หากพูดถึง Calvin Klein สัญลักษณ์ความเรียบหรูคลาสสิกแบบบุรุษเพศ สินค้าที่หลายคนติดภาพจำถึงแบรนด์นี้ได้แก่ น้ำหอม ชุดชั้นในชาย กว่า 50 ที่ Calvin Klein ยืนเคียงข้างกับผู้ชายทั่วโลกตลอดมา แม้ว่าปัจจุบัน Calvin Klein จะได้เปลี่ยนแปลงบริษัทเป็นแบบมหาชน แล้วขายให้กับ Phillips-Van Heusen Corporation ในปี 2002 แต่เรื่องราวความเจ๋งของเขาคือสิ่งที่ UNLOCKMEN อยากมานำเสนอในวันนี้
Calvin Klein คือชื่อของดีไซเนอร์ชาวอเมริกัน ที่สร้างชื่อให้กับตัวเองตั้งแต่กลางยุค 60s หลักจากที่เขาจบการศึกษาจาก Fashion Institide of Technology (FIT) เขามุ่งมั่นที่จะสร้างผลงานศิลปะสายแฟชั่นในแบบฉบับของตัวเอง งานแรกของเขาคือการไปออกแบบกระโปรงที่ทำจากวัสดุพิเศษโดยเขาตั้งชื่อว่า Whipped Cream และเขาได้ร้องขอเงินเพิ่มจำนวน $100 สำหรับงานชิ้นนี้ เจ้านายตอบปฎิเสธ เขาจึงลาออกเพื่อมาเดินในเส้นทางสายแฟชั่นที่เขาหลงใหลต่อไป
ในไม่ช้าเขาได้รับบทบาทใหม่ในการเป็นนักออกแบบให้กับโรงงานผลิตเสื้อสูท และโค้ท Dan Millstein ที่โด่งดังในยุค 50s ซึ่ง Klein ได้กล่าวว่า ” ผมได้เรียนรู้มากมายที่นี่ และเป็นแรงผลักดันที่สำคัญต่ออาชีพการงาน พวกเขาจับผมโยนไปในงาน Paris Fashion Week ทันทีที่เริ่มงาน จากนั้นเขาให้สเก็ตภาพ Copy เสื้อทุกชิ้นที่เกิดขึ้นในโชว์ มันเป็นงานที่ยากมาก แต่เพื่อพิสูจน์ตัวเอง และ Millstein จะได้รู้ว่าตัวเขามีความสามารถแค่ไหน ผมจึงไม่ลังเลที่จะทำ ” แม้ว่า Klein จะสามารถทำได้ แต่ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ไม่ค่อยจะราบรื่นสักเท่าไหร่ จากนั้นมีหลายคนพยายามชักชวนให้ Klein ไปร่วมงานเพราะรับรู้ถึงศักยภาพที่เขามี แต่เขากลับรู้สึกเหนื่อยกับตำแหน่งงานที่ทำอยู่ และอยากที่จะออกไปหาความท้าทายใหม่
Klein ได้รับการติดต่อจาก Abe Morenstein เพื่อสร้างธุรกิจเป็นของตัวเอง ทั้งคู่มีวิสัยทัศน์ที่ตรงกัน แต่ขาดปัจจัยด้านทุนทรัพย์ พวกเขาต้องการเงินตั้งต้นในการทำธุรกิจจำนวน $25,000 ทั้งสองจึงเลือกใช้วิธีเดินระดมทุนตามท้องถนน แต่ก็ไม่สามารถหาเงินทุนได้เลย ทั้งคู่รู้สึกท้อ และกำลังเลือกที่จะยอมแพ้ จน Klein ได้กลับมาพบเพื่อนในวัยเด็กที่ชื่อ Barry Schwartz อีกครั้ง Barry ได้มอบเงินจำนวน $2000 ซึ่งเพียงพอต่อการตัดเสื้อ Sample ออกมาเพื่อเป็นคอลเลคชั่นตัวอย่างไว้ใช้โชว์
ทั้งคู่ร่วมกันในช่วงแรกก่อนมาถึงจุดแตกหักระหว่าง Klein และ Morenstein หลังจากคอลเลคชั่นที่มี Klein เป็นผู้ออกแบบ Morenstein ต้องการที่จะใส่ชื่อของ Klein ลงไปเป็นพันธมิตรส่วนหนึ่งของบริษัท Morenstein แต่ Klein ซึ่งมีอายุครบ 25 ปีบริบูรณ์ในขณะนั้นสามารถจัดตั้งบริษัทเป็นของตัวเองได้แล้ว ดังนั้น Klein ได้แอบไปจัดตั้งบริษัทเป็นของตัวเอง เขาเลือกที่จะตัด Morenstein ออกไป และนำ Barry Schwartz เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในบริษัทใหม่ที่ชื่อว่า Calvin Klein Ltd, หลังจากนั้น Klein และ Morenstein ไม่กลับมาคบค้าสมาคมกันอีกเลยกว่า 24 ปี
จุดเริ่มต้นที่แสนราบรื่นของ Calvin Klein เพราะเมื่อเขาทำสินค้าสต๊อกแรกออกมา Donald O’Brien ซึ่งดำรงตำแหน่งเป็นรองประธานห้าง Bonwit Teller ได้ไปพบกับเสื้อโค้ทของ Klein โดยบังเอิญ เขาชื่นชอบในผลงานชิ้นนี้มาก จึงได้จัดการนัดหมายให้ Calvin Klein ไปพบกับ Mildred Custin เจ้าของร้าน Retail แห่งหนึ่งที่อยู่ในห้างของเขา
หลังจากการนัดพบกัน Custin ได้ทำการสั่งซื้อสินค้าจำนวนมากของ Calvin Klein บวกกับการช่วยโปรโมตจาก Bonwit Teller สินค้าของ Klein ขายหมดอย่างรวดเร็ว เขาสามารถทำกำไรในปีแรกของการเริ่มต้นธุรกิจมากกว่า $1 ล้านเหรียญสหรัฐ หลังจากนั้น Klein ตัดสินใจย้ายออฟฟิศไปอยู่ตึกเดียวกับอดีตเจ้านาย Dan Millstein เพื่อเป็นการตอกหน้าถึงความสำเร็จของตัวเขา ที่ Dan Millstein ไม่เคยสนใจ
แฟชั่นโชว์ครั้งแรกของ Klein เกิดขึ้นในปี 1970 เขาใช้งบประมาณอย่างประหยัดเพียง $10,000 ในการทำโชว์นี้ถ้าเทียบกับแบรนด์อื่น แต่มันสามารถสั่นสะเทือนวงการแฟชั่นทั่วโลกได้อย่างเหลือเชื่อ นิตยสาร WWD ได้เขียนว่า “เสื้อผ้าเพียง 50 ชิ้น ทำให้ Klein กลายเป็นดีไซเนอร์ที่ทั้งโลกต้องหันมามอง” Klein สามารถทำเงินได้เพิ่มขึ้นในปีต่อมามากขึ้นเป็น $5 ล้านเหรียญสหรัฐ
ความแสบสันต์ของ Klein ยังไม่จบเพียงเท่านี้ เมื่อโอกาสประจวบเหมาะที่ Millstein กำลังประสบปัญหาทางการเงิน Klein จึงกว้านซื้อที่ของ Millstein เพื่อมาเป็นสำนักงานของตัวเอง Millstein ได้กล่าวว่าการที่ Klein ประสบความสำเร็จมากเท่านี้ เพราะเขาขายของที่มีราคาแพงเกินต้นทุนจริง ซึ่ง Klein ตอบกลับไปว่าหากเสื้อผ้าของเขาคือคำตอบสำหรับคนใส่ เขาจะสามารถขายในราคาเท่าไหร่ก็มีคนซื้อ
ชื่อของ Calvin Klein ยังคงแรงขึ้นต่อเนื่องเมื่อเขาได้รับรางวัลจาก Coty American Fashion Critic awards สองปีซ้อน และถูกโหวตให้เข้าไป Coty Hall of fame ด้วยการเป็นดีไซเนอร์ที่อายุน้อยที่สุดที่ทำเงินได้อย่างมหาศาล จากวัยเพียง 33 ปี หลังจากนั้นเขาต้องการขยับบริษัทให้เจริญก้าวหน้ามากขึ้นด้วยการว่าจ้าง Hermine Mariaux ที่เคยเป็น Director ของแบรนด์ Valentino เพื่อมาช่วยอำนวยการผลิต และดูภาพรวมของแบรนด์ให้มีสากลมากขึ้น รวมถึงต้องเซ็น lincese ในการผลิตสินค้าไลน์อื่นๆ เพราะเริ่มแรก Calvin Klein มีเพียง Sportwear , Blazer และชุดชั้นใน
หลังจากได้ licenses ในการผลิตรองเท้า เข็มขัด เฟอร์ แว่น บริษัทสามารถทำเงินได้มากขึ้นอีกเป็นจำนวนมาก สินค้าของ Klein เริ่มเข้าถึงชีวิตประจำวันของคนทุกคนได้มาก แต่ยังคงเป็นสินค้าของผู้หญิงเป็นส่วนใหญ่ ก่อนที่จะมาได้ licenes ในการผลิตเสื้อผ้าผู้ชาย กางเกงยีนส์ และน้ำหอม ในเวลาต่อมา จึงได้เป็น Calvin Klein Menswear Inc. และได้กลายเป็นกลายเป็นโลกแฟชั่นของผู้ชายไปตลอดกาล
ในยุค 70s Klein ถือเป็นดีไซเนอร์ที่เนื้อหอมที่สุดในยุค แต่นั้นไม่ใช่ทั้งหมดที่ทำให้ Calvin Klein กลายเป็นตำนาน นอกเหนือจากเสื้อผ้าที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวแล้ว ช่วงผลัดเปลี่ยนเข้ายุค 80s การโฆษณาแบบภาพนิ่งก็เป็นอีกหนึ่งสัญลักษณ์ของแบรนด์ เริ่มแรกเขาได้ชวน Charles Tracy ตากล้องอิสระเพื่อมาลองถ่ายรูปกันเล่นๆ แต่กลับกลายเป็นว่าภาพของ Charles Tracy ถูกใจ Klein เป็นอย่างมาก เขาจึงได้ว่าจ้างให้ Charles มาดูในเรื่องของ Art Direction ของการถ่ายภาพนิ่งโฆษณาของแบรนด์ ในไลน์เสื้อผ้า กางเกงยีนส์ ซึ่งมันได้รับกระแสที่จากตลาดเพราะการโฆษณาของเขาไม่ได้ชวนน่าเบื่ออีกต่อไปเหมือนกับแบรนด์อีกๆ ในตลาดอีกต่อไป
ธุรกิจของเขาเริ่มประสบปัญหาขาดทุนจากไลน์สินค้าประเภทน้ำหอม และเครื่องสำอาง เพราะตอนแรกเขาต้องการจะใช้ Revon ที่มีความชำนาญในการผลิตสินค้าประเภทนี้ในการช่วยออกแบบผลิต แต่ทั้งสองฝ่ายไม่สามารถตกลงรายละเอียดกันได้ ทำให้ Calvin Klein เลือกที่นำออกมาทำเอง อาจเพราะด้วยคู่แข่งที่มีจำนวนมาก และพวกเขาไม่ได้มีความชำนาญทางด้านนี้ ทำให้ Calvin Klein ต้องขาดทุนจำนวนมหาศาล จนบริษัทเกือบแย่
แล้วทางสว่างของ Klein ก็กลับมาอีกครั้ง หลังจากเขาได้ค้นพบไลน์สินค้าที่สามารถทำเงินให้เขาอย่างมหาศาลที่สุดตลอดกาลนั้นคือ กางเกงชั้นในแบบ Boxer ซึ่งเขาได้เลือกใช้โรงงาน Bidermann ที่ผลิตให้กับ Jockey เพื่อให้ได้กางเกงชั้นในคุณภาพที่สูง และมีดีไซน์ เรียบแต่คลาสสิค แต่มันจะไม่แตกต่าง และทำเงินหากขาดซึ่งการโปรโมตที่ถูกต้อง เขาเลยว่าจ้าง Bruce Weber ด้วยจำนวนเงินสูงถึง $500,000 เพื่อดูแลแคมเปญไลน์สินค้าประเภทนี้ มันได้ผลเป็นไปตามคาดเพราะเฉพาะไลน์กางเกงชั้นในทั้งชายและหญิงของ Calvin Klein สามารถทำเงินได้ไม่ต่ำกว่า $70 ล้านเหรียญสหรัฐต่อปี
เป็นการกอบกู้สถานการณ์ทางการเงินของพวกเขาได้เป็นอย่างดี จากนั้น Klein ได้ตัดสินใจยกเลิกการผลิตไลน์เครื่องสำอาง และมามุ่งมั่นพัฒนาเพียงน้ำหอม และด้วยความร่วมมือจาก Robert Taylor เจ้าของบริษัท Minetonka ที่ชำนาญเกี่ยวกับเครื่องสำอาง น้ำหอมมากกว่า พวกเขาจึงช่วยกันคิดค้นน้ำหอมตัวรุ่น Obession และจ้าง Kate Moss มาเป็นพรีเซ็นเตอร์ ทำให้ Obession กลายเป็นรุ่นฮิตตลอดกาลจนถึงทุกวันนี้
อย่างที่บอกนอกจากเสื้อผ้าไลน์ต่างๆ ของ Calvin Klein ในทุกๆ ปีทุกคนจะเฝ้ารอว่าใครจะมาเป็นพรีเซ็นเตอร์ให้กับผลิตภัณฑ์นี้ เพราะตั้งแต่ Mark Wahlberg สร้างชื่อจากภาพโฆษณาบิลบอร์ด ทั้งผู้ชาย และผู้หญิงที่ได้ขึ้นไปถ่ายแคมเปญ ถ้าไม่ดังก็จะกลายเป็นซุปเปอร์สตาร์ทันที หรือถ้าเป็นคนดังอยู่แล้วจะมีกระแส Talk of town ตามออกมา แต่บางครั้งแคมเปญของเขาก็โดนกระแสด้านลบจากสังคมเช่นกัน
จนมาถึงจุดที่อิ่มตัวของ Klein เพราะเขาประกาศขายบริษัทในปี 1999 เนื่องจากหมดไฟในการทำงาน ก่อนจะหาผู้ซื้อได้ในปี 2002 คือ Phillips-Van Heusen แม้ว่าในปัจจุบันภาพของเขาจะยังคงเป็นสัญลักษณ์ของบริษัท แต่เขาไม่ได้มีดำรงตำแหน่งใด หรือสามารถออกความเห็นอะไรเกี่ยวกับองค์กรได้อีกแล้ว
แม้ว่าปัจจุบันตัวของ Calvin Klein จะไม่ได้มีบทบาทอะไรสำคัญต่อวงการแฟชั่นอีกต่อไป แต่สิ่งที่เขาทำตลอดมา และทิ้งสไตล์ที่เป็นเอกลักษณ์ไว้คือ การผสมผสานความสวยงามคลาสสิคแบบฝรั่งเศส เข้ากับสไตล์ที่เรียบง่ายแบบอเมริกัน เพราะหากพูดถึง Calvin Klein เราจะนึกถึงอะไรเท่ๆ เกี่ยวกับผู้ชาย ทำให้ UNLOCKMEN ขอยกย่องว่าเขาเป็นหนึ่งใน Men Fashion Icon แห่งศตววรษที่ 21
” อะไรก็ตามที่ผมอยากทำ ผมจะทำ และเมื่อผมลงมือทำแล้ว ก็ไม่มีอะไรที่จะสามารถหยุดผมได้ ” Calvin Klein