ในวงการดนตีต่างประเทศในช่วงยุค 90s ดนตรีแนว Nu-Metal ถือว่าเป็นหนึ่งในแนวเพลงที่มีอิทธิพลเป็นอันดับต้นๆ ของโลกเลยก็ว่าได้ในเวลานั้น ในตอนนั้นเองที่วงดนตรีอย่าง “KoЯn” ซึ่งเป็นวง Nu-Metal ที่มีความ Creative ในผลงานอันจัดจ้านได้เกิดขึ้น โดยเฉพาะนักร้องนำของวงอย่าง Jonathan Davis ที่หลายๆ คนคงอจะรู้จักเค้าดีอยู่แล้ว ถือเป็นอีกหนึ่งคนที่มีเรื่องราวน่าค้นหาเป็นอย่างยิ่ง และเรียกได้ว่าเป็นคนที่เริ่มต้นชีวิตด้วยความเลวร้าย และยากลำบาก ไม่ว่าจะเรื่องของชีวิตส่วนตัว หรือในเรื่องของการทำงาน แต่กลับฝ่าฟันเรื่องราวต่างๆ และสร้างสรรค์ออกมาเป็นผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม วันนี้เราจะเอาเรื่องราวที่เกิดขึ้นในชีวิตของเค้ามาให้ชาว UNLOCKMEN ได้อ่านกัน
Jonathan Davis หรือ “JD” ซึ่งย่อมาจาก “J Devil” เป็นนักร้องนำวง Nu-Metal ที่โด่งดังที่สุดในโลกวงนึง นั่นก็คือ “KoЯn” หากใครที่เป็นแฟนเพลงของวงจะรู้ดีว่า Jonathan Davis เป็นคนที่สร้างสรรค์ผลแปลกใหม่ออกมาอยู่เสมอ ด้วยแรงขับเคลื่อนที่เป็นด้านมืดของเค้าในอดีตจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็นปัญหาที่เกิดจากพ่อ และแม่ ปัญหาของระหว่างตัวเค้ากับครูที่โรงเรียน รวมไปถึงเพื่อนๆ สิ่งเลวร้ายเหล่านี้เองที่ Jonathan ได้นำมันมาเป็นเชื้อเพลิงในการผลิตผลงานของเค้ามาโดยตลอด
เด็กชาย Jonathan Davis เกิดที่ Bakersfield, California ในวันที่ 18 มาราคม 1971 เป็นลูกชายของ Rick Davis และ Holly Chavez แต่เมื่อเค้าอายุได้เพียง 3 ขวบ แม่ของเค้าก็ทิ้งไป ทำให้เด็กอย่างเค้า มีความฝังใจในสิ่งที่เกิดขึ้นครั้งนี้อย่างไม่อาจลบเลือน และนี่คือที่มาของเพลง “Love Song” ในอัลบั้ม “See you on the other side” ที่ตัวเพลงเป็นการพูดถึงสิ่งที่แม่ของเค้าทิ้งพ่อ และตัวเค้าไปอย่างไม่ใยดี ทำให้เค้ากลายเป็นเด็กมีปัญหา และมีผลกระทบต่อชีวิตของเค้ามาจนถึงปัจจุบัน
แต่ขณะที่แม่ของเค้าได้ทิ้งเค้าไปอย่างไม่ใยดี ในปีเดียวกันนั้นเอง ยายของเค้าก็ให้ของขวัญชิ้นใหญ่ มันเป็นสิ่งที่เข้ามาเยียวยาจิตใจของเด็กที่ถูกทอดทิ้งอย่างเค้าได้ในทันที นั่นก็คือ “กลองชุด” มันเป็นของขวัญคริสมาสต์ที่พิเศษที่สุดที่เค้าเคยได้รับ และด้วยความรู้สึกนั้นเอง ที่ทำให้เค้าเริ่มมีความหลงไหลในเสียงดนตรี
แต่สำหรับ Jonathan แล้ว การตีกลองยังไม่ทำให้เค้ารู้สึกปลดปล่อยได้สมใจ เค้าพบว่า “การร้องเพลง” ช่วยเยียวยา และช่วยปลดปล่อยสิ่งที่เค้าเก็บเอาไว้อยู่ในใจทั้งหมดได้ดีกว่า แต่ไม่นานหลังจากนั้นเค้าต้องกลับมาเจอเรื่องที่เลวร้ายไปกว่าเก่า เรื่องที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ถึงกับทำให้เค้าเป็นโรคซึมเศร้า หากใครเป็นแฟนเพลงวง “KoЯn” คงจะเคยฟังเพลงที่ชื่อว่า “Daddy” ที่อยู่ในอัลบั้มแรกอย่างแน่นอน และเพลงนี้เอง เป็นเพลงของวงตัวเองที่เค้าเกลียด และรู้สึกเจ็บปวดมากที่สุด จนไม่เคยนำมามาเล่นสดบนเวทีเลย เป็นเวลาถึง 20 ปี จนในปี 2014 เค้าถึงได้เล่นมันใน ทัวร์ฉลองครบรอบ 20 ปี ของ “KoЯn”
เนื้อหาของเพลง “Daddy” เกี่ยวกับการที่เขาถูกเพื่อนบ้านคุกคามทางเพศในวัยเด็ก แต่เมื่อเค้าพยายามที่จะเล่าเรื่องนี้ให้กับครอบครัวของเค้าฟัง แต่พ่อกลับไม่เชื่อในสิ่งที่เค้าพูด และหาว่าเค้ากุเรื่องขึ้นมาตามสไตล์ของเด็กที่ขาดความอบอุ่น นั่นจึงทำให้เค้าต้องพบเจอกับเรื่องเลวร้ายซ้ำแล้วซ้ำอีกอย่างไม่มีใครช่วยได้
หลังจากนั้นมากประมาณ 1 ปี พ่อของเค้าก็แต่งงานใหม่กับผู้หญิงคนนึงที่มีชื่อว่า Lilly เค้าไม่เคยรู้สึกสนิทใจ หรืออยากที่จะรู้จักแม่เลี้ยงของเค้าเลย และแม่เลี้ยงของเค้าก็ดูที่จะไม่ชอบเค้าด้วยเช่นกันจนทำให้เกิดเรื่อง Drama หลายๆ อย่างขึ้นในบ้าน มีอยู่วันนึงที่ Jonathan เกิดไม่สบายจนต้องนอนซม แม่เลี้ยงของเค้าได้นำชามาให้เค้าดื่ม แต่เมื่อเค้าดื่มเข้าไปกลับพบว่าภายในชานั้นเต็มไปด้วย ซอส Salsa Tabasco นี่คือเหตุผลเพียงเล็กๆ น้อยๆ ที่ทำให้เค้าเกลียดแม่เลี้ยงของเค้ามาก เค้าจึงตั้งชื่อให้แม่เลี้ยงว่า “Step mother from hell” แต่ต่อมาไม่นานพ่อของเค้าก็หย่าขาดจากแม่เลี้ยงนรกใจร้ายคนนี้ และนี่คือ คำพูดบางส่วนจากปากของ Jonathan ถึงเมื่อพูดถึงแม่เลี้ยงของเค้า “I fucking hate that bitch. She’s the most evil, fucked up person I’ve met in my whole life.”
เมื่อเค้ามาอายุได้ราวๆ 5 ขวบ Jonathan มีอาการหอบหืดรุนแรง จนเป็นอันตรายถึงชีวิต เค้ากลายเป็นคนที่รอดพ้นความตายได้อย่างปฏิหารย์ เมื่อเค้ามีอาการหอบหืมกำเริบอย่างรุนแรง จนหยุดหายใจไปแล้วหลายนาที แต่โชคดีที่แพทย์ยังช่วยกันปั้มหัวใจกู้ชีพจรให้กลับมาเต้นต่อไปได้ ชีวิตในวัยเด็กของเค้าจึงอยู่ที่ รพ. มากกว่าที่บ้านด้วยซ้ำ แต่ที่น่าแปลกไปกว่านั้นคือว่า เมื่อเค้าร้องเพลง ปัญหาอาการหอบหืดที่เคยเป็นหนักหน่วง ก็ค่อยๆ ดีขึ้น และไม่สร้างปัญหา หรือเป็นอุปสรรคในการร้องเพลงแต่อย่างใด
จนเค้ามีอายุได้ 12 ปี Jonathan สามารถเล่น Piano, Violin Upright Bass และ Clarinet ได้อย่างรวดเร็ว เค้าใช้เวลาในช่วงเวลาในโรงเรียนมัธยมวันละ 6 ชั่วโมง ในการฝึกฝนเครื่องดนตรีต่างๆ และในช่วงชีวิตนี้เองที่เค้าโดนเพื่อนๆ ทำร้ายร่างกาย พูดจากถากถาง โดนกลั่นแกล้งต่างๆ นาๆ จากพวกนักกีฬาโรงเรียน ที่มองว่าเค้าเป็นพวกไม่เอาไหน นอกจากนี้เค้ายังถูกยัดเยียดให้เป็นตัวตลกประจำโรงเรียนจนเค้าแทบจะไม่อยากไปโรงเรียน หรือมีชีวิตอยู่เลยทีเดียว นอกจากเพื่อนแล้ว คุณครูยังเรียกเค้าด้วยถ้อยคำหยาบคายจากเรื่องราวในอดีตที่ผ่านเข้ามาชีวิตของเค้าอย่างเช่น “Fagot”, “Pussy”, “Queer” หรือแม้กระทั่ง “HIV” และนี่คือที่มาของเพลง “Faget,” “Clown” และ “Thoughtless” ที่เค้าตั้งใจสอนให้เรารู้ว่า ความรู้สึกของคนที่โดนย่ำยี หลังจากการโดนล่วงละเมิดทางเพศนั้น มันเจ็บปวดแค่ไหน โดยในใจลึกๆ แล้ว เค้าอยากจะให้คนที่มาทำให้เค้าเจ็บปวดทุกๆ คน โดนแบบเดียวกับเค้าดูบ้าง แล้วจะรู้ว่ามันเลวร้าย และไม่ตลกเอาซะเลย
ต่อมาเมื่อเค้าจบการศึกษาในระดับมัธยมในปี 1989 เค้าได้เข้าเรียนต่อที่ San Francisco School of Mortuary Science ซึ่งเป็นการเรียน ชันสูตรศพ หนังจากเรียนจนจบ เค้าได้เข้าทำงานเป็นเจ้าหน้าที่ชันสูตรศพอยู่ที่ California Kern County เค้าต้องทำงานอยู่กับซากศพ และคนตายตลอดเวลา จนครั้งนึงเค้าเคยกล่าวว่า “ผมสามารถหั่นคนออกเป็นชิ้นๆ และไม่ต้องไปเข้าคุก!! ผมทำสิ่งที่ฆาตกรต่อเนื่องทำ ทำมันทุกๆ วันแถมยังได้เงินอีกด้วย การสับศพเป้นชิ้นๆ นี่มันดีจริงๆ” และนี่ก็เป็นแรงบันดาลใจในการเขียนเพลงอย่าง “Dead bodies everywhere”, “Dead” และ “A.D.I.D.A.S.”
จนในปี 1993 ในขณะที่เค้ากำลังสร้างผลงานเดี่ยวที่มีชื่อว่า “Buck Naked” อยู่นั้น เค้ามีโอกาสได้เจอกับกลุ่มนักดนตรีที่กำลังฟอร์มวงที่พวกเค้าเรียกชื่อวงตัวเองว่า “Sex Art” เพื่อที่จะหางานเล่นตามผับ บาร์ อยู่ ได้เห็น Jonathan เข้าจึงชวนมร่วมแจมกันโดยมี Fieldy’ Arvizu และ Brian Welch อยู่ในวงขณะนั้น ซึ่ง Jonathan ก็ตอบตกลงในทันที และพวกเค้าก็ใช้ชื่อวงว่า CREEP
หลังจากเล่นดนตรีมาเรื่อยๆ พวกเค้าตัดสินใจที่จะเปลี่ยนชื่อวงกันอีกครั้ง โดยครั้งนี้พวกเค้าเลือกที่จะใช้ชื่อว่า “KoЯn” และนี่เป็นไอเดียของ Jonathan ที่จะใช้ชื่อนี้ที่มีตัว R กลับด้าน โดยเค้าวาดรูปให้กับเพื่อนๆ ในวงดูด้วยดินสอสี แล้วบอกว่า Я แบบแสดงให้เห็นความเป็นเด็กที่ค่อนข้างหน่อมแน้ม และเป็นธรรมชาติ แต่ทว่าวงดนตรีของเด็กหน่อมแน้มนี้กลับกลายเป็นวงที่ฮิตไปทั่วบ้านทั่วเมือง เมื่อพวกเค้าปล่อยเพลงอย่าง “Shoots and Ladders” หรือที่หลายคนเรียกเพลงนี้ว่า “Nursery Rhymes” ออกมา และต่อเนื่องมาด้วยเพลง Blind ที่ทำเอาวงดังเป็นพลุแตก ทำให้ผลงานชุดแรกที่มีชื่อเดียวกับวงนี้มียอดจัดจำหน่ายทั่วโลกอยู่ในระดับ Platinum รวมไปถึงอีก 2 อัลบั้มอย่า “Untitled” และ “KoЯn III” อีกด้วย
ปัจจุบัน Jonathan และวงของเค้า “KoЯn” ยังคงมีผลงานออกมาอยู่ แถมเริ่มจะกลับไปมีกลิ่นอายแบบวานๆ ที่หลาย คิดถึงให้ได้ฟังกันอีกด้วย นอกจากนี้เมื่อ 2 ปีที่แล้ว Jonathan Davis ที่เรียกได้ว่าเป็นพวกชื่นชอบความเมา ดื่มเหล้ากระจุยกระจายยังได้ออกมาประกาศเลิกเหล้าอย่างเด็ดขาด ด้วยสาเหตุมาจากลูกชายวัย 3 ขวบ ของเค้านั่นเอง โดยเค้าเล่าว่า
“การมีลูกเป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่ผมเคยทำมา ผมจำได้ว่าคืนนึงตอนที่ Nathan อายุได้ 3 ขวบ ผมเดินเป๋เมากลับเข้ามาในบ้าน ลูกของผมมองที่ผมเหมือนกับว่าผมเป็นตัวห่าอะไรก็ไม่รู้ มันทำให้ผมสลด หลังจากนั้นราวๆ 2 สัปดาห์ตัดสินใจเลิกเหล้าแบบเด็ดขาด พวกเขาทำให้ผมอยากมีชีวิตอยู่ต่อไป เรื่องราวในชีวิตผมทำให้ผมรักลูกๆ ของผม มากกว่าสิ่งอื่นใดในโลกนี้”