Quantcast
Channel: Unlockmen
Viewing all articles
Browse latest Browse all 7738

วิถีซามูไร ฮาราคีรี และมิชิมะ ยูกิโอะ ผู้ที่เรียกตัวเองว่าซามูไรคนสุดท้าย

$
0
0

ถ้าพูดถึงซามูไร และฮาราคีรี หลายคนคงรู้ความหมายอยู่แล้ว แต่ถ้าพูดถึงชื่อของ มิชิมะ ยูกิโอะ อาจจะยังไม่รู้ว่าเค้าคือใคร UNLOCKMEN จะพาไปทำความรู้จักกับวิถีนักรบญี่ปุ่น และลูกผู้ชายที่เรียกตัวเองว่า The Last Samurai ได้เต็มปากเต็มคำ

magnifisonz

แรกเริ่มเดิมทีซามูไรเป็นเพียงกลุ่มนักรบรับจ้างให้แก่จักรพรรดิและชนชั้นสูง แต่ต่อมาเหล่าซามูไรเกิดไอเดียอยากรวมบรรดานักรบที่บ้าระห่ำให้อยู่เป็นกลุ่มก้อนเพื่อความเป็นปึกแผ่น จึงเกิดไอเดียให้มีการจัดการที่เป็นระบบมากขึ้น ด้วยความเก่งกาจเรื่องการต่อสู้ที่ไม่กลัวตาย และความใจถึงพึ่งได้ไม่กลัวตาย ซามูไรจึงได้กลายมาเป็นกลุ่มชนชั้นที่มีบทบาททางการเมืองในฐานะนักรบชั้นนำที่ใครเห็นเป็นต้องก้มหน้า เด็กร้องไห้เดินเจอยังต้องหยุดร้อง

lawyers Guns & Money

ซามูไรมีบทบาทในสังคมญี่ปุ่นยาวนานกว่าร้อยปี ก่อนจะสิ้นสุดลงในยุคเมจิช่วงปลายศตวรรษที่ 19 จากการปฏิรูปประเทศให้ทันสมัย สร้างรูปแบบกองทัพตามแบบประเทศตะวันตก ลดอำนาจของระบบศักดินารวมถึงเลิกสถานะซามูไร ยกเลิกสิทธิในการพกดาบ Katana ในที่สาธารณะ และสิทธิในการฆ่าใครก็ได้ที่ไม่ให้ความเคารพต่อซามูไร ด้วยเหตุผลต่าง ๆ จึงทำให้ซามูไรส่วนมากหันไปเป็นนักเขียนและทำงานในรัฐบาลแทน

สิ่งที่ถูกกล่าวถึงบ่อยครั้งเมื่อพูดถึงซามูไรคือ บูชิโด และ ฮาราคีรี ซึ่งฮาราคีรีนั้นมีความหมายเดียวกับเซ็มปุกุ เป็นการสำเร็จโทษด้วยเกียรติของเหล่าลูกผู้ชายซามูไร อาทิ การไม่สามารถรักษาชีวิตของผู้เป็นนายได้ หรือเมื่อมีการเปลี่ยนฐานอำนาจ ซามูไรที่จงรักภักดีไม่ยอมสวามิภักดิ์กับกลุ่มอำนาจใหม่ก็จะทำการคว้านท้องตัวเอง ซึ่งฮาราคีรีไม่ใช่แค่ความกล้าในการคว้านท้องปลิดชีวิตตัวเองเท่านั้น แต่มันคือสัญลักษณ์ของอุดมการณ์ที่แน่วแน่ จึงทำให้ฮาราคีรีเป็นสิ่งที่มีค่าน่านับถือในสังคมญี่ปุ่นสมัยโบราณ แต่แม้จะหมดสิ้นยุคสมัยซามูไรไปแล้ว ก็ยังมีชายญี่ปุ่นรักชาติเลือดซามูไรที่ยึดถือเกียรติยศนี้อยู่ นั่นคือเรื่องราวของ มิชิมะ ยูกิโกะ

ซามูไรจะพกดาบประจำตัวอย่างดาบคาตะนะและดาบวากิซาชิไปไหนมาไหนด้วยเสมอ  รวมถึงดาบสั้นที่มีชื่อว่าชินโตไว้สำหรับเพื่อทำฮาราคีรีโดยเฉพาะ

 

 

จากเด็กเนิร์ดขี้โรค ผู้เปลี่ยนตัวเองให้เป็นชายชาตรีที่มีความสามารถด้านเคนโด้ และเก่งกาจเรื่องคาราเต้

magical afternoon

ชายผู้เรียกตัวเองว่าซามูไรคนสุดท้ายมีชื่อว่า มิชิมะ ยูกิโกะ เขาเป็นนักเขียนชื่อดังแห่งยุคคนหนึ่ง งานเขียนของเขามักสะท้อนมุมมองและจิตสำนึกของชาวญี่ปุ่น เขามีงานเขียนสร้างชื่อหลายเรื่อง เช่น Patriotism และนิยายชุดอย่าง The Sea of Fertility Tetralogy ที่ในภาคสามได้ใช้บางกอกเป็นฉากหลังของเรื่อง

มิชิมะเป็นชายที่ชื่นชมวิถีซามูไรเป็นอย่างมาก และมีแนวคิดชาตินิยมแบบสุดโต่ง หลังจากญี่ปุ่นพ่ายแพ้ในสงครามโลกครั้งที่ 2 มิชิมะพยายามฟื้นฟูความรุ่งโรจน์ของญี่ปุ่นให้กลับมาเหมือนช่วงก่อนสงครามอีกครั้ง

bbc

เหตุการณ์ที่สร้างชื่อให้กับมิชิมะ ยูกิโอะ เกิดขึ้นในวันที่ 25 พฤศจิกายน ค.ศ. 1970 มิชิมะได้นำพรรคพวกกลุ่มขวาจัดคลั่งชาติอีก 4 คน บุกยึดกองกำลังป้องกันตัวเองที่ตั้งขึ้นแทนกองทัพจักรวรรดิญี่ปุ่น หลังถูกยุบไปเมื่อสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดลง ด้วยจำนวนคนที่มีไม่ถึงสิบแต่สามารถบุกเข้าไปถึงห้องของผู้บัญชาการได้ พวกเขาได้ตั้งเครื่องกีดขวางหน้าห้อง และจับผู้บัญชาการมัดติดกับเก้าอี้

มิชิมะปรากฏตัวตรงระเบียงห้องของผู้บัญชาการท่ามกลางเหล่ากองกำลังที่เฝ้าดูว่าเขาต้องการอะไร

มิชิมะ ปรากฎตัวในชุดเครื่องแบบทหาร และปราศรัยถึงอุดมการณ์ของตัวเองว่าต้องการเรียกร้องให้กองกำลังป้องกันตัวเองร่วมกันฟื้นฟูกองทัพญี่ปุ่นอีกครั้ง เพื่อชำระล้างความอับอายจากการเป็นประเทศผู้แพ้สงคราม ผลักดันให้เกิดรัฐประหาร เขาได้กล่าวสุนทรพจน์เพื่อปลุกระดม และแสดงความต้องการที่จะฟื้นฟูวัฒนธรรมแบบซามูไร

มิชิมะ ยูกิโอะ อาจเป็นนักเขียนที่เก่งกาจ แต่ในเรื่องของการพูดปราศรัยนั้นถือว่าไม่ประสบความสำเร็จ เขาไม่สามารถปลุกเร้าอารมณ์ของผู้ฟังให้คล้อยตามได้มากนัก หรืออาจจะเป็นเพราะทุกคนยังเจ็บช้ำกับความพ่ายแพ้และสูญเสียอย่างใหญ่หลวง การจะปลุกใจให้สู้กับชาติตะวันตกอีกเป็นเรื่องที่แค่คำพูดน่าจะไม่เพียงพอ และเมื่อเห็นท่าทีที่ไม่เห็นด้วยของพี่น้องชาวญี่ปุ่น เมื่อเห็นว่าจิตวิญญาณนักสู้ได้หายไปแล้ว มิชิมะจึงกลับเข้าห้องไปเพื่อทำสิ่งสุดท้าย

imdb

ec-dejavu

เพื่อยืนยันให้เห็นถึงอุดมการณ์ที่ยึดเหนี่ยวในเลือดซามูไรของญี่ปุ่นอย่างแน่วแน่ และต้องการให้ผู้คนเริ่มตื่นตัวกับสิ่งที่เขาพูด การทำฮาราคีรีตามแบบวิถีซามูไรจึงเป็นความตั้งใจสุดท้ายที่น่าจะตอบโจทย์ มิชิมะเตรียมมีดสั้นและให้สมาชิกที่บุกเข้ามาด้วยเตรียมดาบไว้ตัดศีรษะของเขาเมื่อถึงเวลาที่สมควร หลังจากนั้นเขาก็คว้านท้องตัวเองและโดนตัดศีรษะตามอุดมการณ์ที่ตั้งไว้

Alfred A. Knopf บรรณาธิการของมิชิมะ ได้กล่าวถึงเขาว่า “เท้าข้างหนึ่งของเขาอยู่ในอดีต และเท้าอีกข้างอยู่ในอนาคต มิชิมะเป็นชายผู้ปรับความเปลี่ยนแปลงให้ลงตัวอย่างที่ไม่มีนักเขียนญี่ปุ่นคนไหนทำได้” ซึ่งบทสัมภาษณ์นี้ได้ถูกเผยแพร่ในชื่อ Mishima: A Man Torn Between Two Worlds เมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน 1970 วันรุ่งขึ้นหลังจากที่เขาได้กระทำการฮาราคีรีต่อหน้าสาธารณชน

the last samurai (2003)

มิชิมะ ยูกิโอะ เรียกตัวเองว่าเป็นซามูไรคนสุดท้ายอยู่บ่อยครั้ง แต่บ้างก็บอกว่าซามูไรคนสุดท้ายตัวจริงคือ ไซโก ทากาโมริ ผู้เป็นแรงบันดาลใจในการสร้างหนังเรื่อง The Last Samurai แต่หลายคนก็ยอมรับว่ามิชิมะ ยูกิโอะ คือซามูไรคนสุดท้ายเช่นกัน

จากอุดมการณ์ชัดเจน ท่ามกลางสังคมญี่ปุ่นที่คนส่วนใหญ่เข็ดขยาดจากสงคราม ผู้คนหันหลังให้กับอดีตที่ขมขื่น กลายเป็นมนุษย์เงินเดือนที่ไหลไปตามกระแสทุนนิยม แต่มิชิมะก็ได้แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของเขาตามแบบวิถีซามูไรแล้ว แม้จะไม่ประสบความสำเร็จในวันของเค้า แต่อย่างน้อยโลกก็ไม่ลืมเรื่องราวของเค้าจนกระทั่งวันนี้

manwithoutqualities

 

 

 

SOURCE1 SOURCE2 SOURCE3 SOURCE4


Viewing all articles
Browse latest Browse all 7738

Trending Articles