หากพูดถึง Dreadlocks น้อยคนนักที่จะไม่รู้จัก ถึงแม้ว่าจะไม่เคยมีประสบการณ์ทำมันกับตัวเองก็ตาม สำหรับในต่างประเทศ Dreadlocks ถือเป็นสิ่งที่เห็นกันได้อยู่บ่อยๆ แต่สำหรับคนไทยเรานั้น Dreadlocks เหมือนเป็นเรื่องไกลตัว และนานๆ จะเห็นใครสักคนทำผมทรงนี้สักที อาจจะด้วยสภาพอากาศที่ร้อนอบอ้าวสุดๆ หรืออาจจะดูโดเด่นเกินไป รวมไปถึงไม่เข้าใจถึงเหตุผล ว่าทำไมอยู่ดีๆ ต้องหาเรื่องทำผมตัวเองที่สลวยสวยเก๋ ให้กลายคนที่เหมือนกับผมเป็นสังกะตัง แต่ในความเป็นจริงแล้ว Dreadlocks นั้น ไม่ได้เป็นเพียงแค่ทรงผมของเด็กแนว หรือแค่สาวกสายเขียวอย่างที่หลายคนคิด แต่มันมีความสำคัญกว่านั้นมาก จนกลายเป็นวัฒนธรรมที่มีละเอียดอ่อน และมีการแฝงความหมายซ่อนเร้นเอาไว้ภายใต้เส้นผมที่รกรุงรังนี้อีกด้วย
อย่างที่บอกไปว่า สำหรับบางคนการทำผม Dreadlocks เป็นเรื่องละเอียดอ่อนมากจนไม่น่าเชื่อ ยกตัวอย่างเช่น ในคนผิสี กับการที่เห็นคนผิวขาวสักคนนึงทำผม Dreadlocks ซึ่งหากมองดูเผินๆ จะเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ในความเป็นจริงแล้ว มันอาจกลายเป็นปัญหาขึ้นมาได้อยู่ตลอดเวลา นั่นก็เพราะว่า ทรงผมที่มีความเป็นเอกลักษณ์สุดๆ ทรงนี้ มีความเกี่ยวข้องกับเรื่องของ สีผิว,ความเชื่อทางศาสนา, ปรัชญาในการใช้ชีวิต และยังมีอีกหลายอย่างที่เราไม่เคยรู้มาก่อน วันนี้เราจึงได้นำเอาเรื่องราวของ “Dreads” มาให้ชาว UNLOCKMEN ทุกคนได้ทำความรู้จักกับมันดูแบบลึกๆ เผื่อใครที่กำลังอยากทำอาจจะเปลี่ยนใจ ส่วนคนที่เคยมีอคติ และมองว่าผมทรงนี้มันโคตรจะขัดใจ อาจจะถึงขั้นเปลี่ยนมุมมองความคิดที่เคยมีมาทั้งหมดไปเลยก็ได้ ถ้าหากคุณได้อ่านบทความนี้จนจบ
Dreadlocks Formation Tecnique
การที่จะทำผมปกติให้กลายเป็นผมแบบ Dreadlocks ได้นั้น มีการแบ่งออกเป็น 2 แบบ โดยในแบบแรกนั้น ส่วนใหญ่จะเป็นการใช้หางหวีปลายแหลม หรือเข็มถักโครเชต์ มาทำการถักทอผมที่ถูกแบ่งไว้เป็นกลุ่มๆ จนเส้นผมเริ่มมีการสาน และพันกันเป็นก้อน โดยการทำผม Dreadlocks ในรูปแบบนี้ ถ้าหากได้คนถักฝีมือดี Dreads ที่ออกมาจะแน่น สวย และมีขนาดเท่ากันตลอดทั้งเส้น ซึ่งเมื่อทำเสร็จแล้ว ช่างจึงจะค่อยๆ ใช้กรรไกรตัดแต่งให้ดูเป็นทรงสวยงามกันอีกทีหนึ่ง และเมื่อผมใหม่เริ่มงอกขึ้นมา หรือ Dreads ที่เคยทำไว้เริ่มคลายตัวออกจากกันล่ะก็ แสดงว่ามันถึงเวลาที่ต้องให้ช่างทำการ Maintenance เก็บผมส่วนต่างๆ ที่เริ่มจะพัง ให้กลับมาดูดีดังเดิมได้แล้ว
ส่วนแบบที่ 2 นั้น เป็นเทคนิคการทำผมทรง Dreadlocks แบบ “Neglect” หรือ “ปล่อยเซอร์” เทคนิคนี้ก่อนอื่นเลย คุณจำเป็นต้องมีผม Dreads มาก่อน ซึ่งครั้งนึงมันอาจจะเคยเป็นเส้น จับตัวกันสวยงามมาก่อน จากนั้นไม่ต้องมีการตัดตกแต่ง ไม่ต้องซ่อม หรือทำการเก็บผมใดๆ ทั้งสิ้น โดยการใช้เทคนิคนี้จะทำให้ Dreads มีรูปแบบของเส้นผมที่จับตัวกันอย่างมีเอกลักษณ์ และแตกต่างจากแบบแรกอย่างชัดเจน เพราะว่าการใช้เทคนิค “Neglect” นั้น เส้นผมจะจับตัวกันแบบมั่วๆ ยุ่งๆ คนจึงนิยมเรียกสไตล์นี้ว่า “Free Forming” บางเส้นก็เป็นแผ่น บางเส้นก็เป็นก้อน คล้ายๆ กับทรงผมยอดนิยมของพวก Homeless และคนบ้าที่เดินไปมาอยู่ตามท้องถนน ถึงแม้บางคนจะเรียกมันว่า งานปฎิมากรรมบนศรีษะ แต่ก็มีหลายคนที่บอกว่า มันดูเหมือนคนเป็นสังกะตังซะมากกว่า
The Roots Of Dreadlocks
รากเหง้าของ Dreadlocks นั้น ถูกเชื่อมโยงไปถึงลัทธิ Rastafians ของประเทศ Jamaica และยังรวมแพร่ไปไกลถึง กลุ่มนักปราชญ์ และโยคีที่อยู่ในประเทศ India อีกด้วย คำว่า Dreadlocks เกิดขึ้นเมื่อนานมาแล้ว ซึ่งความหมายโดยรวมเป็นการสื่อถึงความกลัว โดยเหตุผลของความกลัวที่ว่านี้นั้น มาจากวัฒนธรรมการจับตัวคนผิวดำเอาไปเป็นทาส เหตุการณ์การอันแสนหดหู่นี้ยังได้แผ่ขยายไปไกลถึงชนพื้นเมืองในประเทศ India เลยทีเดียว
แต่ถึงอย่างไรก็ตาม Dreadlocks ก็ไม่ได้เป็นที่นิยม และแพร่หลายมากเท่าในปัจจุบันนี้ บางข้อมูลก็มีการกล่าว ว่ากันว่า Dreadlocks มีต้นกำเนิดมาจากเหล่านักบวชที่อาศัยอยู่ทางทิศตะวันออก ที่แสดงถึงการละทิ้งทางโลก ไม่ยึดติด ไม่ครอบครองวัตถุใดๆ เนื่องจากสิ่งเหล่านั้นเป็นของนอกกาย พวกเค้าจึงไม่สนใจการกรูมมิ่ง หรือแม้กระทั่งจะมีหวีไว้ในครอบครองสักอันหนึ่ง ดังนั้น มันจึงเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ที่ผมของพวกเค้าจะมีลักษณะเป็น Dreadlocks
Slavery
เมื่อการค้าทาส ได้แผ่ขยาย ไปถึงประเทศ India และอาณาเขตโดยรอบ เหล่าชาวฮินดู นักปราชญ์ ที่มีผมแบบ Dreadlocks จึงหนีการค้าทาสไปยังแถบหมู่เกาะแคริบเบียน และเริ่มไปโผล่ให้เห็นที่ประเทศ Jamaica ที่ที่ทรงผม Dreadlocks และ ความเชื่อทางศาสนาของพวกเค้าเหล่านั้นเริ่มแพร่หลาย และเป็นที่นิยมในกลุ่ม Rastafarians หรือ ผู้ที่นับถือลัทธิ Rasta รวมไปถึงเหล่าผู้นำทางจิตวิญญาณของเกาะอีกด้วย เป็นอันว่า Dreadlocks มีที่มาจากความเชื่อในเชิงศาสนา โดยเหล่า Rastafarians จัดให้เป็นหนึ่งในข้อบังคับของการบำเพ็ญตน ถือเป็นทรงผมที่ศักดิ์สิทธิ์ และมีพลัง ในขณะที่เหล่าโยคีแดนตะวันออก เห็นเป็นเรื่องของการปล่อยวางทางโลกเพียงเท่านั้น
ตัดภาพกลับมาอีก 2 ทศวรรษให้หลัง เมื่อโลกเราได้เปลี่ยนแปลง มีการพัฒนาไปมาก ความเชื่อ และข้อบังคับต่างๆ ในลัทธิ-ศาสนาก็ไม่เคร่งครัดอย่างที่เคย แต่ทว่าความนิยมผมทรงนี้กลับไม่เสื่อมสลายหายไปตามความเชื่อของคนที่ลดน้อยลง การทำผม Dreadlocks กลับกลายเป็นยิ่งทวีความนิยมมากขึ้น จนลุกลามไปสู่คนที่ไม่มีความเกี่ยวข้องกับลัทธิ, ศาสนา และเชื้อชาติ หากลองสังเกตุดูเราก้จะพบว่า มีนักร้อง, วงดนตรีดังๆ หลายวง โดยเฉพาะแนว Metal อย่าง POD, Korn, Bad Brain รวมไปถึงดารา ต่างก็หันมาไว้ผมทรงนี้เช่นกัน โดยคนเหล่านั้นอาจจะรู้สึกว่าผมทรง Dreadlocks เป็นทรงผมที่มีความโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ ให้เเป็นที่จดจำได้ง่าย และเอื้อต่อการแสดงตัวตนที่แปลกแหวกแนว โดยเฉพาะในกลุ่มนัดนตรีที่มักจะทำผมทรงนี้ พอขึ้นเวทีเล่นคอนเสิร์ตได้โยกย้ายส่ายหัวสบัดแท่งผมไปมาแล้ว มักจะได้ภาพ Performances ที่มันส์สุดๆ ออกมาเป็นทวีคุณ ช่วงหนึ่งผมทรง Dreadlocks กลายเป็นทรงผมยอดฮิต จนวงดนตรีทุกวงแทบจะต้องมีใครสักคนหนึ่งในวงต้องไว้ผมทรงนี้ คล้ายๆ กับช่วงที่กระแส DJ สแครชแผ่นกำลังมาแรง และทุกวงต้องมี DJ ขึ้นไปขัดๆ ถูๆ อยู่บนเวทีเหมือนทุกวง
Bob Marley And The Introduction Into Pop Culture
หนึ่งในคนที่ไว้ผมทรง Dreadlocks ที่มีอิทธิพลมากที่สุด จะเป็นใครไปได้ ถ้าไม่ใช่ King of Rasta อย่าง Bob Marley ชายผู้เผยแพร่ ความรัก ความสงบ ความตั้งใจ และสติปัญญาให้กับชาวโลก เขาทุ่มเทชีวิตไปกับการสรรเสริญพระเจ้าผ่านทางเสียงเพลง น่าเสียดายที่เพลงของเค้าหลายเพลง กลับกลายเป็นเพลงในวงเหล้า ที่คนส่วนใหญ่ไม่เคยเสพเนื้อหาของเพลงอย่างลึกศึก เรียกว่าฟังพอจับ Melody ได้แล้วร้องฮัมๆ ตามแบบผิวเผินเท่านั้น ผม Dreadlocks ของ Bob Marley ก็เริ่มที่จะกลายเป็นเพียงตัวเลือกทางแฟชั่น โดยเป็นการทำตามภาพลักษณ์ของศิลปินดังที่ตัวเองชื่นชอบ โดยปราศจากข้อมูล และเหตุผลว่าทำไม Idol ในดวงใจถึงไว้ผมทรงนี้ เราเชื่อว่า มีผู้ชายหลายคนเลือกที่จะไว้ผม และรับแรงบันดาลใจจากชายผู้นี้ อันมีสาเหตุมาจากความชื่นชอบในตัวเพลงของเค้าเท่านั้น อย่างไรก็ตาม หากคุณได้ยินได้ฟังเพลงของ Bob Marley หลังจากที่อ่านบทความนี้จบลงแล้ว ก็ลองฟังให้ลึกกว่าที่เคยสักนิด คุณเห็นถึงความหมายแท้จริงที่ซ่อนอยู่ ทั้งเรื่องราวทางด้านศาสนา และการเมือง ซึ่งสะท้อนถึงที่มาที่ไปของผมทรง Dreadlocks ได้เป็นอย่างดี
White People With Dreadlocks?
หลายครั้งที่เส้นผมที่มีเฉดสีแตกต่างกันของมนุษย์ ได้นำพาเรื่องราวของความขัดแย้งเข้ามาอย่างที่ไม่ควรจะเกิด โดยเฉพาะ ผมสีดำ มันเป็นเรื่องที่มีความละเอียดอ่อนที่ผู้ติดอยู่กับ ความสวยงาม, อัตลักษณ์ และการเมืองไปโดยอัตโนมัติ ไม่ว่าจะเป็นผมทรง Afro หรือการถัก Cornrows, การไว้ผม Dreadlocks ทรงผม และสีผมนี้ ได้กลายเป็นสิ่งเกี่ยวข้องกับศักดิ์ศรีของชาว Afican-American และยังลุกลามไปถึง Hip-Hop Culture รวมไปถึงอีกหลายๆ เรื่องราวที่ทำให้ดูเหมือนกับว่า จะมีแต่คนผิวสีเท่านั้น ที่จะสามารถใช้ทรงผมเหล่านี้ได้
ดังนั้น บางครั้งที่คนขาวตัดสินใจนำทรงผมที่เกิดขึ้นจากวัฒนธรรมของคนผิวสี โดยเฉพาะผม Dreadlocks ที่เรากำลังพูดคุยกันอยู่นี้ มันมักมีความซับซ้อนอะไรบางอย่างที่เพิ่มขึ้นมาโดยที่บางคนอาจจะไม่ทันรู้ตัว อย่างในกรณีล่าสุดที่กลายเป็นข่าวดังในโลกออนไลน์ โดยเหตุการณ์ดังกล่าวเป็นภาพเหตุการณ์การถกเถียงกันอย่างดุเดือดของคนผิวสี กับคนผิวขาวที่ไว้ผมทรง Dreadlock โดยคนผิวสีได้พยายามบอกชายคนดังกล่าวว่า การไว้ผมทรงนี้มันไม่ใช่ Fashion ที่ใครคิดจะทำก็ได้โดยเฉพาะคนผิวขาว เพราะมันมีเรื่องราวซับซ้อนอ และโหดร้ายที่คนผิวขาวได้กระทำเอาไว้ต่อคนผิวสีซ่อนอยู่ภายใน นอกจากนี้ทรงผมเจ้าปัญหายังเป็นวัฒนธรรมของคนผิวสี ไม่ใช่สิ่งที่คนผิวขาวจะนำมาทำได้ตามใจชอบ อีกด้วย
เหตุการณ์นี้ดูเหมือนจะแพร่กระจายเป็นวงกว้างกว่าเดิม เมื่อสำนักข่าว CNN ได้นำเอาการถกเถียงนี้ออกสู่สายตาประชาชนผ่านทางจอ TV งานช้างจึงไปงอกอยู่ที่ทางมหาวิทยาลัย University of San Francisco แบบเต็มๆ จนต้องออกมาหาวิธีการเคลียร์ปัญหา โดยทางมหาวิทยาลัยได้ทำการสืบสวนหาสาเหตุที่แท้จริงแบบจริงจัง และก็ต้องพบกับตอขนาดใหญ่ ซึ่งเป็นประเด็นของความขัดแย้งในครั้งนี้ เมื่อทางฝั่งคนผิวสียืนยันอย่างหนักแน่นพร้อมกับความเชื่อที่ว่า “มันเป็นวัฒนธรรมของฉัน” ส่วนทางด้านชายผิวขาวก็ให้เหตุผลว่า “มันไม่ใช่เรื่องสำคัญยิ่งใหญ่อะไรขนาดนั้นสักหน่อย”
ตามข้อมูลที่ได้ทำการรวบรวม และสรุปมาอย่างละเอียดนั้น เราได้ประเด็นสำคัญมาอยู่อย่างนึงนั่นก็คือ ในความเป็นจริงแล้ว คนผิวสีส่วนใหญ่มองว่า เรื่องราวที่เกิดขึ้นนั้น มันไม่ใช่การแบ่งเชื้อชาติ หรือเป็นการข่มเหงรังแกคนผิวขาว แต่ส่วนใหญ่แล้ว คนผิวสีจะมีความรู้สึกคล้ายๆ อยู่ข้อนึง เมื่อเจอคนผิวขาวไว้ผม Dreadlocks นั่นก็คือ พวกเค้ารู้สึกว่ามันเป็นการกระทำที่ย้อนแย้งกันกับพฤติกรรมของคนผิวขาวที่มีต่อคนผิวดำเท่านั้น
Why It’s Not OK For White People To Have Dreadlocks
จริงอยู่ที่ Dreadlocks เกินขึ้นมานานมากแล้ว แต่ดูเหมือนว่า คนส่วนใหญ่ในปัจจุบันโดยเฉพาะคนขาวจะไม่สนใจเรื่องราวที่แท้จริงของมันกันเลยด้วยซ้ำ แต่สำหรับคนผิวสี พวกเค้าตระหนัก และจดจำมันได้มีเคยลืม แต่ถ้าหากคนผิวขาวอ้างว่ามันเป็นแฟชั่น หรือเป็นทรงผมที่ได้รับอิทธิพลมาจาก Bob Marley พวกเค้าก็คงต้องจะต้องทำความเข้าใจซะใหม่ โดยเฉพาะในคนผิวขาวที่เป็นพวกเหยียดสี เพราะ Bob Marley อุทิศชีวิตทั้งหมดของเค้าส่วนใหญ่ไปกับการขบวนการมนุษย์นิยมที่เค้าสร้างขึ้น การเรียกร้องในความเท่าเทียม “We’re All Humans” ดังนั้น มันจึงเป็นอะไรที่ขัดแย้งกันมากถ้าหากผม Dreadlocks จะไปงอกอยู่บนหัวพวกคนขาวที่เหยีดคนผิวสี
“ไม่เข้าใจว่า ทำไมคนผิวขาวถึงเลือกที่จะทำผม Dreadlocks ข้อแรก คือ ถ้าหากว่าการนำเอาวัฒนธรรมของคนผิวสี อย่างการทำผม Dreadlocks มาไว้บนหัวของตัวเอง แล้วจะมาพูดว่า ทำเพราะชื่นชอบในวัฒนธรรมของคนผิวสี หรือทำตามคนผิวสีแล้วล่ะก็ มันไม่น่าเชื่อเอาซะเลย เพราะถ้าเป็นแบบนั้นจริง ทำไมพวกเค้าถึงพยายามขับไล่คนผิวสีให้ออกไปจากสหราชอาณาจักร? ดังนั้น ถ้าหากคุณเลือกที่จะชื่นชอบเพียงทรงผม แต่ไม่เคยสนใจชีวิต และวัฒนธรรมของคนผิวสีแล้วล่ะก็ คุณก็ไม่ควรจะทำผมตรงสลวยที่น่าภูมิใจของคุณให้กลายเป็น Dreadlocks ยุ่งๆ อยู่บนหัว”
“ข้อที่ 2 ก็คือ ถ้าหากคุณทำผม Dreadlocks เพียงเพราะมันทำให้คุณดูดี ดูเท่ แต่คุณยังคงเหยียดสีผิว และไม่เคารพสิทธิของพวกเรา รวมไปถึงการที่พวกคนผิวขาวไม่เคยแม้แต่จะเรียนรู้ หรือให้ความสนใจเรื่องราวที่แท้จริงของ Dreads ด้วยซ้ำ หรือแม้แต่จะคิดทำผมที่เป็นวัฒนธรรมของพวกเราจะดีกว่า และข้อสุดท้าย ถ้าตัวคุณไว้ผม Dreadlocks และอ้างว่ามันเป็นสัญลักษณ์ของการใช้ชีวิตแบบมนุษย์นิยมในอุดมคติ แต่ไม่เคยจะทำอะไรเพื่อเพื่อนมนุษย์เลยล่ะก็ คุณเอาเวลาถักผมไปทำลายขบวนการเหยียดสีผิว และร่วมสู้เพื่อสิทธิของเพื่อนมนุษย์ให้เท่าเทียมกัน อย่างเช่นไปเดินประท้วงยังจะดีซะกว่า เพราะนั่นแหละคือ สัญลักษณ์ของมนุษย์นิยมของจริง”
เหตุผล 3 ข้อนี้เอง ที่คนผิวขาวควรตระหนักไว้ให้ดี ก่อนที่จะมาเอาวัฒนธรรมของคนผิวสีไปใช้ ทั้งๆ ที่ตัวพวกเค้าแสดงออกไม่ว่าจะทางคำพูด หรือการกระทำที่เหยียดหยามอย่างชัดเจน ถ้าหากไม่เชื่อคุณจะลองดูก็ได้ว่า เวลาที่คนผิวขาว เจอกับคนผิวขาวด้วยที่ไว้ผม Dreadlocks พวกเค้ามักจะมองว่า มันดูดี ดูเป็นแฟชั่น แต่เมื่อคนผิวขาวเจอกับคนผิวสีที่มีผม Dreadlocks คนผิวขาวส่วนใหญ่มักจะมองว่า คนพวกนี้ต้องเป็นคนขายกัญชา หรือไม่ก็จะรู้สึกว่าคนผิวสีเหล่าเป็นพวกสกปรกซ๊กม๊กอยู่เสมอ
วันนี้เราก็ได้ทราบถึงที่มาที่ไปของทรงผม Dreadlocks กันไปพอสมควรแล้ว พวกเรา UNLOCKMEN ขอบอกเอาไว้ตรงนี้เลยแล้วกันว่า แม้ว่าคุณจะไว้ผมทรง Dreadlocks หรือไม่ ผิวคุณจะเป็นสีอะไรก็ตาม สิ่งที่สำคัญที่สุดในการใช้ชีวิตมีอยู่เพียงแค่ 2 สิ่งนี้เท่านั้น ที่จะเป็นตัวสะท้อนถึงการกระทำ และแสดงถึงคุณค่าในตัวคนเราออกมาให้เห็นถึงความแตกต่างที่แท้จริง นั่นก็คือ จิตวิญญาณ และหัวใจ หาใช่สีผิว, ทรงผม, หรือเชื้อชาติอย่างที่หลายคนสร้างมันขึ้นมา เพราะต่อให้คนเราจะมีภายนอกแตกต่างกันมากแค่ไหน ภายในร่างกายคนเรา โดยเฉพาะหัวใจ ก็ยังคงเป็นสีแดงเหมือนกันหมด