ไม่นานมานี้ผลการสำรวจของ University of Michigan เกี่ยวกับเรื่องการใช้สารเสพติดของเยาวชนในสหรัฐ ฯ ระบุว่า ในปี 2018 เด็กช่วงมัธยม นิยมใช้บุหรี่ไฟฟ้ามากกว่าปีที่แล้วหลายเท่าตัว ในทางตรงกันข้ามตัวเลขการใช้ยาเสพติดประเภทโคเคน แอสเอสดี รวมถึงเฮโรอีนกลับลดลงจากปีที่แล้ว อะไรที่ทำให้วัยรุ่นอเมริกันหันมาสูบบุหรี่ไฟฟ้าแทนการใช้ยาเสพติดยอดฮิตอย่างโคเคน?
องค์การอาหารและยาแห่งสหรัฐอเมริกา หรือ United States Food and Drug Administration ร่วมกับ ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งชาติสหรัฐอเมริกา หรือ Centers for Disease Control and Prevention ได้แถลงผลสำรวจการสูบบุหรี่ของวัยรุ่นอเมริกันในปี 2018 ภายใต้ชื่อ National Youth Tobacco Use Survey 2018 และพบว่า เหล่าวัยรุ่นมีอัตราการสูบบุหรี่ไฟฟ้าสูงขึ้น 78% ซึ่งเพิ่มจากปีที่แล้วกว่า 1.5 ล้านคน
จากการสำรวจดังกล่าวพบว่าเหตุผลสำคัญ 3 อย่างที่ส่งผลให้วัยรุ่นอเมริกันนิยมใช้บุหรี่ไฟฟ้า ได้แก่ ปัจจัยจากคนรอบข้างไม่ว่าจะเป็น เพื่อนหรือครอบครัวเป็นจำนวน 39% ส่วนผู้ที่ใช้เพราะชอบกลิ่นและรสชาติของบุหรี่ไฟฟ้ามี 31% และกลุ่มสุดท้ายคือมีความเชื่อว่าบุหรี่ไฟฟ้าปลอดภัยกว่าบุหรี่แบบมวนกว่า 17.1% จากผลที่ออกมาทำให้ทางศูนย์ควบคุมและป้องกันโรงแห่งสหรัฐอเมริกาได้ออกมาแสดงความเป็นห่วงกับสถานการณ์ดังกล่าว โดยได้ย้ำว่าบุหรี่ไฟฟ้านั้นไม่ปลอดภัยต่อเยาวชน และรัฐบาลสหรัฐฯ จำเป็นต้องมีมาตรการคุมเข้มเพื่อควบคุมการเข้าถึงผลิตภัณฑ์บุหรี่ไฟฟ้าที่จะส่งผลต่อสุขภาพของเยาวชน
จากเหตุการณ์ดังกล่าว ทำให้ในช่วงกลางปีนี้ สหรัฐอเมริกาได้ออกนโยบายห้ามร้านสะดวกซื้อและปั๊มน้ำมันขายบุหรี่ไฟฟ้ารสผลไม้เพื่อแก้ปัญหาการสูบบุหรี่ของเยาวชน ให้จำหน่ายได้แค่บุหรี่ธรรมดาเท่านั้น รวมถึงเพิ่มความเข้มงวดในเรื่องของการซื้อ-ขาย บุหรี่ไฟฟ้าในช่องทางออนไลน์อีกด้วย ซึ่งนโยบายนี้ทำให้เกิดคำวิพากษ์วิจารณ์ที่แตกเป็นสองเสียงคือเห็นด้วยและไม่เห็นด้วย รวมถึงการตั้งคำถามเกี่ยวกับนโยบายนี้ว่าถ้าต้องการให้เยาวชนสูบบุหรี่น้อยลงแล้วทำไมจึงยังขายบุหรี่แบบมวนได้อยู่และห้ามแค่บุหรี่ไฟฟ้าเท่านั้น
ซึ่งองค์การอาหารและยาแห่งสหรัฐอเมริกาได้ออกมาชี้แจงว่า เป็นเพราะวัยรุ่นอเมริกันสูบบุหรี่ไฟฟ้าเพิ่มขึ้นอย่างน่าเป็นห่วงในระดับจำนวนที่พุ่งสูงขึ้นโดยไม่มีทีท่าว่าจะหยุด เป็นการแพร่ระบาดของบุหรี่ไฟฟ้าซึ่งถือเป็นหนึ่งจุดเริ่มต้นที่จะทำให้สูบบุหรี่แบบมวน รวมถึงกระตุ้นให้อยากลองใช้สารเสพติดชนิดอื่น ๆ ได้ง่ายขึ้น รวมถึงศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งชาติสหรัฐอเมริกา ได้รายงานว่าความนิยมสูบบุหรี่ไฟฟ้าที่เพิ่มสูงขึ้นเกิดขึ้นในช่วงเวลาเดียวกับที่ยอดขายอุปกรณ์บุหรี่ไอน้ำของบริษัท Juul ขยายตัวกว่าสิบล้านชิ้นเมื่อเทียบกับปี 2017
จาการสำรวจของ University of Michigan เกี่ยวกับปริมาณการใช้สารเสพติดของเยาวชนในสหรัฐอเมริกาในปี 2018 โดยสำรวจจากนักศึกษามัธยมปีที่ 2-6 เป็นจำนวน 45,000 คน พบว่านักเรียนมัธยมเหล่านี้ใช้บุหรี่ไฟฟ้ามากกว่าปีที่แล้วหลายเท่า ซึ่งเป็นตัวเลขที่พุ่งขึ้นมากที่สุดจากการทำสำรวจทั้งหมด 44 ครั้งตั้งแต่ปี 2017 และกลายมาเป็นสารเสพติดยอดฮิตอันดับหนึ่งของวัยรุ่นในสหรัฐ ฯ และอันดับสองที่ตามมาติด ๆ คือแอลกอฮอล์ ส่วนอันดับสามรองลงมาคือกัญชา
แต่อย่างไรก็ตามถึงจำนวนตัวเลขของวัยรุ่นที่หันมาสูบบุหรี่ไฟฟ้าจะเพิ่มมากขึ้นก็จริง แต่จำนวนสารเสพติดอื่น ๆ นอกเหนือจากบุหรี่ไฟฟ้ากลับลดลง เช่น โคเคน แอลกอฮอล์ กัญชา แอลเอสดี ยาแก้ปวดแทนประเภท Opioid ที่ใช้แทนสารเสพติด รวมถึงเฮโรอีน ในวัยรุ่นอเมริกันมีอัตราลดลงจากปีที่แล้ว ซึ่งปัญหาการดื่มสุราได้ลดลงมาเรื่อย ๆ เกือบ 26% ตั้งแต่ ค.ศ. 1991 ในขณะที่การเสพโคเคน เฮโรอีนเเละแอมเฟตามินในปีนี้ได้ลดลงมาอยู่ในระดับต่ำที่สุดเป็นประวัติการณ์
สิ่งเหล่านักวิจัยต่างสงสัยและต้องการคำตอบว่า เพราะอะไรถึงทำให้เหล่าวัยรุ่นหันมาใช้บุหรี่ไฟฟ้ามากกว่าสารเสพติดชนิดอื่น และคาดเดาคำตอบได้จากปัจจัยต่าง ๆ อาทิ เนื่องจากบุหรี่ไฟฟ้านั้นใช้ง่าย มีกลิ่นหอม และไม่มีผลข้างเคียงที่รุนแรงเท่ายาเสพติดชนิดอื่น ๆ เช่นโคเคน อีกทั้งยังหาซื้อง่าย กฎหมายไม่แรงเท่ายาเสพติดอื่น ๆ รวมถึงค่านิยมและไลฟสไตล์ที่เปลี่ยนไปของเหล่าวัยรุ่น เยาวชนอเมริกันในปัจจุบันนิยมอยู่ติดบ้านและสื่อสารกันผ่านทางโซเชียลเน็ตเวิร์ค เพราะจากการสำรวจวัยรุ่นพบว่าช่วงระยะเวลาก่อนหน้านี้เด็ก ๆ มักจะมีการพบปะสังสรรค์หรือจัดปาร์ตี้กันบ่อยกว่าปัจจุบัน
เมื่อมีการพบปะน้อยลง และใช้การเชื่อมต่อผ่านทางโซเชียลมากขึ้น อัตราการดื่มแอลกอฮอล์และเสพยาซึ่งถือเป็นกิจกรรมแบบกลุ่มที่วัยรุ่นนิยมทำร่วมกันจึงลดน้อยลง และเมื่อวัยรุ่นอยุ่ติดบ้านก็ส่งผลให้มีการสูบบุหรี่มากขึ้นได้เช่นกัน
ถึงแม้บุหรี่ไฟฟ้าจะมีส่วนที่ทำให้อัตราการเสพยาประเภทอื่นของเหล่าวัยรุ่นอเมริกันนั้นลดลง แต่ผู้เชี่ยวชาญก็ได้ออกมาเตือนว่านิโคตินในบุหรี่ไฟฟ้าก็สามารถส่งผลเสียต่อสมอง และทำให้ติดสารเสพติดชนิดอื่น ๆ ได้ง่ายขึ้น และขอให้ระมัดระวัง ซึ่งถ้าเป็นไปได้ก็ไม่ต้องใช้เลยจะดีกว่า
ด้วยปัจจัยหลาย ๆ อย่างที่ทำให้เทรนด์กระแสการใช้สารเสพติดของเหล่าวัยรุ่นนั้นมีความเปลี่ยนแปลงไปตามบริบทของสังคม การมีสติรู้ตัวเองและรู้จักขอบเขตในเรื่องนี้ เพราะความอยากรู้อยากลองนั้นไม่ผิด แต่ก็ต้องรู้ลิมิตของตัวเองอยู่เสมอ