Quantcast
Channel: Unlockmen
Viewing all 7776 articles
Browse latest View live

หมดข้ออ้างว่าไม่มีเวลา! “กฎ 168 ชั่วโมงต่ออาทิตย์”ที่จะทำให้การจัดเวลาในชีวิตเปลี่ยนไป

$
0
0

“งานโคตรยุ่งเลยว่ะ ไม่มีเวลาทำอย่างอื่นเลย” นี่เป็นข้ออ้างอันดับต้น ๆ ของผู้ชายที่ Work Hard Play Hard ซึ่งข้ออ้างง่าย ๆ นี้ทำให้เราพลาดอะไรหลายต่อหลายอย่างในชีวิตแบบไม่รู้ตัว เราพลาดเวลาออกกำลังกายเพื่อสุขภาพที่ดี เราพลาดเวลาไปเฮฮากับเพื่อนฝูงเพื่อความสัมพันธ์ที่ดี เราพลาดเวลาทำสิ่งที่เราชอบเพื่อเติมเต็มความฝัน เราพลาดแทบทุกอย่างในชีวิตเพียงเพราะคำว่า “ไม่มีเวลา”

เคยถามตัวเองบ้างไหมว่าที่ “ไม่มีเวลา” จริง ๆ หรือเราแค่ตัดโอกาสตัวเองออกจากสิ่งต่าง ๆ อย่างคนขี้แพ้กันแน่? UNLOCKMEN บอกได้เลยว่าหลังจากที่อ่านเรื่องราวการจัดสรรเวลา“กฎ 168 ชั่วโมงต่ออาทิตย์” นี้จบ เราจะมอง “เวลาในชีวิต” ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป

ประหยัดเวลาเพื่อมีเวลา?

Laura Vanderkam คือนักเขียนผู้เชี่ยวชาญเรื่องการบริหารเวลา เรื่องราวของเธอโคตรน่าสนใจ ตอนแรกเธอก็ดั้นด้นพยายามหาเวลาเพิ่มเหมือนเรา ๆ ทุกคนนี่แหละ โดยทริคที่เธอสนใจก็คือการประหยัดเวลาเพื่อเพิ่มเวลา

สมมติว่าเราซื้ออาหารสำเร็จรูปมาอุ่นแล้วมันเขียนว่าอุ่น 3-4 นาที เราก็อุ่นมันแค่ 3 นาที เพื่อประหยัดเวลา 1 นาทีไว้ไปทำอย่างอื่น หรือถ้าเราติดละครสักเรื่องแทนที่จะดูมันฉายทางโทรทัศน์สด ๆ เราก็ดูย้อนหลังแทน เพราะจะประหยัดเวลาที่ต้องเสียไปกับการดูโฆษณาได้รวม ๆ แล้ว 32 นาที แล้วก็เอา 32 นาทีนี้ไปออกกำลังกายซะ!

ดูเหมือนจะดี แต่ไป ๆ มา ๆ Laura Vanderkam ก็รู้สึกว่าแบบนี้โคตรไม่แฟร์เลย ทำไมเราต้องประหยัดหรือเร่งรีบทำเรื่องอย่างหนึ่งเพื่อมาทำอีกอย่างหนึ่งด้วยวะ? Laura Vanderkam จึงพูดสั้น ๆ แต่โคตรคมว่า

“เราไม่ได้สร้างชีวิตที่เราต้องการ โดยการประหยัดเวลา แต่เราสร้างชีวิตที่เราต้องการ แล้วเวลาก็จะประหยัดตัวมันเอง”

โปรเจกต์ไดอารี่เวลาเพื่อค้นพบว่า “เวลายืดหยุ่นได้”

ก่อนจะรู้ว่าโปรเจกต์ไดอารี่เวลาคืออะไร UNLOCKMEN ขอลองใจถามคำถามคุณสั้น ๆ ว่าอาทิตย์นี้เราขอเวลาคุณ 7 ชั่วโมงให้คุณไปฝึกไตรกีฬากับเราหน่อยได้ไหม? (โอเค ตอบคำถามเราแล้วเก็บไว้ในใจก่อน)

Laura Vanderkam ทำโปรเจกต์บันทึกวันเวลาของผู้หญิงที่งานยุ่งที่สุดเป็นเวลา 1,001 วัน ขึ้นมา จากนั้นเธอพบความน่าสนใจจากผู้หญิงงานยุ่งสุด ๆ คนหนึ่ง เพราะในคืนหนึ่งผู้หญิงคนนั้นกลับบ้านมาแล้วพบว่าเครื่องทำน้ำร้อนพัง น้ำเจิ่งนองไปทั้งบ้าน คืนนั้นเธอต้องทำความสะอาดมัน วันต่อมาเธอต้องเรียกช่างประปา วันต่อมาอีกเธอต้องเรียกช่างทำความสะอาดพรม และเธอเฝ้ามันทั้งหมดด้วยตัวเอง

ประเด็นก็คือเธอใช้เวลารวม 7 ชั่วโมงตลอดอาทิตย์นั้นเพื่อดูแลบ้านให้กลับมาปกติเหมือนเดิม และเธอก็ยังทำงานตามปกติ แต่ทายสิ ถ้าเราไปถามเธอตั้งแต่ต้นสัปดาห์ว่ามีเวลาว่างสัก 7 ชั่วโมงไปซ้อมไตรกีฬามั้ยเธอก็ต้องตอบว่า “ไม่เห็นหรอว่าฉันยุ่งจะตาย ฉันไม่ทำหรอก” (คุณก็ตอบแบบนั้นเหมือนกันใช่ไหมล่ะ?)

แต่การทำความสะอาดบ้านที่เจิ่งนองไปด้วยน้ำมันทำให้เราเห็นว่าเวลายืดหยุ่นได้เสมอนั่นแหละ ถ้ามันสำคัญและต้องทำจริง ๆ เหมือนที่ Laura Vanderkam บอกไว้ว่า

“เวลายืดหยุ่นได้เสมอ เราไม่สามารถสร้างเวลาเพิ่มได้ แต่เวลาจะยืดออกเพื่อรองรับสิ่่งที่เราเลือกจะใส่ลงไป”

“การจัดลำดับความสำคัญ” กุญแจของการบริหารเวลา

มันจึงไม่ใช่เรื่อง “ไม่มีเวลา” แต่เป็นเรื่องที่เราเห็นว่า “ไม่สำคัญพอที่จะให้เวลา” ต่างหาก ดังนั้นการบริหารเวลาจึงเป็นการที่เรามีสิทธิจะเลือกได้ว่าอะไรสำคัญต่อชีวิตเรา แล้วเราก็จะจัดเวลาให้สิ่งนั้น ๆ ได้เอง ขอเพียงอย่าตั้งต้นด้วยประโยคที่ว่า “ไม่มีเวลา” แต่ให้ถามว่ามันสำคัญแค่ไหนและเราจะจัดมันไว้ตรงไหนของตารางเวลาเรา

“ฉันสรุปได้ว่านี่ไม่ใช่ปัญหาเรื่องไม่มีเวลา ฉันก็แค่ไม่อยากทำเท่านั้นเอง พูดแบบนี้ช่วยเตือนสติเราว่า เวลาเป็นสิ่งที่เราเลือกได้”

ประเมิณเป้าหมายล่วงหน้า “หน้าที่การงาน, ความสัมพันธ์, ตัวเอง”

จะรู้ได้อย่างไรว่าอะไรสำคัญ? ลองนึกถึงการประเมิณ KPI การทำงานในช่วงสุดท้ายของปีเพื่อประเมิณเพอร์ฟอร์แมนซ์ของเราดูสิ เราต้องมานั่งไล่นึกว่าอะไรที่ทำให้ปีที่ผ่านมาของเราเป็นปีที่ดี เป็นปีที่เยี่ยมยอด ถูกไหม? ลองกลับหัวกลับหางดู คิดว่าตอนนี้แหละคือสิ้นปีแล้ว แล้วถามตัวเองว่าเราจะทำอะไรเพื่อให้ปีนี้เป็นปีที่เยี่ยมยอด ไอ้รายการพวกนั้นนั่นแหละคือสิ่งที่สำคัญ!

ไม่ใช่แค่เรื่องงานแต่เป็นเรื่องความสัมพันธ์และชีวิตส่วนตัวด้วย คุณอยากให้มันออกมาเยี่ยมยอดด้วยปัจจัยอะไรบ้าง? และปัจจัยเหล่านั้นแหละคือสิ่งสำคัญที่คุณต้องลงมือทำ

ถ้ายังนึกไม่ออก เช่น ปีนี้จะเป็นปีที่เยี่ยมยอดถ้าเราลดน้ำหนักได้ 5 กิโลกรัม พูดภาษาที่ 3 ได้ และมีเวลาให้พ่อแม่ทุกวันอาทิตย์ นี่คือสิ่งสำคัญของเราดังนั้นก็จงใส่ตารางเวลาหาเวลาออกกำลังกาย หาเวลาเรียนภาษาที่ 3 และแบ่งเวลาวันอาทิตย์ให้ที่บ้านให้ได้

กฎภาพรวมเวลา 168 ชั่วโมงต่ออาทิตย์

โอเค ถ้ายังเถียงว่า “ผมก็ไม่มีเวลาอยู่ดี” เราขอเสนอการมองเวลาเป็นภาพรวม โดยกฎแห่งความเป็นจริงที่ว่า 1 อาทิตย์คุณมีเวลา 168 ชั่วโมงเท่ากันทุกคน แบ่งให้เป็นเวลานอน 56 ชั่วโมง ถ้าคุณทำงานวันละ 8 ชั่วโมง คุณก็จะเหลือเวลาตั้ง 72 ชั่วโมงเพื่อทำอย่างอื่น!

แต่ถ้าบอกว่าทำงานวันละ 10 ชั่วโมง คุณก็จะเหลือเวลาอีกตั้ง 62 ชั่วโมงอยู่ดี หรือถ้าทำงานแม่ง 7 วัน วันละ 10 ชั่วโมง คุณก็เหลือเวลาอีกตั้ง 42 ชั่วโมงอยู่ดีนั่นแหละ ดังนั้นไม่มีหรอกคำว่าไม่มีเวลา เวลามีเสมอ ขอแค่เรารู้สึกว่าสิ่งนั้นมันสำคัญมากพอที่เราจะทำ

เมื่อรู้ว่าเรามีเวลาเหลือหลาย 10 ชั่วโมง เราก็สามารถใส่ลงไปในตารางได้ว่าอาทิตย์นี้เราจะใช้ 3 ชั่วโมงครึ่งเพื่อออกกำลังกาย 3 ชั่วโมงครึ่งเพื่อเรียนภาษา 3 ชั่วโมงครึ่งเพื่ออ่านหนังสือเล่มที่ชอบ หรือจะจัดแบบไหนก็แล้วแต่การให้ความสำคัญของเรา แต่จะหมดข้ออ้างเรื่อง “ไม่มีเวลา” อีกต่อไปแล้ว!

“มันเกี่ยวกับการมองภาพรวมของเวลาของคุณ แล้วดูว่าจะใส่สิ่งดีๆลงไปตรงไหน ฉันเชื่อจริงๆว่า เรามีเวลา แม้ว่าเราจะยุ่ง เราก็ยังจะมีเวลาทำสิ่งที่สำคัญ แล้วเมื่อเราใส่ใจกับสิ่งที่สำคัญ เราจะสามารถสร้างชีวิตที่เราต้องการ ในเวลาที่เรามี”

จงจำไว้เสมอว่ากุญแจแห่งการบริหารจัดการเวลา คือการลำดับความสำคัญ เราจะไม่มีเวลาให้สิ่งนั้นเลยถ้าเรามองไม่เห็นว่ามันสำคัญ และเราจึงต้องหมั่นถามตัวเองอยู่เสมอว่าความสำคัญในชีวิตเราคืออะไร? เราจะมีชีวิตที่ดีได้ก็ต่อเมื่ออะไรเกิดขึ้น? แล้วแบ่งเวลาไปทำสิ่งนั้นซะ ไม่ว่าจะเพื่อความก้าวหน้าในหน้าที่การงานหรือแม้แต่เรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ในชีวิตที่ทำให้เรามีความสุขก็จงหาเวลามาทำมันให้ได้ เพราะ “เราเลือกเวลา ไม่ใช่ปล่อยให้เวลาเลือกเรา”

ใครอยากฟังเรื่องการบริหารจัดการเวลาแบบเต็ม ๆ ฟังเพิ่มเติมได้ ที่นี่เลย

 


เที่ยวแบบเทิร์นโปร! ทบทวน 8 ข้อที่ต้องทำ ถ้าอยากไป CAMPING แบบสบายใจ

$
0
0

เดือนเมษายนที่จะถึงนี้มีวันหยุดยาวหลายวัน หากคุณเบื่อกับการสาดน้ำปะแป้งแล้ว ก็ปล่อยให้เป็นพื้นที่ของคนหนุ่มสาวกันไป แต่จะให้นอนตีพุงอยู่บ้านมันก็คงโคตรน่าเบื่อ อุตส่าห์ได้วันหยุดทั้งที UNLOCKMEN ขอแนะนำให้ลองหากิจกรรมที่ช่วยให้คุณได้เปลี่ยนบรรยากาศอย่างการไป Camping ต่างจังหวัด อย่างไรก็ตามแม้การ Camping จะเป็นกิจกรรมที่ดูลุย ๆ แต่ว่าจะให้ไปแบบปุบปับเลยก็คงไม่ดี เราเลยอาสามาแนะนำการเตรียมตัวแบบคร่าว ๆ  ที่มือใหม่ไม่ควรพลาด

อย่าลืมทดสอบอุปกรณ์ก่อนไป

มัวตื่นเต้นกับการก่อกองไฟและเตรียมสารพัดของจนลืมลองอุปกรณ์ที่ซื้อมาใหม่ ไม่ว่าจะเป็นเต็นท์ แก๊สกระป๋อง หรืออะไรอย่างอื่นก็ตาม แม้ว่าจะลองที่ร้านมาแล้ว ก็ควรกลับมาลองที่บ้านอยู่ดีเพื่อความชัวร์ว่าเราจะไม่ไปเหวอหน้างาน หากของชิ้นนั้นมันเจ๊ง หรือเราเกิดใช้มันไม่เป็นขึ้นมา ควรเช็กสภาพอุปกรณ์เก่าที่มีด้วยเช่นกัน ว่ายังใช้ได้อยู่มั้ย อย่าเพิ่งนอนใจว่าเคยใช้แล้วจะต้องใช้ได้เสมอไป

เก็บของใช้ในห้องน้ำไว้ในเต็นท์เสมอ

เราอาจจะมัวแต่ระวังเรื่องอาหาร ว่าต้องเก็บให้มิดชิดไม่ให้สัตว์มารบกวน แต่ลืมของใช้ในห้องน้ำไปหรือเปล่า ?​ สบู่ แปรงสีฟัน ยาสีฟัน ก็สามารถดึงดูดความสนใจจากสัตว์น้อยใหญ่ได้ หากคุณทิ้งมันไม่เป็นที่เป็นทาง นอกจากจะทิ้งเกลื่อนเป็นขยะแล้ว อาจจะเป็นอันตรายต่อสัตว์อีกด้วย อย่าลืมเก็บเข้าเต็นท์ให้เรียบร้อยกันล่ะ

อย่าถึงที่หมายตอนมืด

ควรเผื่อเวลาในการเดินทางให้ดี ถ้าหากคุณไปถึงที่หมายตอนมืดค่ำแล้วล่ะก็ แม้จะมีไฟจากไฟฉาย แต่มันก็ไม่อาจช่วยให้สว่างแบบทั่วถึงได้เหมือนพระอาทิตย์ (ที่ตกดินไปแล้ว) นอกจากนี้เราอาจจะมองไม่เห็นพื้นที่ที่เราต้องการจะตั้งเต็นท์ด้วยว่าเป็นพื้นลักษณะไหน มีรังมด แมลง หรือก้อนกรวดที่คม ๆ อยู่หรือเปล่า การกางเต็นท์ในความมืดไม่ใช่เรื่องน่าอภิรมย์เลยจริง ๆ

ตรวจสอบสภาพอากาศ

แม้ว่าจะเป็นหน้าร้อนที่คุณอยากจะออกไปรับแดดแบบเต็มที่ แต่ก็อย่าลืมตรวจสอบสภาพอากาศก่อนวางแผนเดินทาง เพราะเราไม่อาจรู้ได้เลยว่ามันจะมีพายุเข้าตอนไหน แม้จะเป็นหน้าร้อนก็เถอะ เดี๋ยวนี้การตรวจสอบสภาพอากาศก็ทำได้ง่าย ๆ บนสมาร์ทโฟนของคุณ อย่าให้การแคมปิ้งไปจบที่การนอนในรถหรือขับรถไปหาโรงแรมนอนเลย

เตรียมอาหารให้พร้อม

ไม่ว่าจะเป็นอาหารแห้งหรืออาหารสดที่อยากไปปรุงที่แคมป์ ก็อย่าลืมคำนวณจำนวนมื้อและจำนวนคนให้พอดี ถ้าจะให้ดีเอาไปเหลือ ๆ จะดีกว่า ต่อให้มันเน่าเสียไปบ้างแต่ยังดีกว่าคุณมานั่งหิวท้องกิ่วกันอยู่ที่แคมป์

อย่าลืม First-Aid Kit

อุบัติเหตุเกิดขึ้นได้ทุกที่ ไม่ว่าจะเล็กน้อยอย่างแมลงสัตว์กัดต่อย หรือแผลเลือดตกยางออกอย่างของมีคมบาด เราควรจะมี First-Aid Kit เอาไว้เสมอ เพราะการรักษาความสะอาดของแผลเป็นเรื่องสำคัญมากหากเป็นแผลเปิด ตำรับโบราณใบไม้แปะแผลขอให้เว้นไว้ก่อน

รักษาความสะอาดอยู่เสมอ

ถุงขยะ คือไอเท็มสำคัญที่จะช่วยให้คุณรวบทุกอย่างเอาไว้ในนั้นได้ ไม่ว่าจะเป็นขยะ หรือเสื้อผ้าของใช้กองโต ที่คุณขี้เกียจจะเก็บอย่างเป็นระเบียบในกระเป๋าเหมือนตอนขามา จริง ๆ ถ้าไม่คิดอะไรมากก็รวบตึงใส่ถุงขยะแล้วค่อยมาแยกที่บ้านก็ยังได้

อย่าลืมว่านี่คือการพักผ่อน

การพักผ่อนของหลายคนอาจแตกต่างกันไป บางคนพอใจกับการนั่งกินลมชมวิวข้าง ๆ เต็นท์ หรือบางคนชื่นชอบการบุกป่าฝ่าดงค่ำไหนนอนนั่น เราไม่อาจบังคับให้อีกคนมีความชอบแบบเราได้ เพราะฉะนั้นหากเพื่อนของคุณไม่อยากออกไปบุกป่ากับคุณ หรือเบื่อจะปิ้งมาร์ชเมลโลวรอบกองไฟในตอนกลางคืน ก็อย่าได้บังคับอีกคนให้ต้องทำอะไรที่ฝืนใจ เพื่อไม่ให้บรรยากาศของการพักผ่อนมันกร่อยเพราะความเห็นที่ไม่ลงรอยกัน

การได้เปลี่ยนบรรยากาศไปนอนต่างสถานที่แบบใกล้ชิดธรรมชาติก็ดูเป็นเรื่องดีไม่ใช่น้อยสำหรับวันหยุดยาว ๆ ที่ไม่รู้จะไปไหน จริง ๆ ในประเทศไทยก็มีที่ให้ตั้งแคมป์หลายจังหวัด ลองเสิร์ชดูตามความชอบแล้วแพ็คกระเป๋าไปพร้อมกัน

คิดไปได้! ล้อเวรี่กู๊ดฟอกอากาศจาก “GOOD YEAR” ปล่อยมลพิษดีนักเอาล้อต้นไม้ไปวิ่งฟอกมันเสียเลย

$
0
0

ปฏิเสธไม่ได้ว่ามลพิษกับรถยนต์ยังไงก็เป็นไม้เบื่อไม้เมากันมาเรื่อย เรียกได้ว่าถ้ามีรถมันก็ต้องมีควันพิษมาเป็นเงาตามตัว ธุรกิจที่ต้องวนเวียนอยู่กับรถทั้งหลายเลยพากันออกมาคิดค้นนวัตกรรมกันใหญ่ บ้างก็เป็นรถไฟฟ้าไม่น้ำมัน เครื่องยนต์ที่ทำให้ระบบเผาไหม้ทำงานแบบไม่ปล่อยควันพิษ จะได้รักษ์โลกไปกับความเร็วพร้อมกัน แต่ใครมันจะไปนึกว่าบริษัทผลิตล้อที่เราดูแล้วก็ไม่เห็นว่ามันจะเปลี่ยนอะไรไปได้ตรงไหนเกิดอยากจะสนุกกับเขาด้วยคน ส่งล้อเขียว ๆ มาฟอกควันมันดื้อ ๆ

เอาสิวะ ! ก็อยากให้รถมันได้วิ่งในถนน งั้นก็จะทำยางที่ใครก็ต้องร้องขอให้เอารถออกมาวิ่ง Good Year เลยพัฒนาทุบมิติเดิมจากความแม็กซ์สวย เนื้อยางดี มาใส่ไอเดียสร้าง prototype ทำล้อรุ่น Oxygen ออกมาให้แม่งฟอกอากาศได้ด้วยเลย

ยางลดโลกร้อนที่เห็นไม่ได้เขียวแค่สี ไม่ได้มีเครื่องฟอกอากาศด้านในใช้เครื่องยนต์อะไร แต่ใส่พืชเขียวตระกูลมอสส์มาปลูกกันในล้อ คลอโรฟิลล์เกาะไปกับรถยังไงก็ได้แดดไว้สังเคราะห์แสงชัวร์

หลักการคือระหว่างล้อหมุนจะดูดเอาความชื้นด้านนอกเข้ามาเลี้ยงมอสส์ พร้อม ๆ ไปกับการดึงก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ด้านนอกเข้าไปด้วยแล้วก็คายออกซิเจนออกมาตามระบบเดียวกับที่เราเคยเรียนเรื่องการสังเคราะห์แสงพืช

แต่แค่จับต้นไม้ไปไว้ในล้ออย่างเดียวมันยังคูลพอ เขาเลยใส่ระบบเซ็นเซอร์กับ AI สร้างเทคโนโลยี V2X technology เข้าไปออกแบบร่วมเชื่อมโยงกระบวนการสังเคราะห์แสงของพืชดึงกระแสไฟฟ้ามาจ่ายเพิ่มระบบไฟให้ล้อเท่ส่องสว่างได้ด้วยวงไฟ LED รอบล้อยามค่ำคืนขณะเปลี่ยนเลนด้วย รถข้าง ๆ หรือคนตามทางเท้าจะได้มองเห็นเราได้ง่ายขึ้น

นวัตกรรมล้อแห่งอนาคตที่หวังจะฟอกอากาศนี้ ทาง good year เขาคำนวณไว้ว่าอยากจะให้มีใช้กันในเมืองใหญ่ทั่วโลก อย่างน้อยที่สุดที่คาดการณ์ไว้คือ ถ้ารถทุกคันในปารีสมียางเหล่านี้ก็จะกำจัดคาร์บอนไดออกไซด์ได้ถึงประมาณ 4,000 ตันในแต่ละปี เหมือนการทำให้รถที่เคยวิ่งหายไป 4,500 คันจากถนนเลยทีเดียว ทั้งที่เอาจริง ๆ มันก็กำลังวิ่งอยู่เหมือนเดิมเนี่ยแหละ

เห็นล้อแบบนี้แล้วอยากจะเอาไปเปลี่ยนใจจะขาดก็ต้องอดใจรอกันไปก่อน เพราะว่าตัวที่ออกแบบมาโปรโมตมันเป็นแค่ตัว prototype เท่านั้น ยังไม่ได้กำหนดเวลาในการผลิตขึ้นจำหน่ายจริง รอติดตามข่าวจากทางล้อ Good Year ไปก่อนก็ได้ แต่ถ้าใครบอกว่าไม่อยากพ่นควันดำ เปลี่ยนบรรยากาศตื่นเช้าขึ้นแล้วสลับมาใช้รถสาธารณะ เพื่อประหยัดน้ำมันและเงินในกระเป๋าพร้อมทั้งลดปริมาณรถในถนนไปพลาง ๆ ก่อนก็ได้ ไม่เสียหาย

 

SOURCE

ระบาดหนัก ! KD ยาเสพติดชนิดใหม่รุนแรงจนทำให้ผู้เสพกลายเป็นซอมบี้

$
0
0

*คำเตือนเนื้อหาต่อไปนี้ไม่ได้มีเจตนายั่วยุปลุกปั่นหรือชักจูงให้เกิดการเลียนแบบแต่อย่างใด

จากรายงานของรัฐ Indianapolis ได้ประกาศแจ้งเตือนประชนชนถึงยาเสพติดตัวใหม่ที่กำลังระบาดอย่างหนัก ซึ่งมีชื่อเรียกกันว่า “KD” หรือบางคนรู้จักในนาม Katie และ Zombie ที่แม้อาจจะยังไม่ระบาดในประเทศไทย แต่ทีมงาน UNLOCKMEN ก็อยากนำข่าวมาให้ทุกคนตระหนักถึงโทษและไม่ควรเข้าไปยุ่งกับยาเสพติดทุกประเภทเพราะนอกจากจะผิดกฎหมายแล้วยังเป็นโทษต่อร่างกายอีกด้วย

 KD คืออะไร ?

KD  ถือเป็นยาเสพติดที่กำลังระบาดอย่างมากทางตะวันออกของ Indianapolis ซึ่งมีส่วนประกอบของยาเสพติดหลากหลายชนิด แต่หนึ่งในนั้นคือยาฆ่าแมลงที่จัดว่าอันตรายต่อร่างกายมนุษย์อย่างมาก  โดย IndyStar บอกว่า “KD  มีกัญชา , พริก , ยาเส้น ใบตองกล้วย และยาฆ่าแมลงผสมอยู่ โดยความรุนแรงของมันถือว่าหนักหน่วงอย่างมาก เมื่อสูบเข้าไปแล้วจะทำให้คุณ Get-High แล้วร่างกายแข็งทื่อเหมือนซอมบี้ราว ๆ 45 นาที  และเหตุผลที่ทำให้ KD ระบาดเนื่องจากราคาสุดถูกเพียง $20 (6xx บาท) เท่านั้น

เจ้าหน้าที่ประจำเมือง Indianapolis ได้กล่าวว่า ยา KD นี้ “มีผลร้ายแรงทำให้ร่างกายเคลื่อนไหวได้ช้าลงและทำลายประสาทสัมผัสส่วนต่าง ๆ จนผิดเพี้ยนไป หากคุณสูบมันคุณสามารถเดินแก้ผ้าโดยไม่รู้สึกอะไร แถมยังกินกระจกหรือแม้กระทั่งเอาสิ่งสกปรกต่าง ๆ ยัดใส่ปากโดยไม่รู้ตัว”

โดยเขายังเสริมอีกว่าลองจิตนาการดูว่า “ในเมื่อมันมีส่วนผสมของยาฆ่าแมลงที่สามารถฆ่าแมลงได้แล้วสมองของคุณละจะต้องเจอกับอะไรถ้าหากสูบมันเข้าไป”

หลายคนอาจจะสงสัยว่าทำไมยาฆ่าแมลงถึงได้กลายเป็นส่วนผสมหลักของยาเสพติดชนิดนี้ เพราะหากเราวิเคราะห์ถึงส่วนประกอบในยาฆ่าแมลงนั้นประกอบไปด้วย pyrethroids  ที่มีความเข้มข้นสูงไว้สำหรับน็อคแมลง แต่จากรายงานการศึกษาของมหาวิทยาลัย Texas Tech แสดงให้เห็นว่าพิษของ pyrethroids จะส่งผลให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงและเร่งพลาสม่าระดับ noradrenaline และ adrenaline ซึ่งหมายความว่ายานี้จะทำให้ผู้ใช้รู้สึก Get-High อย่างรุนแรง ก่อนที่จะมีอาการเมาค้างอย่างรวดเร็ว ซึ่งการที่เราได้รับ adrenaline ระดับสูงในเวลาอันรวดเร็วนั่นสามารถทำให้มีโอกาสเสพติดสูง

แต่ผลเสียจากการได้รับ pyrethroids ในระดับสูงมีความเป็นไปได้ที่จะทำให้ระบบทางเดินหายใจล้มเหลวและนำไปสู่งการหดเกร็งของกล้ามเนื้อจึงเป็นสาเหตุให้คนที่เสพเกิดอาการแข็งทื่อและบางรายอาจถึงขั้นโคม่าเลยก็เป็นได้

เห็นไม่ละว่ายาเสพติดไม่เคยให้ประโยชน์กับร่างกายของเราเลย ดังนั้นทีมงาน UNLOCKMEN อยากจะฝากเตือนให้ทุกคนอย่าได้เข้าไปข้องแวะ แม้ว่า KD จะยังไม่เข้ามาระบาดในไทยก็ตาม แต่นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่พบเจอการใช้ยาฆ่าแมลงสำหรับยาเสพติด เพราะก่อนหน้านี้ก็มีข่าวออกมาว่า Mississippi ได้พบการระบาดของ Bug Spay เช่นกัน แต่ถูกเรียกในอีกชื่อว่า Hotshots

Source 

 

 

 

 

เจาะลึกทุกรายละเอียด SEAN WOTHERSPOON X NIKE AIR MAX 97/1 ของแรงวัน Air Max Day

$
0
0

หลังจากห่างหายการอัพเดทข่าวสารรองเท้ามาพักใหญ่ ๆ  เนื่องจากออกมาเยอะจนเลือกไม่ถูกจริง ๆ ว่าจะนำเอาคู่ไหนมาเสนอให้ตรงใจกับผู้อ่าน แต่ทว่าวันนี้ทีมงาน UNLOCKMEN ได้ไปเจอรองเท้าคู่เด็ดที่จะไม่พูดถึงเลยไม่ได้เป็นอันขาด เพราะเปรียบดั่งไฮไลท์ประจำปีของวัน Air Max Day ซึ่งทาง Nike ได้เตรียมออกกระชากอารมณ์เหล่านักสะสมรองเท้าสนีกเกอร์รวมถึง คนธรรมดาปุถุชนที่เห็นแล้วบอกได้คำเดียวว่าใจเต้นตุ๊ม ๆ ต่อม ๆ ไม่เป็นจังหวะ

สำหรับรองเท้าที่เรากำลังพูดถึงนี้คือ The Sean Wotherspoon x Nike Air Max 97/1 ที่กำลังจะวางขายในวันที่ 24 มีนาคมนี้(รวมถึงในประเทศไทยด้วย)  หลายคนอาจจะสงสัยว่า Sean Wotherspoon เป็นใคร ? ทำไมเขาถึงได้มีโอกาสสร้างรองเท้า Air Max คู่นี้ รวมถึง Nike ดูจะให้ความสำคัญเป็นพิเศษถึงขนาดไฮไลท์ให้เปิดตัวในวันสำคัญอย่าง Air Max Day  จนเราได้นำเรื่องราวแบบเจาะลึกทุกรายละเอียดมาไขข้อข้องใจ

Sean Wotherspoon คือนักสะสมและเจ้าของร้านรองเท้า Round Two ที่ส่งผลงานการประกวดออกแบบรองเท้า Nike Air Max ในวัน Air Max Day ปี 2017 โดยเขาได้นำเอารองเท้าสองรุ่นอันได้แก่ Air Max 1 และ Air Max 97 มาผสมผสานกันได้อย่างลงตัวในโทนสี rainbow (สายรุ้ง) ที่สะดุดตา จึงทำให้รองเท้าของเขาชนะการประกวดในคราวนั้น

Sean Wotherspoon

จากคำมั่นสัญญาของ Nike ที่บอกว่ารองเท้าที่ชนะการประกวดนอกจากจะได้เงินรางวัลแล้ว ยังมีโอกาสได้นำดีไซน์รองเท้าที่ออกแบบมาผลิตขายจริง ซึ่งหลายคนก็ตั้งหน้าตั้งตารอว่าเมื่อไหร่ที่รองเท้าของ Sean Wotherspoon  จะถูกนำออกมาวางจำหน่ายเสียที แล้วก็ถึงฤกษ์ดีเมื่อ Nike จัดแจงให้ The Sean Wotherspoon x Nike Air Max 97/1 ถูกวางจำหน่ายในวันเฉลิมฉลองของ Air Max Day 2018 แบบอลังการงานสร้าง

สำหรับเบื้องหลังของรองเท้ารุ่นนี้ Sean Wotherspoon ได้เผยว่า เขาได้แรงบันดาลใจการสร้างรองเท้ามาจากหมวกวินเทจของ Nike และเสื้อแจ็กเก็ตกันลมช่วงปี 80s-90s นอกเหนือจากนี้โลโก้หน้ายิ้มที่อยู่ใน Insole ของรองเท้าก็ถูกนำมาจากเสื้อยืดวินเทจ  “Have a Nike Day” เพราะ Sean ต้องการจะสื่อว่าเมื่อคุณสวมใส่รองเท้าคู่นี้สิ่งแรกที่อยากจะให้เห็นคือใบหน้าอันยิ้มแย้ม  และโทนสีสายรุ้งบน Upper มีที่มาจากตัวเขาเองต้องการรองเท้าสีสันโดดเด่นเมื่อนำมาจับคู่กับไอเทมเสือยืดสีขาวแล้วต้องลงตัว

นอกเหนือจากนี้ Sean Wotherspoon  ยังใส่ความระลึกถึงที่มาของตัวเขาเหมือนกับบันทึกอย่างหนึ่งที่เป็นความรู้สึกพิเศษอันแท้จริง ดังนั้นเขาจึงใส่อักษร  VA->LA ไว้ที่ส้นรองเท้าแทนที่จะเป็นคำว่า Nike เหมือนปกติ เพราะ Sean ต้องการบอกเล่าเส้นทางของตัวเองว่าเริ่มจาก Richmond , Virginia ก่อนที่จะย้ายมาอยู่ยัง Los Angeles , California

แม้ว่าจะได้รับการชื่นชมอย่างมากสำหรับดีไซน์รองเท้า The Sean Wotherspoon x Nike Air Max 97/1  แต่เขาก็ไม่ได้รับเครดิตแต่เพียงคนเดียว เพราะ Sean บอกว่ารองเท้าคู่นี้ผ่านการสุมหัวของกลุ่มเพื่อนที่หลงใหลในวัฒนธรรมรองเท้าสนีกเกอร์เขาจนเก็บเอาความคิดเห็น ๆ หลายแบบที่สามารถทำมาต่อยอดจนสเก็ตช์ออกมาเป็นภาพร่างต้นแบบได้สำเร็จ

ทั้งหมดนี้ก็เรื่องราวแบบเจาะลึกของรองเท้า The Sean Wotherspoon x Nike Air Max 97/1 ที่กำลังจะวางขายในวันที่ 24 มีนาคม นี้ สำหรับชาว UNLOCKMEN ที่สนใจอยากจะได้รองเท้าคู่นี้มีสองทางเลือกด้วยกัน คือหนึ่งรีบบึ่งไปยังร้าน Carnival Pop-up store สยามสแควร์ซอย 1 ภายในวันที่ 23 มีนาคมก่อนเวลา 12.00 น. เพื่อลงทะเบียนจับสลาก แต่ถ้าไม่สะดวกจะมาวัดดวงสปีดความเร็วของอินเตอร์เน็ตกันได้ในเช้าวันที่ 24 มีนาคม เวลา 08.00 น. ทางเว็บไซต์ Nike.co.th แบบออนไลน์ งานนี้บอกได้คำเดียวว่าหากคุณได้รองเท้าคู่นี้ไปนอกจากจะหล่อมาก ๆ แล้วยังสามารถขายทำกำไรต่อได้อย่างไม่ยากเย็น

Source

RICH HINT : วิทยาศาสตร์ช่างสอด จับไต๋ลูกหนี้จอมซุกแต่แท้จริงแล้วรวย เงินมี แต่ยืมแล้วไม่จ่ายหรือเปล่า?

$
0
0

แต่งตัวมอซอไม่ได้แปลว่าจน แต่งตัวดีก็ไม่ได้แปลว่ารวย เรื่องที่สามารถตบตากันได้อย่างนี้อาจทำให้ชาว UNLOCKMEN ทั้งหลายติดกับดักความใจดี ยื่นเงินให้เพื่อนหรือคนรู้จักที่เดินหน้าเศร้า ชีวิตสีเทามาขอยืมเงินต่อไลฟ์สไตล์รวยของตัวเองก็เป็นได้ แถมเวลาทวงก็ทวงยากสิ้นดี เพื่อให้ไม่ต้องเจ็บตัวและสูญเงินในบัญชีแบบเจ็บใจเพราะคนจนไม่จริง วันนี้เราเอาทริคจับกระแสความรวยจากนักวิทย์ที่เผยวิธีจับความรวยที่แล่บออกมาตีแผ่ ชนิดเงินเขา บัญชีใคร เราก็รู้! แต่งตัวดีแค่ไหนก็บอกอะไรไม่ได้ และสุดท้ายบอกตรงนี้เลยว่า “กูไม่ให้ยืม!”

วีรบุรุษที่จับกลิ่นเงินที่จะพาเราออกจากสถานการณ์สุดกระอักกระอ่วนนี้คือเหล่านักวิจัยของ University of Toronto ซึ่งพวกเขาพบว่า มันจะไปยากตรงไหน ความรวยความจนมันแปะอยู่บนหน้านั่นแล้วไง แต่มันหมายความว่ายังไงกันแน่ลองไปดูกัน

 

เส้นสถานะการเงินบนใบหน้า

จะให้พูดก็ดูจะเหมือนการดูโหงวเฮ้งบนใบหน้านั่นแหละ ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าเหล่าซินแสทั้งหลายเขาใช้วิธีเดียวกันนี้ไหมเวลาทำนายอนาคต แต่ที่แน่ๆ ทั้ง R. Thora Bjornsdottir – นักศึกษาปริญญาโทและ Nicholas O. Rule – ศาสตราจารย์วิชาจิตวิทยา ที่ทำการวิจัยเรื่องนี้นำรูปภาพ portrait ขาวดำ ของชาย 80 คน และหญิง 80 คนที่มาจากต่างเชื้อชาติ สัญชาติและภูมิหลัง ผิวไม่มีรอยสักหรือตำหนิอะไรให้เป็นที่สังเกตมาใช้ในการวิจัย โดยครึ่งนึงมีรายได้ประมาณ $60,000 หรือประมาณ 1,870,000 ต่อปี และอีกครึ่งที่เหลือมีรายได้ตั้งแต่ $100,000 บาทขึ้นไป หรือประมาณ 3,119,000

ผลสำรวจชี้ออกมาให้เห็นว่าบรรดานักศึกษากันเองก็ยังมองออก ถ้ามองเห็นการแสดงออกอารมณ์จริง ๆ ใบหน้านั้นทั้งหมด ซึ่งไม่ใช่การเพ่งเฉพาะส่วนอย่างปากหรือตา ที่สำคัญความแม่นเมื่อลองเอามาประเมินแล้วยังแม่นถึง 68 %เรียกได้ว่ามองออกไปเกินครึ่งแล้วอย่างแม่นยำ ซึ่งแม้เรื่องนี้นักศึกษาจอมเดาทั้งหลายอาจจนไม่รู้ว่าทำไมพวกเขาถึงเดาได้แม่น แยกความต่างได้สำเร็จ แต่นักวิจัยทั้ง 2 ก็ออกมาสรุปได้ว่าเกิดจากร่องรอยบนใบหน้าที่โชว์ให้เห็น นับเป็นหลักฐานทางกายภาพที่ละเอียดอ่อน เช่น คนที่มีปัญหาทางการเงิน เครียด และกังวล จะพบเส้นจารึกริ้วรอยผ่านบริเวณหน้าผาก ขณะที่คนรวยจะแอบเผยรอยยิ้มมุมปากนิด ๆ ด้วยความสบายใจ

Bjornsdottir บอกว่าโครงหน้าของคนมันเปลี่ยนไปเรื่อย และสัมพันธ์กับความรู้สึกที่หลากหลาย เป็นผลจากสมองที่เก็บนัยของอารมณ์ความรู้สึกที่แสดงออกแล้วสลักความค่อย ๆ ประณีตสลักริ้วเหล่านี้ลงไปอย่างง่ายดายและเก็บได้แม้จะเป็นจุดที่ละเอียดอ่อนที่สุด

 

2 สิ่งเพิ่มความแม่น
1. จับความ fake ยามเผลอ

ถึงจะ fake เพื่อบิดเบือนได้หน่อย ๆ จากการแสร้งยิ้ม หรือเสกหน้าสลดให้คิ้วย่นเข้าไว้ แต่มันเป็นไปไม่ได้ที่คุณจะทำหน้าแบบนั้นได้ตลอดเวลา ดังนั้นคนที่กลัวว่าจะเจอเซียนมาตีหน้าโศกใส่ ให้ลอบสังเกตหน้าของลูกหนี้ของเรายามเผลอ ๆ ถ้าเมื่อไรแอบอมยิ้มไว้ เก็บเงินเข้าเซฟได้เลยเพราะบางทีเขาอาจจะเอาเงินเราไปต่อของแบรนด์ หรือใช้อะไรฟุ่มเฟือยก็เป็นได้

2. ความลำเอียงเรื่องการเงินจะพาไปเจอวงจรความจน

เมื่อคนให้ความสำคัญกับการแต่งกายภายนอกหรือใบหน้า เรามักจะประเคนมุมบวกเข้าไปให้ด้วย เช่น ต้องฉลาด ขยัน ครีเอท มุมบวกมันจะมาทันที และเป็นเรื่องกลับกันสำหรับอีกฝ่ายที่ถ้าไม่มีบุคลิกอย่างที่ว่าก็จะโดนดวงใจที่สุดจะ bias ของเราพาไปในคู่ตรงข้ามทันที ดังนั้น เราต้องระวังเรื่องอคติที่จะเกิดจนลืมสังเกตริ้วรอยสถานภาพทางการเงินบนใบหน้าตามที่สอนไป อย่าให้อะไรเข้ามาชักจูงเราได้เด็ดขาด

ไม่เพียงเท่านั้น ถ้าเป็นเรื่องของจิตใจอันนี้อาจจะเรียกได้ว่าความคิดเป็นเหตุ ลูกหนี้ส่วนใหญ่ที่จนบางทีก็ไม่ได้จนจริงหรอก แต่เพราะคิดติดลบเกี่ยวกับตัวเอง คิดว่าตัวเองจน ก็จะเป็นผลให้ลากเอาความขี้เกียจมาสถิตเป็นอุปนิสัยไปด้วย ทั้งแนวคิดและอุปนิสัย ดังนั้นพอเกิดอาการดูถูกตัวเองจนได้ที่ หนนี้พฤติกรรมก็ตาม ทำให้จนจริงเสียเลย ถ้าเราอยากแก้ไขไม่ให้เขาต้องมาขอเงินเลยดื้อ ๆ แล้วลุ้นว่าตอนเงินเดือนออกจะคืนไหม เราแนะนำให้ส่งเสริมแง่คิดบวกกับเขาดีกว่า เมื่อพลังบวกมาแล้วทุกอย่างจะดีขึ้นเองอย่างแน่นอน

ได้ไกด์ไว้ใช้ช่วยดูคนรวยไม่จริงหรือรวยจริงผ่านสีหน้าแล้ว อาจจะช่วยกรองเรื่องลูกหนี้เราได้หนึ่งเปลาะ แต่ก็อย่าลืมว่าก็ยังมีคนประเภทที่ไม่มี ไม่หนี ไม่จ่ายเหมือนกัน ดังนั้น ทางออกที่ดีที่สุดคือการประเมินสถานะทางการเงินของเราร่วมด้วย จะให้ใครยืมก็ให้เท่าที่เราไม่รู้สึกลำบากหากไม่ได้เงินก้อนนั้นกลับมา ที่สำคัญเงินที่ให้ยืมก็ควรเป็นเงินเย็นของเราด้วยจะได้ไม่มีปัญหาตามมาให้เดือดร้อนภายหลัง

SOUCE

COME CLOSER : เสร็จแล้วไม่เสร็จเลย 5 วิธีชวนสาวแนบชิดหลังเสร็จกิจแบบเนียน ๆ

$
0
0

บางครั้งหลังจากกิจกรรมกระชับความสัมพันธ์จบลง หนุ่มบางคนอาจไม่รู้งาน คว้าผ้าเช็ดตัวปิดหนูน้อยออกไปดูดบุหรี่หน้าตาเฉย ทิ้งสาวในนอนอ้างว้างบนเตียงอยู่คนเดียว เชื่อเถอะว่าสาวจำนวนไม่น้อย ไม่พอใจกับพฤติกรรมแบบนี้ จากนี้ไปสละเวลาสักนิดหน่อยมาเอาใจเธอ ทำหน้าที่แฟนหนุ่มที่ดีโชว์ความแมน UNLOCKMEN ขอแนะนำทริกเล็กน้อย เพื่อให้คุณกับแฟนสาวใกล้ชิดกันมากขึ้น

อยู่ข้าง ๆ กัน

ไม่จำเป็นต้องนอนกอด หรือคุยกันหวานแหววเสมอไปก็ได้ เพียงแค่นอนอยู่ข้าง ๆ กัน ใช้เวลาด้วยกัน อ่านหนังสือดี ๆ ให้เธอฟัง หรือเปิดหนังเรื่องโปรดดูกันเงียบ ๆ สักเรื่อง ให้เธอได้รู้สึกว่าคุณยังไม่ไปไหน แค่นั้นก็เรียกคะแนนได้เต็มร้อยแล้ว

อาบน้ำกันเถอะ

เพลงรักอาจจะร้อนแรงมากซะจนเรียกเหงื่อเหมือนไปวิ่งออกกำลังกาย หยิบผ้าเช็ดตัวให้พร้อม ลองชวนกันไปอาบน้ำให้หายเหนื่อยดีกว่า เพราะยังไงการอาบน้ำพร้อมกันเป็นการเชื่อมความสัมพันธ์ได้แบบเต็มร้อยเหมือนกัน เพราะเราจะได้เห็นอีกคนในร่างเปลือยเปล่า แต่เป็นมุมมองจากการใช้ชีวิตประจำวัน มากกว่าการมองกันด้วยมุมมอง Sexual

ให้คะแนนกันหน่อย

นอนอยู่อย่างงั้นนั่นแหละ พักให้หายเหนื่อย แล้วถามไถ่เธอถึงกิจกรรมที่เพิ่งจบลงไปว่าเป็นยังไง ? เธอชอบหรือไม่ชอบอะไรในครั้งนี้ จะได้เป็นการเรียนรู้กันด้วยบทสนทนาแสนซุกซน แถมได้เก็บเป็นข้อมูลว่าเธอชอบหรือไม่ชอบอะไร คราวหน้าจะได้ไม่พลาด การแสดงถึงความใส่ใจกับเธอเป็นสิ่งสำคัญ ถ้าคุณยังคงทำแต่เรื่องเดิม ๆ ที่เธอไม่ได้ชอบ มันอาจชวนให้อึดอัดจนไม่อยากมี SEX ในครั้งต่อไปก็ได้

เพลงโปรดสร้างบรรยากาศ

เชื่อว่าหลายคู่ที่ชอบเปิดเพลงสร้างบรรยากาศให้หอมหวานไปด้วยความ Sexy และต้องมีเพลย์ลิสต์ประจำในใจ ไม่ใช่ว่ามันจะเปิดได้แค่ตอนเริ่มบรรเลงเพลงรักเท่านั้น ตอนจบศึกแล้วก็สามารถเปิดได้เหมือนกัน ช่วยให้ทั้งคู่รู้สึกผ่อนคลายไปพร้อม ๆ กัน

ชวนเล่นเกมกุ๊กกิ๊ก

ลองหาเกมอะไรง่าย ๆ เล่นกับเธอ อย่างพวกทายคำถาม เกมบนโทรศัพท์ที่สามารถเล่นได้ทั้งสองคน ให้เธอได้รีแลกซ์กับแรงที่เสียไป แล้วมาผ่อนคลายสมองไปพร้อมกับคุณ อีกอย่างคือมันช่วยให้เธอรู้สึกว่า เธอยังสำคัญกับคุณเสมอ ไม่ใช่แค่เสร็จแล้วต่างคนต่างทำนู่นนี่ไป แสดงออกหน่อยว่าคุณยังต้องการเธอไม่ว่าจะเป็นเวลาไหนก็ตาม

ทุกคนรู้อยู่แล้วว่าความรักเป็นเรื่องที่ต้องอาศัยความเข้าใจ จริง ๆ แล้ว SEX ก็ต้องการความเข้าใจเช่นกัน โดยเฉพาะ SEX ที่ขับเคลื่อนด้วยความรัก ทุกครั้งเราอยากจะเอาอีกใจฝ่ายให้พออกพอใจ เพราะฉะนั้นการถามไถ่ถึงความชอบ แสดงความใส่ใจให้มาก ๆ ย่อมช่วยให้ SEX ครั้งต่อไปของคุณเพอร์เฟ็กต์มากขึ้นไปเรื่อย ๆ

เผยที่มาที่ไป ทำไม ‘โกคู’หรือหงอคง ต้องทำผมสีทองตอนแปลงร่างเป็นซูเปอร์ไซย่า

$
0
0

หนึ่งในคำถามที่ผู้ชายหลายคนยังไม่ได้รับคำตอบ นอกจากไก่กับไข่ อะไรเกิดก่อนกัน ต้องมีอีกคำถามคาใจว่าทำไม ‘โกคู’ หรือ ‘หงอคง’ รวมถึงบรรดาชาวไซย่าทั้งหลายใน Dragon Ball Z ตอนธรรมดาก็ผมดำเหมือนคนทั่วไป แต่พอแปลงร่างเป็นซูเปอร์ไซย่าเมื่อไหร่ ทรงผมจะเปลี่ยนสีใหม่เป็นสีทอง ข่าวดีคือตอนนี้เรามีคำตอบจาก Hiroyuki Nakano, Editor จากหนังสือ Weekly Shonen Jump มาให้ทุกคนได้นอนตาหลับด้วยความสบายใจกันแล้ว

เป็นจังหวะดีที่ Nakano ได้ออกมาให้สัมภาษณ์ในงานฉลองครบรอบ 50th anniversary ของนิตยสารดังกล่าว ระหว่างการพูดคุย ก็มีคำถามโดนใจถามขึ้นมาว่า ทำไมอาจารย์ Akira Toriyama ถึงต้องเปลี่ยนผมโกคูเป็นสีทอง ซึ่งเหตุผลนั้นก็คือ มันสะดวกกว่า โดยเฉพาะในยุคที่เน้นการตีพิมพ์บนกระดาษขาวดำเป็นหลัก แค่เว้นสีผมเอาไว้ ก็กลายเป็นสีทองแล้ว ซึ่งง่ายกว่าการลงสีผมสีดำเยอะมาก ประหยัดเวลาการทำงานส่งต้นฉบับได้มากโข

อย่าเพิ่งคิดว่าการทำผมสีทองเป็นความมักง่าย ที่จริงแล้วมันเป็นการแพลนนิ่งที่ชาญฉลาดมากกว่า ลองนึกดูว่าการทำให้ผมโกคูเป็นสีทอง ไม่ต้องลงสีผมสีดำ เท่ากับประหยัดเวลาการทำงานได้ในระยะยาว เพราะช่วงหลังเน้นแปลงร่างเป็นซูเปอร์ไซย่าบ่อยกว่าตอนผมดำในร่างธรรมดาด้วยซ้ำไป การไม่ต้องลงสีดำ ทำให้อาจารย์ Akira เอาเวลาไปใส่ใจรายละเอียดอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็นลายเส้น คอมโพส และเนื้อเรื่องได้มากขึ้น

ในขณะเดียวกัน มันก็สมเหตุสมผลที่จะสร้างความแตกต่างให้คาแรคเตอร์ของโกคู เนื่องจากพลังซูเปอร์ไซย่าจะได้มาต่อเมื่อชาวไซย่าคนนั้นผ่านการต่อสู้จนเกือบตาย ก้าวผ่านขีดจำกัดพลังธรรมดาไปแล้ว ย่อมต้องออกแบบให้เห็นความแตกต่างอย่างชัดเจน นอกจากไม่ต้องเสียเวลาลงสีผมให้ชาวไซย่าแล้ว เพื่อนสนิทอย่างคุริริน และอาจารย์ของโกคูอย่างผู้เฒ่าเต่า และสารพัดตัวละครก็ยังทำผมทรงหัวโล้น ยิ่งช่วยให้อาจารย์ทำงานได้คล่องแคล่วว่องไวมากขึ้น

แล้วทำไมไม่ทำผมทองตั้งแต่แรก จะได้ไม่ต้องเปลี่ยนสีผมไปมา Nakano ให้ความเห็นไว้น่าสนใจว่า จริง ๆ แล้วตอนแรก อาจารย์ Akira เองก็น่าจะไม่ได้คาดคิดเอาไว้ว่าการ์ตูนของท่านจะดังเปรี้ยงปร้างข้ามโลกมากว่า 30 ปีแบบนี้ ซึ่งช่วงเริ่มต้นของการ์ตูน Dragon Ball Z นั้น แนวทางและเนื้อหามีความแตกต่างจากช่วงหลังอยู่มาก จากการต่อสู้เบา ๆ น่ารัก ๆ กลายเป็นการ์ตูนปล่อยพลังมหัศจรรย์รวมร่างจากทั่วจักรวาลแบบนี้

ต้องขอบคุณข้อมูลจาก Soranews24.com ที่ช่วย UNLOCK เรื่องคาใจลูกผู้ชายอย่างเรา ถือว่าในชีวิตนี้เรามีเรื่องที่หายสงสัยไปได้อีกหนึ่งเรื่อง


ขายออกแล้ว! HENNESSY VENOM GT HYPERCAR ตัวแรงคู่ใจ STEVEN TYLER แห่ง AEROSMITH

$
0
0

หากคุณเป็นแฟนเพลงร็อคแล้วคงจะต้องรู้จักชื่อของ Aerosmith เป็นอย่างดีจากเพลง I Don’t Want to Miss a Thing โดยเฉพาะเสียงร้องที่เป็นเอกลักษณ์ของ Frontman สุดเท่ Steven Tyler ที่กลายเป็นตำนานยังมีลมหายใจอยู่ทุกวันนี้ แต่ใครจะรู้ว่า Frontman คนนี้ก็เป็นนักเลงรถกับเขาด้วยเหมือนกัน เพราะรถคู่ใจของเขานั้นเป็นถึงไฮเปอร์คาร์ตัวแรงอย่าง Hennessy Venom GT ที่แรงติดอันดับ Top 5 ของโลก แบบเปิดประทุนรับลมปะทะบ้องหูแบบเต็ม ๆ

ซึ่งรถคันนี้เคยได้ชื่อว่าเป็นรถเร็วและแรงที่สุดในโลกคันหนึ่งเลยทีเดียว แต่ล่าสุด Steven Tyler ได้นำรถสุดรักคันนี้เข้าประมูลเพื่อการกุศลไปเสียแล้ว วันนี้ UNLOCKMEN จะมาแนะนำให้ได้รู้จักกับไฮเปอร์คาร์พลังแรงสูงคันนี้ให้มากขึ้นอีกนิด

Venom GT ผลิตโดย Hennessey Performance Engineering สำนักปรับแต่งรถชื่อดังของอเมริกาซึ่งรองรับการปรับแต่งจูนรถหลากยี่ห้อนอกจากรถอเมริกัน ภายนอกของ Venom GT นั้นดัดแปลงโดยใช้ตัวถังของ Lotus Elise และ Exige แทบจะทั้งหมดมาทำตัวรถแม้กระทั่งภายในด้วย พร้อมทั้งปรับเปลี่ยนและขยายตัวถังอีกหลายส่วนด้วยเช่นกัน ไม่ใช่แค่นั้น เพราะจุดเด่นที่แท้จริงของรถคันนี้อยู่ที่ขุมพลังสุดโหดจนโลกต้องจารึก โดย Venom GT ได้ใช้เครื่องยนต์ของ LSX V8 ขนาด 7.0 ลิตรของ Chevrolet Corvette ZR1 แบบ Twin Turbo ทำหน้าที่ขับเคลื่อนรถน้ำหนักเบาคันนี้ให้พุ่งทะยานปานผีบ้า

เครื่องยนต์ผ่านการปรับจูนจนได้พละกำลังสุดโหดอยู่ที่ 1,244 แรงม้า แรงบิด 1,155 ฟุตปอนด์ พ่วงด้วยเกียร์ธรรมดา 6 จังหวะ ระบบส่งกำลังขับเคลื่อนล้อหลัง ทำความเร็วสูงสุดทะลุโลกที่ 435.1 กม./ชม. ด้านอัตราการเร่งก็พุ่งทะยานเร็วไม่แพ้กันจาก 0-60 ภายใน  2.7 วินาทีและ 0-100 เพียง 5.6 วินาทีเท่านั้น และด้วยตัวถังซึ่งทำมาจากวัสดุยอดนิยมในวงการยานยนต์ Carbon Fiber แทบจะทั้งคัน ทำให้น้ำหนักของตัวรถอยู่ที่ 1,244 กก. เท่ากับแรงม้าเพื่อให้ตรงกับตามอัตราส่วน 1 แรงม้าต่อ 1 กก.  นอกจากนี้ Venom GT เองยังเป็นรถที่ทำลายสถิติโลกต่าง ๆ หลายสถาบัน ไม่ว่าจะเป็นรถ Production Car อัตราการเร่งเร็วที่สุดในโลก รถ Production Car เร็วที่สุดในโลก และรถเปิดประทุนที่เร็วที่สุดในโลกอีกด้วย

ในส่วน Venom GT ของ Steven Tyler นั้นตัวเขาเองได้ขอให้ทาง Hennessy ผลิต Venom GT แบบเปิดประทุนให้โดยเฉพาะ ซึ่ง John Hennessy ผู้ก่อตั้งได้กล่าวว่า “เราต้องปรับโครงสร้างบางอย่างเพื่อติดตั้งโครงกันกระแทกให้รองรับกับหลังคาที่เปิดออกได้” โดยการติดตั้งโครงกันกระแทกนี้จะเพิ่มน้ำหนักให้รถขึ้นอีก 14 กก. แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้พละกำลังของรถลดลงเลยแม้แต่น้อย หลังจากผลิตเสร็จแล้วทาง John Hennessy ก็ได้เดินทางไปส่งมอบรถ Venom GT Spyder คันแรกจากทั้งหมด 5 คันให้กับ Steven Tyler ด้วยตัวเองเลยในราคา 1,100,000 USD (34,XXX,XXX บาท) มีการตกแต่งเพิ่มเติมนอกจากโครงกันกระแทกแล้วยังมีชุดเครื่องเสียงสั่งทำจาก David Frangioni เจ้าของ Audio One ผู้เคยร่วมงานกับวง Aerosmith มาแล้วในตำแหน่ง Audio Engineer และเบาะนั่งหนังหุ้มหนังสีดำเย็บตะเข็บสีแดงพร้อมสัญลักษณ์ตามรอยสักเอกลักษณ์ของ Tyler อีกด้วย

แต่หลังจากใช้งานมานานถึง 5 ปี ไม่นานมานี้ Tyler ก็ได้นำรถคันนี้เข้าสู่งานประมูล Barrett-Jackson ซึ่งเป็นบริษัทจัดการประมูลชื่อดังของอเมริกา ณ เมืองสก็อตเดลล์ รัฐแอริโซนา โดยเงินจากการประมูลจะถูกนำเข้ากองทุนการกุศล Janie’s Fund ซึ่งก่อตั้งโดยตัวของเขาเองเพื่อช่วยเหลือผู้หญิงที่ถูกทารุณกรรมทางเพศ จากแรงบันดาลใจเพลงฮิตของ Aerosmith ในปี 1989 อย่าง Janie’s Got a Gun

 

โดยนอกจากผู้ประมูลจะได้รถตัวแรงพร้อมกลิ่นหอม ๆ ของ Tyler ไปครอบครองแล้ว ยังจะได้กีตาร์พร้อมลายเซ็นของสมาชิกวง Aerosmith ครบทุกคน แถมได้ไปเที่ยวบ้านพักตากอากาศของ Tyler บนเกาะเมาวี ฮาวายอีกด้วย ซึ่งเศรษฐีใจปล้ำที่ได้เป็นเจ้าของคนใหม่นี้ปิดการประมูลในราคา 800,000 USD (24,XXX,XXX บาท) นอกจากจะประหยัดเงินไปกว่า 300,000 USD แล้วยังได้ของที่ระลึกพร้อมทำบุญอีกด้วย คุ้มยิ่งกว่าคุ้มจริง ๆ

เห็น Frontman ขาร็อคคนนี้มีรถไฮเปอร์คาร์พลังสูงแถมเร็วติดสถิติโลกแบบนี้แล้วหลายคนต้องเกิดอาการอยากได้รถคันใหม่เป็นแน่ และถึงแม้ว่าเจ้า Venom GT จะถูกขายหมดไปแล้วจากที่ผลิตมาเพียงแค่  13 คันแต่ก็ไม่ต้องเสียดายและเสียใจไป เพราะทาง Hennessy กำลังพัฒนารถไฮเปอร์คาร์คันใหม่เชื้อสายเดียวกันที่แรงกว่าเดิมระดับ 1,500 แรงม้าในชื่อ Venom F5 ให้เศรษฐีและคนคลั่งไคล้ความเร็วได้แย่งชิงจับจองกันอีกครั้ง

 

source , source2 , source3

เตือนภัยหนุ่มสายแฟชั่น เทรนด์ใหม่มิจฉาชีพเน้นดักปล้นรองเท้าเสื้อผ้าราคาแพง

$
0
0

หากพูดถึงการปล้น วิ่งราว ชิงทรัพย์ แล้วส่วนใหญ่เรามักจะคิดถึงการขโมยของมีค่าที่สามารถนำไปขายต่อได้ราคาสูงอย่างเช่น ทองคำ นาฬิกาหรู หรือล้วงกระเป๋าเงินกันซึ่ง ๆ หน้า แต่นับว่าเป็นข่าวแปลกใหม่ของโลกเลยก็ว่าได้ เพราะเทรนด์การปล้นช่วงหลัง ๆ เริ่มพุ่งเป้าหมายมายังสินค้าที่เราไม่เคยคาดคิดมาก่อนเลยว่าจะกลายเป็นของล่อตาล่อใจโจรอย่าง รองเท้าสนีกเกอร์ ซะอย่างนั้น

สืบเนื่องจากรายงานข่าวต่างประเทศ nj บอกว่าพนักงานคนหนึ่งของ UPS ผู้ให้บริการด้านการส่งพัสดุได้ทำการขโมยรองเท้าจากลูกค้าเสียเอง แต่โชคร้ายไม่ทันได้ใช้ตังค์ ก็มาถูกตำรวจจับกุมไปเสียก่อน ซึ่งจากการเปิดเผยของผู้ต้องหา Halif Bryant วัย 41  กล่าวว่าเขาได้ทำการขโมยรองเท้าจำนวน 3 คู่เพื่อนำไปขายต่อยังตลาดมืดและได้ราคาสูงถึง $1,100 USD  (3x,xxx บาท) ก่อนถูกจับกุมตัว

ซึ่งนี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่เกิดเหตุการณ์ขโมยรองเท้ากันเกิดขึ้น เพราะก่อนหน้านี้เมื่อปีกลายเพิ่งจะมีข่าวรถบรรทุกขนรองเท้า Nike ได้ถูกขโมยในรัฐ Tennessee และสูญเงินไปกว่า $14,000 USD และไหนจะข่าวการบุกงัดเข้าไปยังโกดังรองเท้าในย่าน LA ที่กลุ่มโจรได้กวาดรองเท้าจากคลังสินค้าไปจนเกลี้ยงโดยมูลค่าความเสียหายทั้งสิ้นราว ๆ $900,000 USD จึงนับว่าเทรนด์ของโจรใน พ.ศ. นี้ดูเหมือนจะพุ่งเป้าหมายมาที่รองเท้ามากขึ้น

แต่ถ้าเกิดเราวิเคราะห์กันแบบเจาะลึกจะพบว่าไม่ใช่เรื่องน่าน่าแปลกใจ เพราะชั่วโมงนี้การขายสินค้าประเภทแฟชั่นโดยเฉพาะ limited item ทั้งหลาย สามารถทำกำไรได้มากกว่าขายทองหรือหุ้นเสียอีก เพียงแต่ในประเทศไทยวัฒนธรรมการแต่งตัวอาจจะยังไม่ได้เข้าถึงทุกคน ทว่าเมื่อไหร่ก็ตามหากมิจฉาชีพในไทยเริ่มรู้ว่าสินค้าประเภทแฟชั่นสามารถทำเงินได้ ไม่แน่วันหนึ่งอาจเกิดคดีแบบเมื่อสักประมาณ 10 ปีก่อน ที่บรรดาโจรมาดักปล้นกางเกงยีนส์ตามห้างสรรพสินค้า

จากข่าวนี้หลายคนอาจจะดูเป็นเรื่องขบขันว่าโจรสมัยนี้แปลกหันมาปล้นรองเท้าแทนจะเป็นเงินหรือทอง แต่เราอยากจะฝากเป็นอุทาหรณ์เตือนภัยกับหนุ่ม ๆ UNLOCKMEN ทุกคนไม่เฉพาะรองเท้า การสวมใส่อะไรก็แล้วแต่ที่มีราคาแพง ควรเลือกสถานที่ อย่าเดินเข้าไปในแหล่งสุ่มเสี่ยงหรือที่เปลี่ยว เพราะตอนนี้เศรษฐกิจบ้านเมืองเราก็อย่างที่รู้ ๆ กันว่าเป็นอย่างไร ข้าวยากหมากแพง โจรก็มีเพิ่มขึ้นอย่างน่าใจหาย แค่ลำพัง iPhone ก็สามารถโดนปล้นฆ่าได้ง่าย ๆ ดังนั้นระมัดระวังตัวเองอย่าเดินโชว์ข้าวของไปมาเพราะอาจจะมีคนกำลังจ้องที่จะดักปล้นคุณอยู่ก็เป็นได้

Source   , Source2  ,Source3 

ศิลปินก็เป็นได้ อัศวินก็เป็นด้วย! 5 ศิลปินตัวเป้งที่ได้ประดับยศอัศวินจากเกาะอังกฤษ

$
0
0

ศิลปินหลายคนจริง ๆ ก็มีมุมอื่น ๆ นอกจากบนเส้นทางสายดนตรี บางคนทำธุรกิจ บางคนเป็นนักแสดง หรืออาชีพอื่น ๆ ตามที่ตัวเองอยากจะเป็นยามที่ไม่ได้อยู่บนเวทีแล้ว แต่ใครบ้างล่ะที่มีโอกาสได้เป็น “อัศวิน” ด้วยและเป็นศิลปินไปด้วย วันนี้ UNLOCKMEN ชวนมาดู 5 ศิลปินเจ๋ง ๆ ที่ได้ประดับยศจากเกาะอังกฤษให้เป็นอัศวินแบบเท่ ๆ

Elton John

ดังระดับโลกขนาดนี้น้อยคนที่จะไม่รู้จักนักร้อง นักแต่งเพลง ที่คร่ำหวอดในวงการเพลงมาตั้งแต่ยุค 70’s แบบ Non-Stop ที่ได้ปล่อยเพลงฮิตคุ้นหูให้เราได้ฮึมฮัมตามตามสไตล์ของเขาหลายเพลง ไม่ว่าจะเป็น “Can you feel the love to night” “Your Song” และ “Candle In The Wind” ที่ในเวอร์ชั่นแรกนั้นแต่งเพื่อรำลึกถึง Marilyn Monroe จนภายได้เอาฉบับเดิมมาดัดแปลงเพื่อรำลึกถึงเจ้าหญิงไดอาน่า

และในปี 1998 สมเด็จพระราชินีอลิซาเบธที่ 2 ได้ทรงแต่งตั้งให้เขาเป็นอัศวินแค่นั้นไม่พอ ยังได้รับพระราชทานยศให้เขาเป็นท่านเซอร์อีกด้วย ถือว่าสมน้ำสมเนื้อกับผลงานของเขาที่สร้างชื่อเสียงในฐานะพลเมืองอังกฤษจนได้มาเป็นท่านเซอร์นี่แหละ

Paul McCartney

สมาชิกวงระดับโลกอย่าง  The Beatles นอกจากจะเป็นมือกีต้าร์แล้วยังมีบทบาทอื่นตามความชื่นชอบอีกหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็น นักแต่งเพลง  ผู้สร้างภาพยนตร์ นักลงทุน นักกิจกรรมต่อสู้ด้านสิทธิสัตว์ นักมังสวิรัติ ที่รวมเอาไว้ในตัวเขาคนเดียว และในด้านดนตรีเขาไม่ได้หยุดความสำเร็จอยู่ที่การเป็นสมาชิกของวงระดับโลกเท่านั้น แต่ยังประสบความสำเร็จไปเรื่อย ๆ จนกระทั่ง Guinness Book of World Records บันทึกสถิติว่าเขาเป็นนักดนตรีและนักแต่งเพลงที่ประสบความสำเร็จที่สุดในประวัติศาสตร์ดนตรีป๊อป จนในปี 1997 ได้รับการแต่งตั้งให้เขาเป็นอัศวินจากความสำเร็จทางด้านดนตรีของเขานี่แหละ

Ringo Starr

มือกีต้าร์ได้ไปแล้ว มือกลองก็ได้เหมือนกันสำหรับวง  The Beatles ที่เพิ่งได้รับการแต่งตั้งยศอัศวินและได้เป็นท่านเซอร์ไปเมื่อไว ๆ นี้ แม้จะเพิ่งได้เมื่ออายุปาเข้าไป 70 กว่าแล้วก็ตาม แต่ก็ถือว่าคุ้มค่ากับการรอคอย ด้วยผลงานด้านดนตรีและงานด้านการกุศลที่เขาทุ่มเทแรงกายแรงใจไปไม่ใช่น้อย เช่นเดียวกับเพื่อนร่วมวงอย่าง Paul McCartney ที่ได้ยศเดียวกันไปเมื่อปี 1997

Cliff Richard

นักร้องรุ่นเก๋าที่รันวงการมาตั้งแต่ยุค 50’s ผู้โด่งดังจากแนวเพลงร็อกแอนด์โรล เพลงของเขาขายดีเป็นเทน้ำเทท่า ยอดขายทั่วโลกมากกว่า 250 ล้านชุด ขายดีขนาดนี้มีหรือจะพลาด ในปี 1995 เขาได้รับการแต่งตั้งยศเป็นอัศวิน โดยนอกเหนือจากการเป็นนักดนตรี เขาเองก็ยังซุ่มทำงานการกุศลอยู่ด้วยเช่นเดียวกัน

Rod Stewart

ปิดท้ายกันไปด้วย ศิลปินเดี่ยวเจ้าของเสียงแหบเสน่ห์ที่มีผลงานดังมากมายไม่ว่าจะเป็น “Have I Told You Lately” “I Don’t Want To Talk About It” และอีกมากมาย จะไม่มากได้ยังไง เพราะเขาคือศิลปินเจ้าของยอดขายอัลบั้มและซิงเกิลประมาณ 250 ล้านชุด ซึ่งได้รับการประดับยศเป็นท่านเซอร์ และยศชั้นอัศวินไปเมื่อไม่กี่ปีที่แล้ว ซึ่งเขาอายุ 71 แล้วในตอนนั้น แต่ก็ถือว่ายังไม่สายเกินไปสำหรับคุณงามความดีที่ทำให้กับประเทศ

สูตรสำเร็จของความสำเร็จน่าจะเป็น งานด้านการกุศลนี่แหละ เพราะดูจะเป็นอะไรที่สร้างผลงานให้กับประเทศจนได้ยศมาเป็นเกียรติกับตัวเองนั่นเอง แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นผลงานด้านดนตรีก็ยังเป็นเหตุผลสำคัญเช่นกัน เพราะแต่ละคนก็เป็นศิลปินระดับโลก ผลงานระดับพรีเมียมกันทั้งนั้น

THE COLLECTOR’S GUIDE : เริ่มคิดจะสะสม จนมาเป็น PASSION INVESTMENT

$
0
0

แรกเริ่มเดิมทีถ้าใจของเรารักที่จะสะสมอะไรสักอย่างแล้ว ลำดับต่อไปควรต้องถามตัวเองว่าจุดมุ่งหมายที่จะเริ่มสะสมสิ่งเหล่านั้นคืออะไร ถ้าคำตอบมีเพียงสะสมเพื่อสนองตันหาของตนเอง เราก็ควรถามตัวเองต่อว่า อยากให้ของที่เราสะสมเหล่านั้นมีมูลค่าเพิ่มหรือไม่ หรือไม่ว่ายังไงก็จะไม่ขายของสะสมออกไปต้องการสะสมเพียงอย่างเดียวไม่สนใจที่จะมอบให้เป็นมรดกตกทอดกับใคร ถ้าคำตอบเป็นอย่างนั้นคุณจะสะสมอะไรก็ได้แม้แต่ซากแมลงก็ตาม เพราะคุณไม่ได้สนใจอะไรทั้งสิ้นที่มาสะสมเพราะความชอบเพียงอย่างเดียว แต่พอคุณเริ่มสะสมไประยะนึงความอยากรู้อยากเห็นหรือความสนใจในของสะสมจะต้องเพิ่มมากขึ้นไปโดยปริยาย ไม่งั้นคุณจะเริ่มเบื่อหรือเริ่มรู้สึกว่าของที่สะสมมามันเริ่มรกบ้านเริ่มรู้สึกไม่มีประโยชน์ในการสะสมเพราะการเก็บของสะสมมันไม่มีจุดมุ่งหมาย

CREDIT IMAGE : http://whalelifestyle.com/daily-digest/watch-enthusiasts-one-is-never-enough/

ถ้าเป็นเช่นนั้นเราต้องถามตัวเราเองว่าจุดมุ่งหมายในการสะสมคืออะไร อยากกลายเป็นเทพหรือเซียนของของสะสมประเภทนั้นเหรอ หรือหามิตรภาพจากเพื่อนที่รักในของสะสมเหมือนๆกัน หรือหวังว่าจะได้รับทั้งความสุขทางใจและผลตอบแทนจากการสะสมของควบคู่กันไป ด้วยเหตุนี้จึงถือกำเนิดศาสตร์ใหม่ที่เรียกว่า Passion Investment ขึ้นมา

PASSION INVESTMENT

ครั้งแรกที่ผมได้พูดเรื่องนี้คงเป็นที่ Luxellence Center เมื่อประมาณสามปีที่แล้ว และครั้งต่อมาที่งาน Stock2morrow เมื่อหลายปีแล้วเช่นกัน จนผมเคยหยอกล้อกับทางผู้จัดเล่น ๆ ว่าสงสัยเพราะเซียนเกิดขึ้นเยอะจึงทำให้เขาไม่ต้องเชิญผมไปพูดแล้ว แต่ในความเป็นจริงแล้ว เป็นเพราะผู้คนหันมาศึกษาในเรื่องนี้เป็นจำนวนมากขึ้นจึงทำให้คนเข้าใจถึงการสะสม และการเพิ่มมูลค่าของสะสมมากขึ้น

Passion Investment คือคำนิยามง่าย ๆ ว่า “การลงทุนในการสะสมของ และทำให้ของที่เราสะสมมีมูลค่าเพิ่ม อีกทั้งตัวผู้สะสมเองต้องมีความสุขในการใช้หรือเก็บสะสมของเหล่านั้นด้วยเช่นกัน”

Passion Investment ใช้ได้กับของสะสมทุกอย่างที่มีตลาดรองรับ ถ้าเป็นตลาดโลกเราก็จะมองที่ Sotheby’s หรือ Christies ซึ่งถือเป็น Auction house หรือสถาบันการประมูลที่มีการพูดถึงของสะสมมากว่า 100 ปี เปรียบเสมือนตัวกลางของนักสะสมเพื่อปล่อยของสะสมออกไปประมูล หรือเป็นพื้นที่สำหรับอ้างอิงราคา สิ่งที่ใกล้ตัวและง่ายที่สุดสำหรับการสะสมของผู้ชายก็คงหนีไม่พ้นนาฬิกา สังเกตุได้ว่านิตยสารนาฬิกามีมากกว่า นิตยสารศิลปะ ปากกา ปืน และอื่น ๆ แต่ในประเทศไทยต้องยอมรับว่านิตยสารรถ เครื่องเสียง รวมถึงพระเครื่องก็มีไม่น้อย เหมือนจะบอกใบ้ว่านักสะสมในบ้านเราก็มีจำนวนมาก และหลากหลายแขนงเช่นกัน

CREDIT IMAGE : https://www.rbth.com/arts/2017/06/05/why-did-sothebys-bring-a-millionaires-landing-force-to-the-ussr_776922

ขอยกตัวอย่างที่นาฬิกาแล้วกันนะครับ ไม่ใช่นาฬิกาทุกยี่ห้อที่จะมีประวัติศาสตร์ให้นำไปเล่นต่อ หรือมีการเพิ่มมูลค่าจนสามารถเก็บสะสมเพื่อทำกำไรได้ แม้แต่ตลาดของสะสมในเมืองไทย หรือตลาดของสะสมที่เมืองนอกนาฬิกาหลาย ๆ ยี่ห้อก็ได้รับการยอมรับในเฉพาะพื้นที่เช่น Blancpain ชาวรัสเซียจะนิยมมากซึ่งต่างจากบ้านเราที่คนแทบจะไม่รู้จักเลย ถ้าราคาตลาดในประเทศถูกกว่าตลาดโลกมากก็จะมีการส่งออกไปขายที่รัสเซียซึ่งมีความนิยมมากกว่า แต่ถ้าเป็นยี่ห้อที่ทั่วโลกนิยมอาทิ Rolex, Omega, Patek Phillippe ราคาในตลาดโลกหรือราคาตลาดในประเทศไทยจะใกล้เคียงกันมาก

Fifty Fathoms timepieces made for LIP, including an extremely rare gold-plated example. Only 20 of these were made, all with very special dauphine hands. (Source : http://melancholiceuphoria.tumblr.com/post/81632682149/stunning-rare-vintage-blancpain-fifty-fathoms)

แล้วถ้าอย่างนั้นเราควรที่จะสะสมเฉพาะรุ่นที่ราคาในตลาดโลกยอมรับใช่หรือไม่ คำตอบก็จะออกมาในแนวว่า ถ้าคุณต้องการซื้อมาเพื่อเก็งกำไรนำมาใช้นำมาใส่บ้างแต่มูลค่าต้องเพิ่มหรืออย่างน้อยต้องคงมูลค่าไว้เป็นหลัก คำตอบคือใช่ครับ เพราะถ้าคุณซื้อนาฬิกายี่ห้อที่ทั่วโลกนิยมแทบเป็นไปไม่ได้เลยว่าราคาจะร่วงลง แต่ถึงกระนั้นแต่ละยี่ห้อก็มีการแบ่งรุ่นย่อย ๆ ว่ารุ่นไหนปังรุ่นไหนไม่ปัง ก็จำเป็นที่จะต้องศึกษากันต่อ แต่บางครั้งรุ่นที่ไม่ปังอีกสามปีอาจจะปัง หรือรุ่นที่ปังอยู่อีกห้าปีอาจจะไม่ปังก็เป็นได้ โดยนักสะสมทั่วโลกเห็นเป็นกรณีศึกษามาแล้วกับนาฬิกายี่ห้อ Panerai ที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นที่นิยมกันมากในอดีต แต่ปัจจุบันกลับเป็นที่นิยมน้อยลงอย่างเห็นได้ชัด เพราะฉะนั้นแล้วนักสะสมเพื่อการลงทุนที่ดีควรมีการศึกษาตลาดอยู่ตลอดเวลา

CREDIT IMAGE : https://www.horobox.com/en/news-detail/challenges-in-being-a-collector

ในโอกาสหน้าเราจะมาเจาะลึกกันครับว่าถ้าเราต้องการสะสมนาฬิกาที่มูลค่ามีแนวโน้มเพิ่มขึ้นในอนาคตแถมยังหน้าตาหล่อสามารถใส่อวดสาว ๆ ได้ควรจะซื้อนาฬิกาแนวไหนกัน และก่อนที่จะล่ำลากันไป ผมอยากขอฝากไว้ว่า Passion Investment คือการที่เราสนุกและมีความสุขที่ได้สะสมหรือครอบครองในสิ่งนั้นๆ  ถ้าเราต้องฝืนซื้อของมาสะสมจำนวนมาก โดยที่ใจเราไม่ได้ชอบหรือไม่ได้รักเราอาจจะไม่ได้เห็นคุณค่าในของที่เราสะสมอยู่ ซึ่งคงไม่ต่างอะไรกับพ่อค้าที่ซื้อของเข้ามาเพื่อเก็งกำไร และเมื่อคุณกลายเป็นพ่อค้าเต็มตัวก็คงไม่ใช่การลงทุนในลักษณะของ Passion Investment ซึ่งไม่ต่างจากร้านพรีออเดอร์ที่มีการหิ้วนาฬิกาจากทั่วโลกมาขายในสื่อโซเชียลต่าง ๆ เมื่อจิตวิญญาณของคำว่า Passion มันหมดไป ก็คงจะเหลือแต่คำว่า Investment เพียงอย่างเดียวซึ่งอาจทำให้คุณได้อาชีพใหม่เลยก็ได้นะครับ

ROLEX GMT-MASTER II REFERENCE 126710 BLRO PEPSI BAZEL

$
0
0

ในงาน Baselworld 2018 ที่ Switzerland เป็นการรวมนาฬิกาครั้งใหญ่ที่สุดจากทั่วโลก หลายแบรนด์มักจะเลือกใช้โอกาสนี้ในการเปิดตัวเรือนเวลารุ่นใหม่อยู่บ่อยครั้ง แน่นอนว่ามันเป็นจังหวะที่ดี เนื่องจากมีสื่อและนักสะสมจำนวนมากต่างให้ความสนใจเข้าไปเยี่ยมชม ไม่ต้องพูดถึงมูลค่ามหาศาลของนาฬิกาที่รวมกันในงานนี้ ต่อให้เป็นท่านประวิตรผู้มีนาฬิกาโคตรหรูกว่า 24 เรือน (เท่าที่รู้) ยังต้องชิดซ้าย ดังนั้นจึงเป็นการยากที่จะเจาะลึกนาฬิกาเด็ด ๆ ในงานนี้ให้ครบทุกรุ่น เราจึงอยากหยิบรุ่นที่เป็นมิตรกับคนหมู่มากที่สุด และโดนใจเราที่สุดมาแนะนำ นั่นก็คือ ROLEX GMT-MASTER II REFERENCE 126710 BLRO PEPSI BAZEL

ROLEX ใช้เวทีนี้เปิดตัวนาฬิกาตระกูล GMT-MASTER II รุ่นใหม่ล่าสุด เปลี่ยนกลไกการทำงานจากเครื่องเก่า 3186 เป็น Calibre 3285 รุ่นล่าสุด ระบบไขลานอัตโนมัติ เด่นเรื่องความเที่ยงตรง สำรองพลังงานได้ยาวนานกว่าเดิมถึง 15% หรือราว 70 ชั่วโมง จากเครื่องเก่าที่สำรองได้ราว 48 ชั่วโมง ทนทานต่อแรงกระแทกและสนามแม่เหล็ก พร้อมหน้าปัด Cerachrom เซรามิค PEPSI 2 สี น้ำเงิน/แดง dial ดำ ซึ่งเป็นโทนสีที่โดนใจใครหลายคนไม่แพ้โทนน้ำเงิน/ดำ ในรุ่นที่ผ่านมา

สิ่งที่น่าสนใจครั้งนี้คือการเลือกใช้สายแบบ Jubilee bracelet ข้อต่อห้าชิ้นซึ่งปกติจะใช้กับตัว Vintage 1955 GMT-MASTER ทำจาก Oystersteel พร้อมขอบหน้าปัด Cerachrom หมุนได้สองทิศทาง แสดงเวลา 24 ชั่วโมง สามารถอ่านเขตเวลาได้โดยพร้อมกัน ทั้งเวลาตามเวลาท้องถิ่นและเวลาอ้างอิง จึงนับเป็นนาฬิกาที่มีครบทั้งฟังก์ชั่นและความหรูหรา เป็นตัวเลือกที่น่าควักเงินจ่ายมาใช้งานอย่างยิ่ง

การเปิดตัว ROLEX GMT-MASTER II REFERENCE 126710 BLRO PEPSI BAZEL ขนาด 40 มม. เรือนนี้ น่าจะเข้าข้อมือผู้ชายทุกคน และถือเป็นข่าวดีสำหรับคนที่เคยผิดหวังกับ GMT-Master II PEPSI ที่เคยผลิตจาก White gold ออกมาก่อนหน้าในปี 2014 วันนี้แค่เตรียมเงินไป 328,300 บาท ก็จะได้ PEPSI มาครอบครองสมใจอยาก และรับประกันได้เลยว่า ใส่แล้วขายก็ราคาไม่ตก ใส่แล้วเก็บสะสมให้ลูกหลาน ก็ไม่มีวันเก่าล้าสมัย เป็นการลงทุนที่น่าสนใจแน่นอน

 

A GIRL WE LOVE: ‘อิงค์-วรันธร’ศิลปินสาวมากความสามารถ กับการสร้างเสียงเพลงที่เธอรักให้โลกรู้

$
0
0

ถ้าจะถามผู้ชายอย่างเรา ๆ ว่า “สเน่ห์ของผู้หญิงอยู่ตรงไหน ?” ก็น่าจะพอสรุปได้ว่าต้องบุคลิกภาพที่น่าดึงดูด เป็นตัวของตัวเอง มีรอยยิ้มที่สดใส มีอัธยาศัยที่โดนใจ มีความสามารถ มีความฝันและมุ่งมั่นทำให้ประสบความสำเร็จเป็นความจริง ถ้าเจอผู้หญิงที่มีทุกอย่างที่กล่าวมานี้ ใครเล่าจะต้านทานสเน่ห์ของเธอคนนั้นได้

นับเป็นโชคดีของทีมงาน UNLOCKMEN ที่ได้มีโอกาสมาพูดคุยกับสุภาพสตรีท่านหนึ่งที่เปี่ยมไปด้วยสเน่ห์เหลือเกิน เธอคนนี้คือ ‘อิงค์-วรันธร เปานิล’ ศิลปินสาวมากความสามารถแห่งค่าย BOXX Music เจ้าของผลงาน EP ‘Bliss’ ประกอบด้วย 5 ซิงเกิ้ลอย่าง เหงา เหงา (Insomnia) , Snap, ฉันต้องคิดถึงเธอแบบไหน (Cloudy) , ยังรู้สึก (Old Feelings) และ ขอดาว ที่เพิ่งปล่อยออกมาเมื่อปลายปีที่แล้ว

แต่นี้ไม่ใช่ผลงานแรกของเธอ เพราะก่อนหน้านี้อิงค์เคยเป็นศิลปินในสังกัด Kamikaze ตั้งแต่อายุ 12 ปี มีผลงานการร่วมเล่นเอ็มวีเพลง ‘เด็กวุ่นวาย’ ของ โฟร์-มด รวมถึงเป็นหนึ่งในสมาชิกวง Chilli White Choc แถมยังได้ร่วมร้องประสานในเพลง ‘ก่อนมะลิบาน’ ของวง ไทม์ อีกด้วย ส่วนผลงานด้านภาพยนตร์เธอก็ฝากความสามารถไว้ในเรื่อง Snap แค่…ได้คิดถึง ซึ่งเธอถูกเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลเอเชียนฟิล์มอวอร์ดส์ ครั้งที่ 10, รางวัลสุพรรณหงส์ ครั้งที่ 25 และ รางวัลชมรมวิจารณ์บันเทิง ครั้งที่ 24 เมื่อปี 2558

โปรไฟล์ขนาดนี้ ต้องมารู้จักกับตัวตนของเธอกันหน่อยแล้ว

ผ่านงานด้านบังเทิงมาค่อนข้างหลากหลาย ปัจจุบัน อิงค์ วรันธร คือใคร ?

“ก็เป็นอิงค์ วรันธร นี่หละค่ะ (หัวเราะ) ตอนที่อิงค์อยู่กับ Chilli White Choc ตอนนั้นเด็กสุดในค่าย เป็นเด็ก ม.2 อายุ 12-13 ที่ชอบร้องเพลง และก็รับโอกาสได้เข้าไปทำเพลง มันเป็นโอกาสที่ดี่ สนุกดีนะคะสำหรับในวัยตอนนั้น สอนอะไรเราหลาย ๆ อย่างทั้งเรื่องการทำงาน การเข้ากับคนอื่น แฮปปี้ดีค่ะ เหมือนได้ไปเล่นกับเพื่อน เพื่อนในค่ายเยอะมาก ทุกคนสนุก ๆ เฮฮา เป็นวันเด็กที่ยังไม่ต้องคิดอะไร แค่ทำสิ่งที่ตัวเองชอบก็คือการร้องเพลง”

แล้วการเล่นเป็นนางเอกหนังเรื่อง Snap แค่…ได้คิดถึง หละ ได้ประสบการณ์ดี ๆ อะไรมาบ้าง ?

“อิงค์ไม่ได้เป็นเรา 100% ในเรื่องนี้ เราเล่นในบทบาทคนอื่น เราไม่ได้ชอบการแสดงที่สุดในชีวิต ไม่เคยแสดงอะไรมาก่อนเลย และก็ไม่คิดว่าจะแสดงได้ด้วย พอเราไปเล่นมันก็เหมือนเป็นการปลดล็อกตัวเองเหมือนกัน สิ่งที่เราคิดว่าเราจะทำไม่ได้ จริง ๆ แล้วเราก็ทำได้เหมือนกัน สุดท้ายเราก็ทำออกมาได้เป็นที่ค่อนข้างน่าพอใจของผู้กำกับและหลาย ๆ คนที่ได้ดู ได้เข้าชิงรางวัลด้วย แปลกดีเนอะ ทั้ง ๆ ที่เราคิดว่าเราทำไม่ได้ ตอนนี้ก็มีติดต่อให้ไป cast เรื่อย ๆ แต่ว่าด้วยความที่อิงค์มาทำเพลงแล้ว อิงค์รู้สึกว่าชอบร้องเพลงมาตั้งแต่เด็ก วันหนึ่งเราเรียนจบแล้ว ได้มาทำเต็มที่ตรงนี้แล้ว ก็ควรจะให้ตรงนี้ 100% ต้องขอบคุณน้าโอ๊บ-เพิ่มศักดิ์ พิสิษฐ์สังฆกร แห่งวงไทม์ ที่แนะนำโอกาสดี ๆ ให้ได้เข้ามาร่วมงานกับพี่พล วง Clash และทีมงาน BOXX Music ด้วยค่ะ”

“ไม่เคยแสดงอะไรมาก่อนเลย และก็ไม่คิดว่าจะแสดงได้ด้วย พอเราไปเล่นมันก็เหมือนเป็นการปลดล็อกตัวเองเหมือนกัน สิ่งที่เราคิดว่าเราจะทำไม่ได้ จริง ๆ แล้วเราก็ทำได้เหมือนกัน”

หลังจากที่เราได้ฟังงานใหม่ของอิงค์แล้ว ยอมรับว่าค่อนข้างทึ่งเหมือนกัน ที่เธอนำเสนอแนวเพลงแบบ electronic/synthpop ออกมาได้อย่างลงตัว ได้กลิ่นอายของดนตรีที่ทรงอิทธพลในยุค 80’s เคล้ากับเสียงร้องที่สดใส และเนื้อหาที่ถ่ายทอดมาจากประสบการณ์ของเธอ อยากรู้จริง ๆ ว่าทั้ง 5 เพลง อิงค์ชอบเพลงอะไรมากที่สุด ?

“ชอบทุกเพลงเลยค่ะ แต่ว่าจะชอบและก็รักแตกต่างกันไป ตอบไม่ได้จริง ๆ ว่าชอบเพลงไหนมากสุด เนื้อหาแต่ละเพลงก็ได้ทำการบ้านมาเยอะพอสมควร แต่ก็ไม่ใช่เรื่องอิงค์ 100% แต่ก็มีบาง insight ที่เรารู้สึก หรือเรื่องราวของเพื่อน ๆ นำมาเล่าให้กับพี่ ๆ ทีมงานฟัง ทุกอย่างในกระบวนการทำเพลงอิงค์จะมีส่วนร่วมด้วย อย่างเพลง เหงา เหงา เป็นเพลงแรกที่ทำกับค่ายนี้ในฐานะศิลปินเบอร์แรกของค่ายด้วย ยังไม่มีแรงกดดัน รู้สึกว่าได้ทำสิ่งที่ตัวเองชอบให้คนได้รู้จักเราในแบบที่เราเป็นตอนนี้ ส่วนเนื้อหาได้แรงบันดาลใจจากความรู้สึกบางมุมดี ๆ จากการที่ได้ไปเล่นเรื่อง Snap ที่บอกว่าสิ่งของบางอย่างมันแทนความรู้สึก เช่นเพลงบางเพลงที่เคยฟังด้วยกัน รูปที่เคยถ่ายด้วยกัน สถานที่ที่เคยไปด้วยกัน เวลาที่คนเราทะเลาะกันหรือเลิกกันจะคิดถึงกันเหมือนกันมั้ย เวลาที่ได้เจอของพวกนั้น ได้ฟังเพลงพวกนั้น”

ดนตรีส่งผลกับชีวิตอย่างไรบ้าง ?

“ดนตรียังทำให้เรามีความสุขได้เหมือนเดิม แค่บทบาทของมันเปลี่ยนไป เมื่อก่อนเราอาจจะร้องเพลงเพราะเราแค่ชอบ เราเรียนร้องเพลง เราทำมันเพราะความสุข ไม่มีปัจจัยอื่นเข้ามา แต่ทุกวันนี้บทบาทของมันค่อนข้างเปลี่ยนไป ด้วยความที่มันเข้ามาเป็นอาชีพแล้ว เลยทำให้เราต้องจริงจังกับมัน มันมีหลายองค์ประกอบมากขึ้น ไม่ใช่แค่การร้องเพลงไปวัน ๆ มันคือการคิดงาน ต่อยอดยังไง จะใช้มันมาทำให้คนอื่นมีความสุขได้อย่างไร มันไม่ใข่แค่ตัวเราเองแล้ว มันคืออาชีพ มันมีความท้าทายขึ้น มันยากขึ้น แต่ก็ยังทำให้เรามีความสุขเหมือนเดิม อิงค์ไม่ได้รู้สึก suffer เลย”

ถ้าไม่มีเรื่องของธุรกิจมาเกี่ยวข้อง อิงค์อยากร้องเพลงแนวไหน แล้วศิลปินที่ชื่นชอบคือใคร?

“อิงค์ไม่ได้ชอบร้องเพลงแค่แนว pop แต่เป็น classic ก็ได้ broadway ก็ดี หรือแนวไหนก็ได้ที่ได้พัฒนาศักยภาพขึ้นไป แนว electronic ก็เป็นอีกแนวที่ชอบ ช่วงที่เริ่มเข้ามาคุยกับค่ายก็กำลังมี passion กับแนวนี้เลย ส่วนศิลปินที่ชื่นชอบอาจไม่ได้มีใครเป็นพิเศษ แต่จะศึกษาจุดเด่นของแต่ละคน มองหาแรงบันดาลใจที่แต่ละคนปล่อยออกมาให้รับ บางคนเราชอบสไตล์เพลง บางคนเราชอบการดำเนินชีวิต บางคนเราชอบการแต่งตัว”

ทำไมถึงต้องเป็นแนวเพลงแบบ electronic/synthpop ?

“อิงค์คิดว่าแนวเพลงแบบ synthpop อยู่ในชีวิตเรามานานแล้ว แต่เราแค่ไม่ได้โฟกัสมัน มีอยู่วันหนึ่งนั่งรถและได้ฟังเพลงของวง Electric Youth เรารู้สึกว่าดีจังเลย ทั้งเสียงนักร้องและดนตรี ก็เลยรู้สึกติดใจ ถือเป็นวงที่เปิดโลกแนว synth pop ให้กับอิงค์เลย”

จุดแข็งและเอกลักษณ์ของอิงค์คืออะไร ?

“ทุกคนมีเอกลักษณ์ เราไม่สามารถเป็นคนอื่น และคนอื่นก็เป็นแบบเราไม่ได้ แต่สิ่งที่อิงค์รู้สึกคืออิงค์เป็นคนมี passion ที่มีต่อดนตรีและสิ่งที่เรารักสูง อิงค์ไม่คาดหวังให้ทุกคนต้องชอบเพลงของเรา แต่ก็อยากให้เปิดใจฟังก่อน สักเพลงนึงก็ยังดี ผู้ชายอาจจะนึกว่าเพลงผู้หญิงจะต้องหวานแหววอย่างเดียว อิงค์ว่า synthpop มีสเน่ห์และความสนุกมาก และมีความพิถีพิถันในการเลือก sound มาก ๆ มีให้เลือกไม่มีที่สิ้นสุด แค่เปลี่ยน sound นิดหน่อยก็ทำให้เกิดความรู้สึกอีกแบบ มีมิติที่แตกต่าง เวลาทุกคนฟังก็จะได้รับสีสันพวกนี้”

มีวิธีอย่างไรที่จะได้ทำสิ่งที่ตัวเองรักและอยู่รอดได้ด้วยในธุรกิจดนตรี ?

“งานตรงนี้ สิงที่ต้องมีก่อนคือความสุข ถ้าเราไม่มีความสุขกับมันแล้วมันก็เหมือนไม่มีแรงไปต่อ ยอมรับว่านักดนตรีสมัยนี้อยู่ได้เพราะรักมันจริง ๆ จริง ๆ แล้วการอยู่รอดก็คือตัวเรา เราแฮปปี้กับมันมากแค่ไหน ถ้าเราแฮปปี้กับมัน เราพอใจแล้ว มันก็จะทำให้เราอยู่ต่อไปได้ สมัยนี้มีหลายช่องทางในการอยู่รอด อยู่ที่ว่าตัวเราจะเอาตัวเองไปอยู่จุดไหน การปรับตัวก็เป็นเรื่องสำคัญอีกเรื่อง อย่าขาดความสุขที่จะขับเคลื่อนงานของเรา”

“อย่าขาดความสุขที่จะขับเคลื่อนงานของเรา”

เป็นศิลปินสาวสวยแบบนี้ วางตัวอย่างไรกับทีมงานหนุ่ม ๆ ?

“พี่โปรดิวเซอร์ และพี่ ๆ แบคอัพก็เป็นผู้ชาย เป็นเรื่องปกติที่เราต้องทำงานกับผู้ชาย ทุกคนคือพี่น้องเป็นเพื่อนกันหมด ทุกคนคุยกับอิงค์ได้หมด อิงค์เป็นคนค่อนข้างตรง มีอะไรก็จะคุย สนุกสนานเฮฮาได้ วางตัวสบาย ๆ ไม่มีใครจะมาทำอะไรเราหรอก (หัวเราะ) วิธีการทำงานก็จะเปิดรับฟังกัน ทุกคนเสนอไอเดียได้หมด ให้เกียรติซึ่งกันและกัน ทุกวันนี้อยู่ได้อย่างมีความสุข ไม่ได้มีปัญหาอะไรในเรื่องการทำงาน”

เคยเจอแฟนเพลงผู้ชายคุกคามไหม ?

“อิงค์วางตัวกับทุกคนเหมือนกัน อิงค์ให้ความสำคัญเท่ากัน ขอบคุณทุกคน แต่ถ้าเกิดเจออะไรที่เหนือการควบคุมเราก็จะนิ่ง ๆ เป็นกลาง พวกพี่ ๆ ก็จะช่วยจัดการให้ แนะนำวิธีการวางตัวให้ ในโซเชียลเน็ตเวิร์กก็มีบ้างนะคะ ที่มีคอมเม้นต์แบบไม่ให้เกียรติกัน แซวแรง ๆ เราก็ต้องทำใจกับมัน เพราะเราเอาตัวเองเข้ามาอยู่ในจุดนี้แล้ว เป็นเรื่องละเอียดอ่อน ต้องไม่เอาใจไปใส่ แต่ถ้าเกินกว่าที่จะรับไหวก็จะให้พี่ ๆ ช่วยจัดการ อาจจะบล็อก หรือทำเป็นไม่เห็นไป สุดท้ายคนนั้นก็จะโดนมองไม่ดีเอง เคยอยากจะโต้ตอบนะ แต่ไม่ดีกว่าคะ (หัวเราะ) แต่อิงค์คิดว่าอิงค์โดนน้อยนะ เพราะเราก็ไม่ได้ดูเซ็กซี่อะไร (หัวเราะ) ดูเป็นผู้หญิงกลาง ๆ มากกว่า เป็นตัวเองแบบธรรมชาติ ก็เลยไม่ค่อยโดนแซวแรง ๆ ”

หลังจากคุยกันเรื่องงานจนอินแนว synthpop ไปกับเธอแล้ว มาคุยกันเรื่องชีวิตบ้างดีกว่า จะได้รู้จักกับเธอที่ตัวตนด้วย ไม่ใช่แค่ผลงาน

มีช่วงที่ท้อแท้บ้างไหม แล้วผ่านมาได้อย่างไร ?

“การทำงานทุกอย่างมันก็มีทั้งความสุขและความเครียด เราเองก็ไม่ได้เพอร์เฟ็คต์ เวลาเราเข้ามาอยู่ตรงนี้ก็ต้องพัฒนาไปเรื่อย ๆ มันก็จะ suffer บ้างเวลาที่เรารู้สึกว่าน่าจะทำได้ดีกว่านี้ เหมือนกดดันตัวเองด้วย ทำไมไม่ดีกว่านี้นะ หนหน้าจะต้องทำให้ดีขึ้นให้ได้ มีบ้างที่ผิดหวังกับตัวเองนะ แต่ก็จะมีวิธีการจัดการคือเริ่มจากการระบายออกด้วยการบ่นก่อน (หัวเราะ) เวลาเครียดอิงค์ก็จะหาคนที่รับฟังได้ ไม่ว่าจะเป็นพ่อแม่ เพื่อน หรือพี่ ๆ ทีมงาน พอบ่นเสร็จก็จะหายเซ็ง พร้อมกลับมาเริ่มใหม่ ไม่เคยเก็บกดเอาไปเครียด”

ตั้งเป้าชีวิตในอีก 3 ปีข้างหน้าไว้อย่างไร ?

“ปีนี้ถือว่าเริ่มต้นเข้าปีที่ 3 ของการทำงาน เมื่อ 2 ปีที่แล้วก็ตั้งเป้าหมายไว้ว่าจะต้องเดินมาถึงจุดนี้ให้ได้ ถือว่าเข้าเป้าระดับหนึ่ง เราตั้งเป้าไว้ว่าอยากเป็นที่รู้จักมากขึ้น มีผลงาน และมันก็ได้นสิ่งที่หวังไว้พอสมควร แต่ก็ต้องตั้งเป้าต่อไปอีก ใน 3 ปีนี้ต้องมีอัลบัมเต็ม แต่ยังไม่แน่ใจว่าจะเป็นช่วงไหน ยังไรรอติดตามนะคะ”

อยาก UNLOCK ศักยภาพด้านไหนของตัวเองออกมา ?

“รู้สึกว่าตัวเองปลดล็อกตัวเองทุกวัน ไม่มีอะไรที่เป็นเรื่องใหญ่ขนาดที่เราจะต้องปลดล็อกสิ่งนี้ให้ได้ เราค่อย ๆ ปลดล็อกตัวเองไปทีละนิด อะไรที่เราทำไม่ได้ก็ค่อย ๆ พัฒนาตัวเองเรื่อย ๆ จนทำได้ในวันหนึ่ง อย่างเรื่องการโชว์ เมื่อ 2 ปีก่อนอิงค์เกร็งมาก ก็ค่อย ๆ ปลดล็อกจนถึงปัจจุบันก็กล้าขึ้น พูดเก่งขึ้น เอ็นเตอร์เทนเก่งขึ้นแต่อิงค์ก็รู้สึกว่ายังทำได้ดีกว่านี้อีก ถ้าเป็น 2 ปีก่อนถ้ามานั่งสัมภาษณ์กันแบบนี้ ก็คงจะพูดไม่ค่อยรู้เรื่อง (หัวเราะ) สิ่งที่เราจะทำได้ก็คือทำให้ดีกว่าในอดีตขึ้นเรื่อย ๆ นี่คือสิ่งที่เรา unlock ตัวเองในทุก ๆ วัน”

“สิ่งที่เราจะทำได้ก็คือทำให้ดีกว่าในอดีตขึ้นเรื่อย ๆ นี่คือสิ่งที่เรา unlock ตัวเองในทุก ๆ วัน”

“การใช้ชีวิตให้มีความสุข เราต้องมีความเป็นเด็กด้วยบ้าง เมื่อก่อนจะเป็นคนที่สดใสมาก มีความสุขทุกวัน แต่เดี๋ยวนี้รู้สึกว่าเด็กคนนั้นได้หายไป ก็เลยคิดบอกกับตัวเองว่าจะต้องยิ้มขึ้นนะ มีความสุขขึ้นนะ เพื่อที่จะทำให้ตัวเราไม่เครียดไม่กดดัน พยายามเติมสีให้กับตัวเองทุกวัน ไม่ให้มีแต่เรื่องงานมากเกินไป”

งานศิลปินเยอะแบบนี้ แบ่งเวลาให้กับตัวเองและคนรอบข้างอย่างไร ?

“เมื่อก่อนทำงานอย่างมาก 3-4 วันต่อสัปดาห์ แต่ทุกวันนี้ทำงานแทบทุกวัน ก็เลยทำให้ต้องจัดการตัวเองเพิ่มขึ้น คิดว่าค่อนขางทำได้โอเค มีเวลาอยู่กับครอบครัว คุณพ่อคุณแม่น่ารัก สนับสนุนเราตลอดมาตั้งแต่เด็ก เข้าใจว่างานเราหนัก ต้องกลับดึกบ้าง เขาก็ไม่ได้ว่าอะไร ส่วนเพื่อนฝูงก็เจอกันยากขึ้นเพราะวัยทำงานกันแล้ว แต่ก็ยังเจอกันเรื่อย ๆ มานั่งกินขาวคุยกัน เน้นคุณภาพการเจอกันมากกว่าปริมาณ อิงค์มีทั้งเพื่อนสมัยมัธยม [โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตร (ฝ่ายมัธยม)] มหาวิทยาลัย (คณะศิลปกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย) และกลุ่มเพื่อนที่เคยเป็นจุฬาฯคฑากรด้วยกัน

เอาหละ มาถึงคำถามไฮไลท์ที่หนุ่ม ๆ ชอบกดดันให้เราถามตั้งแต่แรก ไม่ก็คำถามเดียวไปเลย ก็คือ คุณอิงค์มีแฟนหรือยังครับ ?

“ตอนนี้ไม่มี (ตอบเร็วมาก) เคยมีตอนช่วงอยู่มหา’ลัย พอเรียนจบ ทำงาน ก็เริ่มมีความไม่เข้าใจกัน พอโตขึ้นแต่ละคนก็ต้องมีพาร์ทการทำงานเพิ่มขึ้นก็เลยปรับตัวกันไม่ค่อยได้ เข้ากันไม่ค่อยได้ ก็เลยทำความเข้าใจกันว่าคงต้องหยุดนะ หลังจากนั้นก็มีคนเข้ามาบ้าง เราก็รู้สึกว่าไม่ใช่เขาไม่ดีนะ แต่เรางานเยอะ มันเป็นเรื่องยากเหมือนกันที่เราจะใช้เวลากับเขา เราเองก็โฟกัสไม่ได้เต็มที่ บางคนที่เข้ามาก็ถอยไปเอง มีพี่เคยบอกกับอิงค์ว่าการที่จะเป็นแฟนกับศิลปินได้ คนนั้นต้องใจกว้างสุด ๆ คนที่จะมาเข้าใจงานเรามันหาได้ยาก อิงค์เลยจะต้องค่อย ๆ ดู ค่อย ๆ ศึกษา ไม่รีบ”

ผู้ชายในสเป๊คเป็นอย่างไร ?

“ต้องเป็นคนที่มีความมุ่งมั่น มี passion ในสิ่งที่เป็นตัวของตัวเองอยู่ รู้ว่าตัวเองชอบทำอะไร และก็ทำมันอย่างเต็มที่ ไม่ชอบคนที่ลอยไปลอยมา ต้องจัดลำดับความสำคัญเป็น manage ตัวเองได้ เวลาที่ผู้ชายพยายามจะทำสิ่งที่เขาชอบให้สำเร็จ มันคือสเน่ห์อย่างหนึ่งของเขา อิงค์แทบไม่ได้ดูคนที่หน้าตาและออปชั่น แต่ชอบคนที่มีความมุ่งมั่น ทะเยอทะยาน รักครอบครัว ผู้ชายที่เป็นแบบนี้คือผู้ชายที่เท่ดี (หัวเราะ) “

“เวลาที่ผู้ชายพยายามจะทำสิ่งที่เขาชอบให้สำเร็จ มันคือสเน่ห์อย่างหนึ่งของเขา”

ถ้าจะจีบคุณอิงค์ต้องทำอย่างไร ?

“เข้ามาโต้ง ๆ ………. ตายแน่นอน (ฮา) อิงค์เป็นคนที่มีกำแพงกับคนที่ไม่รู้จักเยอะเหมือนกันในตอนแรก ๆ ถ้าเข้ามาแบบเพื่อนหรือพี่จะค่อย ๆ สร้างความคุ้นเคย และเราก็จะเปิดได้มากขึ้น แต่ถ้าอยู่ ๆ ส่งดอกไม้มา หรือมาคุยเลยก็ไม่เอานะ มันน่าตกใจ (หัวเราะ) ต่อให้หล่อหรือเท่ขนาดไหนก็จะเข้ามาโต้ง ๆ ไม่ได้นะ เราไม่ทางเปิดให้เขาได้ 100% แน่นอน และจะยิ่งวิ่งหนี”

“การเป็นผู้ชายนั้น อิงค์รู้สึกว่าควรจะต้องมี passion มีสิ่งที่ตัวเองชอบ และทำมันอย่างเต็มที่ การที่จะมีแฟน ก็ต้องทำให้ผู้หญิงที่ความสุขด้วย การมีแฟนคือการเติมพลัง เติมความสุขให้กัน ตอนเด็ก ๆ มันเป็นความกุ๊กกิ๊กน่ารัก แต่พอโตขึ้นมามันไม่ใช่แค่นั้น มันคือความเข้าใจด้วยในหลาย ๆ อย่าง”

นับว่าเป็นการสนทนาเราได้อะไรมากมายอีกครั้ง ไม่ใช่แค่การนั่งคุยกับสาวสวยอย่างออกรสอย่างเดียว แต่ยังได้แรงบันดาลใจ แง่คิดต่าง ๆ เพื่อให้ผู้ชายอย่างเรานำมาปรับใช้ทั้งเรื่องการทำงาน เรื่องชีวิต เรื่องดนตรี และเรื่องความรัก ซึ่งเราขอยกให้ ‘อิงค์-วรันธร เปานิล’ เป็น A Girl We Love อีกคน

แฟน ๆ สามารถติดตามความเคลื่อนไหวของเธอได้ที่เฟซบุ๊กแฟนเพจ Ink Waruntorn อินสตาแกรม: inkwaruntorn นอกจากนี้เธอยังกระซิบบอกเราว่าราว ๆ กลางปีนี้ เธอมีแผนจะจัดคอนเสิร์ตเพื่อแฟน ๆ ด้วย แล้วก็ขอฝากเอ็มวีเพลง ยังรู้สึก ให้หนุ่ม ๆ ได้ดู ซึ่งเพลงนี้อิงค์ภาคภูมิใจมากเพราะได้แต่งเมโลดี้เองทั้งหมด ส่วนการพูดคุยกับเธอครั้งนี้ขอบอกว่าทีมงาน UNLOCKMEN ยังรู้สึกปลื้มอีกนานเลยครับ

SHE’S THE ONE: 5 สัญญาณที่บ่งบอกว่าสาวที่คุณเดทอยู่คือคนที่ใช่ แบบนี้ต้องอย่าปล่อยให้หลุดมือ!

$
0
0

ต่อให้ผู้ชายอย่างเราจะเป็น ‘นักล่า’ ผู้ชำนาญการ จะเป็น ‘เสือ’ ที่กินดุ หรือจะเป็น ‘คนเจ้าชู้’ เลเวลไหน สุดท้ายเราก็พร้อมจะหยุดทันทีที่เจอคนที่ ‘ใช่’ และอยากจะใช้ชีวิตกับเธอคนนั้นจนวันสุดท้าย แต่ปัญหาก็คือเรามักจะไม่ค่อยรู้ว่าความใช่คืออะไรในแบบรูปธรรม บ้างก็เชื่อว่าคือลักษณะภายนอกที่ตรงสเปค นิสัยดี หรือใช้ความรู้สึกล้วน ๆ ในการตัดสินใจ ซึ่งก็ไม่ผิด แต่เราอยากให้ลองคิดดี ๆ ก่อน เพราะการจะอยู่กับใครคนเดียวทั้งชีวิตมันต้องดูทั้งตัวเขาและตัวเราว่าจะไปกันได้จริงไหม

โดยจากข้อมูลโครงสร้างครัวเรือน อัตราการจดทะเบียนสมรสและอัตราการจดทะเบียนการหย่า ปี พ.ศ. 2523 – 2558 สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ระบุว่า ปี 2556 มีอัตราการหย่าร้างประมาณ 5.3 คู่ต่อกันครัวเรือน, ปี 2557 ราว 5.4 คู่ต่อพันครัวเรือน และ ปี 2558 เพิ่มเป็นประมาณ 5.7 คู่ต่อพันครัวเรือน ซึ่งนับตั้งแต่ปี 2550 เป็นต้นมาตัวเลขก็ไม่ต่ำกว่า 5 คู่ต่อพันครัวเรือนอีกเลย จากข้อมูลที่ดังกล่าวที่ได้รับก็ทำให้เราพอจะสรุปได้คร่าว ๆ ได้ว่าอัตราการแยกทางกันของคู่สมรสในไทยค่อย ๆ เพิ่มขึ้นทีละนิดในทุก ๆ ปี และมันไม่น่ายินดีเลย

ด้วยความที่ทีมงาน UNLOCKMEN ไม่อยากให้เกิดเรื่องเศร้าเช่นนี้กับใครอีก เลยขอมีส่วนช่วยในการแนะนำวิธีการดูว่าสาวที่คุณเดทอยู่ คบอยู่ หรือเป็นแฟนอยู่ ว่ามีสัญญาณที่บ่งบอกว่าเธอคือคนที่ใช่สำหรับการเป็นภรรยาของคุณในอนาคตหรือไม่อย่างเป็นรูปธรรม ก่อนจะทุ่มเทใจแบบ “โลกทั้งใบให้เธอคนเดียว”

 

ความสัมพันธ์ที่ราบรื่นมาตั้งแต่เริ่มจีบกัน

ม่มีอะไรจะดีไปกว่าความราบรื่นตั้งแต่แรกพบ ถ้าคุณกับเธอรู้สึกว่าทุกอย่างมันช่างเป็นธรรมชาติตั้งแต่การเจอกันครั้งแรก คุยกันถูกคอ ออกไปเดทกันก็รู้สึกไหลลื่น คบเป็นแฟนกันก็สมูธ แม้จะมีปัญหากันบ้างแต่ก็เคลียร์ได้แบบไร้กังวล หรือถ้าคุณรู้สึกว่าความสัมพันธ์ของคุณกับเธอนั้นเป็นไปด้วยดีแม้ไม่ต้องมานิยามกันว่าเราคบกันแบบไหน แบบนี้ก็เข้าข่ายใช่แล้วครับ

ในทางตรงกันข้าม บางคู่ก็คบ ๆ เลิก ๆ กันหลายรอบ มีวงจรความสัมพันธ์แบบ ทะเลาะ-เลิก-ง้อ-คบ วนไป แบบนี้คงต้องพิจารณาดี ๆ ว่าชีวิตคู่จะวน loop แบบนี้ต่อไปอีกนานไหม จิตใจคุณกับเธอจะไหวมั้ย กับการเตรียมใจพบกับความไม่แน่นอนนี้

เอาเป็นหากโดยรวมแล้วคุณเธอรู้สึกเป็นธรรมชาติในการคบกันแม้จะเจออุปสรรคหรือความเห็นไม่ตรงกันบ้างก็ควรจะหยุดตรงนี้ที่เธอแล้วครับ

 

เธอเข้ากันได้ดีกับครอบครัวและเพื่อนของคุณ

การเข้ากันไม่ได้ระหว่างแฟนคุณกับครอบครัวและมิตรสหายของคุณมันคือปัญหาระดับจักรวาลก็ว่าได้

ก่อนอื่นต้องบอกว่าทฤษฎีนี้ในทางปฏิบัติอาจจะมีบ้างที่บางคนอาจไม่ถูกชะตาหรืออคติกับคนรักของคุณก็ได้ แต่ถ้ามองกันในภาพรวมหากแฟนคุณไม่สามารถจูนเข้าครอบครัวและบรรดาเพื่อน ๆ ของคุณได้ แบบนี้ก็ควรพิจารณาหน่อย อย่าลืมว่าครอบครัวนั้นเลี้ยงดูเรามา หล่อหลอมเราให้เป็นเราในวันนี้ ส่วนเพื่อน ๆ ของคุณก็คือความผูกพันธ์ที่แนบแน่นที่สุดแม้ไม่ใช่สายเลือดเดียวกัน ถ้าเธอไม่ชอบคนรอบข้างในชีวิตคุณ หรือคนรอบข้างคุณไม่ปลื้มเธอก็ดูจะเป็นงานยากละสำหรับอนาคต

เวลาเรารักมันก็รักแหละครับ ดั่งประโยคสุดคลาสสิคที่ว่า “ความรักทำให้ตาบอด” ซึ่งในที่นี่เราขอเพิ่มเติมเป็น “ความรักทำให้หูหนวกตาบอด” เพราะเวลาที่เราหลง เราจะมองเห็นอะไรดีงามไปหมด มองไม่เห็นความจริง และไม่ได้ยินเสียงคนรอบข้าง จริงอยู่ว่าความรักเป็นเรื่องของคน 2 คน เราไม่ได้หมายความว่าคุณต้องเลิกกับแฟนเพียงเพราะเหตุผลที่ว่าเข้ากับคนรอบข้างของคุณไม่ได้ แต่ก็ต้องรับฟังเสียงของคนรอบข้างที่รักคุณบ้าง

ถ้าเธอแฮปปี้ที่จะเจอครอบครัวคุณ หรือร่วมวงแฮงเอาท์กับเพื่อน ๆ คุณได้อย่างเป็นธรรมชาติ ขณะที่คนรอบข้างของคุณก็มีฟีดแบคดี ๆ กับเธอ แบบนี้มีแนวโน้มที่ดีในระยะยาวครับ ใช่เลย

 

ไม่สูญเสียตัวตนทั้งคู่

การมีคู่ที่ใช่มันควรจะ “เป็นตัวของตัวเองในขณะที่ใจเป็นของอีกคน” 

ในความเป็นจริงคนเราไม่เหมือนกันหรอกครับ มันต้องมีความขัดแย้งกันบ้าง แต่ถ้าคุณรู้สึกว่ามีตัวตนบางอย่างของเธอที่คุณอยากจะให้เปลี่ยนเหลือเกิน หรือตัวตนของคุณมันช่างไม่ถูกใจเธอเสียเลย จนเป็นประเด็นที่ถูกยกขึ้นมางัดคำกันบ่อย ๆ แบบนี้คงต้องพิจารณาแล้วครับ

เวลาที่สมองของเราเต็มไปด้วยสารเคมีแห่งความรักแบบข้าวใหม่ปลามัน เรามักจะมองข้ามข้อเสียของอีกคนไป แต่พอหลังจากนั้นปีสองปี เวลาที่สารเคมีดังกล่าวเริ่มลดปริมาณลง เข้าสู่ภาวะการใช้จิตวิญญาณร่วมกัน หากถึงจุดนี้แล้วคุณอยากเปลี่ยนเธอ หรือเธออยากเปลี่ยนคุณจากการมองเห็นอะไรบางอย่างลึก ๆ ที่ทำให้รับไม่ได้ แบบนี้อาจต้องปล่อยให้ทั้งคู่ได้ก้าวต่อไปในทางอื่น ดีกว่าการที่คุณและเธอจะต้องมาเสียเวลากับรักที่ไม่ใช่

ดังนั้นถ้าคุณและเธอสามารถเป็นตัวของตัวเอง ยอมรับข้อเสียซึ่งกันและกันได้ อะไรที่ไม่ถูกใจก็สามารถปรับกันได้อย่างไม่ลำบากใจ แบบนี้ก็น่าจะใช่แล้วครับ

 

เธอคือเพื่อนที่ดีที่สุด

สเน่ห์ทางกายและเคมีที่ตรงกันเป็นสิ่งสำคัญของความสัมพันธ์ แต่แก่นของการคบกันควรจะมีมิตรภาพที่หยั่งรากลึก

สังขารย่อมไม่เที่ยงครับ พอคุณและแฟนอายุมากขึ้นสเน่ห์ทางกายก็จะลดลงไป สิ่งที่หลงเหลืออยู่เสมอและมีส่วนสำคัญในความยั่งยืนนี้คือมิตรภาพความเป็นเพื่อนคู่ชีวิต

ถ้าคุณรู้สึกว่าแฟนของคุณคือเพื่อนที่ดีที่สุดในโลกนี้ ก็พอจะพิสูจน์ได้ว่าเธอคือคนที่ใช่ ลองถามตัวเองดูว่าอยากอยู่กับเธอตลอดเวลามั้ย ? การมีเธออยู่ด้วยในทุกกิจกรรมทำให้คุณแฮปปี้ขึ้นมั้ย ? คุณรู้สึกอยากบอกทุกเรื่องให้เธอฟังมั้ย ? เธอรู้จักคุณดีกว่าคนอื่นในโลกนี้หรือไม่ ?

ถ้าคำตอบคือ ‘ใช่’ ก็ใช่ครับ

 

คุณรู้สึกไม่ลังเลถ้าจะต้องแต่งงานกับเธอ

การจะอยู่กับผู้หญิงคนหนึ่งทั้งชีวิตเป็นเรื่องยิ่งใหญ่และใหญ่ยิ่ง

ลองจินตนาการตามนี้ดู: คุณกำลังวางแผนเซอร์ไพรส์ขอเธอแต่งงาน > คุณทำตามแผนนี้และได้รับคำตอบว่า “แต่งค่ะ” > คุณพาพ่อแม่และญาติผู้ใหญ่ไปสู่ขอที่บ้านว่าที่เจ้าสาว > คุณกับเธอพากันไปลองชุดเจ้าบ่าวเจ้าสาว > ถ่ายภาพ pre wedding > แจกการ์ด > เตรียมงานแต่ง > จูงมือกันเดินเข้างาน > กล่าวคำมั่นสัญญาต่อพยานทุกคนในงาน > after party > นับซอง (อันนี้แล้วแต่) > ใช้ชีวิตคู่

แม้ที่ให้ลองจินตนาการอาจจะดูฝันเฟื่องไปก่อนไข้บ้าง แต่ถ้าเห็นภาพพวกนี้ชัดเจนและรู้สึกดีมีความสุข แสดงว่าคนนี้น่าจะใช่เลย

อย่างไรก็ตาม เราไม่ได้บอกว่าคุณควรกังวลล่วงหน้านะ แต่ถ้าคุณมองภาพอนาคตของคุณและเธอไม่ชัดเจนหรือไม่เห็นเลย อาจจะต้องพักความรักของคุณและเธอไว้เท่านี้ ดีกว่าต้องแยกทางกันหลังวิวาห์

 

แม้ว่าทั้ง 5 ข้อที่เรายกตัวอย่างมาอาจจะไม่สามารถฟันธงว่าสาวข้าง ๆ คุณคือเนื้อคู่ของคุณได้ 100% แต่ก็เป็นแนวทางรูปธรรมที่ทำให้เราสามารถหาคำตอบได้แบบไม่ยากเย็น ที่เหลือก็คงต้องถามใจตัวเองและแฟนของคุณว่าอยากจะก้าวไปด้วยกันหรือไม่ เพราะการแต่งงานไม่ได้หมายถึงแค่การหาคนที่คุณสามารถอยู่ด้วยได้ทั้งชีวิต แต่ยังเป็นการหาคนที่คุณขาดไม่ได้ในชีวิต

จนกว่าจะถึงวันสุดท้าย…

SOURCE


‘GRAB’ ALL SMART CAB! : ฉกให้เรียบสมชื่อ GRAB กับการเทคโอเวอร์โยก UBER มาเป็นลูกไก่ในกำมือ

$
0
0

COUNTDOWN ต่อไปอีก 2 อาทิตย์ ก่อน D-day วันที่ 8 เมษายน 2561 ถึงจะได้เวลาปิดไฟว่างรับผู้โดยสารไปตลอดกาลภายใต้แบรนด์สีเทา – ดำ กับโลโก้ตัว “U” ของ UBER เพราะจากนี้ต้องย้ายสำมะโนครัวไปอยู่ใต้อาณัติของ GRAB โดยสมบูรณ์ จากข่าวที่ออกมายืนยันอย่างเป็นทางการและกระฉ่อนที่สุดต้นสัปดาห์นี้ เรื่อง GRAB เข้าเทคโอเวอร์กิจการโซนเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ให้เหี้ยนกับการประกาศการจับมือครอบครัวเดียวกันระหว่าง GRAB และ UBER แต่ครอบครัวนี้เน้นสีเขียวเป็นใหญ่เท่านั้นเอง

ชาว UNLOCKMEN คนไหนอยากจะมันส์และไม่ตกข่าวกับกลยุทธ์สุดพิเศษนี้มาตามดู RECAP ให้เป็นเรื่องเป็นราวด้านล่างกัน

 

อุแว้ UBER

บ๊ายบายยยย นายอูเบอร์เพื่อนยาก ไหน ๆ นายจะลอกคราบไปเกิดใหม่เป็น GRAB เราก็จะไม่ลืมการมีอยู่ของนาย เพราะก็พึ่งพากันมาแต่ไหนแต่ไร ขอบคุณนะที่ยกระดับการขับขี่แท็กซี่ไทย

  • UBER ก่อตั้งขึ้นเมื่อ 9 ปีที่แล้ว (ปี 2009) บุกลงสนามแท็กซี่สาธารณะในรูปแบบ niche market หรือตลาดเฉพาะที่เน้นรับลูกค้าหรู โดยศัพท์คำว่า UBER ที่เราเรียก ๆ กันมาจากภาษาเยอรมันที่แปลว่า  “เหนือกว่า” หรือ “ที่สุด” เริ่มจากผู้ก่อตั้ง 2 คน ได้แก่ Garrett Camp และ Travis Kalanick
  • จุดประสงค์ของการเกิด UBER ก็มาจากการปรับทุกข์เรื่องแท็กซี่ในซานฟรานซิสโก แล้วมโนกันเล่น ๆ ว่าถ้าสามารถจัดหารถยนต์ที่หรูหราและคุณภาพของการบริการที่ดี ในลักษณะของการแบ่งเวลา (timeshare) ก็น่าจะเป็นโอกาสทางธุรกิจที่ดี
  • UBER ประกาศหาเพื่อนร่วมงานจากทวิตเตอร์ จนได้ Ryan Graves ผู้ร่วมก่อตั้งคนที่สามมาร่วมทีม และเริ่มเปิดให้บริการช่วงทดลองที่นิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา ในปี 2010 และเปิดให้บริการจริงในเดือนพฤษภาคมปีเดียวกันหลังจากนั้น Uber ก็ขยายตัวออกไปยังเมืองต่าง ๆ ในสหรัฐอเมริกา ก่อนที่จะเริ่มต้นขยายตัวไปยังยุโรปและเอเชีย ในปัจจุบัน Uber มีการดำเนินการอยู่ที่เมืองใหญ่ ๆ ทั่วโลกทั้งหมด 633 เมือง
  • UBER ถือเป็นผู้นำนวัตกรรมเทคโนโลยีสไตล์ start up ที่ matching ระหว่างคนขับกับคนเรียกให้มาพบกัน ซึ่งทำให้พวกเขาไม่ต้องมีรถในสังกัดของตัวเองที่ต้องลงทุนเลยแม้แต่คันเดียว ถือเป็นวิถีการจับเสือมือเปล่าที่ยอดเยี่ยมและทำให้อีกหลายธุรกิจเอามาใช้เป็นแบบอย่างบ้าง

 

ตั้งไข่ล้ม…อดกินไข่เน้อ

รากไอเดียทางธุรกิจของ UBER มันล้ำและเฉียบเหนือคนอื่น เพราะทั้งดำริทั้งลงมือบุกตลาดไปตามเมืองใหญ่ประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก ทว่าการเติบโตขยายตัวของ UBER เปรียบได้กับเด็กวัยตั้งไข่ที่อยากลุกวิ่งพรวดเสียเต็มแก่ในธุรกิจแท็กซี่ เพราะพอก้าวแรกมันดีก็คิดว่าก้าวต่อไปจะดี แต่ความจริงการขยายอย่างรวดเร็วคือดาบสองคม เพราะย่ิงโตเร็วเท่าไหร่หมายถึงหนี้ที่เพิ่มขึ้นตามด้วย ผสมกับเมื่อเอะอะขยายสาขาเป็นว่าเล่นมันก็มาถึงจุดที่ต้องเจอตอของเจ้าถิ่นกันบ้าง ทั้งเรื่องกฎหมาย วัฒนธรรม เช่น ในประเทศไทยของเราอย่างน้อยก็หนึ่งแห่งที่การเรียก UBER แต่ละทีต้องระแวดระวังเหล่าพี่ชายในเครื่องแบบโบกเพราะขัดกับข้อกฎหมาย ขัดขากับเจ้าถิ่น ทำให้เรียกได้ว่าอยู่ยากกันพอสมควร หรือในสิงคโปร์ที่ GRAB เอาชนะไปทั้งเรื่องค่าใช้บริการที่ถูกกว่า และการชำระเงินที่สะดวกกว่าไม่ต้องจ่ายผ่านบัตรเครดิตเพียงอย่างเดียว

จากต้นทุนที่ที่ต้องแบกรับและปัญหามากมายที่กล่าวไปจึงอาจเป็นหนึ่งในปัจจัยที่ UBER ต้องสมยอมขายกิจการหรือเปิดโอกาสให้กิจการคู่แข่งในประเทศต่าง ๆ เข้า TAKE OVER

 

“ฝากเอาไว้ในกายเธอ” กลยุทธ์ Othello หรือการพ่ายแพ้แบบลูกไก่ ?

สิ่งที่น่าสนใจที่หลายเพจออกมาพูดถึงคือการยอมยกธงขาวให้ take over ของ UBER ถึง 3 หน ทั้งจากประเทศมหาอำนาจซัวเถาอย่างจีน ยักษ์ใหญ่วงการไอทีอย่างรัฐเซีย และการยื่นมือไปจับกับ GRAB เอาดื้อ ๆ ให้ take over โซนเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ทั้งหมดทั้งที่ขับเคี่ยวกับมาดี ๆ และที่สำคัญยังครอบกิจการแท็กซี่ในบางประเทศอย่างเวียดนามได้แล้วแท้ ๆ มันอาจเป็นแผนหรือการล้มบนฟูกของ UBER หรือไม่

เพราะแม้จะยอมให้เจ้าอื่นเข้าเทคโอเวอร์แต่ UBER ก็ไม่ทิ้งลายใช้วิธีฝากเอาไว้ในกายเธอ ซึ่งอาจเรียกได้ว่าเป็นการยอมแพ้ที่ดูจะกลิ่นตุ ๆ หน่อย เพราะเฮียแกเล่นขอพื้นที่เป็นหุ้นส่วนกับทุกเจ้าที่เข้า take over ในจำนวนไม่น้อย เช่น

  • ขายธุรกิจให้ Didi Chuxing ที่เป็นธุรกิจแท็กซี่ในจีนแต่พี่ UBERchina ถือหุ้นในบริษัท 20% และกลายเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ที่สุด
  • ขายธุรกิจให้ Yandex ยักษ์ใหญ่ของวงการไอทีรัสเซีย Uber จะถือหุ้น 36.6% แลกกับการอัดเงินเข้าไปอีก 225 ล้านดอลลาร์
  • ขายธุรกิจให้ GRAB ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ทั้งหมดแต่พี่ UBER จะถือหุ้น 27.5% และที่สำคัญยังส่ง Dara Khosrowshahi ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของอูเบอร์ เข้าร่วมเป็นหนึ่งในบอร์ดบริหารด้วย

ที่สำคัญการย้ายค่ายครั้งนี้ พวก DATA ทั้งหลายของ UBER ไม่ว่าจะเป็นคนขับ ลูกค้า ผู้จัดส่งและพันธมิตรร้านอาหารจากแอพพลิเคชั่น UBER EATS จะถูกย้ายไปยังแพลตฟอร์มของ GRAB ทำให้สิ่งที่อยู่ภายใต้การดำเนินงานของ UBER ทั้งหมดไม่ระหกระเหินตกระกำลำบากมากนัก จึงน่าสนใจว่าการเคลื่อนไหวของ UBER ในครั้งนี้อาจเป็นการยอมขายเพื่อหวังฮุบเอากำไรจากภายใน ตามเกม Othello ที่แม้จะโดนอีกฝ่ายกินแต่สุดท้ายการวางหมากแฝงไว้ในแดนศัตรูก็อาจพาชัยชนะกลับมาได้ ไม่ใช่การพ่ายแพ้แบบลูกไก่อย่างที่หลายคนเข้าใจ

Dara Khosrowshahi / Credit Photo: http://fortune.com/

แต่ไม่ว่ามันจะเกมหรือความซวยจริงแล้วพยายามถอยหลังตั้งหลัก สิ่งที่ฝั่ง Dara Khosrowshahi ออกมาชี้แจงคือ

“ไม่ว่าจะเป็นการขายธุรกิจที่ รัสเซีย จีน หรือในครั้งนี้เองไม่ใช่กลยุทธ์หลักของบริษัท แต่ทำไปเพื่อลดค่าใช้จ่ายเพื่อที่จะได้กลับไปโฟกัสหลังของตลาดตัวเองอีกครั้ง”

ผลลัพธ์สุดท้ายปลายทางที่แท้ของ UBER ไม่ว่าจะเป็นลูกไก่ หรือเจ้าเกมกระดาน หรือจะมีรูทอื่นอีกในรูปแบบไหนก็ตาม แต่พูดแทนชาว UNLOCKMEN ในฐานะผู้บริโภคแล้ว เมื่อมีการลดหน่วยการแข่งขันทางธุรกิจให้เหลือเพียงเจ้าเดียว อาจทำให้เราเจอปัญหาการผูกขาดทางราคาภายหลังก็ได้ซึ่งเรื่องมันจะหมู่หรือจ่า เราคงจะได้เห็นหลังวันที่ 8 เมษายนนี้ก่อนรับปีใหม่ไทยกันนี่แหละ หรือบางทีภาพมันอาจจะไม่เป็นแง่ร้ายอย่างที่คิด แต่เป็นของขวัญรับปีใหม่อย่างที่ Anthony Tan ซึ่งเป็น CEO ของทาง GRAB กล่าวไว้ก็ได้ว่า

Anthony Tan / Credit Photo: www.forbes.com

“วันนี้เป็นยุคใหม่ที่ผู้นำกิจการแพลตฟอร์มเรียกรถสองกิจการควบรวมกัน เพื่อที่จะได้เติมเต็มสำหรับผู้ใช้บริการ”

ชาว UNLOCKMEN ก็อย่าลืมติดตามแล้วมาอัปเดตการใช้บริการแท็กซี่โฉมใหม่แล้วเล่าสู่กันฟังบ้างนะ

 

SOURCE1   SOURCE2   SOURCE3   SOURCE4

“นอนเยอะแค่ไหนก็ตื่นมาเหมือนคนอดนอน” ถึงเวลากู้ความฟิตจากการนอนอย่างมีประสิทธิภาพ

$
0
0

เข้านอนหัวค่ำ ควรจะ boost ความสดชื่นให้เรายามเช้า แต่สำหรับเช้าต้นสัปดาห์อย่างนี้ ชาว UNLOCKMEN บางคนก็ยังรู้สึกว่ายังง่วงอยู่เหมือนเเดิม หนังตาหนักเหมือนคนอดนอน ทำไมถึงเป็นอย่างนั้น ? วันนี้เราไปสืบจากผู้เชี่ยวชาญมาบอกต่อเพื่อคืนความกระปรี้กระเปร่าต้นสัปดาห์ให้กลับมามีพลังเหมือนเดิม หรือบางทีอาการง่วงตลอดเวลาของพวกเราอาจเป็นสัญญาณส่งต่อว่า “เฮ้ย! ถึงเวลาต้องไปหาหมอ

7-10 ชั่วโมงอันคุ้มค่าที่ปิดตาไปตามที่นักวิทยาศาสตร์บอกว่ามันจะพอต่อร่างกาย แต่ไม่ได้ประโยชน์อะไรทั้งสิ้นเมื่อใช้งานยามตื่น ผู้เชี่ยวชาญออกมาบอกว่าที่ให้นอนก็ใช่อยู่หรอก แต่แค่หลับตาต่อเนื่อง 7-10 ชั่วโมงมันก็ไม่ได้ช่วยให้ชีวิตล้ำเลิศอะไร เพราะบางครั้งเรายังขาด 9 สิ่งด้านล่างนี้ เพื่อคืนความฟิตทุกวินาทีจากการตื่นนอนเราลองมาเช็กดูกันดีกว่าว่ามีอะไรบ้างที่เราขาดและควรเสริมเข้าไป

 

1. ออกกำลังกาย

ชาว UNLOCKMEN สายสุขภาพน่าจะออกมายืนยันเรื่องนี้ได้เป็นอย่างดี เพราะหลังออกกำลังกายในวันนั้นเราจะหลับได้ดีและรู้สึกตื่นตัวในวันรุ่งขึ้น ต่างจากการไม่ออกกำลังกายแล้วนอน ถึงแม้จะนอนยาวนานก็ยังรู้สึกง่วงเหงาหาวนอนอยู่ดี วิธีแนะนำจาก Science Alert เมื่อคุณเกิดอาการนอนไม่พอไม่ว่านานแค่ไหนด้วยการไปออกกำลังกายเบา ๆ ไม่กี่ครั้งต่อสัปดาห์ ขยับยืดตัวบ้างแล้วมันจะดีเอง

 

2. รินน้ำดื่มเข้าไป

เราอาจจะไม่เคยคิดว่าเรื่องกินน้ำจะกระทบการนอนและทำให้วันทั้งวันของเรากลายเป็นวันเพลีย ๆ ที่อยากฟุบตลอดเวลาตั้งแต่ลืมตา แต่ความจริงอาการขาดน้ำมันจะทำให้การสูบฉีดเลือดในร่างกายของเราสะดุดได้ ซึ่งนำไปสู่อาการเหนื่อยล้า

 

3. รีแล็กซ์ให้น้อยลงจากเครื่องดื่มมึนเมา

เรื่องนี้หลายคน รวมถึงเราเองก็มักจะทำอยู่บ้างเวลาเหนื่อยพอกลับไปที่บ้านสบโอกาสเมื่อไรก็เปิดขวดไวน์บ้าง กระป๋องเบียร์ป้อนเบียร์ให้ตัวเอง มอมไปให้ผ่อนคลาย แต่เอาเข้าจริง ๆ วิธีนี้มันไม่ได้เวิร์กกับการนอนนัก เนื่องจากถ้าเป็นประจำไม่เพียงร่างกายจะร้องหาแอลกอฮอล์ในปริมาณที่มากขึ้นเพราะจำนวนเท่าเดิมไม่ได้ทำให้หลับสนิทเหมือนเดิมแล้ว มันยังทำให้เกิดการ addict เป็นการว่าวิธีนี้ทำให้หลับ ตอนหลังพอเราไม่ทำแบบนี้ก็จะเกิดอาการนอนไม่หลับแทนแล้วไอ้เรื่องนี้แหละจะทำให้ต้องเพลียขึ้นมาอีกจนได้

 

4. วางมือถือให้ห่างตัว

แสงสีฟ้ามันมีผลกับการนอนจนทำให้เรารู้สึกนอนไม่หลับ ถ้าไม่เปิดเล่นทำให้นอนดึกเสียก็สิ้นเรื่อง แต่ความจริงที่หลายคนไม่รู้คือมันไม่พอ! การหลับไปโดยมีมือถือวางไว้ใกล้ ๆ ตัวก็อาจปลุกให้เราตื่นขึ้นมาระหว่างคืนจนเกิดความเพลีย ไม่พร้อมทำงานได้เช่นกัน

 

5. กินข้าวเช้า

การใช้ชีวิตรีบเร่งเช้า ๆ จบมื้อด้วยกาแฟสักแก้วไม่พอจะให้การนอนอย่างเต็มอิ่มเมื่อวานหนุนความสดใสในเช้าวันนี้ได้ กินข้าวเช้ามันเกี่ยวกับนอนตรงไหนเพราะตอนนอนเป็นตอนกลางคืน ถ้าคิดแบบนี้ให้เปลี่ยนมุมมองใหม่เพราะที่จริงแล้วมันเกี่ยวข้องกันจะตาย ตอนกลางคืนระหว่างที่นอนหลับเราก็ใช้พลังงานจากการกินอาหารมื้อค่ำเข้าไปช่วยปั๊มระบบไหลเวียนเลือดกระจายออกซิเจนสร้างความสดชื่นให้ร่างกาย พอตอนเช้าเราก็ต้องเติมโภชนาการเข้าไป เพื่อกระตุ้นให้ร่างกายเกิดความตื่นตัว สามารถดึงพลังงานไปใช้ในวันทำงานวันใหม่

 

6. อัดวิตามินเข้าไปอีก

บางครั้งร่างกายเราก็ส่งสัญญาณร้องหาสิ่งที่ขาดหาย เมื่อไม่มีเสียงก็แสดงออกผ่านสภาพร่างกายที่อิดโรย ความเหนื่อยเพลีย ซึ่งถ้ามันเป็นคนละส่วนกันเราก็ไม่สามารถจะเอามันมาทดแทนกันได้นอกจากจะเสริมส่วนที่ขาด เช่น ขาดธาตุเหล็ก วิตามินบีต่ำ หรือกระทั่งการขาดแมกนีเซียมที่ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดลดลงแล้วทำให้คุณกลายเป็นพ่อหนุ่มหน้าตาเซื่องซึม ไม่น่าตบรางวัลด้วยโบนัสเหมือนคนอื่นเขา

 

7. คลายความกังวลที่ต้นตอ

จะหลับให้สนิท มีสติตอนตื่น คีย์สำคัญอยู่ที่การคลายความเครียดถึงระดับต้นตอ เพราะคนที่รู้สึกนอนไม่พอ ไม่ว่าจะด้วยนอนไม่พอจริง ๆ หรือนอนเยอะแล้วแต่ก็ยังรู้สึกเหนื่อยล้าบางครั้งเป็นผลจากสมองสร้างความกังวลขึ้นมา จนกระตุกความรู้สึกผ่อนคลายที่ควรจะนอนให้เพียงพอ ทำให้เราตื่นตาค้างเป็นแพนด้า หรือไม่ต่อให้หลับก็เป็นอาการหลับ ๆ ตื่น ๆ คล้ายกำลังวิ่งในฝันร้ายไปทุกคืนมากกว่า สำหรับที่ยังไม่ได้เป็นมากมายอะไนเคล็ดง่ายที่สุดคือเสริมเรื่องผ่อนคลายไป ทิ้งงานและความกังวลไว้เบื้องหลัง แต่ถ้าจัดการจิตใจไม่ได้เพราะมันอยู่ในระดับยากเกินจะแก้ไขด้วยตัวเอง การปรึกษาคนอื่นหรือนักบำบัด หรือคุยกับจิตแพทย์เพื่อแก้ไขความวิตกกังวลนั่นล่ะที่ตรงจุด

 

8. เลิกกินกาแฟหลัง 4 โมง

ถามว่าทำไมต้องหลังสี่โมง บอกก่อนเลยว่าปกผลของกาแมันจะยาวนานไปราว 6 ชั่วโมงดังนั้นเป้าหมายของการไม่ให้เรากินกาแฟหลัง 4 โมงก็เพื่อที่จะให้เรานอนได้ตั้งแต่ช่วง 4 ทุ่มโดยไม่มีคาเฟอีนเข้ามากวนระบบการนอน แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นไม่ได้หมายความว่าก่อน 4 โมงก็เล่นมันให้เต็มสูบ ล่อเสีย over dose เพราะการทำแบบนั้นมันจะกระตุ้นการทำงานของหัวใจให้ทำงานหนัก และส่งผลกับนาฬิกาชีวภาพร่วมด้วย นอนไม่หลับ หรือผิดเวลาบ่อยเข้าร่างกายจะจำและทำให้เราเนือยแบบสุด ๆ แม้จะนอนไปเยอะเท่าไรก็ตาม

 

สำหรับใครที่ร้อง “อ๋อ!!” และยอมรับแล้วว่าทั้ง 8 ข้อนั้นยังไกลจากชีวิตประจำวันของเรามาก ลองหามาเติมดู แล้วคุณจะรู้ว่ายามเช้าที่มี energy ล้นเต็มสูบ มันมีค่าและมีความสุขนาดไหน ถ้ายังไม่รู้จะเริ่มจากอะไรลองบิดตัวก่อนแล้วลุกไปหาน้ำกินง่าย ๆ ได้เลย

WHAT STOPS YOU ? : เคล็ดวิธีปลุกพลังใจไปให้สุด บอกตัวเองดัง ๆ ว่าจากนี้จะไม่ให้อะไรมาหยุดยั้งความสำเร็จอีกต่อไป

$
0
0

เมื่อพูดถึง “ความสำเร็จ” คำนี้แม้จะมีนิยามความหมายที่แตกต่างกันไปในแต่ละคน แต่คงปฏิเสธไม่ได้ว่ามันคือสิ่งที่แทบทุกคนต้องเคยผ่านช่วงเวลาของการตั้งเป้าหมายในชีวิต อยู่ในโมเม้นต์แห่งการหมายมั่นปั้นมือว่าจะพาตัวเองไปยังจุดที่เรียกว่า “ความสำเร็จ” ให้ได้ดั่งหวัง ซึ่งแน่นอนว่าบนเส้นทางสู่ความสำเร็จนั้น มันมีอยู่สิ่งหนึ่งที่ทุกคนต้องประสบพบเจอเหมือน ๆ กัน นั่นก็คืออุปสรรคระหว่างทางที่มักจะพร้อมใจถาโถมโหมกระหน่ำเข้ามาในรูปแบบต่าง ๆ เหมือนเป็นด่านวัดใจให้หลายคนหยุดตั้งคำถามกับตัวเองว่าจะล้มเลิกหรือไปต่อ

ซึ่งใครที่กำลังโดนซัดด้วยหมัดอันหนักหน่วงของสิ่งที่เรียกว่าอุปสรรคจนอ่อนล้า เราขอตบบ่าให้กำลังใจ และอยากบอกว่าอย่าเพิ่งท้อ กับสิ่งที่เป็นสัจธรรมของชีวิต เพราะเราทุกคนต่างก็รู้มาตั้งแต่เด็กว่าไม่มีความสำเร็จใดที่ได้มาง่าย ๆ อยากสอบได้อันดับต้น ๆ ของห้อง แม้ไม่หวังเป็นที่ 1 ก็ยังต้องอ่านหนังสือแทบเป็นแทบตาย นับประสาอะไรกับการพาตัวเองไปสู่ความสำเร็จที่ฝันใฝ่ ยังไงมันก็ต้องมีเจ็บ มีท้อบ้างเป็นธรรมดา

และเพื่อไม่ให้ทุกอย่างมันจบไปแบบห้วน ๆ เหมือนการเชียร์ตามมารยาท ด้วยการตบบ่า บอกว่า “สู้ ๆ ดิวะ” แล้วจากไป วันนี้ UNLOCKMEN จึงขอให้ทุกคนที่กำลังท้อ สูดหายใจลึก ๆ ตะโกนบอกตัวเองดัง ๆ ว่า What Stops You ? มุ่งไป อย่าให้อะไรมาหยุด แล้วไปดูวิธีสุมไฟแห่งความมุ่งมั่น ปลุกปั้นแรงบันดาลใจให้แข็งแกร่ง เพื่อพาตัวเองพุ่งทะยานไปข้างหน้าอย่างไม่เกรงกลัวว่าอุปสรรคหน้าไหนจะมาหยุดเป้าหมายการไปสู่ความสำเร็จที่หวังไว้

 

อย่าปล่อยภาพความสำเร็จในใจให้หล่นหาย

สิ่งแรกที่สามารถใช้ในการสร้างแรงบันดาลใจ และสามารถปลุกไฟให้พร้อมต่อสู้กับอุปสรรคทั้งหลายได้เป็นอย่างดีนั้น ไม่ใช่อะไรที่ยุ่งยาก หรือซับซ้อน แค่ลองพาตัวเองย้อนกลับไปสู่วันเริ่มต้นที่ตั้งเป้าหมายในชีวิต แน่นอนว่าทุกเป้าหมายย่อมมีปลายทางแห่งความสำเร็จเป็นสิ่งจูงใจให้เราเริ่มต้นลงมือไขว่คว้ามัน แต่ภาพแห่งความสำเร็จอันแสนจะหอมหวานนั้นมักหล่นหายไปซะดื้อ ๆ เมื่อชีวิตต้องเจอกับความยากลำบากที่เกิดขึ้นระหว่างทาง จนเป็นสาเหตุให้หลายคนรู้สึกเคว้งคว้าง บ่นรำพึงรำพันกับตัวเองว่า “นี่กูกำลังเหนื่อยทำบ้าอะไรอยู่ ?” และล้มเลิกความตั้งใจไปในที่สุด

ซึ่งการที่รู้สึกเหนื่อย รู้สึกท้อนั้นไม่ใช่เรื่องแปลก หรืออ่อนแอแต่อย่างใด แต่สิ่งสำคัญที่ไม่ควรจะปล่อยให้มันหายไป นั่นคือภาพจินตนาการแห่งความสำเร็จที่เคยฝันเอาไว้ อย่าลืมนึกถึงภาพความสุข ความภาคภูมิใจที่กำลังจะเกิดขึ้นเมื่อพาตัวเองไปถึงจุดหมายที่ตั้งใจ อย่างน้อยในวันที่อ่อนล้า ระหว่างกำลังตั้งหลักหาทางแก้ปัญหา ก็ยังคงตอบตัวเองได้ชัดเจนว่า กำลังทำอะไร และทำมันไปเพื่ออะไร เมื่อภาพความสำเร็จยังคงเด่นชัด รับรองว่าพลังในการก้าวต่อไปก็ยังคงชาร์จใหม่ได้เรื่อย ๆ ไม่มีหมดถังแน่นอน

 

แม้ยังไม่ถึงเป้าหมาย ก็ให้รางวัลตัวเองได้

การโฟกัสไปที่ภาพใหญ่ของเป้าหมาย และมุ่งมั่นพยายามพาตัวเองไปสู่ความสำเร็จนั้นเป็นเรื่องสำคัญก็จริง แต่กว่าจะไปถึงปลายทางได้ มันต้องผ่านหลายสเต็ปหลายขั้นตอนที่แต่ละขั้นนั้นก็มีความท้าทายไม่ใช่เล่น เหมือนเด็กทารกที่กว่าจะเดินได้ ก็ต้องฝึกพลิกตัว นั่ง คลาน ยืน เดิน ซึ่งแต่ละ Milestone แห่งความสำเร็จเหล่านี้ หากเราผ่านมันไปได้ก็ไม่ใช่เรื่องผิดที่จะสร้างขวัญกำลังใจให้ตัวเองพร้อมลุยด่านต่อไป ด้วยการมอบรางวัลเล็ก ๆ น้อย ๆ ให้กับตัวเอง ดีกว่าคร่ำเคร่งลุยต่อโดยไม่สนใจอะไร กะว่าค่อยฉลองใหญ่ทีเดียวตอนไปถึงเป้าหมาย แบบนั้นอาจจะเฉาตายก่อนรอดไปดีใจกับความสำเร็จก็เป็นได้

รู้แบบนี้แล้วก็อย่าลืมให้ความสำคัญกับความสำเร็จเล็ก ๆ ระหว่างทาง จงภูมิใจไปกับมัน ไม่ลืมที่จะหยุดพักให้รางวัลกับตัวเองบ้าง จะหาทริปไปท่องเที่ยว, ซื้อของที่อยากได้มานาน หรือออกไปหาอะไรอร่อย ๆ กิน ก็ได้ทั้งนั้น ถือเป็นการผ่อนคลาย อีกทั้งยังช่วยสร้างแรงบันดาลใจในการไล่ล่าความสำเร็จได้อย่างต่อเนื่องไล่ไปทีละสเต็ป ให้รางวัลแต่ละชิ้นเปรียบเสมือนตัวแทนของจิ๊กซอว์ชิ้นเล็ก ๆ ที่ค่อย ๆ ประกอบรวมกันจนเป็นภาพใหญ่ที่สมบูรณ์

 

ใจต้องไหว ร่างกายก็ต้องพร้อม

อย่างที่บอกไปว่าใคร ๆ ต่างก็รู้กันดี กว่าที่จะฝ่าอุปสรรคขวากหนามร้อยแปดพันประการจนสามารถไขว่คว้าความสำเร็จมาครองได้ มันต้องใช้พลังใจที่แกร่งเหนือมนุษย์ แต่หลายครั้งที่ใจบอกว่ายังไหว จะกี่ปัญหา จะกี่ภารกิจก็พร้อมรับมืออย่างได้สบาย ขอลุยงานเน้น ๆ แบบหามรุ่งหามค่ำเพื่อประสบความสำเร็จไว ๆ แต่ร่างกายที่เคี่ยวกรำศึกหนักมาอย่างยาวนานดันไม่พร้อมจะไปต่อ จนต้องแพ้บายไปอย่างน่าเสียดาย

เราอยากบอกว่าแม้ใจจะแกร่งแค่ไหน ถ้าไม่สนใจดูแลร่างกายให้พร้อม ฟันธงเลยว่าสุดท้ายคุณจะกลายเป็นแค่รถที่จอดตายอยู่กลางทางไปไม่ถึงฝั่งฝันอยู่ดี การออกกำลังกายจึงควรถูกยัดลงในภารกิจหลักในการพิชิตความสำเร็จ โดยไม่ต้องกลัวเสียเวลา เพราะจากผลวิจัยมากมายการออกกำลังกายสม่ำเสมอแค่วันละครึ่งชั่วโมงก็เพียงพอที่จะสร้างร่างกายให้แกร่ง แถมยังมีผลพลอยได้จากสารเคมีในสมองอย่าง Serotonin, Dopamine และ Norepinephrine ที่หลั่งออกมาตอนออกกำลัง ซึ่งส่งผลต่อดีต่อสภาพจิตใจ ช่วยคลายความเครียด และบรรเทาอาการซึมเศร้า ที่คอยโจมตีเหล่าผู้ที่กำลังต่อสู้กับอุปสรรคทั้งหลายอย่างมุ่งมั่น

ด้วยแนวทางเพียง 3 ข้อที่เราหยิบยกมาแนะนำ แม้จะดูง่าย ๆ ไม่ยุ่งยาก แต่รับรองว่าเมื่อลงมือทำตามนี้ ด้วยความพยายามอย่างเต็มที่ ในที่สุดพลังไฟในการไล่ล่าความสำเร็จ และแรงบันดาลใจที่เคยหดหาย จะกลับมาลุกโชน พร้อมออกไปต่อสู้กับทุกอุปสรรคอีกครั้ง กับตัวคุณเวอร์ชั่นอัพเกรดซึ่งชัดเจนในเป้าหมาย มีทั้งจิตใจและร่างกายอันแข็งแกร่ง ยากที่จะหาอะไรมาหยุดยั้ง สมกับที่บอกกับตัวเองไปก่อนหน้าว่า “What Stops You ? มุ่งไป อย่าให้อะไรมาหยุด”

แก๊งมาเฟียแห่งวงการอิเล็กทรอนิกส์ SWEDISH HOUSE MAFIA กำลังจะกลับมาระเบิดความมันส์ให้ชาวโลกอีกครั้ง

$
0
0

เราเชื่อว่ายังมีชาว UNLOCKMEN อีกหลายคนที่รู้สึกไม่ค่อยชอบความเป็น EDM หรือดนตรีเสียงสังเคราะห์ที่กำลังระบาดอยู่ทั่วโลกเหมือนกับเชื้อไวรัสในขณะนี้ อาจจะเพราะเราได้เติบโตมากับวัฒนธรรมเพลงร็อคอินดี้ hair band อะไรทำนองนั้น จนทำให้รู้สึกว่าดีเจที่ถือ laptop ยืนสแครชแผ่นดูไม่คูลเท่ากับนักร้องที่สะพายกีต้าร์กำลังลี้ดโซโล่เท่าที่ควร

เหตุผลที่เราหยิบเรื่องนี้ขึ้นมาเกริ่นในตอนต้น เพราะเราเองก็เป็นหนึ่งคนที่เคยคิดเช่นนั้น แต่หลังจากที่ได้ศึกษาจึงรู้ว่านี่เป็นอีกวัฒนธรรมหลักอย่างหนึ่งของโลกเลยทีเดียวโดยเฉพาะในยุโรป เราอยากจะให้ลบภาพเพลงสายย่อที่เหล่าเด็กแว๊นซ์มาเต้นกัน เพราะนั่นไม่ใช่ความเป็น อิเล็กทรอนิกส์อย่างแท้จริง เบื้องลึกในความเป็น EDM เราสามารถย่อยประเภทของเพลงได้อีกนับสิบ ดังนั้นถ้าเกิดลองเปิดใจดู ก็จะรู้ว่าเพลงประเภทนี้ก็ให้อารมณ์ความสนุกไม่แพ้กัน โดยเฉพาะกลุ่มนักดนตรีที่เรากำลังจะพูดถึงต่อไปนี้

Swedish House Mafia จัดได้ว่าเป็น Legend ของดนตรีสาย progessive โลกเลยก็ว่าได้ โดยพวกเขาเป็นกลุ่มนักดนตรีเต้นรำแนว house ชาว Sweden ที่ประกอบไปด้วย Axwell , Steve Angello และ Sebrastian Ingrsso ซึ่งอันที่จริงแล้วก่อนหน้านี้พวกเขาถือเป็นศิลปินตัวพ่อแห่งวงการเพลงอิเล็กทรอนิกส์ทั้งนั้น แต่ดันคุยกันถูกคอเลยร่วมโปรเจคนี้ในปี 2008 จนทั่วโลกต่างยกให้เขาเป็น Supergroup  ที่สุดเท่าที่วงการเพลงอิเล็กทรอนิกส์เคยมีมา

จากซ้ายไปขวา Steve Angello , Sebrastian Ingrasso , Axwell

ทว่าหากไล่ประวัติลึกลงไปก็จะรู้ว่าแท้จริงแล้ว ทั้ง Steve Angello และ Sebrastian Ingrasso เป็นเพื่อนกันมานานแล้วตั้งแต่สมัยอยู่ Stockholm แถมได้ตระเวนไปตามงานเฟสติวัลด้วยกันจนซี้ย้ำปึกก่อนจะตกลงปลงใจทำเพลงอิเล็กทรอนิกส์ร่วมกัน

สำหรับที่มาของชื่อ Swedish House Mafia นับว่าเป็นความบังเอิญล้วน ๆ เนื่องจาก ทั้งสามคนเป็นชาว Sweden และเวลาไปเล่นคอนเสิร์ตที่บ้านเกิดก็มักจะโดนแซวว่าเป็นกลุ่มมาเฟียท้องถิ่น อีกทั้งยังโดนเพื่อนดีเจคนหนึ่งเผาว่า พวกนายมันช่างเป็นมาเฟียสวีดิชจริงๆ” ทั้งสามคนจึงเห็นตรงกันว่างั้นใช้ชื่อ Swedish House Mafia มันไปซะเลย แถมเอาตรง ๆ มันเป็นชื่อที่ Impact มากเลยทีเดียว

ทั้งสามคนได้ออกอัลบั้มร่วมกันสองชุดนั่นคือ Until One (2010) และ Until Now (2012) มีเพลงสุดฮิตอย่าง Don’t Worry Child , One , Save the world ซึ่งปัจจุบันเพลงเหล่านี้ก็ยังเป็นเพลงชาติประจำคลับและงานเฟสติวัลที่เหล่าดีเจหน้าใหม่ ๆ จะพลาดไปจากเพลย์ลิสต์ไม่ได้ โดยความเจ๋งอีกอย่างของ Swedish House Mafia ที่ได้รับการยอมรับไปทั่วคือการเล่นสดที่ส่งพลังอันมหาศาลไม่ใช่แค่มาเปิดปุ่มไปมั่ว ๆ ซั่ว ๆ แต่ไลฟ์โชว์ของทั้งสามคนต้องลงลึกไปไม่ว่าเพลงที่ต้องล้อไปตามกับ visual ภาพให้ได้อรรถรสเดียวกัน  การบิ้วอารมณ์คนดูที่ต้องขึ้นลงตลอดเวลา พวกเขาจึงเป็นกลุ่มดีเจที่คิวทองงานรัดตัวและแทบจะเป็น ดีเจ/โปรดิวเซอร์กลุ่มแรก ๆ ที่มีการเดินสายทัวร์รอบโลกเหมือนกับศิลปินร็อคแบนด์ทั่วไป

จากวิเคราะห์ของหลาย ๆ คนต่างชี้ชัดว่าเหตุผลสำคัญที่ทำให้พวกเขาทั้งสามมารวมตัวนั้นเกิดค่าจ้างที่สูงปี้ดถึง $ 14 ล้านเหรียญ เป็นอันดับ 3 ของค่าตัวดีเจโปรดิวเซอร์ในเวลานั้น จึงทำให้มโนคิดกันไปว่า ทั้งหมดน่าจะกอดคอกันทำเพลงไปยาว ๆ  เป็นเสือนอนกินได้สบาย ๆ แต่กลับกลายเป็นว่าอยู่ดี ๆ ในปี 2012 ทั้งสามก็ประกาศยุบวงเสียดื้อ ๆ และจัด Farewell Tour เพื่อเป็นการบอกลาแฟนเพลงสะอย่างนั้นและในตอนแรก Farewell Tour จะถูกจัดแบบธรรมดาเรียบง่าย แต่ความฮอตฮิตบวกกับกระแสที่มีหลุดรอดออกมาตลอดว่าทัวร์นี้จะเป็นครั้งสุดท้ายที่เราจะได้เห็นทั้งสามเปิดเพลงร่วมกันในนาม Swedish House Mafia ทำให้สเกลงานขยายไปจนถึงขั้น World Tour ก่อนจะปิดตำนาน มาเฟียแห่งสวีดิสในงาน Ultra Music Festival ปี 2013

สำหรับเบื้องหลังการแยกทางของทั้งสามก็มีแหล่งข่าวหลาย ๆ ที่ออกมาสุมไฟว่าเกิดจากความติสต์แตกและอีโก้ของ Steve Angello เพราะหลังจากโปรเจค Swedish House Mafia ทั้งสามได้กลายเป็นศิลปินแถวหน้าของโลกไม่ใช่แค่ดีเจที่โด่งดังแต่ในยุโรปอีกต่อไป ดังนั้นการแยกออกมารับงานเดี่ยวจะทำให้เขาสามารถโกยเงินได้อีกมากโข ไหนจะเป็นปัญหาขัดแย้งเรื่องการทำงานที่มีข่าวหลุดมาเสมอว่า Steve Angello มักมาสายหรือไม่มาเอาดื้อ ๆ ทำให้  Axwell และ Sebrastian Ingrasso เริ่มหมดความอดทน แต่ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นข่าวลือที่ไม่หลักฐานยืนยัน เนื่องจากตอบจบ World Tour พวกเขาตอบให้ให้สัมภาษณ์แบบหล่อ ๆ ไปในทางเดียวกันว่ารู้สึกไม่สนุกกับการทำ Swedish House Mafia อีกต่อไป

หลังจากโปรเจค Swedish House Mafia ได้จบลง Axwell และ Sebrastian Ingrasso ยังคงทำเพลงร่วมกันต่อมีเพียง Steve Angello ที่แยกออกมาเดินหน้าในฐานะศิลปินเดี่ยว ต่างคนแยกเส้นทางกันไป ปล่อยให้แฟนเพลงนับวันรอว่าเมื่อไหร่ที่พวกเขาจะกลับมาจูบปากคืนดีกันอีกครั้ง ซึ่งมันก็ได้กินเวลาไปกว่า 5 ปีกว่าที่ทั้งหมดจะยอมตบรับคำเชิญมารวมงานกันอีกในงาน Ultra Music Festival Miami สำหรับวาระครบรอบ 20 ปี โดยเป็นโชว์เซอร์ไพร์ปิดงานจบเฟสติวัลอย่างยิ่งใหญ่เมื่อเช้ามืดวันที่ 26 มีนาคม (ตามเวลาประเทศไทย)

ไม่เพียงเท่านั้นนับว่าเป็นข่าวใหญ่สั่นสะเทือนวงการ EDM อีกเมื่อหลังจากจบการแสดงลง Axwell ได้ประกาศว่า “Swedish House Mafia is for life” หรือแฝงนัยยะสำคัญว่าพวกเขาอาจจะกลับมารวมตัวกันอีกครั้ง ซึ่งถ้านี่เป็นเรื่องจริงต้องนับว่าเป็นเรื่องช็อคอย่างเหลือเชื่อ เพราะก่อนหน้านี้ไม่ว่านักข่าวหรือแฟนคลับเวลาไปถามถึงการกลับมารวมตัว Steve Angello จะตอบยืนกรานหนักแน่นว่า NO! พร้อมยกมือปางห้ามญาติท่าเดียว

ดังนั้นก็ต้องมาลุ้นกันว่า Swedish House Mafia จะกลับมาโลดแล่นในวงการเพลงอิเล็กทรอนิกส์อีกครั้งหรือไม่ เพราะนาทีนี้มีเพียงพวกเขาสามคนเท่านั้นที่จะรู้ว่าอนาคตจะเป็นเช่นไร และก็ปล่อยให้แฟน ๆ ร้องเพลงรอกันต่อไป

 

ภาพจาก ultra music festival

source  ,source 2  ,  source 3 

 

 

ราศีจับทำอะไรก็ดีไปหมด VIRGIL ABLOH เตรียมนั่งแท่นรับตำแหน่งใหญ่ใน LOUIS VUITTON

$
0
0

ชั่วโมงนี้ทำอะไรก็ดูดีไปหมด สำหรับ Virgil Abloh เจ้าของแบรนด์สตรีทสุดฮิตอย่าง OFF-WHITE ที่เมื่อปีก่อนได้สร้างปรากฎการณ์คอลเลคชั่น “The Ten” กับแบรนด์ Nike จนเป็นที่ฮือฮา รวมถึงผลงานส่วนตัวที่โดดเด่นชนิดไม่ใครสู้ได้ น่าจะเป็นเหตุผลที่ทำให้ไปเตะตาห้องเสื้อสุดหรูจากฝรั่งเศสอย่าง  Louis Vuitton ที่ตอนนี้นับว่าสถานการณ์ยังเลื่อนลอยเนื่องจาก Kim Jones ที่ดำรงตำแหน่ง Artistic Director of Menswear มานาน 7 ปีกำลังจะโบกมือลาย้ายค่ายไปอยู่ Dior Homme

ทำให้ Louis Vuitton  รีบส่งเทียบเชิญเพื่อให้ Virgil Abloh มารับไม้ต่อในตำแหน่งนี้ ซึ่งจะว่าไปแล้วถือว่าเป็นเรื่องเซอร์ไพรส์อย่างมาก เพราะก่อนหน้านี้  Louis Vuitton มักจะเลือกดีไซเนอร์ที่มีประสบการณ์เคยผ่านงานกับแบรนด์ดัง ๆ รวมถึงคลุกคลีในแวดวง High-fashion เสียส่วนใหญ่ แต่อาจเพราะติดใจกับคอลเลคชั่น SUPREME x Louis Vuitton ที่ขายดิบขายดีเป็นปรากฎการณ์จึงทำให้ยอมหักดิบเลือก Virgil Abloh ที่แม้จะไม่เคยร่ำเรียนศาสตร์แฟชั่นมาโดยตรงก็ตาม ทว่าผลงานมาสเตอร์พีชกับแบรนด์เชิงสตรีทระดับโลกก่อนหน้านี้อย่าง Nike , Champion , Fragment และ แบรนด์อื่นๆ ส่งผลให้ Virgil Abloh กลายเป็นแคนดิเดตเบอร์แรกอย่างไม่ต้องสงสัย

Virgil Abloh กลายเป็น African-American เพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่ได้ก้าวขึ้นมาระดับ artistic director เพราะในวงการแฟชั่นมีเพียง Oliver Rousteing และ Ozwald Boateng เท่านั้นที่มีโอกาสได้ยืนแถวหน้าในแวดวง High-end

ภายหลังจากตกปากรับคำจาก Louis Vuitton ทาง Virgil Abloh ได้เผยว่า “เขากำลังศึกษาแนวทางของแบรนด์อย่างละเอียดเพื่อให้เข้าใจความเป็น Louis Vuitton มากขึ้น ซึ่งเขาจะสร้างสิ่งที่มนุษย์ธรรมดาปกติใส่กันเหมือนเดิม แต่ในเวอร์ชั่นที่ luxury ขึ้นเท่านั้นเอง โดยเขาหวังว่าจะสานต่อความสำเร็จจากเมื่อปีก่อนที่ Kim Jones ได้มอบไว้ให้กับ Louis Vuitton” ทีนี้ ก็ต้องมาตามดูกันว่าทิศทางของ Louis Vuitton ภายใต้การดูแลของ Virgil Abloh จะออกมาเป็นเช่นไรใน Paris Men’s Fashion Week ช่วงเดือนมิถุนายนที่จะถึงนี้

Source 

Viewing all 7776 articles
Browse latest View live