McLaren สร้างสรรค์ผลงานชิ้นใหม่ล่าสุดที่เน้นการออกแบบทุกจุดของรถตามหลัก Aerodynamic โดยมีเป้าหมายเพื่อทำให้ Speedtail เป็นรถ Hybrid Hypercar ที่สานต่อตำนานของ McLaren F1 ซึ่งเคยได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในรถ Production Car ที่เร็วที่สุดในยุค 90’s และแม้เวลาจะผ่านเลยมาถึงปี 2018 ก็มี Hypercar รุ่นใหม่เพียงไม่กี่คันที่มีสมรรถนะดีกว่า เช่น Koenigsegg Agera RS, Bugatti Chiron เป็นต้น ด้วยมาตรฐานที่สร้างไว้อย่างสูงส่ง ก็ช่วยการันตีได้ว่าการที่ McLaren เปิดตัว Speedtail ออกมา ย่อมต้องทำได้ดีกว่าตำนานหน้าเก่าอย่างแน่นอน
นอกจากจุดเด่นจากการเป็นรถ 3 ที่นั่ง แบบพวกมาลัยวางกลางรถเหมือนใน F1 ดั้งเดิม ทาง McLaren ยังขนแรงม้ามาเพียบถึง 1,035 ตัว ซึ่งคาดว่าการเค้นกำลังทะลุหนึ่งพันแรงม้า เป็นผลพวงจากการใช้มอเตอร์ไฟฟ้าเข้ามาช่วย แม้จะยังไม่มีรายงานด้าน Specification อย่างเป็นทางการ แต่หลายสื่อฟันธงว่าน่าจะใช้เครื่องยนต์ 4.0-litre twin turbo V8 735 แรงม้า บวกกับพลังจากมอเตอร์ไฟฟ้าอีกราว ๆ 300 แรงม้า รวมเป็น 1,035 แรงม้าแบบ Road-Legal
ในการขับขี่ McLaren มีโหมดพิเศษสำหรับรีดเค้นพลังแบบหมดปลอกเรียกว่า Velocity mode ซึ่งจะจัดการกับรอบเครื่อง แรงม้า ระบบเกียร์ ช่วงล่าง รวมถึงหุบกระจกข้างที่ใช้เป็น high-definition digital cameras เข้ามาเพื่อเพิ่ม Aerodynamic รองรับความเร็วสูงสุดของ Speedtail ทำงานร่วมกับ Velocity Active Chassis Control ลดความสูงลงอีกราว 1.4 นิ้วเพื่อความนิ่งในความเร็วสูงสุด โดยสามารถทำความเร็วสูงสุดถึง 400 km/h อัตราเร่ง 0-300 km/h ใน 12.8 วินาที เร็วกว่า Bugatti ที่มีแรงม้ามากกว่า แต่ก็แบกน้ำหนักตัวมากกว่า Speedtail ถึง 600 kg
ภายในของ McLaren Speedtail วางตำแหน่งพวงมาลัย จอแสดงผล และตำแหน่งเบาะคนขับไว้กลางรถ เบาะผู้นั่งโดยสาร 2 ตำแหน่งอยู่ถัดไปด้านหลัง หน้าจอแบบ High-def แสดงผลค่าต่าง ๆ รวมถึงแสดงภาพจากกล้องกระจกข้างรถ พร้อมระบบ touchscreen เต็มบริเวณ Dashboard กระจกกันลมด้านหน้ามีขนาดใหญ่กินพื้นที่ยาวไปถึงหลังคารถ ซึ่งสามารถปรับสภาพเป็นฟิลม์กันแสงแดดได้อัตโนมัติ จึงไม่จำเป็นต้องมีที่บังแดดเหมือนรถทั่วไป ด้านบนเป็นปุ่มสำหรับ Activate Velocity Mode และ Velocity Active Chassis Control ถือว่าเป็นการออกแบบที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวของ McLaren อันน่าตื่นตาตื่นใจ ซึ่งผู้ซื้อสามารถเลือก Customize ได้ตามต้องการอีกด้วย
McLaren Speedtail ตั้งราคาขายได้คันละ 75 ล้านบาท ($2.25 million USD) จะผลิตทั้งหมดจำนวน 106 คัน เป็นตัวเลขที่เท่ากันกับจำนวนของ McLaren F1 ที่ผลิตขายในช่วงปี 1993 – 1998 นั่นเอง แต่ถึงแม้คุณจะมีเงินมากพอจะซื้อ Speedtail ได้ ก็ต้องขอแสดงความเสียใจด้วยเพราะทั้ง 106 คันถูกจองไปทั้งหมดแล้ว และจะเริ่มส่งมอบได้ภายในปี 2020 น่าสนใจว่าทันทีที่ Speedtail แตะพื้นถนน จะมีราคาขายต่อกันพุ่งไปไกลแค่ไหน เพราะรถที่มี Story แบบนี้ ยังไงก็ทำกำไรได้แน่นอนอยู่แล้วครับ