เข้าสู่ช่วงมหกรรม FIFA World Cup 2018 ที่รัสเซีย ศึกลูกหนังที่คนทั้งโลกจับตาดูทั้ง 32 ทีมฟาดแข้งกันเต็มข้อเพื่อเป้าหมายเดียวนั่นคือแชมป์โลก น่าเสียดายที่ทีมชาติไทยยังไม่เคยผ่านเข้าไปเล่นในรอบสุดท้าย แต่อย่าเพิ่งท้อ เชียร์กันต่อ เชื่อว่าสักวันต้องมีวันนั้น
แม้ว่านักเตะหนุ่มไทยจะยังไม่เคยไปถึงฝัน แต่มีอดีตผู้ตัดสินไทยคนหนึ่งที่เคยไปทำหน้าที่ผู้ตัดสินที่ 1 ในศึกฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายมาแล้ว เขาคนนั้นคือ ‘เปาอั๋น-อาจารย์ ภิรมย์ อั๋นประเสริฐ’ เชิ้ตดำชาวไทยเพียงหนึ่งเดียว และหนึ่งในสองกรรมการชาวเอเชียที่ได้รับโอกาสที่ท้าทายที่สุดในอาชีพกรรมการลูกหนังในครั้งนั้น ซึ่งปัจจุบันแม้แกจะแขวนนกหวีดแล้ว แต่ก็ยังอยู่ในแวดวงผู้ตัดสินฟุตบอล ด้วยการทำหน้าที่ผู้ควบคุม ผู้ประเมิณผู้ตัดสิน และเป็นคณะกรรมการของสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ
เชิ้ตดำชาวไทยหนึ่งเดียวในฟุตบอลโลก
ย้อนไปเมื่อ 20 ปีก่อน ในศึก France 98 ที่ประเทศฝรั่งเศส เราได้เห็น อ.ภิรมย์ ในวัย 45 ปีในตอนนั้น ลงทำหน้าที่เกมรอบแรก 2 แมตช์ การแข่งขันในรอบแรก กลุ่มดี ระหว่าง นอร์เวย์-โมร็อกโก ที่ผลจบด้วยการเสมอกันไป 2-2 และรอบ 16 ทีมสุดท้าย ระหว่าง ไนจีเรีย-ปารากวัย ซึ่งปารากวัยอัดไนจีเรีย 3-1 โดย 2
แมตช์นั้นเป๋าอั๋นเดินลงสนามด้วยรอยยิ้มแย้มสไตล์คนไทย แต่ไม่ได้หละหลวมในกติกา เพราะการที่ไปได้ไกลขนาดนั้นต้องผ่านการรับรองจาก FIFA (สหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ) แล้วว่าเฮี้ยบเข้าขั้นเอานักเตะระดับโลกอยู่ และมีสภาพร่างกายที่ยอดเยี่ยมไม่มีล้าก่อนหมดเวลา จำได้ว่าภาพที่ ‘เปาอั๋น’ ลงทำหน้าที่ในเกมบอลโลกนั้นทำให้คนไทยอย่างเราภูมิใจ มาวันนี้แกคือหนุ่มใหญ่วัย 65 ปีที่มีข้อคิดดี ๆ มาแชร์ให้หนุ่ม ๆ อย่างเราได้ฟังและนำไปปรับใช้ในชีวิต
“ที่จริงผมไม่มีชื่อเล่นนะ แต่เขาเรียกกันตามนามสกุลพยางค์แรกของผม เรียก ‘เป๋าอั๋น’ กันมาจนติดปาก ก็เลยต้องใช้ชื่อนี้ไปเลย (หัวเราะ)” อ.ภิรม์ทักทายทีมงาน UNLOCKMEN ที่ไปเยือนแกที่บ้านพักจังหวัดสมุทรสาคร ซึ่งอดีตตำนานผู้ตัดสินชาวไทยต้อนรับอย่างเป็นกันเองราวกับลูกหลาน
ลองคิดดูว่า ถ้าเป็นตัวเราเองที่ได้แขวนนกหวีดเดินลงสู่สนามเพื่อทำหน้าที่ชี้ขาดเกมลูกหนังที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก ก็คงจะมีหลากหลายความรู้สึกที่อธิบายไม่ถูก และเรื่องนี้ควรจะถูกอธิบายจากผู้ชายที่ได้ไปเหยียบผืนหญ้าตรงนั้น
“ผมภูมิใจมากที่ทาง FIFA ได้พิจารณาให้ประเทศไทยส่งตัวแทนผู้ตัดสินไปทำหน้าที่ให้ฟุตบอลโลก 1998 ที่ฝรั่งเศส ฟุตบอลเป็นกีฬาของชาวโลกนะ ไม่มีอีเวนต์กีฬาไหนที่คนดูจะมากเท่ากับฟุตบอลโลก ตอนนั้นผมไม่ได้นึกเลยว่าจะต้องทำหน้าที่เพื่อตัวเอง แต่ผมทำหน้าที่แทนประเทศไทย แทนทวีปเอเชีย และแทน FIFA ซึ่งมันเป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่มาก ๆ ครับ”
“ตอนนั้นผมไม่ได้ตื่นเต้นมาก เพราะว่าผมเป็นคนเดียวที่เป่าแมตช์ในฟุตบอลโลกรอบคัดเลือกมากที่สุด (8 แมตช์) ถ้าเทียบกับผู้ตัดสินคนอื่นที่ไปเป่ารอบสุดท้ายด้วยกันในครั้งนั้น ก็เลยรู้สึกมั่นใจมากกว่าตื่นเต้น แต่ช่วงเวลาที่ตื่นเต้นมากที่สุดคือตอนเดินลงสนาม แล้วเค้าประกาศชื่อเราว่า ‘Mister Pirom from Thailand’ ตรงนี้เราค่อนข้างขนลุกเหมือนกัน เรามาในนามประเทศไทยนะ”
โอกาสที่ อ.ภิรมย์ ได้รับในตอนนั้นคือปีสุดท้ายแล้วที่เขาสามารถทำหน้าที่ผู้ตัดสินของ FIFA ได้ และด้วยวัย 45 ปีที่ต้องทำหน้าที่ที่ต้องใช้ทั้งปฏิภาณ ไหวพริบ ความเด็ดขาด และความแข็งแรงนั้นโคตรท้าท้าย แต่อาจารย์อั๋นก็ทำได้เนื่องจากการเตรียมตัวที่ดี
“ผมในอายุ 45 ที่ต้องเจอกับนักฟุตบอลที่อายุ 20-30 กว่า ค่อนข้างยาก และเป็นเกมยิ่งใหญ่ การเตรียมร่างกายผมต้องซ้อมเช้าเย็น ตอนนั้นผมสอนอยู่ในวิทยาลัยพลศึกษาด้วย ก็เลยมีโอกาสออกกำลังกายบ่อย ก็เลยทำให้ร่างกายค่อนข้างฟิตพร้อม โดยก่อนหน้าทัวร์นาเมนต์นี้จะเริ่ม 2 เดือน ทาง FIFA จะเชิญผู้ตัดสินที่ถูกเรียกให้ไปทวนกติกาให้เป๊ะ เทสต์สมรรถภาพ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ต้องทำให้ผ่าน ถ้าไม่ผ่านก็โดนส่งกลับ และอาจจะถูกตัดชื่อออก”
แม้ว่า France 98 คือทัวร์นาเมนต์ที่สร้างชื่อให้กับเปาอั๋น แต่เกียรติยศของคนผู้ที่รักษากติกาและความยุติธรรมในสนามนั้นย่อมไม่ได้มีแค่นี้ ย้อนไปยังศึก FIFA Confederations Cup 1997 นัดชิงชนะเลิศ ที่ทีม “แซมบ้า” บราซิล ไล่ถลมแข้งจิงโจ้ ออสเตรเลีย ไป 6-0 ที่ประเทศซาอุดิอาระเบีย ยังมีชื่อของ อ.ภิรมย์ เป็นผู้ตัดสินที่ 1 ซึ่งนัดนั้นดาวยิงระดับโลกอย่าง Ronaldo ยังต้องโดนคาดโทษจากผู้ตัดสินไทยคนนี้ เนื่องจาก “โด้อ้วน” ไปเจตนาใช้มือเล่นบอล โดนใบเหลืองข้อหาแฮนด์บอลไปตามระเบียบในนาทีที่ 72
“นอกจากฟุตบอลโลกแล้ว ผมเคยตัดสินฟุตบอลโลกหญิง โอลิมปิกเกมส์ และก็คอนเฟเดอเรชั่นคัพ ซึ่งเป็นแมตช์ใหญ่ ๆ ทั้งนั้น เกมคอนเฟดฯ นัดชิงระหว่างบราซิลกับออสเตรเลีย น่าจะเป็นแมตช์แห่งความทรงจำของผมมากที่สุด เกมนั้น Ronaldo ยอมรับคำตัดสิน ไม่ได้มีปฏิกริยาไม่ดีอะไร”
ชีวิตการทำงานในอาชีพที่สุดท้าทาย
ขึ้นชื่อว่าเป็นผู้ตัดสิน โดยเฉพาะในเกมฟุตบอล น่าจะเป็นอาชีพที่ต้องรับแรงกดดันจากรอบข้างมากที่สุดอาชีพหนึ่ง ทั้งผลแพ้ชนะของทั้งสองทีม ความถูกต้องในการตัดสิน ไหนจะนักเตะซูเปอร์สตาร์ฝีปากกล้า ไหนจะโค้ช ผู้จัดการทีม เจ้าของทีมที่คอยกดดัน ไหนจะกองเชียร์ คนดู ที่พร้อมจะด่าทอต่อหน้าและลับหลัง หากการตัดสินใจของเชิ้ตดำนั้นมันช่างไม่ตรงกับใจ สิ่งที่เหล่านี้เปาอั๋นย่อมผ่านมาหมดแล้ว และก็มีข้อคิดดี ๆ มาฝากทุกคน
จริงหรือไม่ ที่เขาว่ากันว่าอาชีพผู้ตัดสินฟุตบอลคือหนึ่งในอาชีพที่ยากที่สุดในโลก ?
“ผู้ตัดสินฟุตบอลจะต้องหนักแน่นมาก ๆ เลยนะ ทุกทีมต้องการผลประโยชน์ จะไม่ค่อยยอมรับว่าตัวเองผิด คัดค้านการตัดสินได้ตลอด ไม่ค่อยได้ยินเสียงเชียร์หรือเสียงชม (หัวเราะ) ต้องรู้ว่าสิ่งที่เราทำคือสิ่งที่ถูกต้อง เราสามารถยืนอยู่บนสังคมได้ ให้ความยุติธรรมกับทีมได้”
ที่ผ่านมาเคยตัดสินผิดพลาดไหม ?
“เคยครับ แต่ไม่ถึงขนาดที่ทำให้ทีมนั้นแพ้ เสียผลประโยชน์ ไม่เข้ารอบ หรือตกรอบไปเลย เคยแต่ผลสกอร์ห่างแล้ว แต่ผมไม่ให้เป็นประตูในจังหวะที่ทีมหนึ่งควรได้ พอผิดพลาดแล้วก็ต้องลืมในสิ่งที่ผิดพลาดนั้น แล้วก็ตั้งมั่นใหม่ ทำงานต่อไป ถ้ารู้ตัวว่าเราผิดพลาด เรายิ่งต้องตั้งใจทำสิ่งข้างหน้าให้ดีที่สุด ให้ยุติธรรมที่สุด กฏกติกาต้องแม่น สมรรถภาพต้องได้ เทคนิคการตัดสินต้องดี สิ่งเหล่านี้จะช่วยผู้ตัดสินในสนามให้เกิดความยุติธรรมสุดได้ และเป็นที่ยอมรับของสังคม”
ต้องดุมากมั้ยในสนาม นักเตะถึงจะเชื่อฟัง ?
“ไม่จำเป็นต้องใช้สีหน้าดุนะ เพราะผู้เล่นไม่ใช่โจร ผู้ตัดสินก็ไม่ใช่ตำรวจที่ต้องไปไล่จับและตีสีหน้ายักษ์เข้าใส่กัน ทุกคนเป็นคนที่อยู่ในครอบครัววงการกีฬาทั้งนั้น เวลาเราตัดสิน สีหน้าต้องบ่งบอกว่าเขาคือพวกเดียวกัน คือคนคอกีฬาด้วยกัน คุณทำผิด เราก็ลงโทษแค่นั้นเอง ไม่ถึงขั้นเอาเป็นเอาตาย หรือเหี้ยมเกรียม”
“ผมคิดว่าผมเป็นผู้ตัดสินอารมณ์ดีนะ ไม่เคยโกรธผู้เล่น หรือทำหน้ายักษ์ใส่ อย่างมากก็แค่นิ่ง มีที่ตลก ๆ หน่อย ผมก็เคยสบถแบบยิ้ม ๆ กับนักเตะต่างชาติที่ดื้อมาก ๆ ว่า ‘ห่า เอ้ย’ พร้อมรอยยิ้ม เค้าฟังไม่ออกก็เลยตอบเรามาว่า Thank you นี่แหละคือผลของการที่ยิ้มแย้มไว้ก่อน (หัวเราะ)”
มีวิธีรับมือความกดดันอย่างไรในสนาม ?
“ความนิ่งช่วยทุกอย่างได้ ถ้าเราไม่โกรธ กติกาก็จะออกมาถูกต้อง คุมเกมได้ ถ้าถูกนักเตะมายั่วโมโห แล้วเราโต้กลับ มันอาจจะไม่เสียผลประโยชน์กับอาชีพ แต่บุคลิกเราจะเสียไป ผู้เล่นทั้ง 11 คนก็จะไม่พอใจ กองเชียร์ก็จะไม่พอใจ ก็จะคุมเกมยาก ทุกคนจะเป็นศัตรูกับเราหมด การตีหน้าเข้ม ตีหน้ายักษ์ใส่นักเตะนั้นไม่ดีเลย ความสุภาพของผู้ตัดสินไม่ใช่การพูด ‘ครับผม’ ตลอดเวลา แต่ควรพูดในฐานะรุ่นพี่ในวงการกีฬาด้วยกัน ตัวเราเองก็ต้องมีสมาธิ นักเตะด่ามา เราอาจทนไม่ได้ แต่เราต้องเก็บไว้ อะไรที่ลงโทษได้ตามกติกาก็ลงโทษ ส่วนอะไรที่มันยั่วโมโหมาก ๆ เราก็ทำเป็นไม่ได้ยินซะ เดี๋ยวทุกอย่างก็จะผ่านไป”
เวลานักเตะสองทีมมีเรื่องกันในสนาม มีวิธีห้ามมวยยังไง ?
“ก็ไม่ห้ามนะครับ เพราะว่าเราเป็นกรรมการฟุตบอล (หัวเราะ) แต่เราต้องดูว่ามีใครทำผิดกติกาบ้าง พอเหตุการณ์สงบแล้วก็ค่อยลงโทษตามความเหมาะสม เพื่อให้เกมมันดำเนินต่อไปได้”
เคยโดนจ้างให้ล้มบอลไหม ?
“เคยมีคนติดต่อมานะ แต่ไม่ได้มาตรง ๆ เวลาพูดคุยกับเรา เราจะรู้ว่ามาแบบไหน ถ้าโทรมาก็จะวงหูซะ ในสมัยที่ผมตัดสิน ไม่มีผู้ตัดสินไทยคนไหนเลยที่มีข่าวเกี่ยวข้องกับการล้มบอล ปัจจุบันก็มีแต่ข่าว แต่ก็ไม่สามารถระบุตัวตนได้ ยังหาหลักฐานชัดเจนไม่ได้”
เรื่องมันส์ ๆ ในสนามที่ยังจำได้จนถึงทุกวันนี้ ?
“ผมจำได้เลย Roberto Carlos แบ๊กซ้ายทีมบราซิลใตอนนั้นเป็นคนที่เท้าหนัก และเล่นแรงมาก ในเกมคอนเฟดฯ 1996 รอบแรก ที่บราซิล เจอกับ เม็กซิโก ผมเป็นผู้ตัดสินที่ 4 อยู่ข้างสนาม โดยมีกรรมการชาวแอฟริกาใต้เป็นผู้ตัดสินที่ 1 เกมดำเนินมาถึงนาทีที่ 24 กรรมการคนนั้นโดนลูกเตะของ Roberto Carlos อัดอย่างจังจนสลบ ต้องหามส่งโรงพยาบาลด่วน ทำให้ผมต้องลงไปทำหน้าที่แทนแบบหวั่น ๆ ว่าจะโดนเข้าอย่างจังด้วยมั้ย (หัวเราะ)”
มีเคล็ดลับในการฝึกความอดกลั้นสำหรับผู้ชายมาแนะนำบ้างมั้ย ?
“ถ้าสิ่งที่เราทำถูกต้องแล้ว ให้ท่องในใจว่าเรากำลังทำสิ่งที่ถูกอยู่ ไม่ใช่สิ่งที่ผิด ไม่เอนเอียงเข้าข้างฝ่ายใด สิ่งที่เราทำก็คืออยากให้ทุกอย่างมันดำเนินต่อไปได้ดี อย่าไปตอบโต้ นิสัยส่วนตัวของผู้ตัดสินเอง หรือใครก็ตาม มีผลกับการใช้ชีวิตมาก บางคนอารมณ์ร้อนก็ทำให้การทำอาชีพผู้ตัดสินนั้นสั้นลง ไปไม่ถึงดวงดาว อาชีพอื่นก็เช่นกัน ถ้าเรามีเรื่องกับทีมนั้นทีมนี้ ก็อาจถูกทีมต่าง ๆ ร้องขอว่าไม่ให้เอาเราไปทำหน้าที่ เสียโอกาสเรื่องงานอีก เสื่อมเสียกับตัวเราอีก ความนิยมในตัวเราก็ลดน้อยลงไป”
ถ้าอยากเป็นผู้ตัดสินฟุตบอลบ้าง ต้องทำอย่างไร ?
“ปัจจุบันผู้ตัดสินฟุตบอลถือเป็นอาชีพอย่างเต็มตัว ถ้าอายุ 18 ปีขึ้นไป และสนใจอยากทำอาชีพนี้ เข้ามาสอบเป็นผู้ตัดสินกับสมาคมฟุตบอลฯได้ เรามีโครงการอบรม เปิดสอบ และขึ้นทะเบียน ต้องมาเป็นผู้ตัดสินของสมาคมฯก่อน ถึงจะก้าวสู่ในระดับนานาชาติต่อไป ผมอยากให้มีผู้ตัดสินไทยที่ได้ไปบอลโลกอีก แม้หนทางจะไม่ง่าย แต่ก็ต้องพยายามกันต่อไป”
อีกเรื่องหนึ่งที่ทำเราเซอร์ไพรส์สุด ๆ ก็คือ อ.ภิรมย์ แกไม่เคยเป็นนักฟุตบอล แต่แกเป็นนักฮอกกี้เก่า เคยติดทีมชาติชุดซีเกมส์ 2 ครั้ง และได้เหรียญทองแดงด้วย 1 เหรียญ ไปแข่งเอเชียนเกมส์ 2 ครั้ง รวมถึงเคยไปแข่งที่ยุโรปมาด้วย ส่วนวิชาผู้ตัดสินนั้น แกเริ่มเรียนรู้ตอนเรียนวิทยาลัยพลศึกษาชลบุรี ก่อนจะมาต่อเอกพลศึกษาที่มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ โดยเปาอั๋นเคยเป็นผู้ตัดสินในสังกัดกรมพลศึกษามาก่อน จากนั้นจึงค่อยมาสอบเข้ามาเป็นผู้ตัดสินของสมาคมกีฬาฟุตบอลไทย
มุมมองต่อฟุตบอลสมัยใหม่ และ World Cup 2018
อ.ภิรมย์ถือว่าคร่ำหวอดอยู่ในวงการกีฬามากว่า 40 ปี ผ่านเกมฟุตบอลมาหลายยุคสมัย ผ่านความเปลี่ยนแปลง และเทคโนโลยีใหม่ ๆ ที่ช่วยในการตัดสินมาก็เยอะ จนเดี๋ยวนี้มีนวัตกรรมใหม่ ๆ ที่ช่วยให้เชิ้ตดำทำงานได้สมบูรณ์ขึ้น ซึ่งมุมมองของเปาอั๋นเองก็เห็นว่า วิทยาการใหม่ ๆ เป็นเรื่องที่ดี แต่เราเองก็ยังผิดพลาดกันอยู่ ส่วนข้อเสียนั้นก็คงจะอยู่ที่สเน่ห์ที่ลดลงไป
“เทคโนโลยีสมัยนี้ทำให้เรามีสมาธิมากขึ้นนะ แต่บางทีผมก็ยังสงสัยนะว่าน้อง ๆ ก็ยังผิดพลาดกันอยู่ ทั้ง ๆ ที่เทคโนโลยีนั้นมีมาสนับสนุนมากขึ้น สมัยก่อนผมไม่มีอุปกรณ์ไฮเทค มีแต่อุปกรณ์ช่วยเตือน ซึ่งมันจะสั่นที่แขนผมเวลาที่เรามองไม่เห็นธงไลน์แมน หรือว่ามีการเปลี่ยนตัว เดี๋ยวนี้มีทุกอย่างที่ช่วยสื่อสารได้ มีภาพให้ดูเหตุการณ์ย้อนหลัง”
“เทคโนโลยีมันเป็นเรื่องดีนะครับ แต่ผมคิดว่าช่วยได้ในบ้างเรื่อง ถ้าจะมาช่วยทุกเรื่องก็อาจจะไม่สนุกนัก ทำให้ฟุตบอลอาจจะหมดสีสันไป สเน่ห์ของฟุตบอลมันต้องมีเรื่องของดวง เรื่องของจังหวะบ้าง มีโชคเข้ามาเกี่ยวข้องบ้าง”
ผู้ตัดสินในบอลโลกปีนี้เป็นอย่างไรในมุมมองของอาจารย์ ?
“ทุกคนที่เข้ามาถึงจุดนี้อยากโชว์ความสามารถเพื่อเกียรติยศของตัวเอง อยากพิสูจน์ตัวเองทุกคนเห็น ความผิดพลาดอาจจะมีบ้าง แต่ก็เชื่อว่าเป็นไปตามธรรมชาติ ไม่ใช่เป็นเพราะเอนเอียง”
คิดว่าชาติไหนมีโอกาสได้แชมป์ ?
“เร็วไปมั้ยเนี่ย เพิ่งรอบแรก ๆ เอง (หัวเราะ) แต่ถ้าจะให้มอง เกริ่นว่าฟุตบอลโลกทุกสมัยจะมีม้ามืดแซงขึ้นมาตลอด ม้านอกสายตานี่อันตราย ยิ่งปีนี้มีหลายทีมที่เข้ามาด้วย อิยิปต์ หรือไนจีเรีย ก็ไม่ควรมองข้าม แต่ว่าถ้าจะเข้าป้ายจริง ๆ ก็น่าจะมีเยอรมนี บราซิล สเปน โปรตุเกส ทำนองนี้ครับ”
ขอยืนยันว่า อ.ภิรมย์ ไม่ได้พูดว่า “อิตาลี” นะครับ
กีฬานั้นคือชีวิต
ปีนี้ อ.ภิรมย์ อายุ 65 ปีแล้ว แต่ยังดูแข็งแรงอยู่ ทำให้หนุ่ม ๆ อย่างเราต้องถามแกหน่อยแล้วว่า มีวิธีการดูแลสุขภาพตัวเองอย่างไร ?
“ออกกำลังกายครับ แล้วก็ให้เวลากับตัวเอง ไม่มีอะไรที่จะทำให้เรามีความสุขได้เท่ากับการรักษาสุขภาพตัวเอง ยอมรับวาผมก็ป่วยบ้าง แต่ดูแลสุขภาพตัวเองให้ดีครับ เลยแข็งแรงอยู่”
มีสิ่งไหนที่ยังอยากจะทำ อยากจะปลดล็อกให้ได้บ้าง ?
“ผมอยากจะพัฒนาผู้ตัดสินไทยต่อไป อยากเห็นเปาอั๋นคนที่สอง อยากให้น้อง ๆ พัฒนาศักยภาพตัวเองอย่างต่อเนื่อง อยากส่งเสริมผู้ตัดสินรุ่นเยาว์อายุ 18 ปีขึ้นไป เพื่อให้ทันกับการพัฒนาสู่เป็นผู้ตัดสินระดับโลก ก่อนที่จะถึงเกณฑ์อายุของ FIFA คือไม่เกิน 45 ปี”
ฝากถึงหนุ่ม ๆ UNLOCKMEN หน่อยครับ
“ใช้ชีวิตอยู่กับกีฬาดีกว่า เพราะว่ากีฬาอะไรก็ตาม เวลาไหนก็ได้ ก็จะทำให้เรามีสุขภาพจิต สุขภาพกายที่ดี กีฬาสอนอะไรเราหลาย ๆ อย่าง เมื่อร่างกายดี ทุกอย่างก็ดี สำหรับผมเดี๋ยวนีเงินทองไม่มีความสำคัญมากแล้ว สุขภาพสำคัญที่สุด ยิ่งอายุมากอย่างผม ยิ่งไม่คิดอะไรแล้ว แค่ใช้ชีวิตให้มีความสุขหลังเกษียณ เพราะเราทุ่มเททำงานมาเยอะ ตอนนี้ก็ดูแลตัวเอง ดูแลครอบครัวให้ดีที่สุด”
พูดคุยกับ อ.ภิรมย์ มาถึงตรงนี้ ต้องยอมรับว่าเราได้แง่คิดอะไรที่มากกว่าแค่ในโลกลูกหนัง เราได้วิธีคิดที่สามารถนำมาปรับใช้ในเกมชีวิตที่มีผู้ตัดสินมากมายเหลือเกิน และเรารู้อีกแล้วจนแน่ใจว่า ทุกสิ่งทุกอย่างที่เราจะทำเราต้องใช้ “สติ” จึงจะสามารถไปได้ไกล ถ้าจะมีอะไรมาหยุดยั้งเราได้ก็คือ “โทสะ” ของตัวเราเอง นี่คือ Hero อีกคนของเรา ผู้ตัดสินไทยหนึ่งเดียวในฟุตบอลโลกรอบสุดท้าย ผู้ชายรุ่นใหญ่ที่ชื่อว่า ภิรมย์ อั๋นประเสริฐ
ขอให้ทุกท่านสนุกสนานในช่วงฟุตบอลโลกอย่างมีสตินะครับ อย่าลุ่มหลงกับการพนัน แค่มีบอลให้เชียร์ทุกวันก็มันส์แล้ว อย่าใช้เงินในทางที่ผิดนะครับ ด้วยความปราถนาดีจาก อ.ภิรมย์ และทีมงาน UNLOCKMEN