ถ้าจะถามผู้ชายอย่างเรา ๆ ว่า “สเน่ห์ของผู้หญิงอยู่ตรงไหน ?” ก็น่าจะพอสรุปได้ว่าต้องบุคลิกภาพที่น่าดึงดูด เป็นตัวของตัวเอง มีรอยยิ้มที่สดใส มีอัธยาศัยที่โดนใจ มีความสามารถ มีความฝันและมุ่งมั่นทำให้ประสบความสำเร็จเป็นความจริง ถ้าเจอผู้หญิงที่มีทุกอย่างที่กล่าวมานี้ ใครเล่าจะต้านทานสเน่ห์ของเธอคนนั้นได้
นับเป็นโชคดีของทีมงาน UNLOCKMEN ที่ได้มีโอกาสมาพูดคุยกับสุภาพสตรีท่านหนึ่งที่เปี่ยมไปด้วยสเน่ห์เหลือเกิน เธอคนนี้คือ ‘อิงค์-วรันธร เปานิล’ ศิลปินสาวมากความสามารถแห่งค่าย BOXX Music เจ้าของผลงาน EP ‘Bliss’ ประกอบด้วย 5 ซิงเกิ้ลอย่าง เหงา เหงา (Insomnia) , Snap, ฉันต้องคิดถึงเธอแบบไหน (Cloudy) , ยังรู้สึก (Old Feelings) และ ขอดาว ที่เพิ่งปล่อยออกมาเมื่อปลายปีที่แล้ว
![]()
แต่นี้ไม่ใช่ผลงานแรกของเธอ เพราะก่อนหน้านี้อิงค์เคยเป็นศิลปินในสังกัด Kamikaze ตั้งแต่อายุ 12 ปี มีผลงานการร่วมเล่นเอ็มวีเพลง ‘เด็กวุ่นวาย’ ของ โฟร์-มด รวมถึงเป็นหนึ่งในสมาชิกวง Chilli White Choc แถมยังได้ร่วมร้องประสานในเพลง ‘ก่อนมะลิบาน’ ของวง ไทม์ อีกด้วย ส่วนผลงานด้านภาพยนตร์เธอก็ฝากความสามารถไว้ในเรื่อง Snap แค่…ได้คิดถึง ซึ่งเธอถูกเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลเอเชียนฟิล์มอวอร์ดส์ ครั้งที่ 10, รางวัลสุพรรณหงส์ ครั้งที่ 25 และ รางวัลชมรมวิจารณ์บันเทิง ครั้งที่ 24 เมื่อปี 2558
โปรไฟล์ขนาดนี้ ต้องมารู้จักกับตัวตนของเธอกันหน่อยแล้ว
ผ่านงานด้านบังเทิงมาค่อนข้างหลากหลาย ปัจจุบัน อิงค์ วรันธร คือใคร ?
“ก็เป็นอิงค์ วรันธร นี่หละค่ะ (หัวเราะ) ตอนที่อิงค์อยู่กับ Chilli White Choc ตอนนั้นเด็กสุดในค่าย เป็นเด็ก ม.2 อายุ 12-13 ที่ชอบร้องเพลง และก็รับโอกาสได้เข้าไปทำเพลง มันเป็นโอกาสที่ดี่ สนุกดีนะคะสำหรับในวัยตอนนั้น สอนอะไรเราหลาย ๆ อย่างทั้งเรื่องการทำงาน การเข้ากับคนอื่น แฮปปี้ดีค่ะ เหมือนได้ไปเล่นกับเพื่อน เพื่อนในค่ายเยอะมาก ทุกคนสนุก ๆ เฮฮา เป็นวันเด็กที่ยังไม่ต้องคิดอะไร แค่ทำสิ่งที่ตัวเองชอบก็คือการร้องเพลง”
แล้วการเล่นเป็นนางเอกหนังเรื่อง Snap แค่…ได้คิดถึง หละ ได้ประสบการณ์ดี ๆ อะไรมาบ้าง ?
“อิงค์ไม่ได้เป็นเรา 100% ในเรื่องนี้ เราเล่นในบทบาทคนอื่น เราไม่ได้ชอบการแสดงที่สุดในชีวิต ไม่เคยแสดงอะไรมาก่อนเลย และก็ไม่คิดว่าจะแสดงได้ด้วย พอเราไปเล่นมันก็เหมือนเป็นการปลดล็อกตัวเองเหมือนกัน สิ่งที่เราคิดว่าเราจะทำไม่ได้ จริง ๆ แล้วเราก็ทำได้เหมือนกัน สุดท้ายเราก็ทำออกมาได้เป็นที่ค่อนข้างน่าพอใจของผู้กำกับและหลาย ๆ คนที่ได้ดู ได้เข้าชิงรางวัลด้วย แปลกดีเนอะ ทั้ง ๆ ที่เราคิดว่าเราทำไม่ได้ ตอนนี้ก็มีติดต่อให้ไป cast เรื่อย ๆ แต่ว่าด้วยความที่อิงค์มาทำเพลงแล้ว อิงค์รู้สึกว่าชอบร้องเพลงมาตั้งแต่เด็ก วันหนึ่งเราเรียนจบแล้ว ได้มาทำเต็มที่ตรงนี้แล้ว ก็ควรจะให้ตรงนี้ 100% ต้องขอบคุณน้าโอ๊บ-เพิ่มศักดิ์ พิสิษฐ์สังฆกร แห่งวงไทม์ ที่แนะนำโอกาสดี ๆ ให้ได้เข้ามาร่วมงานกับพี่พล วง Clash และทีมงาน BOXX Music ด้วยค่ะ”
“ไม่เคยแสดงอะไรมาก่อนเลย และก็ไม่คิดว่าจะแสดงได้ด้วย พอเราไปเล่นมันก็เหมือนเป็นการปลดล็อกตัวเองเหมือนกัน สิ่งที่เราคิดว่าเราจะทำไม่ได้ จริง ๆ แล้วเราก็ทำได้เหมือนกัน”
![]()
หลังจากที่เราได้ฟังงานใหม่ของอิงค์แล้ว ยอมรับว่าค่อนข้างทึ่งเหมือนกัน ที่เธอนำเสนอแนวเพลงแบบ electronic/synthpop ออกมาได้อย่างลงตัว ได้กลิ่นอายของดนตรีที่ทรงอิทธพลในยุค 80’s เคล้ากับเสียงร้องที่สดใส และเนื้อหาที่ถ่ายทอดมาจากประสบการณ์ของเธอ อยากรู้จริง ๆ ว่าทั้ง 5 เพลง อิงค์ชอบเพลงอะไรมากที่สุด ?
“ชอบทุกเพลงเลยค่ะ แต่ว่าจะชอบและก็รักแตกต่างกันไป ตอบไม่ได้จริง ๆ ว่าชอบเพลงไหนมากสุด เนื้อหาแต่ละเพลงก็ได้ทำการบ้านมาเยอะพอสมควร แต่ก็ไม่ใช่เรื่องอิงค์ 100% แต่ก็มีบาง insight ที่เรารู้สึก หรือเรื่องราวของเพื่อน ๆ นำมาเล่าให้กับพี่ ๆ ทีมงานฟัง ทุกอย่างในกระบวนการทำเพลงอิงค์จะมีส่วนร่วมด้วย อย่างเพลง เหงา เหงา เป็นเพลงแรกที่ทำกับค่ายนี้ในฐานะศิลปินเบอร์แรกของค่ายด้วย ยังไม่มีแรงกดดัน รู้สึกว่าได้ทำสิ่งที่ตัวเองชอบให้คนได้รู้จักเราในแบบที่เราเป็นตอนนี้ ส่วนเนื้อหาได้แรงบันดาลใจจากความรู้สึกบางมุมดี ๆ จากการที่ได้ไปเล่นเรื่อง Snap ที่บอกว่าสิ่งของบางอย่างมันแทนความรู้สึก เช่นเพลงบางเพลงที่เคยฟังด้วยกัน รูปที่เคยถ่ายด้วยกัน สถานที่ที่เคยไปด้วยกัน เวลาที่คนเราทะเลาะกันหรือเลิกกันจะคิดถึงกันเหมือนกันมั้ย เวลาที่ได้เจอของพวกนั้น ได้ฟังเพลงพวกนั้น”
ดนตรีส่งผลกับชีวิตอย่างไรบ้าง ?
“ดนตรียังทำให้เรามีความสุขได้เหมือนเดิม แค่บทบาทของมันเปลี่ยนไป เมื่อก่อนเราอาจจะร้องเพลงเพราะเราแค่ชอบ เราเรียนร้องเพลง เราทำมันเพราะความสุข ไม่มีปัจจัยอื่นเข้ามา แต่ทุกวันนี้บทบาทของมันค่อนข้างเปลี่ยนไป ด้วยความที่มันเข้ามาเป็นอาชีพแล้ว เลยทำให้เราต้องจริงจังกับมัน มันมีหลายองค์ประกอบมากขึ้น ไม่ใช่แค่การร้องเพลงไปวัน ๆ มันคือการคิดงาน ต่อยอดยังไง จะใช้มันมาทำให้คนอื่นมีความสุขได้อย่างไร มันไม่ใข่แค่ตัวเราเองแล้ว มันคืออาชีพ มันมีความท้าทายขึ้น มันยากขึ้น แต่ก็ยังทำให้เรามีความสุขเหมือนเดิม อิงค์ไม่ได้รู้สึก suffer เลย”
![]()
ถ้าไม่มีเรื่องของธุรกิจมาเกี่ยวข้อง อิงค์อยากร้องเพลงแนวไหน แล้วศิลปินที่ชื่นชอบคือใคร?
“อิงค์ไม่ได้ชอบร้องเพลงแค่แนว pop แต่เป็น classic ก็ได้ broadway ก็ดี หรือแนวไหนก็ได้ที่ได้พัฒนาศักยภาพขึ้นไป แนว electronic ก็เป็นอีกแนวที่ชอบ ช่วงที่เริ่มเข้ามาคุยกับค่ายก็กำลังมี passion กับแนวนี้เลย ส่วนศิลปินที่ชื่นชอบอาจไม่ได้มีใครเป็นพิเศษ แต่จะศึกษาจุดเด่นของแต่ละคน มองหาแรงบันดาลใจที่แต่ละคนปล่อยออกมาให้รับ บางคนเราชอบสไตล์เพลง บางคนเราชอบการดำเนินชีวิต บางคนเราชอบการแต่งตัว”
ทำไมถึงต้องเป็นแนวเพลงแบบ electronic/synthpop ?
“อิงค์คิดว่าแนวเพลงแบบ synthpop อยู่ในชีวิตเรามานานแล้ว แต่เราแค่ไม่ได้โฟกัสมัน มีอยู่วันหนึ่งนั่งรถและได้ฟังเพลงของวง Electric Youth เรารู้สึกว่าดีจังเลย ทั้งเสียงนักร้องและดนตรี ก็เลยรู้สึกติดใจ ถือเป็นวงที่เปิดโลกแนว synth pop ให้กับอิงค์เลย”
![]()
จุดแข็งและเอกลักษณ์ของอิงค์คืออะไร ?
“ทุกคนมีเอกลักษณ์ เราไม่สามารถเป็นคนอื่น และคนอื่นก็เป็นแบบเราไม่ได้ แต่สิ่งที่อิงค์รู้สึกคืออิงค์เป็นคนมี passion ที่มีต่อดนตรีและสิ่งที่เรารักสูง อิงค์ไม่คาดหวังให้ทุกคนต้องชอบเพลงของเรา แต่ก็อยากให้เปิดใจฟังก่อน สักเพลงนึงก็ยังดี ผู้ชายอาจจะนึกว่าเพลงผู้หญิงจะต้องหวานแหววอย่างเดียว อิงค์ว่า synthpop มีสเน่ห์และความสนุกมาก และมีความพิถีพิถันในการเลือก sound มาก ๆ มีให้เลือกไม่มีที่สิ้นสุด แค่เปลี่ยน sound นิดหน่อยก็ทำให้เกิดความรู้สึกอีกแบบ มีมิติที่แตกต่าง เวลาทุกคนฟังก็จะได้รับสีสันพวกนี้”
มีวิธีอย่างไรที่จะได้ทำสิ่งที่ตัวเองรักและอยู่รอดได้ด้วยในธุรกิจดนตรี ?
“งานตรงนี้ สิงที่ต้องมีก่อนคือความสุข ถ้าเราไม่มีความสุขกับมันแล้วมันก็เหมือนไม่มีแรงไปต่อ ยอมรับว่านักดนตรีสมัยนี้อยู่ได้เพราะรักมันจริง ๆ จริง ๆ แล้วการอยู่รอดก็คือตัวเรา เราแฮปปี้กับมันมากแค่ไหน ถ้าเราแฮปปี้กับมัน เราพอใจแล้ว มันก็จะทำให้เราอยู่ต่อไปได้ สมัยนี้มีหลายช่องทางในการอยู่รอด อยู่ที่ว่าตัวเราจะเอาตัวเองไปอยู่จุดไหน การปรับตัวก็เป็นเรื่องสำคัญอีกเรื่อง อย่าขาดความสุขที่จะขับเคลื่อนงานของเรา”
“อย่าขาดความสุขที่จะขับเคลื่อนงานของเรา”
เป็นศิลปินสาวสวยแบบนี้ วางตัวอย่างไรกับทีมงานหนุ่ม ๆ ?
“พี่โปรดิวเซอร์ และพี่ ๆ แบคอัพก็เป็นผู้ชาย เป็นเรื่องปกติที่เราต้องทำงานกับผู้ชาย ทุกคนคือพี่น้องเป็นเพื่อนกันหมด ทุกคนคุยกับอิงค์ได้หมด อิงค์เป็นคนค่อนข้างตรง มีอะไรก็จะคุย สนุกสนานเฮฮาได้ วางตัวสบาย ๆ ไม่มีใครจะมาทำอะไรเราหรอก (หัวเราะ) วิธีการทำงานก็จะเปิดรับฟังกัน ทุกคนเสนอไอเดียได้หมด ให้เกียรติซึ่งกันและกัน ทุกวันนี้อยู่ได้อย่างมีความสุข ไม่ได้มีปัญหาอะไรในเรื่องการทำงาน”
![]()
เคยเจอแฟนเพลงผู้ชายคุกคามไหม ?
“อิงค์วางตัวกับทุกคนเหมือนกัน อิงค์ให้ความสำคัญเท่ากัน ขอบคุณทุกคน แต่ถ้าเกิดเจออะไรที่เหนือการควบคุมเราก็จะนิ่ง ๆ เป็นกลาง พวกพี่ ๆ ก็จะช่วยจัดการให้ แนะนำวิธีการวางตัวให้ ในโซเชียลเน็ตเวิร์กก็มีบ้างนะคะ ที่มีคอมเม้นต์แบบไม่ให้เกียรติกัน แซวแรง ๆ เราก็ต้องทำใจกับมัน เพราะเราเอาตัวเองเข้ามาอยู่ในจุดนี้แล้ว เป็นเรื่องละเอียดอ่อน ต้องไม่เอาใจไปใส่ แต่ถ้าเกินกว่าที่จะรับไหวก็จะให้พี่ ๆ ช่วยจัดการ อาจจะบล็อก หรือทำเป็นไม่เห็นไป สุดท้ายคนนั้นก็จะโดนมองไม่ดีเอง เคยอยากจะโต้ตอบนะ แต่ไม่ดีกว่าคะ (หัวเราะ) แต่อิงค์คิดว่าอิงค์โดนน้อยนะ เพราะเราก็ไม่ได้ดูเซ็กซี่อะไร (หัวเราะ) ดูเป็นผู้หญิงกลาง ๆ มากกว่า เป็นตัวเองแบบธรรมชาติ ก็เลยไม่ค่อยโดนแซวแรง ๆ ”
หลังจากคุยกันเรื่องงานจนอินแนว synthpop ไปกับเธอแล้ว มาคุยกันเรื่องชีวิตบ้างดีกว่า จะได้รู้จักกับเธอที่ตัวตนด้วย ไม่ใช่แค่ผลงาน
มีช่วงที่ท้อแท้บ้างไหม แล้วผ่านมาได้อย่างไร ?
“การทำงานทุกอย่างมันก็มีทั้งความสุขและความเครียด เราเองก็ไม่ได้เพอร์เฟ็คต์ เวลาเราเข้ามาอยู่ตรงนี้ก็ต้องพัฒนาไปเรื่อย ๆ มันก็จะ suffer บ้างเวลาที่เรารู้สึกว่าน่าจะทำได้ดีกว่านี้ เหมือนกดดันตัวเองด้วย ทำไมไม่ดีกว่านี้นะ หนหน้าจะต้องทำให้ดีขึ้นให้ได้ มีบ้างที่ผิดหวังกับตัวเองนะ แต่ก็จะมีวิธีการจัดการคือเริ่มจากการระบายออกด้วยการบ่นก่อน (หัวเราะ) เวลาเครียดอิงค์ก็จะหาคนที่รับฟังได้ ไม่ว่าจะเป็นพ่อแม่ เพื่อน หรือพี่ ๆ ทีมงาน พอบ่นเสร็จก็จะหายเซ็ง พร้อมกลับมาเริ่มใหม่ ไม่เคยเก็บกดเอาไปเครียด”
ตั้งเป้าชีวิตในอีก 3 ปีข้างหน้าไว้อย่างไร ?
“ปีนี้ถือว่าเริ่มต้นเข้าปีที่ 3 ของการทำงาน เมื่อ 2 ปีที่แล้วก็ตั้งเป้าหมายไว้ว่าจะต้องเดินมาถึงจุดนี้ให้ได้ ถือว่าเข้าเป้าระดับหนึ่ง เราตั้งเป้าไว้ว่าอยากเป็นที่รู้จักมากขึ้น มีผลงาน และมันก็ได้นสิ่งที่หวังไว้พอสมควร แต่ก็ต้องตั้งเป้าต่อไปอีก ใน 3 ปีนี้ต้องมีอัลบัมเต็ม แต่ยังไม่แน่ใจว่าจะเป็นช่วงไหน ยังไรรอติดตามนะคะ”
![]()
อยาก UNLOCK ศักยภาพด้านไหนของตัวเองออกมา ?
“รู้สึกว่าตัวเองปลดล็อกตัวเองทุกวัน ไม่มีอะไรที่เป็นเรื่องใหญ่ขนาดที่เราจะต้องปลดล็อกสิ่งนี้ให้ได้ เราค่อย ๆ ปลดล็อกตัวเองไปทีละนิด อะไรที่เราทำไม่ได้ก็ค่อย ๆ พัฒนาตัวเองเรื่อย ๆ จนทำได้ในวันหนึ่ง อย่างเรื่องการโชว์ เมื่อ 2 ปีก่อนอิงค์เกร็งมาก ก็ค่อย ๆ ปลดล็อกจนถึงปัจจุบันก็กล้าขึ้น พูดเก่งขึ้น เอ็นเตอร์เทนเก่งขึ้นแต่อิงค์ก็รู้สึกว่ายังทำได้ดีกว่านี้อีก ถ้าเป็น 2 ปีก่อนถ้ามานั่งสัมภาษณ์กันแบบนี้ ก็คงจะพูดไม่ค่อยรู้เรื่อง (หัวเราะ) สิ่งที่เราจะทำได้ก็คือทำให้ดีกว่าในอดีตขึ้นเรื่อย ๆ นี่คือสิ่งที่เรา unlock ตัวเองในทุก ๆ วัน”
“สิ่งที่เราจะทำได้ก็คือทำให้ดีกว่าในอดีตขึ้นเรื่อย ๆ นี่คือสิ่งที่เรา unlock ตัวเองในทุก ๆ วัน”
“การใช้ชีวิตให้มีความสุข เราต้องมีความเป็นเด็กด้วยบ้าง เมื่อก่อนจะเป็นคนที่สดใสมาก มีความสุขทุกวัน แต่เดี๋ยวนี้รู้สึกว่าเด็กคนนั้นได้หายไป ก็เลยคิดบอกกับตัวเองว่าจะต้องยิ้มขึ้นนะ มีความสุขขึ้นนะ เพื่อที่จะทำให้ตัวเราไม่เครียดไม่กดดัน พยายามเติมสีให้กับตัวเองทุกวัน ไม่ให้มีแต่เรื่องงานมากเกินไป”
งานศิลปินเยอะแบบนี้ แบ่งเวลาให้กับตัวเองและคนรอบข้างอย่างไร ?
“เมื่อก่อนทำงานอย่างมาก 3-4 วันต่อสัปดาห์ แต่ทุกวันนี้ทำงานแทบทุกวัน ก็เลยทำให้ต้องจัดการตัวเองเพิ่มขึ้น คิดว่าค่อนขางทำได้โอเค มีเวลาอยู่กับครอบครัว คุณพ่อคุณแม่น่ารัก สนับสนุนเราตลอดมาตั้งแต่เด็ก เข้าใจว่างานเราหนัก ต้องกลับดึกบ้าง เขาก็ไม่ได้ว่าอะไร ส่วนเพื่อนฝูงก็เจอกันยากขึ้นเพราะวัยทำงานกันแล้ว แต่ก็ยังเจอกันเรื่อย ๆ มานั่งกินขาวคุยกัน เน้นคุณภาพการเจอกันมากกว่าปริมาณ อิงค์มีทั้งเพื่อนสมัยมัธยม [โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตร (ฝ่ายมัธยม)] มหาวิทยาลัย (คณะศิลปกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย) และกลุ่มเพื่อนที่เคยเป็นจุฬาฯคฑากรด้วยกัน
เอาหละ มาถึงคำถามไฮไลท์ที่หนุ่ม ๆ ชอบกดดันให้เราถามตั้งแต่แรก ไม่ก็คำถามเดียวไปเลย ก็คือ คุณอิงค์มีแฟนหรือยังครับ ?
“ตอนนี้ไม่มี (ตอบเร็วมาก) เคยมีตอนช่วงอยู่มหา’ลัย พอเรียนจบ ทำงาน ก็เริ่มมีความไม่เข้าใจกัน พอโตขึ้นแต่ละคนก็ต้องมีพาร์ทการทำงานเพิ่มขึ้นก็เลยปรับตัวกันไม่ค่อยได้ เข้ากันไม่ค่อยได้ ก็เลยทำความเข้าใจกันว่าคงต้องหยุดนะ หลังจากนั้นก็มีคนเข้ามาบ้าง เราก็รู้สึกว่าไม่ใช่เขาไม่ดีนะ แต่เรางานเยอะ มันเป็นเรื่องยากเหมือนกันที่เราจะใช้เวลากับเขา เราเองก็โฟกัสไม่ได้เต็มที่ บางคนที่เข้ามาก็ถอยไปเอง มีพี่เคยบอกกับอิงค์ว่าการที่จะเป็นแฟนกับศิลปินได้ คนนั้นต้องใจกว้างสุด ๆ คนที่จะมาเข้าใจงานเรามันหาได้ยาก อิงค์เลยจะต้องค่อย ๆ ดู ค่อย ๆ ศึกษา ไม่รีบ”
![]()
ผู้ชายในสเป๊คเป็นอย่างไร ?
“ต้องเป็นคนที่มีความมุ่งมั่น มี passion ในสิ่งที่เป็นตัวของตัวเองอยู่ รู้ว่าตัวเองชอบทำอะไร และก็ทำมันอย่างเต็มที่ ไม่ชอบคนที่ลอยไปลอยมา ต้องจัดลำดับความสำคัญเป็น manage ตัวเองได้ เวลาที่ผู้ชายพยายามจะทำสิ่งที่เขาชอบให้สำเร็จ มันคือสเน่ห์อย่างหนึ่งของเขา อิงค์แทบไม่ได้ดูคนที่หน้าตาและออปชั่น แต่ชอบคนที่มีความมุ่งมั่น ทะเยอทะยาน รักครอบครัว ผู้ชายที่เป็นแบบนี้คือผู้ชายที่เท่ดี (หัวเราะ) “
“เวลาที่ผู้ชายพยายามจะทำสิ่งที่เขาชอบให้สำเร็จ มันคือสเน่ห์อย่างหนึ่งของเขา”
ถ้าจะจีบคุณอิงค์ต้องทำอย่างไร ?
“เข้ามาโต้ง ๆ ………. ตายแน่นอน (ฮา) อิงค์เป็นคนที่มีกำแพงกับคนที่ไม่รู้จักเยอะเหมือนกันในตอนแรก ๆ ถ้าเข้ามาแบบเพื่อนหรือพี่จะค่อย ๆ สร้างความคุ้นเคย และเราก็จะเปิดได้มากขึ้น แต่ถ้าอยู่ ๆ ส่งดอกไม้มา หรือมาคุยเลยก็ไม่เอานะ มันน่าตกใจ (หัวเราะ) ต่อให้หล่อหรือเท่ขนาดไหนก็จะเข้ามาโต้ง ๆ ไม่ได้นะ เราไม่ทางเปิดให้เขาได้ 100% แน่นอน และจะยิ่งวิ่งหนี”
“การเป็นผู้ชายนั้น อิงค์รู้สึกว่าควรจะต้องมี passion มีสิ่งที่ตัวเองชอบ และทำมันอย่างเต็มที่ การที่จะมีแฟน ก็ต้องทำให้ผู้หญิงที่ความสุขด้วย การมีแฟนคือการเติมพลัง เติมความสุขให้กัน ตอนเด็ก ๆ มันเป็นความกุ๊กกิ๊กน่ารัก แต่พอโตขึ้นมามันไม่ใช่แค่นั้น มันคือความเข้าใจด้วยในหลาย ๆ อย่าง”
![]()
นับว่าเป็นการสนทนาเราได้อะไรมากมายอีกครั้ง ไม่ใช่แค่การนั่งคุยกับสาวสวยอย่างออกรสอย่างเดียว แต่ยังได้แรงบันดาลใจ แง่คิดต่าง ๆ เพื่อให้ผู้ชายอย่างเรานำมาปรับใช้ทั้งเรื่องการทำงาน เรื่องชีวิต เรื่องดนตรี และเรื่องความรัก ซึ่งเราขอยกให้ ‘อิงค์-วรันธร เปานิล’ เป็น A Girl We Love อีกคน
แฟน ๆ สามารถติดตามความเคลื่อนไหวของเธอได้ที่เฟซบุ๊กแฟนเพจ Ink Waruntorn อินสตาแกรม: inkwaruntorn นอกจากนี้เธอยังกระซิบบอกเราว่าราว ๆ กลางปีนี้ เธอมีแผนจะจัดคอนเสิร์ตเพื่อแฟน ๆ ด้วย แล้วก็ขอฝากเอ็มวีเพลง ยังรู้สึก ให้หนุ่ม ๆ ได้ดู ซึ่งเพลงนี้อิงค์ภาคภูมิใจมากเพราะได้แต่งเมโลดี้เองทั้งหมด ส่วนการพูดคุยกับเธอครั้งนี้ขอบอกว่าทีมงาน UNLOCKMEN ยังรู้สึกปลื้มอีกนานเลยครับ