายคนนึกถึงคงจะเป็นอะไรไปไม่ได้นอกจากเรื่องราวของอากาศร้อนระอุทะลุองศาเดือด ที่พวกเราต้องประสบพบเจอกันอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน แต่ภายใต้ความอบอ้าวอันน่าสะพรึงกลัวนั้น มันยังมีความสดชื่น สดใส กลิ่นอายของการท่องเที่ยวพักผ่อนเจืออยู่ด้วยไม่ใช่น้อย

และเมื่อพูดถึงสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมในช่วงซัมเมอร์ มั่นใจว่าภาพของหาดทรายขาวทอดยาวสุดสายตา ตัดกับน้ำทะเลสีฟ้าครามส่องประกายระยิบระยับยามต้องแสงอาทิตย์ คือสิ่งแรกที่ผุดขึ้นมาในจินตนาการของใครหลายต่อหลายคนแบบไม่ต้องสืบ และระหว่างที่กำลังอ่านบทความนี้อยู่ เราเชื่อว่าผู้ชายชาว UNLOCKMEN จำนวนไม่น้อยคงวางแผนจองตั๋ว จัดทริป เตรียมพาสาวข้างกายไปผ่อนคลายริมหาดกันแล้วเรียบร้อย

แต่จะแค่พาไปเที่ยว เล่นน้ำ อาบแดด นอนอ่านหนังสือ นั่งชมพระอาทิตย์ตกริมหาดด้วยกัน มันยังดูเป็นกิจกรรมที่ธรรมดาไป เพราะอุตส่าห์มีโอกาสได้ใช้เวลาร่วมกับสุดที่รักทั้งที งานนี้ผู้ชายอย่างเราสามารถหาจังหวะเหมาะ ๆ ทำเรื่องเซอร์ไพรส์ สร้างความประทับใจให้กับเธอคนนั้น เพื่อเพิ่มแต้มรัก ช่วยกระชับความสัมพันธ์ได้ไม่ยาก และถ้าหากใครยังไม่มีไอเดียดี ๆ วันนี้เราอาสามานำเสนอตำรามัดใจสาวข้างกาย ที่ขอรับรองด้วยเกียรติของ UNLOCKMEN ว่า แค่ตั้งใจทำตามขั้นตอนอย่างจริงใจและเต็มใจ มันจะทำให้การไปทะเลครั้งนี้เป็นครั้งที่หวานชื่น และเป็นอีกหนึ่งช่วงเวลาแห่งความสุขที่จะติดตรึงอยู่ในใจเธอคนนั้นไปอีกนานแสนนาน

 

ONE

PREPARE EVERYTHING SHE NEEDS

เปิดเกมแบบเก๋า ๆ เริ่มต้นด้วยการเอาอกเอาใจในแบบที่เธอต้องเซอร์ไพรส์ ด้วยการลุกขึ้นมาจัดกระเป๋าตระเตรียมทุกสิ่งอย่าง ของจำเป็นทั้งหลายสำหรับการไปเที่ยวทะเลต้องมีครบอย่าให้ขาด เพิ่มเติมคะแนนความหล่อด้วยการไม่ลืมที่จะใส่ใจรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ อย่างเช่นการเตรียมชุดว่ายน้ำสวย ๆ สีสันถูกใจ ไซส์ถูกต้องให้กับเธอ ถ้าเปิดกระเป๋ามาเจอแบบนี้แล้วไม่ปลื้มก็ให้มันรู้ไป

 

TWO

CREATE A SPECIAL PLAYLIST

มีเพลงดีก็มีชัยไปกว่าครึ่ง เพราะคงไม่มีอะไรที่ช่วยสร้างบรรยากาศโรแมนติกริมหาดอย่างเข้าถึงโสตประสาท เข้าถึงอารมณ์ของเธอได้ดีเท่ากับ Playlist เพลงเพราะ ๆ สุดแสนจะมีความหมาย ที่เราตั้งใจเตรียมไว้ให้เธอเปิดฟังระหว่างนั่งชิลรับลมทะเล ซึ่งเพลงที่เราขอแนะนำว่าไม่ควรพลาดที่จะจัดมาในลิสต์ นั่นก็คือเพลงพิเศษที่ทั้งคุณ และเธอคนนั้นชอบฟังด้วยกัน สลับกับเพลงสนุก ๆ ฟังสบายที่คุณน่าจะรู้ดีว่าเพลงไหนที่เธอยิ้มแย้ม ออกลีลาแดนซ์เบา ๆ ในทุกครั้งที่ได้ฟัง

 

THREE

NEVER FORGET FLOWERS

อีกหนึ่งไม้ตายที่ผู้ชายอย่างเรามักมองข้าม กับดอกไม้งามช่อน้อย ๆ แต่สุดแสนจะทรงอานุภาพ เพราะไม่ว่ายุคไหน สมัยไหนดอกไม้เหล่านี้ก็สามารถเรียกรอยยิ้ม สร้างความสุขให้กับหญิงสาวได้เสมอ ระหว่างที่เธอกำลังเพลิดเพลินกับบรรยากาศ และเสียงเพลงเพราะ ๆ ที่เราเตรียมไว้ให้ หากจังหวะนี้มีดอกไม้ที่แอบเตรียมไว้มามอบให้เธอ รับประกันได้เลยว่าทริปนี้แฮปปี้แน่นอน


FOUR

MAKE THE SPECIAL MOMENT WITH CHANDON x SEAFOLLY SPECIAL EDITION

เพิ่มดีกรีความพิเศษ เติมเต็มช่วงเวลาพิเศษระหว่างคุณ และเธอคนนั้นให้มากขึ้น ด้วย CHANDON แบรนด์ Premium Sparkling wine ชั้นยอดจากออสเตรเลีย ที่พร้อมให้เธอดื่มด่ำกับพรายฟองละเอียดนุ่มนวล ซาบซ่านไปกับรสชาติที่สดชื่น เข้ากับบรรยากาศ และมื้ออาหารทะเลรสเลิศ ยิ่งไปกว่านั้นนอกจากความสุขจากรสสัมผัสที่เธอได้รับ ยังมีความสุขทางสายตาที่เธอต้องถูกใจกับขวดลายพิเศษ ซึ่งเป็นงาน Collabs  ระหว่าง CHANDON และ SEAFOLLY แบรนด์ชุดว่ายชื่อดังจากออสเตรเลีย ที่ได้ปล่อย Summer Bottles เวอร์ชั่นพิเศษเพิ่มกลิ่นอายแห่งท้องทะเล และฤดูร้อนที่สนุกสนานลงไปบนขวด CHANDON BRUT กับลวดลาย Palm beach ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจมาจากการเดินเล่นไปบนถนนเลียบชายหาดที่มีต้นปาล์มสีสันสวยงาม รวมถึงลาย Modern Love บนขวด CHANDON ROSÉ ที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากความหลากหลายของพืชพรรณสีชมพูบนที่ราบชายฝั่งและความรักที่ทันสมัย เชื่อเถอะว่าจัดเต็มทุกความเอาใจใส่ ลงลึกในทุกรายละเอียดเพื่อความสุขของเธอแบบนี้ เราบอกได้คำเดียวว่าเจออย่างนี้ใครไม่รักก็บ้าแล้ว


AND

ALWAYS PLAN TO KEEP THE FLOW GOING

ช้าก่อน อย่าเพิ่งกระหยิ่มยิ้มย่องในใจ ว่าภารกิจเติมรักให้หนักแน่นจะจบเพียงเท่านี้ เพราะถ้าจะให้จบแบบแฮปปี้เอนดิ้ง ชื่นมื่นสมบูรณ์แบบจริง ๆ ต้องไม่ลืมที่จะเตรียมวางแผนให้ช่วงเวลาแห่งความสุขอันแสนมีค่าของคุณและเธอคนนั้น เป็นไปได้อย่างลื่นไหลต่อเนื่อง เพราะเรามั่นใจว่าบรรยากาศเป็นใจ อะไรทุกอย่างก็ดูดีไปหมดแบบนี้ การได้จิบ CHANDON x SEAFOLLY SPECIAL EDITION แค่ขวดเดียวคงไม่พอ ทางที่ดีควรมีสแปร์เผื่อเอาไว้ ให้เธอดื่มด่ำความสุขรับร้อนนี้ได้อย่างไม่มีสะดุด

จบเนื้อหาในตำราแบบครบถ้วนกระบวนความ เหลือแค่หน้าที่ของคุณแล้วว่าจะเตรียมตัวซักซ้อม เตรียมพร้อมทำตามสเต็ปเหล่านี้ได้ดีแค่ไหน แต่ถึงแม้หน้างานอาจฉุกละหุก มีเผลอหลุดแผนเซอร์ไพรส์ไปบ้างก็อย่างเพิ่งนอยด์ไป เพราะอย่างที่เราบอกไปในตอนต้นว่า ใจความสำคัญจริง ๆ คือสิ่งที่เราตั้งใจมอบความสุขให้เธออย่างเต็มใจและจริงใจ ซึ่งคุณผู้หญิงทั้งหลายที่มีสกิลในการจับความรู้สึกเป็นความสามารถประจำตัว จะต้องรับรู้ถึงความรักความเอาใจใส่ที่ผู้ชายอย่างเรา ๆ มีให้เป็นแน่แท้

ส่วนใครที่อยากจัด CHANDON x SEAFOLLY  SPECIAL EDITION มาสแตนด์บายเอาไว้ ก่อนเริ่มแผนสร้างความประทับใจริมหาดให้กับคนรู้ใจ ก็สามารถหาซื้อได้แล้ววันนี้ที่ Big C, Gourmet Market ( The Mall, Emporium, Emquartier), Foodland, Tesco Lotus, Tops Market และ Villa Market หรืออยากรู้จักเรื่องราวของ  Sparkling Wine คุณภาพระดับโลกให้ลึกกว่านี้เชิญติดตามได้ที่ www.facebook.com/ChandonThailand

ที่สุดแห่งตำนาน กับ NISSAN SKYLINE GT-R คู่ใจทั้ง 6 คัน ของ BRIAN O’CONNOR

$
0
0

หนึ่งในเอกลักษณ์ของหนังแข่งรถชื่อดังอย่าง Fast & Furious นั้ นอกจากตัวเอกเช่น Dominic Toretto ที่รับบทโดย Vin Diesel แล้ว ยังมีตัวละครนำควบคู่กับ Toretto ด้วยอีกคนนั่นก็คือ Brian O’Connor ที่นำแสดงโดย Paul Walker ผู้ล่วงลับ ถึงแม้ว่าวันนี้เขาจะจากไปแล้วก็ตาม แต่ทว่าเขายังได้ทิ้งผลงานการแสดงใน Fast & Furious ไว้และปฏิเสธไม่ได้ว่าชื่อของเขายังเป็นอีกกำลังสำคัญที่ช่วยทำให้หนังโด่งดังได้จนถึงทุกวันนี้

ซึ่งจุดเด่นของตัวละครอย่าง Brian O’Connor นั้นก็มีความคล้ายคลึงกับ Toretto นั่นคือตัวเขาเองชื่นชอบในพาหนะสี่ล้อเหมือนกัน โดยเฉพาะรถนำเข้าญี่ปุ่นจากค่าย Nissan อย่าง Skyline GT-R  ที่เป็นรถดีไซน์โฉบเฉี่ยวและเท่บาดใจอยู่เหนือกาลเวลา แถมสมรรถนะเครื่องยนต์จากโรงงานก็เอาเรื่องพอตัวจนทำให้ชื่อของ Skyline GT-R โด่งดังในวงการยานยนต์และนักแต่งรถ วันนี้ UNLOCKMEN จะพาไปรู้จักกับ Skyline GT-R คู่ใจทั้ง 6 คัน ของ Brian O’Connor ที่ใช้ขับแข่งมาตลอดทั้งแฟรนด์ไชส์หนัง Fast & Furious ทุกภาคที่ตัวละครของเขามีบทบาทกันครับ

 

1999 Nissan Skyline GT-R R34 – 2 Fast 2 Furious

เริ่มคันแรกด้วย Nissan Skyline GT-R R34 ปี 1999 จากภาค 2 Fast 2 Furious ซึ่งจริง ๆ  เคยได้โผล่มาก่อนหน้านี้แล้วในหนังสั้นรอยต่อระหว่าง The Fast and the Furious และ 2 Fast 2 Furious ชื่อ Turbo-Charged Prelude เป็นเรื่องราวระหว่างตอนจบของ The Fast and The Furious ทันทีที่ Brian ถูกประกาศจับเพราะปล่อยให้ผู้ร้ายอย่าง Toretto หลบหนีไป ทำให้เขาต้องบอกลาอาชีพตำรวจแล้วหลบหนีอย่างมุ่งหน้าไปทางตอนใต้ของสหรัฐอเมริกา พร้อมกับการแข่งรถไปด้วย แต่เมื่อตำรวจยังตามกัดไม่ปล่อย Brian ถึงคราวจวนตัวเลยจำเป็นต้องทิ้งรถแล้วหนีไปกับผู้หญิงที่เขาเพิ่งเจอในร้านอาหาร และเธอก็แสนจะใจดีอุตส่าห์มาส่งให้ตรงร้านขายรถมือสองในละแวกใกล้เคียง

ซึ่งร้านขายรถมือสองแห่งนี้นี่เองที่ Brian ได้เจอกับเจ้า Skyline GT-R R34 ปี 1999 คันนี้ในสภาพโทรมใช้ได้ Brian เลยจัดการซื้อแล้วนำมาซ่อมแซม พ่นสี ปรับจูนจนมีสมรรถนะโหดขึ้นกว่าเดิม หลังจากได้รถคู่ใจคันใหม่แล้ว Brian ก็เริ่มแผนการหลบหนีไปด้วย แข่งรถรายทางหาเงินไปด้วย จนเดินทางมาถึงเมืองไมอามี่ จุดเชื่อมเนื้อเรื่องในส่วนของภาค 2 Fast 2 Furious ต่อ

โดยสมรรถนะของ Skyline GT-R R34 ที่ทำให้ Brian เอาชนะคู่แข่งได้หลายคน นั้นต้องยกเครดิตให้เครื่องยนต์ V6 RB26DETT Twin Turbo ขนาด 2.6 ลิตร DOHC 24 Valve พร้อมชุดเกียร์ 6 สปีดจาก GETRAG สามารถส่งกำลังผ่านระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ ATTESA จนได้กำลังอยู่ที่ 330 แรงม้า และเพิ่มกำลังระหว่างแข่งด้วยไนตรัส 3 ถังจาก NX ของแต่งรถเพิ่มสมรรถนะอื่น ๆ เช่น ท่อดักอากาศของ K&N พัดลมระบายความร้อน Intercooler จาก Turbonetic และท่อไอเสียไทเทเนียมจาก HKS ด้านภายนอกนั้นพ่นสีเทาแพลตตินั่มมุก คาดด้วยไวนิลสตริปสีฟ้า

มีการตกแต่งเสริมหล่อด้วยชุดแต่งจาก C-West และ MotoREX พร้อมสปอยเลอร์ที่กระโปรงท้าย และล้อแม็ก 6 ก้านจาก HRE 446 ด้านภายในตกแต่งแบบเรียบง่ายเน้นใช้งานบนสนามแข่ง เช่นเบาะนั่งแบบรถแข่ง Sparco พวกมาลัย MOMO ชุดเครื่องเสียงจาก JBL และ Infinity น่าเสียดายที่หลังจากการแข่งในตอนต้นเรื่องแล้ว Skyline GT-R R34 คันนี้ต้องถูกจอดนิ่งสงบในลานจอดรถของกลาง ณ กรมตำรวจไมอามี่ซึ่งยึดรถมาจาก Brian ได้หลังถูกเข้าจับกุมระหว่างหลบหนี

 

2002 Nissan Skyline GT-R R34 – Fast & Furious

ต่อด้วย GT-R เหมือนเดิมกับ 2002 Nissan Skyline GT-R R34 จากภาค Fast & Furious ที่ Brian กลับมาเป็นตำรวจแถมได้เป็นถึง FBI อีกด้วย และอีกครั้งที่ Brian ต้องปลอมตัวไปสืบคดีโดยการแข่งรถเพื่อจะได้ถูกคัดเลือกเข้าไปเป็นคนขับรถขนส่งยาข้ามทะเลทรายซึ่งเป็นชายแดนระหว่างเม็กซิโกกับสหรัฐอเมริกา แต่ครั้นจะให้เอารถตำรวจดาด ๆ ไปแข่งก็คงจะมองไม่เห็นชัยชนะเท่าไหร่

โชคดีของ Brian ที่ FBI ให้เอารถของกลางมาใช้ได้ โดยเขาเลือก Skyline GT-R R34 ปี 2002 สีขาวมุกและ GT-R 2007 สีแดงเพื่อนำเอาชิ้นส่วนมาติดตั้งในรถ Skyline GT-R R34 สีน้ำเงินที่เป็นเอกลักษณ์และปรับจูนรถด้วยตัวเองและลงแข่งกับนักแข่งที่เหลือซึ่งรวมทั้ง Dominic Toretto อดีตคู่แข่งซึ่งเขาเคยปล่อยให้หลบหนีไปอีกด้วย แต่ในโลกความเป็นจริงรถคันนี้กลับไม่ใช่ GT-R แต่เป็น GT-T ที่ถูกแปลงโฉมเป็น GT-R แทน เนื่องจากตัวถังรถมีความใกล้เคียงกันและเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาจากการต้องถอดเพลาขับล้อหน้า ทำให้ Skyline GT-R (หรือ GT-T) R34 คันนี้ไม่มีเทอร์โบชาร์จและระบบขับเคลื่อนสี่ล้อซึ่งกลายเป็นระบบขับเคลื่อนล้อหลังไปแทน พร้อมตัวถังทำจากไฟเบอร์กลาส วางลงบนโครงรถบักกี้เพื่อใช้ในการถ่ายทำฉากสตั๊นและ Off Road ด้านสมรรถนะนั้นใช้เครื่อง V6 3.8L VR38DETT Twin Turbo ขนาด 3.8 ลิตร ระบบกันสะเทือนจาก Kaizo

รูปลักษณ์ภายนอกนั้นไม่ได้มีการตกแต่งอะไรมากมาย จะมีก็แค่เปลี่ยนล้อแม็กเป็น Rays Volk RE30 เองเท่านั้น และน่าเสียดายเป็นอย่างยิ่งเพราะจุดจบของรถคันนี้ทั้งในหนังและชีวิตจริงต่างก็เละเทะเหมือนกัน ในหนังนั้นถูกระเบิดจากการที่ Toretto ปล่อยก๊าซไนตรัสทิ้งไว้ในรถตัวเองเพื่อจุดระเบิดเบี่ยงเบนความสนใจจนทำให้ Skyline GT-R R34 คันนี้ต้องโดนระเบิดตามไปด้วย ส่วนในด้านการถ่ายทำนั้นถูกทำลายไป 2 คัน ถูกนำไปแยกชิ้นส่วนขาย 3 คันและเหลือรอดเพียงคันเดียวสำรองไว้ใช้ถ่ายทำฉากอื่น

 

1971 Nissan Skyline GT-R KPGC10 – Fast Five

ตามมาด้วยรุ่นเก่าแต่โคตรเก๋าอย่าง 1971 Nissan Skyline GT-R KPGC10 หรือรู้จักกันในนาม Skyline GT-R Hakosuka หรือ Skyline 2000 GT-R จากภาค Fast Five ที่ทั้ง Brian และ Mia ต้องตระเวนหลบหนีหลังจากช่วย Toretto จากการถูกส่งไปเรือนจำ Brian กับ Mia นั้นหนีลงใต้ไปทางอเมริกาใต้จนถึงริโอ เดอ จาเนโร ประเทศบราซิลซึ่งสภาพทั้งคู่ในตอนนั้นคงจะหารถใหม่ ๆ มาใช้ไม่ได้แน่นอน เลยต้องหารถเก่ามาใช้แก้ขัดไปก่อน

แต่สุดท้าย Brian ก็ยังอุตส่าห์ไปหา Skyline ตัวเก่าแบบนี้มาใช้จนได้ สมรรถนะของรถคันนี้แม้จะสู้รถใหม่ ๆ ไม่ได้แต่ก็ยังมีประสิทธิภาพอยู่บ้าง จากเครื่องยนต์ DOHC 2.0 ลิตร Twin Cam พร้อมกำลังผลิตที่ 160 แรงม้า โดย Brian ใช้รถคันนี้เพื่อโดยสารและขับสอดแนมรถขนเงินของ Herman Reyes นักธุรกิจใหญ่ของริโอ หลังจากนั้นก็ไม่มีใครทราบชะตากรรมของมันอีกเลย แต่หนึ่งในเรื่องน่ารู้ของ Skyline รุ่นนี้คือเป็น Skyline รุ่นแรกที่มีตรา GT-R ประดับรับประกันความแรงติดมาด้วย

 

2010/2011 Nissan GT-R  – Fast Five/Fast & Furious 6

โผล่กันไป 2 ภาคเลยกับ Nissan GT-R โฉมใหม่ของ Skyline GT-R ซึ่งไปโผล่ในตอนท้ายของ Fast Five และในฉากเปิดเรื่องของ Fast & Furious 6 ที่ Brian ท้าแข่งกับ Toretto หลังจากจบการปล้นที่ริโอ เดอ จาเนโรแล้ว โดย Brian ได้เลือกใช้ Nissan GT-R โฉมใหม่เชื้อสายเดียวกันแทน Skyline GT-R R34 ที่ยุติการผลิตไป ด้านสมรรถนะนั้นต้องดีกว่าอยู่แล้วด้วยเครื่องยนต์ V6 VR38DETT ขนาด 3.8 ลิตร ผลิตกำลังที่ 485 แรงม้า บนระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ ซึ่ง Brian ใช้รถคันนี้แค่ระยะสั้น ๆ เท่านั้น โดยใช้โฉม 2010 ใน Fast Five และโฉม 2011 ในภาค Fast & Furious 6 ที่ดูไม่แตกต่างมากนัก และหลังจากนั้นก็ไม่มีใครทราบชะตากรรมของรถคันนี้อีกเลย

 

2012 Nissan GT-R  – Fast & Furious 6

ถ้าหากรู้สึกว่าคันก่อน ๆ ที่เราพูดถึงนั้น ได้ผ่านมาโผล่ให้เห็นกันสั้น ๆ แล้ว จะบอกว่าคันนี้มีโอกาสโผล่มาเผยโฉมในฉากสั้นยิ่งกว่าอีก กับ 2012 Nissan GT-R สีน้ำเงินจากภาค Fast & Furious 6 ที่ด้านในมีชุดแต่งแบบเต็มสูบของ Bensopra  ที่โผล่มาตอนท้ายเรื่องจากฉากกินเลี้ยงบ้าน Toretto เท่านั้น ด้านสมรรถนะและชะตากรรมนั้นเป็นปริศนา

 

2012 Nissan GT-R  – Furious 7

มาถึงคันสุดท้ายที่ตัวละครนำอย่าง Brian O’Conner ใช้ ก่อนจะถอนตัวลาวงการเพื่อไปอยู่กับ Mia และลูกทั้งสอง นั่นคือ 2012 Nissan GT-R ในภาค Furious 7 หลังจากรู้ว่าเหล่าผู้ก่อการร้ายกำลังตามล่าแฮ็คเกอร์สาวอย่าง Ramsey และทีมของ Toretto Brian เลยเตรียมตัวบู๊ครั้งสุดท้ายพร้อมใช้รถ GT-R คันนี้วิ่งไปรอบเมืองพร้อมกับ Ramsey เพื่อกู้ God Eyes อุปกรณ์สุดไฮเทคกลับคืนมา ด้านสมรรถนะของรถคันนี้นั้นถูกอัพเกรดด้วยแพ็คเกจจาก SP Engineering จนได้กำลังเกือบ 700 แรงม้า พร้อมระบบปรับช่วงล่างของ VRH Lift System เพื่อให้รถสามารถโหลดต่ำลงระหว่างขับได้ ภายนอกนั้นนอกจากจะโดดเด่นด้วยสีน้ำเงิน Midnight Blue แล้วยังมีชิ้นส่วน Carbon Fiber ตรงกระโปรงหน้า ลิ้นกันชนหน้า สเกิร์ตข้าง และกระโปรงท้ายพร้อมสปอยเลอร์อีกด้วย

และสำหรับจุดจบของคันนี้ก็น่าเสียดายอีกแล้ว เพราะมันต้องจบชีวิตในฉากที่ Brian สละรถกระโดดลงก่อนจรวดติดตามความร้อนจากโดรนติดอาวุธจะพุ่งใส่จนรถระเบิดทั้งคัน แต่ในด้านการถ่ายทำนั้นมีแค่คันเดียวซึ่งเหลือรอดจากทั้งหมด 7 คัน โดยคันที่รอดถูกตั้งโชว์ที่ The Hollywood Star Cars Museum ในเมืองแกทลินเบิร์ก รัฐเทนเนสซี

จากที่กล่าวมาทั้งหมดนี้เห็นได้ชัดเลยว่าตัวละครอย่าง Brian O’Conner นั้นมีรถญี่ปุ่นอย่าง Nissan Skyline GT-R เป็นรถคันโปรดในดวงใจ ฝังลงลึกอยู่ในสายเลือดจริง ๆ เปรียบเสมือนหยินกับหยางที่ Dominic Toretto มีรถอเมริกันเป็นยานพาหนะคันโปรด และถึงแม้ว่าในวันนี้ผู้รับบทอย่าง Paul Walker จะจากไปแล้ว แต่เชื่อว่ารถ Skyline GT-R นั้นจะถูกจดจำในใจแฟนหนังในฐานะรถคู่ใจของเขาและตัวละครอย่าง Brian O’Conner ตลอดไป

อยู่รอดปลอดภัยจากข่าวปลอม! “5 วิธีรอดจากหลุมดักควาย”เพื่อเป็นผู้ชายมีวิจารณญาณขึ้น

$
0
0

สิ่งที่เกลื่อนกลาดพอ ๆ กับขยะในบ้านเมืองของเราก็คงจะหนีไม่พ้นบรรดาข่าวปลอมที่ขยันสร้างออกมาเพื่อเหตุผลอะไรบางอย่าง โดยเฉพาะบนโลกออนไลน์ที่ที่ข่าวปลอมแพร่กระจายได้ไวยิ่งกว่าโรคพิษสุนัขบ้าที่กำลังระบาด แค่กดแชร์แบบไม่คิดเพียงคลิกเดียวจากปลายนิ้วก็สร้างแรงกระเพื่อมส่งต่อข่าวปลอมได้เป็นวงกว้างแล้ว ผู้ชายที่ภาพลักษณ์ดูน่าเชื่อถือขนาดไหน ถ้าหน้าเฟซบุ๊กเต็มไปด้วยการแชร์ข่าวปลอมมามั่ว ๆ ความน่าเชื่อถือก็คงพังทลายลงไปในทันใด เพื่อไม่ให้สูญเสียความน่าเชื่อถือที่สั่งสมมาแสนนาน UNLOCKMEN ขอเสนอเคล็ดวิธีสังเกตข่าวปลอมมาให้ จะได้ไม่ตกลงไปในหลุมดักขนาดใหญ่ที่เขาขุดไว้หลอกลวงอีก

ที่มาสำคัญที่สุด

ไม่ใช่ว่าเห็นพาดหัวโดนใจก็แชร์มาชื่นชม เห็นพาดหัวด่าคนที่เราเกลียดเหมือนกันแล้วแชร์มาด่า หรือเห็นพาดหัวเล่าเหตุการณ์สุดแปลกแล้วแชร์มาตื่นตะลึงทันที โลกนี้มันร้ายกับผู้ชายอย่างเรากว่านั้นเยอะ! ก่อนจะเชื่อให้เลื่อนสายตาดูหน่อยก็ยังดีว่าข่าวนี้มีที่มาจากเว็บไซต์อะไร? หรือเว็บไซต์อะไรที่เป็นคนเผยแพร่ข่าวที่ว่านี้ ถ้าชื่อเว็บไซต์ประเภทนัดยิ้มที่ริมดอย สาวน้อยซู่ซ้า ผู้กล้าออนไลน์ เว็บที่ชื่อก็ไม่น่าเชื่อถือแล้วหรือเด็กอนุบาลอ่านก็รู้ว่าอยากปั่นยอดไลก์หรือปั่นเพจวิว ก็อย่าไปไลก์ไปแชร์ให้เสียเวลา แถมกดรีพอร์ตสักหนึ่งทีเป็นของแถมได้เลย

ชื่อคนเขียน

ชื่อคนเขียนคอนเทนต์ก็สำคัญ ลองพิจารณาให้ถี่ถ้วนว่าชื่อคนเขียนคนนี้เราเคยเห็นเขาเขียนให้ที่ไหนอีกไหม หรือถ้าเป็นนามปากกาชื่อมันน่าเชื่อถือหรือเปล่า ตามดูบทความอื่น ๆ ที่เขาเขียนว่าน่าเชื่อถือหรือไม่ มีน้ำหนักมากน้อยแค่ไหน หรือเว็บไซต์ที่คนคนนี้เขียนให้เว็บไซต์อื่น ๆ น่าไว้วางใจเพียงใด ถ้าไม่มีอะไรเลย เหมือนสร้างแอคเคาต์มาเขียนบทความนี้เพื่อปั่นกระแสอย่างเดียว ก็พอจะบอกได้เลยว่าน่ากลัวมากที่จะเป็นข่าวปลอม

เช็คแหล่งข้อมูลอ้างอิงซิ

บางทีหลาย ๆ คอนเทนต์บนโลกออนไลน์ก็เป็นข่าวที่แปลมา โดยเขาจะใส่แหล่งที่มาของข่าวที่แปลเอาไว้ เราก็อย่าแค่อ่าน ไลก์ แชร์แค่เพราะโดนใจ แล้วจบ สละเวลากดเข้าไปสักนิดว่าเว็บไซต์ต่างประเทศที่แปลมาน่าเชื่อถือหรือไม่ หรือก็เป็นเจ้าพ่อข่าวปลอมของต่างประเทศเช่นกัน พอ ๆ กับชื่อคนเขียนในเว็บไซต์ต่างประเทศนั้น บางคนก็เขียนข่าวปลอมเป็นหลักก็ให้ระวังไว้ให้ดี ไม่ใช่เห็นว่ามาจากเว็บไซต์ข่าวต่างประเทศแล้วคิดว่าเชื่อได้หมด นั่นเป็นวิธีคิดที่ผิดมหันต์เลย

กูเกิลอิมเมจช่วยคุณได้

บ่อยครั้งที่ข่าวเขียนพาดหัวใหญ่โตรุนแรง แถมมีรูปมาประกอบด้วย เป็นใคร ใครก็อยากเชื่อ ยิ่งใจพร้อมโอนเอนจะเชื่ออยู่แล้วมือยิ่งสั่นอยากแชร์ให้เพื่อนอ่านต่อรัว ๆ เราอยากบอกว่าบางทีเขาก็ขโมยภาพมาจากข่าวอื่น แล้วแต่งนิยายใส่รัว ๆ ก็ได้ หรือบางทีรูปหลายเดือน หลายปีผ่านไปแล้ว แต่เอามาเขียนเหมือนคนในข่าวเพิ่งพูดเรื่องนี้ ในสถานการณ์ปัจจุบัน ดังนั้น Google Reverse Image Search จะช่วยคุณได้ เพื่อดูว่าภาพที่ใช้ในคอนเทนต์หรือข่าวนั้น ๆ ปรากฏอยู่ที่เว็บไซต์อื่น ๆ โดยมีเนื้อหาว่าอย่างไร หรือบอกวันที่ที่รูปนี้โผล่ขึ้นมาบนอินเตอร์เน็ตแรก ๆ มันคือเมื่อไหร่ ช่วยป้องกันการโดนหลอกด้วยภาพไปได้หลายระดับ

เว็บไซต์ที่น่าเชื่อถือเขาพูดถึงข่าวนี้ไหม?

หลายข่าวก็เป็นข่าวใหญ่สุดน่าตื่นตะลึง ข่าวใหญ่จนเราอยากเป็นคนแรก ๆ ที่แชร์ข่าวรายนี้สู่วงเพื่อนในสังคมออนไลน์ แต่คิดสิคิด ถ้าข่าวใหญ่ขนาดนี้ทำไมเว็บไซต์ข่าวหลัก ๆ เขาไม่ลง? เพราะฉะนั้นถ้ามีข่าวพีค ๆ อย่าเพิ่งรีบแชร์เพราะกลัวจะตกข่าว ให้เปิดดูเว็บไซต์ข่าวใหญ่ ๆ ที่น่าเชื่อถือดูก่อนว่าเขามีข่าวนี้ลงเหมือนกันไหม หรือเงียบกริบมีแต่เว็บไซต์ที่เราอ่านนี้ที่ปั่นกระแสอยู่เว็บไซต์เดียว ถ้าเเป็นเว็บฯ เดียวที่พูดถึงเรื่องนี้ หรือมีแต่เว็บไซต์ที่ดูไม่น่าเชื่อถือที่พูด ๆ ก็อป ๆ กันมา ก็เตรียมใจได้เลยว่า ปลอม!

ในวันที่ชีวิตเรากว่าครึ่งอยู่บนโลกออนไลน์ ข่าวสารที่เข้ามาในชีวิตจากช่องทางนี้จึงแทบเป็นข่าวส่วนใหญ่ที่เราได้รับ ดังนั้นมันไม่ใช่เรื่องที่เหนือบ่ากว่าแรงอะไรที่ตรวจดูให้ละเอียดถี่ถ้วนก่อนจะไลก์ ก่อนจะแชร์ นับเป็นการรับผิดชอบต่อสังคม และเพื่อความน่าเชื่อถือของตัวตนในโลกออนไลน์ของเราเองอีกด้วย

ของแพงไร้สาระหรือคุณค่าทางจิตใจ ยอมรับในความแตกต่างแล้วจะรู้ว่ามนุษย์ทุกคนไม่เหมือนกัน

$
0
0

ปฎิเสธไม่ได้ว่ามนุษย์โดยเฉพาะผู้ชายอย่างเรามีความหลงใหลให้กับสรรพสิ่งที่แตกต่างกันออกไป บางคนชอบเก็บสะสมรองเท้า บางคนทุ่มทั้งเงินและเวลากับการตามหาของที่ระลึกจากนักร้องไอดอลเสียเงินกันเป็นหลักแสนเพื่อรูปถ่ายใบเดียว หรือกับบางคนชอบเอาเงินที่หาได้จากน้ำพักน้ำแรงไปลงกับพาหนะสี่ล้อ ซึ่งเรื่องแบบนี้ก็ขึ้นอยู่กับรสนิยมความชอบส่วนบุคคล ไม่มีใครสามารถห้ามกันได้

แต่ทว่าเรามักได้ยินประโยคติดปากเวลาเจอคนซื้อของมีราคาค่างวดมา พร้อมเสียงแซะปนเหน็บแนมแบบติดตลกว่า “มีเงินอย่างเดียวซื้อไม่ได้ ต้องโง่ด้วย”  ซึ่งประโยคดังกล่าวเป็นอะไรที่เรามองว่ามันโคตรจะไม่เข้าท่า และอยากจะให้ทุกคนลองปรับทัศนคติความคิดในเรื่องนี้ใหม่ดู เนื่องจากมนุษย์ทุกคนล้วนมีความหลงใหลหรือที่เรียกว่า  passion แตกต่างกันออกไป ไม่มีเรื่องใดเป็นสิ่งไร้สาระถ้าหากมันเกิดขึ้นจากความชอบ เราจะขอยกตัวอย่างสองเหตุการณ์ที่เพิ่งพบเจอมาเล่าในอีกแง่หนึ่งสำหรับคนที่คิดลบเกี่ยวกับการซื้อของเก็บสะสมราคาแพงกันอยู่

เรื่องแรกเกิดขึ้นเมื่อไม่กี่วันมานี้ มีชาวไทยคนหนึ่งโชคดี lucky draw ได้สิทธิ์ซื้อรองเท้า adidas NMD Hu “Powder Dye” ซึ่งเหตุการณ์ที่เหมือนจะธรรมดาแต่ไม่ธรรมดานี้ได้เกิดขึ้น เพราะเจ้ารองเท้าคู่ดังกล่าวดันมีความผิดพลาดทาง QC ทำให้อักษรบนหน้ารองเท้าเหมือนกันอย่างผิดสเปค และเนื่องจากรองเท้าคู่นี้เป็น Limited Pair ทำให้ไม่สามารถเปลี่ยนคืนได้ เจ้าของรองเท้าคนดังกล่าวก็ต้องรับรองเท้าไปแบบเซ็ง ๆ หลังจากนั้นเขากลับมาบ้านและถ่ายภาพลงไปในกรุ๊ปรองเท้ากลุ่มหนึ่งเพื่อระบายความในใจกับเหตุการณ์นี้ ปรากฎว่ากลายเป็นที่ฮือฮาอย่างมาก เพราะความพิเศษที่เกิดขึ้นอย่างไม่ตั้งใจ ทำให้รองเท้าคู่ดังกล่าวกลายเป็นรองเท้าคู่เดียวในโลก จากนั้นก็เกิดการประมูล ทั้งชาวไทยและต่างประเทศแห่กันมา bid กันอย่างบ้าคลั่ง จนสุดท้าย adidas NMD Hu “Powder Dye” จบการประมูลที่ $40,000 หรือราว ๆ 1,000,000 บาท ชายคนดังกล่าวก็เหมือนถูกหวยรางวัลที่หนึ่งไปโดยปริยาย และคนที่ประมูลชนะก็ได้รองเท้าอย่างที่ตัวเองต้องการ

สำหรับคนที่มองว่ามันเป็นสิ่งของไร้สาระก็คงคิดว่ารองเท้าคู่เดียว “มึงบ้ากันไปแล้วหรือไงประมูลกันเป็นล้าน เอาไปซื้อรถญี่ปุ่นได้คันหนึ่ง” แต่ในมุมของนักสะสมที่ได้ไปเขาไม่ได้มองที่มูลค่า พวกเขามองว่ารองเท้าคู่นี้มันคือหนึ่งเดียวในโลกในอนาคตข้างหน้าก็ไม่สามารถหารองเท้าที่หลุด QC แบบนี้ได้อีก ดังนั้นรับประกันได้ว่าการซื้อราคานี้จะสามารถต่อยอดขายทำกำไรได้ในอนาคตอย่างแน่นอน

ส่วนเหตุการณ์ที่สองก็เกิดขึ้นในประเทศไทยอีกเช่นกัน เมื่อวงไอดอลสุดฮ็อตอย่าง BNK48 นำภาพ Super Special Rare หรือรูปพร้อมลายเซ็นน้องๆ ซึ่งมีเพียง 6 ในโลกต่อสมาชิก 1 คน เก็บไว้ที่ตัวน้องๆ 1 ใบ และอีก 5 ใบ Random ใส่ใน Photo Set แรกเปิดตัวที่ตอนนั้นยังไม่ดัง ปรากฎว่ามีรูปภาพของน้องสมาชิกคนหนึ่งสามารถประมูลสูงสุดได้ในราคา 455,000 บาท  เทียบเท่ากับรถ Vios หนึ่งคัน แล้วก็ไม่วายมีคนออกมาดราม่าว่า

รูปนี้ห้อยหน้ารถกันรถชนได้มั้ย ?, บ้าไปแล้ว และอีกมากมาย 

ถามว่ามันเป็นความผิดถึงขั้นต้องมานั่งดราม่ากันไหมกับรูปที่มีการประมูลถึงครึ่งล้านนี้ ขอตอบเลยว่า ไม่ เพราะมันเป็นสิทธิของคนประมูลเมื่อเขาพึงพอใจกับราคาที่จ่ายไปโดยไม่ได้ไปทำให้ใครเดือดร้อน มันก็ไม่ใช่เรื่องของเราอีกเช่นกันที่จะไปเป็นเดือดร้อนแทน เพราะการที่เขาจ่ายเงินระดับนั้นออกไป มันต้องผ่านการคิดไตร่ตรองมาแล้วเป็นอย่างดี ดังนั้นเราไม่จำเป็นต้องไปบอกว่า เอาเงินไปทำอย่างอื่นเช่น บริจาคเด็กยากไร้ดีกว่า เพราะเขาอาจจะเก็บเงินอีกส่วนหนึ่งไว้บริจาคอยู่แล้วก็ได้

บทสรุปของทั้งสองเหตุการณ์นี้หากเรายอมรับในความแตกต่างของคน ก็จะไม่มีปัญหาการดราม่าแซะเหน็บแนมตามมาอีกต่อไป  เพราะมนุษย์แต่ละคนมีความชอบที่ไม่เหมือนกัน ไม่มีคำว่าถูกหรือผิดในการตามล่าหาของเก็บสะสมเพราะมันคือคุณค่าทางจิตใจ และคนที่ชอบสิ่งของนั้นวันหนึ่งมันอาจจะกลายเป็นมรดกที่สามารถทำเงินกว่าตอนซื้อได้หลายเท่าตัว และลองคิดง่าย ๆ เหมือนกับการตีค่างานศิลปะ แต่เราอาจจะมองรูปภาพเดียวกันในมุมมองที่ต่างออกไป ตามหลักแนวคิดจิตวิทยา No two are exactly alike and then No two are exactly different ดังนั้นก่อนที่จะเอ่ยปากไปว่าใคร ลองมองดูตัวเองก่อนว่าเคยซื้อของไร้สาระในราคาที่แพงแบบไร้เหตุผลบ้างหรือเปล่า?

 

Viewing all 7776 articles
Browse latest View live